สองชั่วโมงแล้วหลังจากปราณีพาเหมือนแพรเข้าห้องไป ชั่วโมงแรกกัณฑ์จมอยู่กับความรู้สึกผิด เขาโทษตัวเอง เดินขึ้นลงบันไดนับสิบรอบ ใจก็อยากตามเหมือนแพรไปที่ห้อง อยากเปิดประตูเข้าไปหา ไปพูดเคลียร์ให้น้องเข้าใจ แต่อีกใจก็กลัวว่าการทำอย่างนั้นจะยิ่งทำให้น้องเสียใจ สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เอื้อมมือแตะบานประตู ไม่กล้าเปิดเข้าไป เดินขึ้นเดินลง เฝ้ารอว่าประตูห้องจะเปิดออก หรือพี่สาวจะส่งข้อความมาบอกข่าว

หนึ่งชั่วโมงที่ยาวนานผ่านไปอย่างเชื่องช้า แล้วก็ทำให้กัณฑ์รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย เขามองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาจะสองทุ่มแล้ว เป็นเวลาที่ปกติแล้วเด็กรับใช้ในบ้านจะไปพัก แต่วันนี้ทุกคนยังอยู่ พวกเขาหลายคนคงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กัณฑ์รู้ว่าที่พวกเขายังอยู่ไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็น พวกเขาคงเป็นห่วงและกังวล นั่นคือความอาทรของคนเหล่านี้ที่อยู่บ้านนี้มาก่อนที่เขาจะย้ายเข้ามาอยู่หลังจากแต่งงานกับคุณหนูของพวกเขา

“ไปพักกันเถอะ” กัณฑ์เดินมาบอกคนงานทั้งห้าคนที่คอยมองเขาอยู่ระหว่างโถงห้องครัวกับห้องอาหาร ทุกคนลังเล กระทั่งหัวหน้าแม่บ้านพยักหน้าให้ ทุกคนจึงค่อยๆ ขยับออกไป “ป้าน้อมก็ไปพักเถอะครับ ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” 

เขาหวังให้ผู้มากวัยกว่าคลายกังวล พูดออกไปก็เหมือนตอกตะปูใส่หัวใจตัวเอง จะไม่มีอะไรได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับคุณหนูแพรที่ป้าแม่บ้านช่วยแม่ของเธอเลี้ยงมา ต่อให้ในฐานะคนใช้กับลูกสาวเจ้านาย แต่เขารู้ว่าสำหรับป้าน้อมแล้วเหมือนแพรก็เหมือนลูกเหมือนหลาน ใจป้าคงนึกตำหนิเขา อยากทำอย่างที่ปราณีทำกับเขา ตบหน้าสักหลายๆ ฉาดให้สาสม

“คุณกัณฑ์...” น้ำเสียงมีความอ่อนโยน ไม่ได้ตำหนิใดๆ แววตาที่มองมาก็มีแต่ความห่วงใยให้เกียรติ นั่นยิ่งทำให้กัณฑ์รู้สึกแย่ “คุณกัณฑ์! ทำอะไรคะ คุกเข่าให้ป้าทำไม...อย่าค่ะ”

ป้าน้อมห้ามอย่างตกใจเมื่อเห็นกัณฑ์คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วก้มลงกราบ แกขยับออกพลางเข้าไปรวบหัวไหล่พยุงให้ลุกขึ้น ไม่ให้ชายหนุ่มทำอย่างที่ทำอยู่ แต่อีกฝ่ายพยายามฝืนไว้ สีหน้าเจ็บปวดเหมือนคนที่พร้อมจะปล่อยโฮ

“ผมขอโทษ”

ป้าน้อมเห็นความอึดอัดใจของคนที่ก้มลงกราบ ผู้ชายคนนี้กำลังรู้สึกแย่อย่างที่สุด แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่ทำลงไป ใจคงอยากขอโทษน้อง อยากทำทุกทางเพื่อให้เหมือนแพรเข้าใจว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่พูดออกไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่พร้อมรับฟัง คำขอโทษกลายเป็นหนามทิ่มแทงใจเธอ คำขอโทษจึงกลัดหนองอยู่ในอก ครั้นจะขอโทษญาติผู้ใหญ่ของน้องก็มองไม่เห็นใครในเวลานี้

“ผมขอโทษที่ทำร้ายคุณหนูของป้า...ผมขอโทษที่ทำให้น้องแพรเป็นแบบนี้”

ป้าน้อมเปลี่ยนการห้ามผู้ชายที่ถูกความรู้สึกผิดเล่นงานให้ทำอย่างที่ต้องการ ปล่อยให้เขาก้มกราบลงที่ตักป้า ก่อนจะดึงเขาขึ้นมากอดปลอบ เหมือนญาติผู้ใหญ่ที่พร้อมจะให้อภัยคนที่ทำผิดแล้วสำนึกได้ ลูบหลังผู้เป็นนายอย่างเมตตาและพร้อมจะเข้าใจ 

“ผมไม่ได้เกลียดน้องแพรนะครับป้า ผมไม่ได้ถูกบังคับให้มาแต่งงานกับน้องแพร จริงอยู่ที่จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของผมกับน้องแพรเกิดขึ้นเพราะข้อเสนอของพ่อน้องแพร แต่ว่าผม...”

มันเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะพูดหรือบรรยายได้ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนี้ก็ถูกบีบให้ต้องแต่งงานกับเหมือนแพร แต่ถึงอย่างไรป้าน้อมก็เข้าใจดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เข้าหาคุณหนูของป้า เพราะความตั้งใจของตัวเอง ไม่ได้เข้าหาเพราะชอบเธอจึงมาจีบ ผู้ชายคนนี้เข้าหาคุณหนูของแกด้วยความรู้สึกที่เป็นศูนย์ แต่การได้อยู่ใกล้ การพร้อมจะเปิดใจ ก็ได้เติมความรู้สึกดีๆ ให้มากขึ้นในทุกๆ วัน

“ป้าเชื่อว่าคุณรักคุณหนู” ป้าน้อมเองก็น้ำตาคลอ เพราะเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายคนนี้ดี เข้าใจทั้งความรู้สึกกลัวการสูญเสีย ความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้ “แล้วป้าก็รู้ว่าคุณหนูก็รู้ว่าคุณกัณฑ์รักเธอ คุณหนูพูดกับป้าเสมอ ว่าคุณหนูมีความสุข เธอโชคดีที่ได้ความรักจากคุณกัณฑ์”

ป้าน้อมหยุดคำพูดไว้ รอให้กัณฑ์เงยหน้าขึ้นมามองแกที่ยิ้มให้กำลังใจ

“ความเชื่อมั่นนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยน ถ้าความจริงยังเหมือนเดิม ความจริงอะไรคุณรู้มั้ยคะ”

“ความจริงว่าผมรักน้องแพร” กัณฑ์เหมือนจะเห็นทางสว่างขึ้น “ผมรักน้องแพรไม่เปลี่ยน” 

“ใช่ค่ะ แค่ความจริงนี้ไม่เปลี่ยน คุณหนูของป้าก็จะมีความสุข” ป้าน้อมเน้นย้ำ “วันนี้คุณหนูจำสิ่งที่คุณทำร้ายจิตใจเธอได้ แต่มันไม่ได้แปลว่าคุณหนูจะไม่มีโอกาสจำความรักที่คุณให้เธอได้นะคะ คุณอย่าเพิ่งสิ้นหวัง ทำให้คุณหนูเห็นว่าคุณรักคุณหนูมาก พวกเราในบ้านนี้พร้อมช่วยคุณ เอาใจช่วยคุณนะคะ พวกเรารู้ว่าคุณไม่ได้อยากทำร้ายคุณหนู พวกเรารู้ว่าคุณรักคุณหนู และคุณหนูก็รักคุณมาก”

“เข้ามาเถอะ น้องหลับไปแล้ว” ปราณีบอกผู้ชายที่ตอนแรกดีใจจะรีบเข้ามาในห้องนอน แต่เหมือนจะนึกได้ว่าคนในห้องอาจไม่อนุญาตให้เขาเข้าไป หรือเธออาจตื่นมาเจอ “ไม่เป็นไรหรอก น้องหลับสนิทคงเพลียมากน่ะ”

ถึงตอนนี้กัณฑ์จึงกล้าเข้าไปในห้อง นั่งลงที่ริมเตียง มองคนที่หลับสนิทด้วยสีหน้าของคนที่ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ชายหนุ่มอยากแตะตัวน้อง แต่เพียงแค่เอื้อมมือไปจะโดนตัวก็ต้องดึงมือกลับ กลัวว่าสัมผัสนั้นจะทำให้น้องรู้สึกตัวตื่นมาเจอเขา แล้วเขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าน้องจะรู้สึกอย่างไร ต่อให้อยากสัมผัสตัวอย่างไรก็คงทำไม่ได้ ทำได้แค่นั่งมองคนที่เรากลัวสูญเสียไปที่สุด

“ทำไมผมต้องพูดอย่างนั้นออกไปด้วย”

ปราณีรู้ว่ากัณฑ์มีคำตอบของคำถามอยู่แล้ว แต่เขาคงเจ็บปวดจนหลงลืมมันไปแล้ว เธอจึงคิดจะช่วยบอก ไม่ได้หวังว่ามันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เพราะเธอรู้ว่าน้องชายจะไม่มีวันรู้สึกดีขึ้น ตราบใดที่เขาเห็นผู้หญิงที่หลับอยู่บนเตียงยังเจ็บปวดจากสิ่งที่เขาทำลงไป

“แกถูกบีบด้วยเวลา น้ากันตากดดันแกด้วยคำพูดของคนที่จับปิ่นกับดารินไป ถ้าน้ำทะเลขึ้นพวกเขาจะจมน้ำตาย ทุกคนวิ่งวุ่นไปหมด แกหาทางอย่างที่สุดแล้วจนต้องมาขอให้น้องแพรช่วย แกกลัวว่าถ้าเกิดปิ่นและดารินเป็นอะไรไปอีก คนรอบตัวแกก็ยิ่งจะเกลียดน้องแพร ต่อให้แกรู้ว่าน้องแพรกลัวพ่อ ไม่ได้สนิทกับพ่อ แต่แกก็คิดว่ายังไงนั่นก็พ่อ พ่อที่รักแม่น้องแพรมาก ในช่วงที่จวนตัว แกก็เลยคิดว่าเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้ก็เลยจะใช้ไม้แข็ง”

นั่นคือความจริง แต่พอเริ่มพูดก็เริ่มแรง 

“การพูดแรงๆ มันอาจใช้ได้ผลกับคนบางคน แต่กับน้องแพรมันส่งผลเลวร้ายเกินกว่าที่แกคิด แต่พี่เข้าใจแกนะกัณฑ์ พวกเราเติบโตมาในบ้านที่คนที่เลี้ยงเรามาไล่ให้เราไปตายวันละสิบหน ครอบครัวเราไม่ได้พูดกันเพราะๆ อย่างบ้านน้องแพร แกเองก็เหนื่อยกับการต้องเป็นตัวกลาง...

“ครอบครัวของแกไม่ชอบน้องแพรกัน แกพยายามไกล่เกลี่ยอยากให้อะไรๆ มันดีขึ้น แกกลัวเรื่องนี้จะทำให้สถานการณ์แย่ลง แกทำเพราะห่วงความรู้สึกน้องแพร พี่รู้แกไม่ให้ครอบครัวแตะต้องน้องแพรมาโดยตลอดและน้องแพรก็รู้มาตลอด น้องพูดกับพี่เสมอว่าสงสารแกที่ถูกครอบครัวตำหนิ” ปราณีพูดสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะหวังว่าจะทำให้น้องชายรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่กัณฑ์กลับยิ้มหยันให้คำพูดนั้น  พี่หวังดีแต่เขายิ่งเจ็บ

“ผมปกป้องน้องมาตลอดแล้วยังไงครับ เพราะในเมื่อสุดท้ายผมเป็นคนทำลายมันเอง แถมยังเลือกใช้คำพูดที่คนรักกันไม่ควรพูดใส่หน้ากัน”

“แกแค่ทำพลาด สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลของมัน... แต่แกยังมีโอกาสแก้ไข” ปราณีเดินเข้าไปบีบไหล่น้อง ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างไม่เข้าใจ “น้องแพรยังอยู่ตรงนี้ ต่อหน้าแก...แก้ไข ทำให้น้องแพรเห็นว่าแกรู้สึกยังไงกับน้องแพร”

ก่อนหน้านี้ป้าน้อมก็บอกอย่างนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้

“ผมยังมีโอกาสอีกเหรอ พี่ก็เห็นว่าน้องแพรไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ”

“มันก็จริง แต่แกจะยอมแพ้ง่ายๆ เหรอ”

“ผมไม่มีทางยอมแพ้ แต่ทุกครั้งที่ผมพูดว่าขอโทษ พูดว่ารัก น้องแพรร้องไห้เหมือนจะขาดใจ...ผมไม่อยากเห็นน้องเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว”

“งั้นก็ไม่ต้องพูดว่าขอโทษ ไม่ต้องไปบอกว่ารักสิ” ปราณีแนะทางให้ แต่น้องชายยังทำหน้างง “แกก็ทำให้น้องเห็นสิ แกจำได้มั้ยตอนอยู่ข้างล่าง น้องแพรดูอ่อนลงตอนที่พูดถึงลูก” ปราณีชี้แนะทางสว่างให้คนที่ยังมืดแปดด้าน

“น้องแพรน่ะ ปักใจเชื่อแล้วว่าแกถูกบังคับให้มาอยู่กับน้อง ก็เลยพยายามจะอยู่ด้วยตัวเอง บอกตัวเองว่าไม่ต้องการพี่กัณฑ์ได้สำเร็จ แต่ยังไงพี่ว่าน้องแพรรู้ว่ายังไงเด็กก็ต้องการพ่อ”

กัณฑ์ตาสว่างขึ้น เขาน่าจะนึกเรื่องนี้ออกได้เอง แต่เพราะความรู้สึกกำลังดำดิ่งจึงคิดไม่ออก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีหวัง เขาเริ่มมองออกแล้วว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกน้องไล่ไปจากชีวิต

“คิดออกแล้วใช่มั้ย” ปราณีถามคนที่พยักหน้ารับ ซึ่งทำให้เธอสบายใจ “งั้นพี่กลับก่อนนะ ไม่ต้องห่วงหรอก กว่าน้องแพรจะตื่นก็คงเช้า ถึงตอนนั้นน้องน่าจะใจเย็นลงแล้ว แกก็ค่อยๆ พูดกับน้อง ไว้พี่จะรอฟังผลนะ สู้ๆ”

กัณฑ์ออกไปส่งปราณีที่หน้าห้องก่อนจะกลับมาดูเหมือนแพร เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอพลิกตัว ทำเอาเขาตกใจจนเผลอยืนตัวตรงแหน็ว กลัวว่าน้องจะลืมตาตื่นมาเจอเขา เมื่อเห็นน้องยังหลับต่อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก รอจนแน่ใจว่าน้องหลับสนิทแล้ว จึงเข้าไปนั่งอยู่ริมเตียง บรรจงห่มผ้าให้น้อง ก่อนจะก้มมองที่ท้องเธอ

“ลูกครับ” ฝ่ามือใหญ่วางทาบที่ท้องคนหลับ ดวงตาจับจ้องราวกับกำลังจินตนาการถึงคนที่เขาเรียก “พ่อทำให้แม่เสียใจ พ่อรู้พ่อผิด...ตอนที่แม่บอกว่าจะหย่าและจะไปจากชีวิตพ่อ พ่อรู้สึกได้เลยว่าพ่อกำลังจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญในชีวิตไป พ่อรู้แล้วว่าพ่อรักแม่มากแค่ไหน...เอาใจช่วยพ่อด้วยนะ ให้พ่อมีโอกาสได้ดูแลแม่ ทำให้แม่เห็นว่าพ่อรักแม่มาก”

เพราะถ้าไม่รักมาก ใจพ่อก็คงไม่รู้สึกกลัวขนาดนี้...

กลัวเหลือเกินว่าถ้าทำไม่สำเร็จพ่อจะเสียแม่และหนูไป...

เหมือนแพรรู้สึกตัวตื่นตอนที่นาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอน แสงแดดอ่อนที่ทอลำแสงมาจากระเบียงและหน้าต่างทำให้เห็นสภาพห้องนอนกว้างโทนสีอ่อนดูสดใสสบายตา ความที่ยังจำอะไรไม่ได้ทำให้ไม่คุ้นตาจึงตกใจ รีบผุดลุกนั่ง ก่อนจะมองไปรอบๆ อีกครั้ง รวมถึงสำรวจตัวเอง เธอไม่ได้อยู่ในชุดนอน ชุดที่ใส่ช่วยเรียกความทรงจำก่อนหลับให้กลับมา

“ไม่เป็นไรแพร นี่ห้องนอนของเรา” เหมือนแพรจำได้ว่าห้องนี้คือห้องที่ปราณีพาเธอขึ้นมาพัก แล้วบอกว่าคือห้องนอนของเธอ การคิดอย่างนั้นทำให้คลายกังวลไปได้ แต่ก็แค่แวบเดียวเมื่อเธอนึกได้อีกว่าห้องนอนนี้ไม่ใช่แค่ห้องของเธอคนเดียว “ไม่เป็นไรแพร พี่ณีบอกว่าจะไม่บังคับพี่กัณฑ์ให้มาดูแลเรา เมื่อไม่มีใครบังคับ เขาก็คงไม่มา”

แปลกที่คิดได้อย่างนั้นก็ควรจะดีใจ แต่ใจกลับเศร้า ความเศร้าที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร นอกจากปล่อยให้ดำเนินไปพร้อมกับความเงียบในห้องที่ทำให้เหงาอย่างประหลาด เธอหลับตาลง แต่เหมือนสมองจะจดจำบางอย่างได้

‘อรุณสวัสดิ์จ้าน้องแพร...

อรุณสวัสดิ์ครับ...

ไงจ๊ะที่รัก...

ว่าไงน้องแพรวันนี้ตื่นเช้าจัง พี่ยังเหนื่อยขอนอนต่อสักห้านาทีนะ

น้องแพรครับ...อรุณสวัสดิ์...ยังไม่ต้องลุกก็ได้...นอนต่อเถอะ

อรุณสวัสดิ์จ้ะ ขอโทษที่ทำให้ตื่น นอนต่อเถอะ...

การทักทายที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือทุกการทักทายเธอจะถูกรวบตัวเข้าไปกอด จูบ ไม่ที่กลางกระหม่อมก็หน้าผาก แก้ม หรือไม่ก็ริมฝีปาก ในทุกวันของเธอจะมีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วยเสมอ แวบแรกนั้นทำให้เธออบอุ่นหัวใจ ก่อนที่จะกลับมาจำได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยากอยู่กับเธอ ที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะถูกบังคับให้ต้องทำหน้าที่สามีเธอ

“ไม่ต้องไปสนใจคนที่ไม่รักเรา ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์คนที่ถูกบังคับให้มาอยู่กับเรา” ต่อให้บอกตัวเองไปอย่างนั้น แต่ในใจก็สั่นไหว เพราะเธอยังต้องการผู้ชายคนนี้ อยากตื่นมาเห็นรอยยิ้มทักทาย อยากให้เขาดึงเข้าไปกอด ถ้าไม่มีเขาแล้วเธอจะเป็นอย่างไร จะอยู่อย่างไร การต้องตื่นมาคนเดียวนั้นเหงามาก เหมือนที่เธอรู้สึกในเวลานี้

“ไม่เป็นไรแพร...ทนหน่อย ทนเอาหน่อย” หญิงสาวบอกกับตัวเอง ยกมือขึ้นกอดตัวเองไว้ ก้มมองท้องที่มีลูกน้อยของเธออยู่

“แม่ยังมีหนูใช่มั้ยลูก ไม่ต้องไปให้ใครบังคับพ่อให้มาอยู่กับเราหรอกนะ หนูอยู่กับแม่ก็ได้ แม่สัญญาว่าแม่จะเข้มแข็งขึ้นเพื่อหนู ถึงแม้วันนี้แม่จะยังทำไม่ได้ แต่แม่ก็จะพยายาม หนูเป็นกำลังใจให้แม่ด้วยนะลูก”

การจะก้าวออกจาก ‘เซฟโซน’ ที่คุ้นชินนั้นยากและน่ากลัว ทำให้คนที่พยายามจะเข้มแข็งน้ำตาคลอปากสั่นโดยไม่รู้ตัว เธอนั่งอยู่อย่างนั้นเพื่อรวบรวมความกล้าให้ตัวเอง คิดว่าไม่นานเธอคงมีแรงพอที่จะลุกจากเตียง เดินไปทำธุระส่วนตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงไปข้างล่าง ไปทำงาน งานที่ปราณีบอกไว้ว่าคืออาชีพของเธอ ที่เธอจะใช้ทำมาหากินเลี้ยงลูก

“ลุกขึ้นแพร ลุกขึ้นได้แล้ว...” 

หญิงสาวบอกตัวเองเมื่อรู้ตัวว่านั่งอยู่ตรงนี้นานแล้ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถลกผ้าห่มพ้นขา เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ทำเอาเธอสะดุ้ง และยังไม่ทันได้อนุญาต ประตูบานนั้นก็เปิดออก ก่อนที่กัณฑ์จะเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับโต๊ะญี่ปุ่นขนาดกว้างพร้อมกับถาดใส่อาหาร

“อรุณสวัสดิ์ครับน้องแพร” คนทักทายยิ้มให้พร้อมกับก้าวฉับๆ เข้ามาหา ก่อนที่เขาจะเดินช้าลงเมื่อเห็นน้องมีอาการถดตัวถอยไปจนหลังชนหัวเตียง ตอนแรกเขาหน้าเสีย ก่อนจะทำใจดีสู้เสือ ค่อยๆ เดินเข้าไปหา พร้อมกับโชว์อาหารเช้าที่เขาไปเตรียมมาให้

“เมื่อวานน้องแพรไม่ได้กินข้าวเย็น พี่คิดว่าตื่นมาคงหิวก็เลยไปเตรียมอาหารเช้ามาให้ มีครัวซองต์ชีสของโปรดน้องแพรด้วยนะ แล้วก็มีน้ำเต้าหู้ออร์แกนิก มีขนมปังกรอบกับแยมส้ม แยมนี้น้องแพรทำเองนะอร่อยมากหวานน้อย แล้วก็นี่เลยสลัดผลไม้  แล้วก็พิเศษ ดอกทานตะวันที่ตัดจากสวนของเรา”

ทานตะวันดอกขนาดเท่าฝ่ามือวางเด่นอยู่ข้างอาหารเช้าหน้าตาน่ากิน ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์นี้เหมือนแพรคงรู้สึกประทับใจ ก่อนที่คนยกอาหารมาจะนั่งลงบนเตียง หันหน้าเข้าหาเธอ โดยวางถาดอาหารซึ่งมีขาตั้งคั่นกลาง

“น้องแพรจะเริ่มจากทานอะไรดีคะ เดี๋ยวพี่หยิบให้” คำถามที่มาพร้อมรอยยิ้ม รอคอยคนที่ยังคงมองกลับมานิ่งๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ “งั้นเริ่มจากชิมน้ำเต้าหู้มั้ยคะ พี่ใส่น้ำผึ้งให้นิดหน่อย”

“แพรไม่หิวค่ะ” เธอปฏิเสธคนที่ยกแก้วน้ำเต้าหู้ส่งให้

“หรือว่าจะลองสลัดคะ น้ำสลัดป้าน้อมทำเสร็จเมื่อวานนะ พี่หั่นผลไม้ให้เองเลยนะ มีฝรั่งที่น้องแพรชอบด้วย พี่ป้อนนะ” กัณฑ์จิ้มชิ้นฝรั่งราดน้ำสลัดจ่อไปที่ปากคนซึ่งยังทำเฉย “หรือว่าจะกินครัวซองต์คะ...หรือว่าจะกินอย่างอื่นคะ น้องแพรจะกินอะไรพี่จะทำให้...หรือจะให้พี่ลองเดา งั้นเดี๋ยวพี่ไปจัดมาใหม่นะ มาดูว่าจะจัดมาถูกใจน้องแพรมั้ย” ว่าพลางทำท่าจะยกถาดอาหารขึ้น แต่โดนอีกฝ่ายเรียกไว้

“ใครบังคับให้พี่กัณฑ์ทำคะ พี่ณีเหรอคะ”

“ไม่มีใครบังคับพี่ พี่แค่อยากทำให้ แล้วก็ทำเหมือนที่เคยทำ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขายกอาหารเช้ามาให้ภรรยาที่เพิ่งตื่น ถ้าวันไหนว่างและตื่นก่อน เขามักจะลงไปเตรียมอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้น้องถึงห้องนอน หรือบางวันน้องก็เป็นฝ่ายทำอย่างที่เขาทำตอนนี้  แต่เมื่อมองหน้าน้องก็รู้ว่าป่วยการที่จะพูดถึง เพราะสุดท้ายถ้าน้องจำได้ เธอก็คงคิดว่าเขาถูกบังคับให้ทำ

“น้องแพรครับ” เขาเรียกเมื่อน้องเบือนหน้าหนี รอให้เธอหันกลับมามอง “กินให้พี่หน่อยนะ”

“แพรบอกแล้วไงคะว่าไม่หิว”

ปากพูดออกไปแบบนั้น แต่ดูเหมือนกลิ่นอาหารจะทำให้ท้องเธอทรยศ ส่งเสียงร้องจ๊อกๆ ส่งผลให้เหมือนแพรหน้าร้อนผ่าว ตัวกัณฑ์เองก็ถึงกับอึ้ง ก่อนจะอมยิ้ม แต่เมื่อเห็นน้องมองแรงใส่ก็รีบซ่อนยิ้ม เพราะไม่อยากโกรธกันเพราะเรื่องนี้อีก 

“ลูกครับ” กัณฑ์เปลี่ยนเป้าหมายไปเจรจากับคนที่น่าจะช่วยเขาได้ “หนูหิวเหรอครับ พ่อรู้ว่าหนูต้องหิวแน่เลย ทำยังไงแม่เขาถึงจะยอมกินนะ ช่วยพ่อพูดกับแม่หน่อยสิครับ บอกให้แม่พักก่อน อย่าเพิ่งดื้อกับพ่อเลยนะ เพราะถ้าแม่ดื้อหนูจะหิวนะ”

“ใครดื้อกับพี่กัณฑ์พูดให้ดีนะคะ!”

“ถ้าไม่เรียกว่าดื้อจะเรียกอะไรคะ” กัณฑ์ทำเสียงล้อเลียน “ทั้งที่รู้ว่าลูกหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ น้องแพรก็ไม่ยอมกินอาหารที่พี่ทำมาให้ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่กินเลย”

“แพรมีเหตุผล แพรแค่ไม่อยากให้พี่กัณฑ์มายุ่งกับแพร ไม่ต้องมาทนกับแพรแล้วไง พี่กัณฑ์ต่างหากพูดไม่รู้เรื่อง จะให้แพรพูดยังไงพี่กัณฑ์ถึงจะเข้าใจว่า แพรไม่อยากได้คนที่ไม่รักแพรมาอยู่กับแพร!”

กัณฑ์เกือบจะหลุดพูดออกไปว่าเขารัก แต่ยั้งปากได้ทัน “โอเค ถ้าน้องแพรไม่อยากให้พี่ยุ่ง พี่ก็จะไม่ยุ่งกับน้องแพรก็ได้ค่ะ งั้นก็มากินได้แล้วนะ”

“พี่กัณฑ์เป็นคนพูดไม่รู้เรื่องอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แพรบอกแล้วว่าไม่ต้องมายุ่งกับแพร”

“พี่ไม่ยุ่งกับแพรแล้วไงครับ ส่วนเรื่องอาหารนี่ พี่ทำให้ลูก”

เหมือนแพรมีอาการอ้าปากค้าง เมื่อกัณฑ์มามุกนี้

“ต่อไปนี้ พี่จะไม่ยุ่งกับน้องแพรเลย ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับลูก โอเคมั้ยคะ...ตอนนี้ลูกหิว พี่กินแทนลูกก็ไม่ได้ เพราะงั้นน้องแพรกินแทนด้วยนะคะ...สัญญาว่าถ้าน้องแพรยอมกินแทนลูก พี่จะไม่กวนใจน้องแพรเลย”

พูดจบเหมือนแพรทำท่าครุ่นคิด ในขณะที่กัณฑ์เองก็ลุ้นคำตอบ...

“ว่าไงคะ...กินหรือไม่กินคะ...คุณแม่แพรของลูกพี่กัณฑ์?”

ยังไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับ นอกจากอาการเม้มปากแน่น มองอย่างไม่ยอมลงให้ เขาจึงก้มลงคุยกับลูกในท้องเธอ

“อ้อ ลูกครับช่วยบอกแม่แพรด้วยนะ วันนี้ลุงวศินนัดป้าหมอให้ได้แล้วนะ” ดูเหมือนคนที่คุยด้วยจะไม่พูดอะไรกลับมา ทำเอากัณฑ์จ๋อยไปเล็กน้อย แต่ก็ยังชวนคุยต่อ “ป้าหมอคือพี่สาวลุงวศิน เป็นคุณหมอสูติ-นรีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องคุณแม่และเด็ก วันนี้พ่อจะต้องพาแม่ไปฝากครรภ์กับป้าหมอนะครับ...โอเคมั้ยครับ...แม่รู้รึยังครับ...รู้แล้วเนอะ งั้นพ่อไปอาบน้ำรอระหว่างแม่กินข้าวดีกว่านะ กินเสร็จแม่จะได้อาบน้ำบ้าง จะได้ไปให้ป้าหมอช่วยตรวจดูว่าหนูแข็งแรงแค่ไหนเนอะ”

พูดจบก็ลุกเดินออกไปจากเตียง เดินตรงไปที่ห้องแต่งตัวเสียอย่างนั้น ทิ้งคนบนเตียงให้อยู่กับความงุนงง เพราะไม่ค่อยได้รับมือกับคนหน้ามึนที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องว่าเธอไม่อยากให้มายุ่งด้วย

“ไม่กินหรอก...” พึมพำกับตัวเองก่อนที่ท้องจะร้องจ๊อกๆ อีกครั้ง ส่งผลให้เธอมองท้องตัวเอง “หนูหิวเหรอคะ...งั้นก็ได้ แม่แค่กินให้หนูนะ ไม่ได้อยากให้พ่อมายุ่งกับแม่หรอก...”

กัณฑ์ทำทีเป็นเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ก่อนจะแอบมองคนซึ่งยังลังเลที่จะกินของที่เขาจัดมาให้ เหมือนแพรชั่งใจครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ยอมหยิบครัวซองต์ชีสขึ้นมากัดคำเล็กๆ ก่อนจะชำเลืองมาทางห้องแต่งตัว เหมือนจะดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มองอยู่จึงได้กลับไปตั้งหน้าตั้งตากินอย่างหิวจัด ท่าทางอย่างนั้นทำให้คนที่แอบมองอยู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก

ใจจริงเขาอยากไปกินกับน้อง คอยหยิบคอยจับอะไรให้ แต่ได้เห็นเท่านี้ก็ดีมากแล้ว ก่อนหน้านี้กลัวด้วยซ้ำว่าเธอจะไม่ยอมกิน ไม่อยากใช้ลูกมาเป็นข้ออ้างเลย เพราะน้องจะคิดไปว่าที่เขาทำให้ก็แค่เพื่อลูก ทั้งที่ความจริงเขาอยากทำให้เธอ อยากเห็นเธอกินสิ่งที่เขาเตรียมให้ แต่สุดท้ายเขาเลือกที่จะเดินเข้าไปทำธุระส่วนตัว เพราะรู้ว่าในเวลานี้ น้องคงมีความสุขมากกว่าถ้าจะไม่มีสายตาเขาเฝ้ามอง 

“อร่อยจัง...น้ำเต้าหู้ใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาล” หญิงสาวจำสิ่งที่กัณฑ์บอกก่อนหน้านี้ได้ เวลาจิบนมอุ่นๆ นั้นทำให้รู้สึกดี มีกลิ่นหอมของน้ำผึ้งอ่อนๆ กลิ่นรสที่คุ้นเคยเหมือนจะเรียกความทรงจำบางอย่างของเธอออกมาด้วย

‘นี่อร่อยค่ะ...นี่ก็อร่อย...แพรชอบน้ำเต้าหู้ใส่น้ำผึ้งที่สุดเลย แล้วต้องกินตอนอุ่นๆ นะ’

‘ชอบก็กินให้หมดละ’

‘หมดอยู่แล้วค่ะ วันนี้ดอกไม้สวยนะคะ แพรชอบกุหลาบสีขาว วันนี้พี่กัณฑ์ไปแอบขโมยดอกไม้ใครมารึเปล่าคะ’

‘ขโมยดอกไม้มาครั้งเดียว แพรจะหยิบมาพูดถึงเมื่อไหร่ฮึ’

‘ครั้งเดียวที่ทำงานเข้าแพรด้วย’ พูดแล้วก็หัวเราะคิกอย่างมีความสุข ‘แต่ไม่เป็นไร ครั้งนี้ขโมยดอกไม้แพร แพรไม่ว่าค่ะ ไม่ต้องทำหน้างง แพรจำดอกไม้ทุกดอกที่แพรจัดช่อได้ ช่อนี้แพรเอามาจากร้าน เอามาไว้ที่ห้องครัวเมื่อวานค่ะ’

‘โอเค ดอกไม้แพรให้แพรไงคะ ไม่ต้องพูดมาก รีบกินข้าวเดี๋ยวน้ำเต้าหู้อุ่นก็เย็นพอดี’

‘พรุ่งนี้แพรจะเป็นคนไปเตรียมอาหารเช้าให้พี่กัณฑ์นะคะ ขอโทษที่ทั้งอาทิตย์แพรตื่นเช้าไม่ไหว บางวันก็ไปส่งพี่กัณฑ์ทำงานไม่ทัน ขอโทษนะคะ ช่วงนี้งานที่ร้านเยอะมาก แพรต้องช่วยคนที่ร้าน แต่ตอนนี้ดีขึ้นละค่ะ ต่อไปนี้แพรจะได้กลับมาดูแลพี่กัณฑ์ได้แล้ว ไม่ให้พี่กัณฑ์ต้องเหนื่อยทั้งทำงาน แล้วยังต้องมาช่วยดูแลแพร’

‘ไม่ต้องดูแลพี่ก็ไม่เป็นไร แค่เราแข็งแรง อย่าเอาแต่โหมทำงานจนเป็นลมเหมือนวันก่อนก็พอ’ อุ้งมือคนพูดวางลงที่กลางกระหม่อมคนที่พูดด้วย ‘ไม่เอาอีกแล้วนะ ทำงานดึกหลายวัน พี่บอกพี่ณีแล้วว่า ถ้างานเยอะก็ให้หาคนมาเพิ่ม แต่ไม่ให้แพรทำงานหนักแบบนั้นอีก แพรความดันต่ำ ต้องนอนให้พอ แล้วก็เลิกซะนะไอ้อาการที่ทำงานเพลินไม่ยอมเข้าห้องน้ำจนป่วยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ...ไม่ต้องมาพยักหน้ารับส่งๆ เลย คราวหน้าถ้าป่วยเพราะทำงานอีก พี่จะไม่ให้แพรทำงานแล้ว’

‘ไม่ได้ ไม่ทำงานไม่ได้ ไหนพี่กัณฑ์บอกว่าจะยอมให้แพรทำงานแล้วไงคะ’

‘พี่ยอมเพราะแพรบอกว่าอยู่บ้านแล้วเหงา แต่พี่ก็ไม่ได้บอกให้แพรโหมทำงานขนาดนี้ พี่บอกแล้วไงเมียคนเดียวพี่เลี้ยงได้ นี่พี่ยังมาคิดอยู่เลยว่าตัดสินใจผิดรึเปล่าที่ให้แพรไปทำร้านดอกไม้ต่อ ถ้าพ่อแพรรู้เข้าอาจจะไม่พอใจก็ได้นะ อาจจะคิดว่าพี่เลี้ยงลูกสาวพ่อไม่ได้ จนต้องมาทำงานง่กๆ จนป่วย’

‘พ่อไม่สนใจแพรหรอกค่ะ’ น้ำเสียงฟังดูเศร้า ‘ตั้งแต่แม่เสียก็จะครึ่งปีแล้ว แพรได้คุยกับพ่อไม่กี่ครั้งเอง แต่จะเรียกว่าคุยกับพ่อก็ไม่ถูกนักหรอก ควรเรียกว่าคุยกับคนของพ่อมากกว่า แม่เคยบอกว่า ไม่มีแม่ แพรก็ยังมีพ่อ แต่ตอนนี้แพรรู้สึกว่าแพรไม่มีทั้งแม่และพ่อ’

เหมือนแพรสัมผัสได้ถึงความเศร้าของตัวเอง และเธอก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากคนที่เอื้อมมือมารั้งตัวเธอเข้าไปกอด เขาไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น แค่กอดไว้เงียบๆ แล้วก็ก้มลงจูบหนักๆ ที่กลางกระหม่อมเธอ เป็นการกระทำที่ส่งกำลังใจมาให้

‘แต่ไม่เป็นเนอะ ไม่มีพ่อแพรก็ยังมีพี่กัณฑ์ แพรโชคดีที่มีพี่กัณฑ์ ถ้าไม่มีพี่ แพรก็ไม่รู้ว่าแพรจะอยู่ยังไง จะอยู่ในโลกที่ไม่มีแม่ยังไง’

เป็นอีกครั้งที่พี่ไม่ได้พูดอะไรแต่ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เหมือนแพรยิ้มออกมาได้ และคำพูดนั้นก็ทำให้เธอได้รับคำชมเป็นการถูกรั้งศีรษะเข้ามาจูบที่หน้าผาก ก่อนที่พี่จะหยิบถ้วยน้ำเต้าหู้ส่งให้ถึงมือ

‘น้ำเต้าหู้เย็นหมดแล้ว กินเร็วเข้า’

ในวันนั้นเหมือนแพรมองน้ำเต้าหู้ในถ้วย เหมือนกับวันนี้ที่เธอก้มมองน้ำเต้าหู้ที่อยู่ในมือด้วยยังจดจำความรู้สึกของตัวเองได้ว่า ในวันที่เธอสูญเสียแม่ และพ่อก็แทบไม่สนใจลูกสาวคนนี้ แต่เธอก็ยังมีกัณฑ์ที่คอยดูแล และทำให้โลกของเธอไม่เดียวดาย

สิ่งที่จำได้ในวันนี้ทำให้เหมือนแพรสับสน เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ความรักจากแววตาและสัมผัสของพี่ แต่สุดท้ายแล้ว ดูเหมือนมันจะไม่ได้มีพลังพอที่จะลบล้างความจริงที่เธอเชื่อไปแล้วว่า ทั้งหมดที่ผู้ชายคนนี้ทำก็เพราะเขาถูกพ่อของเธอบังคับในฐานะสามีที่ดี

“ไม่ต้องไปคิดถึงเขาคนนั้นนะแพร” หญิงสาวบอกตัวเอง “มันก็แค่การแสดงของเขาเพื่อทำให้พ่อพอใจ”

สิ่งที่อยากรู้ต่อมาคือ พ่อของเธอเป็นใคร ทำไมกัณฑ์ต้องทำตามความต้องการของพ่อ ถึงขั้นยอมใช้ชีวิตกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก อะไรคือข้อแลกเปลี่ยนระหว่างคนสองคน

“ถ้าไม่ใช่เงิน ก็คงอำนาจบารมี หรืออาจเป็นความกลัว” เหมือนแพรลองวิเคราะห์จากสิ่งที่เธอพอจะจำได้ในเวลานี้ “กลัวพ่อทำร้ายปิ่นกับดาริน...พี่กัณฑ์กลัวพ่อทำร้ายคนอื่น...พ่อเป็นใคร ทำไมทำให้พี่กัณฑ์กลัวได้?”

เหมือนแพรพยายามนึกถึงบิดา แต่สุดท้ายเธอก็นึกไม่ออก จึงเลือกที่จะหยุดคิดเรื่องนี้ก่อน เพราะดูเหมือนท้องจะร้องจ๊อกๆ อีกครั้ง เธอรีบกินอาหารตรงหน้าต่อ แต่ไม่ลืมที่จะชะเง้อมองคนที่เวลานี้น่าจะเข้าไปอาบน้ำแล้ว ความรีบทำให้สำลักไอโขลกๆ จนต้องหยุดกิน

“ขอโทษนะลูกจ๋า แม่รีบไปหน่อย แม่จะค่อยๆ กินนะคะ” เหมือนแพรไม่ชอบกินข้าวคนเดียว เธอเป็นคนชอบคุยเวลาอยู่บนโต๊ะอาหาร ครั้งนี้ได้กินตามลำพัง เธอจึงคุยกับลูก “แม่รู้แล้วว่าจะทำยังไงให้พ่อเขาไม่มายุ่งกับเรา ปัญหาอยู่ที่คุณตา แม่จะต้องไปคุยกับคุณตาเรื่องนี้!” พูดออกไปด้วยความมั่นใจว่าคือทางออกที่ดีที่สุด ก่อนจะนึกได้ว่า

“แล้วคุณตาเป็นคนยังไง คุณตาอยู่ไหน ต้องติดต่อยังไง ก่อนอื่นแม่ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณตาก่อนใช่มั้ยคะ...ใช่เนอะ งั้นหาข้อมูลคุณตาก่อนแล้วค่อยไปคุยกับคุณตากัน”  

นั่นคือแผน แล้วถ้าแผนนี้สำเร็จ สิ่งที่จะตามมาคือ...

“ต่อไปนี้พี่กัณฑ์จะได้ไม่ต้องมาทนอยู่กับคนอย่างแพร...” คำพูดนั้นเจือความเศร้าและเจ็บปวด ทำให้เธอน้ำตาคลอ “ไม่เป็นไรนะลูก...หนูยังมีแม่ เราอยู่กันสองคนก็ได้...ไม่ต้องไปสนใจพ่อเขาหรอก”

‘พ่อ’ ที่ถูกเอ่ยถึงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยจึงออกมาจากห้องแต่งตัว อาหารที่เขาเตรียมมายังเหลือ แต่ก็พร่องไปเยอะ ส่งผลให้เขายิ้มแป้นดีใจ ขณะเดินสวนกับคนที่จะไปใช้ห้องแต่งตัวแทน เธอเดินผ่านตัวเขาไป ไม่มองหน้า ไม่สบตา และไม่พูดอะไร

“ขอบคุณครับ” คำพูดนั้นทำให้เธอหันขวับกลับมาเพราะคิดว่าเขาประชดที่เธอไม่ยอมพูดขอบคุณคนที่ยกอาหารมาให้ถึงเตียง “ขอบคุณครับแม่แพรที่ยอมกินให้ลูกพี่หายหิว...พี่ดีใจมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ”

อาการหน้าคว่ำใส่ก่อนหน้านี้เลือนไปเล็กน้อย เหมือนแพรรู้สึกเก้อๆ ทำตัวไม่ถูก จึงเลือกที่จะหันหลังเดินเข้าห้องแต่งตัวไป แต่สุดท้ายก็หยุดยืนละล้าละลัง แล้วตัดสินใจหันกลับมาหาคนที่กำลังยกถาดอาหารขึ้นเตรียมเอาไปเก็บ

“ขอบคุณ...ค่ะ...” เธอบอกเสียงไม่ดังนัก แต่กัณฑ์ก็ได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้มดีใจ และนั่นทำให้คนที่ยังเคืองเขาอยู่ขุ่นใจขึ้นมาอีก “แพรไม่ได้บอกขอบคุณ...ลูกต่างหากที่บอก ขอบคุณแทนลูกหรอก ไม่ต้องมายิ้มเลย”

“พ่อเต็มใจครับลูก” พูดไล่หลังคนที่รีบเดินหนีเขาไป ความรีบทำให้เธอแทบจะวิ่ง “แพร...อย่าวิ่งนะ เดี๋ยวล้ม”

“แพรรู้หรอก ไม่ต้องให้พี่กัณฑ์มาเตือน จะไปไหนก็ไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับแพร...ไปเลยนะ!”

“โอเคครับ พี่จะไปรอข้างล่างนะ” เหมือนแพรทำหน้างง “จำไม่ได้เหรอ วันนี้เรามีนัดกับป้าหมอ ต้องพาตัวเล็กไปให้ป้าหมอตรวจ...แย่จังเนอะ แม่แพรของน้องนี่ขี้ลืมจัง”

“ใครว่าแพรลืม แพรรู้หรอกค่ะ” พูดเสียงสะบัดไม่พอใจ “จริงๆ แล้วแพรไปเองก็ได้ พี่กัณฑ์ไม่ต้องพาไปหรอก พี่จะไปทำงานก็ไปเลย เดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง” กัณฑ์หัวเราะเบาๆ เอ็นดูคนจำอะไรไม่ได้ “เห็นแบบนี้พี่ก็เป็นท่านประธานนะ เพราะงั้นไม่ต้องห่วง ไม่มีใครไล่ท่านประธานบริษัทออกหรอกครับ...สบายใจได้นะ เพราะงั้นพี่พาเมียพี่ไปฝากครรภ์ได้ครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

เหมือนแพรพูดอะไรไม่ออกเพราะคิดไม่ทัน ทำอะไรไม่ได้นอกจากสะบัดหน้าเดินหนีไปพร้อมอาการหน้าคว่ำใส่คนที่อมยิ้มเอ็นดูความพยายามจะร้ายใส่คนอื่นของเธอ

เหมือนแพรอยากจะร้ายใส่เขา แต่สำหรับเขา น้องก็ยังเป็นคนหัดร้ายที่ใจดีที่สุดในโลก

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น