3

เรือนพักผ่อนเร้นตัวในลานเงียบสงบ


หมายเหตุสำนักพิมพ์

 

นวนิยายจีนย้อนยุคเรื่องนี้ใช้ราชาศัพท์แบบลำลอง

คือเลือกใช้เพียงบางส่วนเท่าที่จำเป็น

ด้วยเกรงว่าหากใช้เต็มรูปแบบตามหลักเกณฑ์

อาจส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่า

อ่านเข้าใจยาก อ่านติดขัด หรือรกรุงรังเกินควร

เป็นอุปสรรคต่อการติดตามเรื่องราวอันเข้มข้นของตัวละคร

ทั้งนี้สำนักพิมพ์ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อปรับแก้ในโอกาสต่อไป

 

--------------------------------------------------------- 


บทที่ 3

เรือนพักผ่อนเร้นตัวในลานเงียบสงบ

ลมราตรีหอบกลิ่นหอมของดอกบัวโชยมา หยาดน้ำค้างกลิ้งตกจากใบไผ่เสียงดังกังวาน

ในอุทยานด้านหลังของจวนฉยงอ๋อง ชายหนุ่มคนหนึ่งเคลื่อนไหวตามสายลม กระบี่ร่ายรำตามใบไม้ ท่วงท่างดงาม กระบวนท่าเปลี่ยนไปนับไม่ถ้วน

หลังจากร่ายรำกระบี่จบไปหนึ่งชุด เขาชี้กระบี่ยาวให้เฉียงลง พรูลมหายใจน้อยๆ ใต้ร่มไม้เป็นเงาเหยียดยาวของเขา ใต้แสงอาทิตย์เป็นเหงื่อที่ซึมอยู่บนใบหน้าเขาบางๆ ยามนี้ดูแล้วมิเพียงไม่ทำให้คนรู้สึกสกปรก แต่กลับเหมือนมีความอ่อนโยนปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ชวนให้คนรู้สึกอยากลากลิ้นเลียสักที

...ลากลิ้นเลียสักที!

ฉยงอ๋องหลี่หงที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างตกใจสะดุ้งกับความคิดนี้ของตน บุคคลตรงหน้าเป็นราชองครักษ์ ทั้งยังพ้นวัยเด็กหนุ่มที่ไม่ประสีประสามาแล้ว ไฉนตนจึงมีความคิดเหมือนที่มีต่อหลวนถง (เชิงอรรถ 24) กับเขาได้ นี่ไม่ถูกต้อง จะมีความคิดเช่นนี้กับเขาไม่ได้ มิใช่เพียงเพราะเขาถึงวัยสวมหมวก (เชิงอรรถ 25)

แล้ว แต่ยังเป็นเพราะนี่เป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง

(เชิงอรรถ 24 เป็นคำเรียกเด็กชายหรือเด็กหนุ่มที่ปรนเปรอความสุขทางเพศให้ตน)

(เชิงอรรถ 25 ชายจีนสมัยโบราณต้องทำพิธีสวมหมวกเมื่ออายุครบยี่สิบปี แสดงถึงการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว)

เหยียนจูพักรักษาตัวในจวนฉยงอ๋องมาเกือบสองเดือนแล้ว เขาซึ่งฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ร่างกายจึงทั้งแข็งแรงกว่าคนทั่วไป ทั้งยังอ่อนแอกว่าคนทั่วไป

ที่ว่าแข็งแรงคือความสามารถในการรักษาตัวเองไม่เลว ไม่นานร่างกายก็ฟื้นฟู เพียงแต่หลี่หงบอกว่าอีกไม่นานจะครบกำหนดไว้ทุกข์ของเขาพอดี เขาต้องเดินทางไปรับตำแหน่งงานที่เมืองหลวง สามารถออกเดินทางพร้อมกันได้ ดึงดันจะรั้งเหยียนจูไว้

ที่ว่าอ่อนแอเป็นเพราะที่ผ่านมาแผลใหม่แผลเก่าเกิดขึ้นไม่หยุด ความเจ็บป่วยเหล่านี้สะสมอยู่ในร่างกายมานานแล้ว เพียงแต่เขาไม่ตระหนักเท่านั้น ท่านหมอบอกว่าบั้นปลายชีวิตเขาน่าจะลำบากทีเดียว ต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดี

ทว่าเหยียนจูเพียงแต่คลี่ยิ้มจางๆ เท่านั้น

เหยียนจูไม่ค่อยเหมือนกับทุกคนที่หลี่หงเคยรู้จักมา เหยียนจูไม่เหมือนชาวยุทธ์ในยุทธภพที่เขาเลี้ยงไว้ในจวน พวกเขาหยาบคายป่าเถื่อน แม้จะผึ่งผายห้าวหาญแต่กลับขาดสติปัญญา เหยียนจูยิ่งไม่เหมือนบัณฑิตชนชั้นสูงที่เขาคบหา บ้างก็หยิ่งทระนงเพราะถือตนว่ามีความสามารถ บ้างอาศัยอำนาจบารมีข่มเหงผู้อื่น ทั้งที่เขามีพรสวรรค์และความสามารถโดดเด่นดุจเปลวเพลิงอันรุ่งโรจน์ แต่กลับสุภาพอ่อนน้อมเหมือนหินหยกก้อนหนึ่ง...

หลี่หงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเหยียนจูเป็นคนดี หากเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้เขาขอให้ฮ่องเต้ผู้เป็นหลานยกเหยียนจูให้จวนฉยงอ๋อง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตกลงหรือไม่ เขายังจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ไม่ว่าตัวเองต้องการอะไร หลานที่อายุมากกว่าเขาหลายปีผู้นั้นล้วนให้มากกว่าที่เขาขอเสมอ

“ท่านอ๋อง คิดอะไรอยู่ถึงเหม่อลอยเช่นนี้”

เสียงของเหยียนจูดึงหลี่หงออกมาจากความคิดฟุ้งซ่าน

“อา…ไม่มีอะไร”

หลี่หงตอบกลบเกลื่อน ก่อนกล่าวต่อ

“ข้ากำลังคิดว่าเมื่อไรเจ้าถึงจะสอนกระบวนท่า ‘บุปผาโปรยปรายใต้พิรุณ’ ที่ใช้จับกุมคนร้ายให้ข้า”

เหยียนจูอดขบขันในใจไม่ได้ ฉยงอ๋องผู้นี้ช่างลุ่มหลงในวิชายุทธ์โดยแท้ ตลอดเวลาที่พำนักอยู่ในจวนฉยงอ๋อง เขาสืบดูอย่างลับๆ ทั้งในและนอกจวน หลี่หงผู้นี้ไม่ต้อนรับแขกและไม่คบหาขุนนางในราชสำนัก แต่กลับชอบคบหาชาวยุทธ์ที่พอมีฝีไม้ลายมืออยู่บ้าง ทว่าเขากลับดูคนไม่ค่อยเป็น คนที่เลี้ยงดูอยู่ในจวนล้วนเป็นพวกที่ซื่อสัตย์มีคุณธรรม แต่กลับไม่มีความสามารถที่แท้จริง ปกติให้เป็นผู้คุ้มกันยังพอได้ แต่ถ้าให้ทำการใหญ่เกรงว่าคงไม่มีความสามารถ หลี่หงเองยังเป็นคนสะอาดสะอ้าน ไม่ได้หมายความว่าเขาบริสุทธิ์สูงส่งเพียงใด เพียงแต่เขาแค่มีนิสัยเสียแบบลูกขุนนางและชนชั้นสูงทั่วไปที่เอาแต่ใจเท่านั้น มิใช่คนดีและมิใช่คนเลว

กล่าวตามตรง ถ้าไม่เพราะฐานะกำหนดแล้วว่าพวกเขามิอาจคบหากันอย่างลึกซึ้ง เหยียนจูอยากจะคบคนที่มีนิสัยจิตใจเรียบง่ายผู้นี้เป็นสหายจริงๆ

เหยียนจูใช้กระบี่จรดพื้น วาดวงกลมรอบตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่และคลี่ยิ้มน้อยๆ

“ต้องดูก่อนว่าวิชาที่ท่านอ๋องเรียนรู้ไปก่อนหน้านี้เป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ขยับ หากท่านสามารถทำให้ข้าก้าวออกจากวงกลมนี้ได้ ข้าจะสอนท่าน”

ภายใต้การเรียกร้องของหลี่หง ถ้อยคำที่เหยียนจูใช้กล่าวกับเขาจึงไม่นับว่าอ่อนน้อม กลับเหมือนสนทนากับสหายทั่วไป

หลี่หงไม่พอใจ จึงกล่าวว่า

“แม้วิชายุทธ์ของข้าจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่เจ้าอย่าดูถูกกันจนเกินไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแค่ทำให้เจ้าถอยหลังก้าวเดียวข้ายังไม่มีปัญญา”

กล่าวพลางชักกระบี่จู่โจมเข้าใส่เหยียนจู ชี้ไปที่ปลายเท้าเขา

เหยียนจูรับมืออย่างสุขุม บ้างป้องกันบ้างกระโดดขึ้นหลบเลี่ยง รอยเท้าในวงกลมที่เขายืนอยู่ไม่เละเทะแม้แต่น้อย หลี่หงเริ่มหมดความอดทน โจมตีอย่างเร่งร้อนขึ้นทุกที กระบวนท่าไร้กฎเกณฑ์มากขึ้นเรื่อยๆ เหยียนจูเห็นว่าพอประมาณแล้ว จึงโคจรพลังที่มือไปยังกระบี่เพื่อสะเทือนกระบี่ของอีกฝ่าย หลี่หงรู้สึกบริเวณนิ้วชี้กับนิ้วโป้งสั่นสะเทือน มิอาจกำกระบี่ในมือเอาไว้ได้ เหยียนจูถือโอกาสนี้คว้าแขนเขา ทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่ได้ทันที

เหยียนจูกล่าวต่อ

“ท่านอ๋อง กระบวนท่าจับกุมศัตรูเมื่อวานข้าเพิ่งสอนวิธีแก้ให้ท่าน ไฉนจึงลืมเสียแล้วเล่า”

หลี่หงถูกจับกุมอย่างง่ายดาย รู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง

ยามนี้เขาอยู่ใกล้กับเหยียนจูมาก ลมหายใจของเหยียนจูแทบจะเป่ารดใบหน้าเขา ความหน้าไม่อายบังเกิดขึ้น เขาขยับหน้าเข้าไปจูบปากเหยียนจูอย่างรวดเร็ว เหยียนจูคิดไม่ถึงว่าฉยงอ๋องจะทำเช่นนี้ ตกใจสะดุ้ง อุทานเบาๆ แล้วปล่อยมือถอยหลังไปครึ่งก้าว

หลี่หงลูบฝ่ามือพลางหัวเราะเสียงดัง ก่อนกล่าวว่า

“เจ้าออกจากวงกลม เจ้าแพ้แล้ว”

เหยียนจูหน้าแดงไปครึ่งซีก อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป หลี่หงถึงตระหนักว่าตัวเองล้อเล่นแรงเกินไป รีบวิ่งตามอีกฝ่าย ขวางทางไปของเหยียนจูและขออภัย

“องครักษ์เหยียนจู ข้าผิดเอง เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าไม่ได้เจตนาจะดูหมิ่นเจ้าเลยนะ เจ้าจะให้ข้าขอโทษอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงเจ้ายอมอภัยที่ข้าเสียมารยาท”

เหยียนจูมองสีหน้าตื่นลนของเขา หัวใจร้อนผ่าวอย่างห้ามไม่อยู่

ตั้งแต่เขาติดตามหลี่ฟู่มา การถูกตำหนิและกลั่นแกล้งกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เคยมีใครเข้าใจความรู้สึกเขาเสียที่ไหน คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องผู้นี้จะขอให้ตนให้อภัยอย่างจริงใจเช่นนี้ เดิมทีเขาไม่คิดจะโมโหอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่ความหงุดหงิดเล็กน้อยที่อีกฝ่ายเอาแต่ใจเหมือนหลี่ฟู่ยังสลายหายไปด้วย ก้มหน้าพลางเอ่ยว่า

“ท่านอ๋องทำอย่างนี้เหยียนจูมิอาจรับไหว ไม่ต้องกล่าวถึงว่าข้าหาได้โกรธเคืองท่านอ๋อง”

“เจ้าโกหก!”

หลี่หงขึ้นเสียงเหมือนเด็กๆ ก่อนกล่าวต่อ

“ถ้าเจ้าไม่โกรธแล้วไยต้องหันหลังเดินจากไปด้วย”

เหยียนจูยิ้มอย่างจนใจก่อนกล่าว

“ข้าจะกลับห้องไปเขียนเคล็ดลับกระบวนท่า ‘บุปผาโปรยปรายใต้พิรุณ’ ให้ท่านอ๋องต่างหาก พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองปู้ลั่วแล้ว คิดดูแล้วข้าคงไม่มีเวลาชี้แนะท่านอ๋องอย่างละเอียด แต่ท่านอ๋องเฉลียวฉลาดเกินใคร ต้องสามารถศึกษาด้วยตัวเองได้แน่นอน”

หลี่หงเปลี่ยนจากกลัดกลุ้มเป็นยินดีในทันที เขย่าแขนขวาของเหยียนจูพลางกล่าว

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ทำเอาข้าตกใจเก้อ ข้าไปกับเจ้าด้วย ข้าจะช่วยเจ้าฝนหมึกด้วยตัวเอง ถือว่าเป็นการขออภัยให้แก่ความผิดเมื่อครู่นี้แล้วกัน”

หลังจากได้เคล็ดลับกระบวนท่า ‘บุปผาโปรยปรายใต้พิรุณ’ มาแล้ว หลี่หงพับกระดาษอย่างดีและเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม ในใจยินดีเหลือเกิน แต่ความยินดีนี้กลับแตกต่างไปจากความยินดีในอดีตเมื่อได้เรียนรู้วิชายุทธ์แปลกใหม่

หลี่หงกลับห้องพลางพิจารณาอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ขบคิดครู่หนึ่งถึงพบว่าที่แท้หัวสมองของตนเอาแต่ย้อนคิดถึงทุกๆ สีหน้าท่าทีของเหยียนจู ตลอดจนจุมพิตที่เหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำเมื่อครู่นี้

นุ่มๆ นิ่มๆ ชวนให้คนรู้สึกอยากกัดกินสักคำเหลือเกิน!

 

ตอนเหยียนจูเดินตามไช่เยวี่ยไปถึงหน้าประตูห้องทรงพระอักษร เขางุนงงเล็กน้อย

ตามปกติไช่เยวี่ยควรจะอยู่ในห้องคอยปรนนิบัติข้างกายโอรสสวรรค์ ไฉนวันนี้จึงรออยู่ข้างนอก ประตูใหญ่ของห้องทรงพระอักษรปิดสนิท ไช่เยวี่ยเคาะประตูเบาๆ หลายที เอ่ยอย่างนอบน้อม

“ทูลฝ่าบาท องครักษ์เหยียนจูมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ให้เขาเข้ามา ส่วนเจ้ารออยู่ข้างนอก”

เหยียนจูสงสัยมากกว่าเดิม แต่ทำได้เพียงผลักประตูเข้าไป เมื่อเห็นสถานการณ์ในห้องแล้วอดตะลึงงันไม่ได้

หลี่ฟู่ยืนอยู่หน้าตั่งที่ใช้สำหรับพักผ่อนในห้อง เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังคุกเข่าและช่วยเขาจัดชุดแพรสีเหลืองอร่ามอันเป็นสัญลักษณ์ของโอรสสวรรค์ เด็กหนุ่มผู้นั้นคลุมร่างด้วยชุดขันทีแบบลวกๆ เห็นชัดว่าไม่ทันได้สวมใส่ให้ดี ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ริมฝีปากบวมแดง ดวงหน้าคุ้นเคยนั้นเป็นของหลันอวี้ เห็นภาพนี้แล้ว ไม่ต้องใช้สมองก็รู้ว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาทำเรื่องงามหน้าอะไรกัน

แต่เหยียนจูคืนสู่สีหน้าสุขุมอย่างรวดเร็ว...

จะแปลกอะไรเล่า ในห้องทรงพระอักษรแห่งนี้ เรื่องสกปรกโสมมกว่านี้ตนก็เคยทำมาแล้วไม่น้อย

เขาคุกเข่าให้หลี่ฟู่พลางกล่าว

“ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาท”

หลี่ฟู่กลับทำเหมือนไม่ได้ยิน ไม่หันมามองและไม่สั่งให้เขาลุกขึ้น หลันอวี้ช่วยเขาจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ดี ก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าตัวเอง หลังจากนั้นออกไปชงชากาหนึ่งและยกเข้ามาอย่าง

คล่องแคล่ว นำไปให้หลี่ฟู่ หลี่ฟู่นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสืออย่างเชื่องช้า แล้วละเลียดลิ้มรสน้ำชา

จวบจนชาถ้วยหนึ่งหมดไป หลี่ฟู่จึงเอ่ยปาก

“ตัดใจกลับมาได้แล้วรึ”

“ข้าน้อยไม่เอาไหน บาดแผลหายค่อนข้างช้า ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วย”

“แกล้งเซ่ออีกแล้ว แผลเจ้าใช้เวลาไม่เท่าไรก็หายดี คิดว่าเราไม่รู้รึ”

“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง ข้าน้อยมิบังอาจหลอกลวง เพียงแต่การตรวจสอบจวนฉยงอ๋องต้องใช้เวลาเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ?”

หลี่ฟู่เอ่ยพลางเลิกคิ้ว ก่อนถามต่อ

“แล้วตรวจพบอะไรบ้าง”

เหยียนจูประสานมือพลางกล่าว

“ทูลฝ่าบาท ไม่พบอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ จากผลการตรวจสอบตอนนี้ ฉยงอ๋องไร้เดียงสาเปี่ยมด้วยคุณธรรม ไม่มีความคิดที่ไม่บังควรใดๆ หากมิใช่เพราะเขาลุ่มลึกจนสามารถตบตาได้แม้กระทั่งข้าน้อย ก็แสดงว่านิสัยเดิมของเขาต้องเป็นอย่างนี้แน่พ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ฟู่ลุกขึ้น ย่ำเท้าไปตรงหน้าเหยียนจูช้าๆ

“ไม่แน่ อาจมีความเป็นไปได้อย่างที่สาม…”

กล่าวพลางใช้มือไล้แก้มของเหยียนจู

“นั่นก็คือพวกเจ้าถูกใจกัน ดังนั้นจึงจงใจปิดบังเรา”

เหยียนจูตื่นตระหนกตกใจ หัวสมองผุดภาพเหตุการณ์ในวันนั้นตอนหลี่หงจูบตนกะทันหัน เขาข่มความประหม่าในใจอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าพลางตอบว่า

“ในจวนฉยงอ๋องมีหลวนถงอยู่หลายคนจริงๆ แต่ล้วนเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อย อย่างข้าน้อย...เอ่อ เกรงว่าคงไม่ถูกจริตฉยงอ๋องสักเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ”

แม้เขาจะตอบสนองเร็วมาก แต่หลี่ฟู่ยังคงเห็นความผิดปกติ เดิมทีหลี่ฟู่แค่หยอกล้อเขาเล่นตามความเคยชินเท่านั้น แต่แววลนลานที่วูบขึ้นในดวงตาเขากลับทำให้หลี่ฟู่อดสงสัยไม่ได้ สายตาเขาเยียบเย็น เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหยียนจู เจ้ารู้ดีว่าการปิดบังเรามีจุดจบอย่างไร หากเจ้ามีความสัมพันธ์กับเสด็จอา แม้จะทำไปเพื่อสืบข่าวให้เราก็ตามที...”

เขาไม่ได้กล่าวต่อ ทว่าสีหน้ากลับเย็นเยียบจนน่ากลัว เขาเกลียดที่สุดเวลาคนอื่นแย่งของของเขา ต่อให้เขาไม่ต้องการแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์มาเก็บไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงของที่เขายังไม่คิดจะโยนทิ้ง

เหยียนจูฉุนจัด ตนจะเข้าใกล้หลี่หงไยต้องมีความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายด้วย เขาคิดว่าคนทั้งโลกล้วนต่ำช้าไร้ยางอายเหมือนเขาหรือไร

หลี่ฟู่เห็นเขาเงียบก็ยิ่งสงสัยกว่าเดิม สั่งเสียงเย็นว่า

“ถอดเสื้อผ้า!”

เหยียนจูอึ้งไป ลูกตากลอกมองไปยังหลันอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างห้ามไม่อยู่ หลันอวี้ไม่ได้รับอนุญาตจากหลี่ฟู่ ย่อมไม่กล้าเงยหน้ามองส่งเดช กระนั้นมุมปากกลับมิอาจปิดบังรอยยิ้มขณะรอดูละครฉากเด็ดนี้ได้ เหยียนจูกัดริมฝีปาก จับชายเสื้อตัวเองแน่น ไม่ยอมขยับเขยื้อน

หลี่ฟู่หรี่ตาพลางกล่าว

“อย่างไรกัน ไปอยู่จวนฉยงอ๋องระยะหนึ่ง แม้แต่การถอดเสื้อผ้ายังต้องให้เราสอนใหม่ทั้งหมดหรือ”

เหยียนจูสูดหายใจลึก ลุกขึ้นยืนในที่สุด ถอดเสื้อผ้าบนร่างกายทีละชิ้น พับให้เรียบร้อยและวางไว้ด้านข้าง จากนั้นคุกเข่าลงอีกครั้ง เขาได้แต่จินตนาการว่าตัวเองเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง เหมือนชั้นหนังสือและโต๊ะหนังสือในห้องนี้ จึงจะสามารถยืดเอวตรงแน่วในสภาพที่ไม่มีอาภรณ์ติดตัวสักชิ้น เปิดเผยเรือนร่างทั้งหมดโดยไร้ซึ่งการปกปิด

หลี่ฟู่เพ่งพิศร่างกายของเขาอย่างละเอียด สายตาเช่นนี้ไม่เจืออารมณ์ใคร่แม้แต่น้อย แค่พิจารณาว่าร่างกายเขามีร่องรอยการถูกครอบครองหรือไม่เท่านั้น ยามนี้หลี่ฟู่ตกใจเมื่อพบว่า ร่างกายของเหยียนจูมีรอยแผลเพิ่มขึ้นจริงๆ ไม่ใช่หลักฐานของการสำส่อน แต่เป็นแผลเป็นที่หลงเหลืออยู่หลังจากบาดแผลหายดีแล้ว ในฐานะองครักษ์อวี้เชวี่ย เหยียนจูเคยได้รับบาดเจ็บไม่น้อยตั้งแต่เด็ก แต่วังหลวงมีโอสถลับชั้นเลิศมากมาย เนื่องจากหลี่ฟู่มอบโอสถให้เขาอยู่ตลอด แผลส่วนใหญ่จึงไม่ทิ้งร่องรอยไว้ บางแผลที่สาหัสหน่อยจะหลงเหลือเพียงรอยจางๆ เท่านั้น ส่วนแผลที่เกิดจากความร้ายกาจของหลี่ฟู่เองในบางครั้งยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง

ทว่าครั้งนี้ร่างกายเหยียนจูกลับมีบาดแผลสะดุดตาเพิ่มขึ้นหลายรอย หนึ่งในนั้นเป็นแผลบนหลังที่

อยู่ตรงตำแหน่งของปอด ไม่ยาวแต่ดูออกว่าลึกมาก น่าจะถูกลูกธนูคมกริบทำร้าย แววตาของหลี่ฟู่อ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว ยื่นมือไปคล้ายอยากจะลูบแผลเป็นนั้น แต่กลับชะงักอยู่กลางอากาศไม่ได้สัมผัส เพียงลูบไล้ผ่านอากาศอย่างแผ่วเบาหลายที

เหยียนจูหันหลังให้เขา จึงไม่เห็นว่าเขากำลังทำอะไร รู้สึกเพียงเหมือนกำลังนั่งอยู่บนพรมตะปู

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่ฟู่เดินไปตรงหน้ากองเสื้อผ้าของเขา ใช้เท้าเขี่ยสองสามที ในชั้นแรกยังไม่พบสิ่ง ก่อนจะพบป้ายอันเล็กที่ทำจากทองคำในชั้นหลัง

หลี่ฟู่เก็บขึ้นมา เดินกลับไปตรงหน้าเหยียนจู กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า

“เกือบลืมไป ตอนแรกบอกเจ้าว่าสามารถนำป้ายนี้มารับรางวัลจากเราได้ คิดได้หรือยังว่าอยากได้อะไร”

เหยียนจูย่อมคิดไว้แล้วว่าอยากได้อะไร แต่รู้สึกว่าวันนี้อีกฝ่ายจะอารมณ์ไม่ดีนัก ขณะขบคิดว่าไว้วันหลังค่อยกล่าวเรื่องนี้ดีหรือไม่ ดวงตาของหลี่ฟู่กลับเจือรอยยิ้ม อารมณ์แปรปรวนเมื่อครู่นี้หายไปสิ้น แม้เหยียนจูจะปรนนิบัติเขามาหลายปี ก็ยังคาดเดานิสัยที่ไม่แน่นอนของคนผู้นี้ไม่ได้

หลี่ฟู่ใช้ขอบป้ายหงส์เพลิงอันนั้นครูดริมฝีปากแดงข้างขวาของเหยียนจูอย่างหยอกเย้า

“ทำไมไม่พูดล่ะ หรือโทษเราที่พอกลับเมืองหลวงก็ยกความดีความชอบในการจับตัวคนร้ายให้แก่จื่อซี เจ้ารู้อยู่แล้ว คนในราชสำนักล้วนเค้นสมองคิดหาวิธีจับผิดเขา หากเขามีความดีความชอบเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน เราย่อมสามารถปกป้องเขาได้มากขึ้นหนึ่งส่วน ของพวกนั้นเป็นแค่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น เจ้าเป็นองครักษ์ตำแหน่งเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ของพวกนั้นหรอก เจ้าอยากได้เงินทองเพชรพลอย หรืออยากได้ของล้ำค่าหายากล่ะ ให้เราพาเจ้าไปเดินดูในคลังแผ่นดินสักรอบดีหรือไม่ เจ้าอยากได้อะไรจะได้เลือกเอาเอง”

เหยียนจูอดโขกศีรษะลงบนพื้นหินอ่อนไม่ได้ โพล่งคำกล่าวที่หลายวันมานี้ซักซ้อมในใจนับครั้งไม่ถ้วนออกมารวดเดียว

“ข้าน้อยไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญและไม่ต้องการเงินทองของล้ำค่า ฝ่าบาท ข้าน้อยขอเพียงให้พระองค์คืนฐานะเดิมตามทะเบียนบุคคลให้ข้าน้อย ให้ข้าน้อยได้ออกจากวังไปอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ข้าน้อยจะซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณไม่สิ้นสุด จะทำงานรับใช้พระองค์จนกว่าตัวตายพ่ะย่ะค่ะ!”

ห้องทรงพระอักษรเงียบสนิททันที

แม้มิได้เงยหน้า แต่เหยียนจูก็รู้สึกได้ว่ารังสีที่แผ่มาจากโอรสมังกรผู้นั้นเยียบเย็นอีกครั้ง เทียบกับตอนนี้แล้ว ความหวาดระแวงก่อนหน้านี้ไม่นับเป็นความโมโหเลย แต่เขาไม่เข้าใจ คำขอของเขาเกินไปตรงไหน

“หึๆ”

หลี่ฟู่แค่นหัวเราะ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยิ้มเย็นก่อนเอ่ยว่า

“จริงอยู่ ตั้งแต่เราย้ายเจ้าจากองครักษ์อวี้เชวี่ยไปเป็นราชองครักษ์ ตามกฎย่อมสมควรคืนชื่อแซ่ให้เจ้า คืนทะเบียนบุคคล แต่ว่า...”

หลี่ฟู่กัดฟันเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ

“ในเมื่อกฎนี้โอรสสวรรค์เป็นคนตั้งขึ้นมา ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ด้วยโอรสสวรรค์ เราไม่ปล่อยเจ้าไป เจ้าจะทำไม”

เหยียนจูสั่นสะท้านไปทั้งตัว เงยหน้ามองดวงหน้างดงามอันตรายของหลี่ฟู่อย่างเหลือเชื่อ เขาจะทำไม เขาจะทำไม เขาจะทำอะไรได้เล่า เขาคิดว่าถ้าตัวเองนอบน้อมถ่อมตน คนผู้นั้นก็จะไม่ถือสาหาความเรื่องในอดีต เขาคิดว่าถ้าเขาโอนอ่อนและเป็นฝ่ายประจบเอาใจ คนผู้นั้นก็จะเมตตาเขา เขาคิดว่าถ้าตัวเองเสี่ยงตายสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ คนผู้นั้นก็จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนเขาเป็นคน

เหตุใดเขาจึงไร้เดียงสาถึงเพียงนี้!

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท!”

เสียงตื่นเต้นลนลานของไช่เยวี่ยดังขึ้นกะทันหันที่นอกประตู

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

หลี่ฟู่กำลังหงุดหงิด ด่าเสียงเฉียบทันที

“บ่าวสมควรตาย! มีเรื่องใหญ่อะไรถึงต้องแหกปากตะโกนดังลั่นเช่นนี้ เจ้ารู้มารยาทบ้างหรือไม่”

“ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยด้วย! เป็นเพราะ...ไทเฮาทรงพาคนไปตำหนักบรรทมของใต้เท้าเฉา ไม่รู้ว่า...”

“แล้วทำไมเพิ่งมารายงานตอนนี้!?”

หลี่ฟู่ขัดเขา ร้อนใจจนถีบประตูห้องทรงพระอักษรและวิ่งออกไป

“รายละเอียดค่อยเล่าระหว่างทาง”

เขามิได้หันกลับมามองเหยียนจูแม้แต่แวบเดียว

รอจนทั้งสองจากไปไกลแล้ว หลันอวี้จึงเดินมาข้างกายเหยียนจูที่ยังคงเหม่อลอยด้วยท่าทางกระหยิ่มใจ ก้มตัวลงหัวเราะข้างหูเขา

“เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นตอนข้า ข้ายังคิดว่าเขารักใคร่เจ้ามาก ที่แท้เขารังเกียจเจ้าต่างหาก ฮ่าๆๆ!”

หลันอวี้หัวเราะเสียงดัง ฝีเท้าแผ่วเบาขณะเดินออกจากห้องทรงพระอักษร สื่อว่าเขาเบิกบานเกินจะบรรยาย

 

วังหลวงยามค่ำคืนให้ความรู้สึกเงียบสงบเยือกเย็น เหลือเพียงแมลงกลางคืนที่ส่งเสียงร้อง แต่ฝีเท้าขององครักษ์อวี้เชวี่ยกลับเบายิ่งกว่าเสียงแมลง ไวยิ่งกว่าสายลมฤดูร้อน เบี่ยงตัวเบาๆ สะกิดปลายเท้าแล้วกระโดด ก็เข้าไปในห้องหนังสือของกงซุนเหยาหัวหน้าหออวี้เจิน...สถานที่อันเป็นความลับสูงสุดของหออวี้เจินได้แล้ว

ห้องหนังสือของกงซุนเหยา แม้จะไม่หรูหราเท่าห้องทรงพระอักษรของโอรสสวรรค์ แต่กลับซ่อนข่าวกรองที่เป็นความลับสุดยอดของใต้หล้าไว้ไม่น้อย องครักษ์อวี้เชวี่ยที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ จะรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่หาได้ในแต่ละวัน ใช้พิราบสื่อสารส่งกลับมาที่นี่เหมือนหิมะที่โปรยปราย เรื่องราวในราชสำนัก สถานการณ์ของฝ่ายพรรคต่างๆ ในยุทธภพ ความลับมากมายที่ไม่มีใครรู้ล้วนนอนนิ่งๆ อยู่ในนี้ สามารถกลายเป็นอาวุธที่ใช้ปลิดชีวิตผู้อื่นของคนผู้นั้นได้ทุกเมื่อ

ในที่แห่งนี้ ข้อมูลที่ไร้ค่ามากที่สุดเกรงว่าคงเป็น ‘ข่าวจากครอบครัว’ ที่องครักษ์อวี้เชวี่ยแต่ละคนจะได้รับปีละหนึ่งหน ‘ข่าวจากครอบครัว’ ดังกล่าวเป็นช่องทางเดียวที่องครักษ์อวี้เชวี่ยที่สมาชิกในครอบครัวยังมีชีวิตอยู่จะได้รู้สถานการณ์ของคนในครอบครัว บนนั้นไม่ได้ระบุว่าพวกเขาอยู่ที่ใด แต่บันทึกเพียงสุขภาพ ฐานะทางการเงิน และสถานการณ์ทั่วไปคร่าวๆ เท่านั้น

หากองครักษ์อวี้เชวี่ยมีใจ สามารถมอบอำนาจให้หออวี้เจินนำเงินของตนไปจุนเจือครอบครัวตนด้วยวิธีการทางอ้อม ข่าวสารข้อมูลจากครอบครัวเหล่านี้ด้อยค่ามากที่สุด กระนั้นสำหรับองครักษ์อวี้เชวี่ยทั้งหลายแล้ว กลับเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ส่วนเอกสารที่วางคู่กัน แต่กลับมิอาจให้องครักษ์อวี้เชวี่ยดูก็คือข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวขององครักษ์อวี้เชวี่ยตั้งแต่เริ่มแรกโดยละเอียด ตลอดจนสมุดทะเบียนบุคคลดั้งเดิมขององครักษ์อวี้เชวี่ย

เมื่อองครักษ์อวี้เชวี่ยสร้างความดีความชอบ สามารถเลื่อนขั้นเพิ่มยศให้ตัวเองและก้าวออกมาจากความมืดได้ พวกเขาย่อมได้รับทะเบียนบุคคลคืนและกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

แต่เหยียนจูรู้ว่าตัวเองรอไม่ไหวแล้ว

...

“เราไม่ปล่อยเจ้าไป เจ้าจะทำไม”

...

ในเมื่อขอมาไม่ได้ เช่นนั้นก็เสี่ยงแย่งชิงมาแล้วกัน ขอเพียงรู้ว่าครอบครัวอยู่ที่ใด เขาย่อมออกไปหาพวกเขาได้ แม้จะต้องหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ถึงอย่างไรย่อมอิสรเสรีกว่าการก้มหัวยอมจำนนอยู่ที่นี่

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหยียนจูคือ การเข้ามาในนี้จะง่ายดายถึงเพียงนี้ ตลอดทางแม้จะเจอองครักษ์อวี้เชวี่ยผ่านมาหลายคน แต่เขาในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งขององครักษ์อวี้เชวี่ย ย่อมหลบหูตาของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย บางทีอาจเป็นเพราะราบรื่นเกินไป ทำให้เขาลืมตัว หรือบางทีอาจเพราะความปรารถนาในอิสรภาพทำให้เขาเลอะเลือน เขาจึงเดินตรงเข้าไปโดยไม่ทันสังเกตมากมาย กระนั้นเมื่อเท้าของเขาเหยียบย่างไปบนก้อนอิฐก้อนแรกบนพื้น เขาก็รู้ว่าตัวเองเหยียบถูกกลไกลับเสียแล้ว แม้เขาจะตระหนักได้เร็วถึงเพียงนี้ แต่เสียงไม้ขยับรอบด้านบอกเขาว่าห้องหนังสือกำลังลงกลอนอย่างรวดเร็ว เขาได้กลายเป็นตะพาบในไห (เชิงอรรถ 26) ไปแล้ว

(เชิงอรรถ 26 ใช้เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่ตกอยู่ในกำมือผู้อื่น ไม่มีทางหนีรอด)

เหงื่อเย็นซึมออกมาจากหน้าผาก เขาได้แต่ตรวจดูว่ามีวิธีถอดกลอนหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าอิฐบนพื้นก้อนนั้นจะเป็นกลไกต่อเนื่อง พอเขายกเท้าขึ้น ลูกธนูหลายสิบดอกก็พุ่งมาตรงหน้า เป็นเพราะเหยียนจูฝีมือดี หมุนตัวและเหยียบลูกธนูไว้ หลบลูกธนูส่วนใหญ่ไปได้ มีเพียงชายเสื้อด้านล่างเท่านั้นที่ถูกลูกธนูกรีดผ่าน

เขายังไม่ทันยืนบนพื้นอย่างมั่นคง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออกกะทันหัน ผู้มาเห็นเหยียนจูแล้วอดตะลึงงันไม่ได้

“เป็นเจ้า?”

เหยียนจูอึ้งไปดุจเดียวกัน ก่อนจะรู้สึกสมเหตุสมผล ลู่ชิงเป็นยอดฝีมืออันดับสองที่เป็นรองเพียงเขาเท่านั้น ย่อมรุดมาที่นี่โดยเร็วที่สุด เหยียนจูอดยิ้มขื่นไม่ได้ ฝีมือของลู่ชิงเป็นรองแค่ตน ต่อสู้ตัวต่อตัว

แม้จะมีโอกาสชนะ แต่กลับต้องปะทะกันนับร้อยครั้ง ถึงเวลานั้นองครักษ์อวี้เชวี่ยคนอื่นๆ ย่อมมาถึงแล้ว ร่วมมือกันตนยังจะมีทางรอดอีกหรือ

ช่างเถิด ถ้าถูกจับเป็น ไม่รู้หลี่ฟู่จะสรรหาวิธีการใดมาทรมานตนอีก มิสู้ยืมมือลู่ชิงปลิดชีพตัวเองเสีย ได้รับความสงบอย่างที่ต้องการ ทั้งยังยกความดีความชอบให้เขาได้ นับว่าได้ตอบแทนไมตรีของคนที่เคยทำงานร่วมกันมา

ใคร่ครวญมาถึงตรงนี้ เหยียนจูตัดสินใจแน่วแน่ หมายจะชักกระบี่จากเอวออกมาต่อสู้แบบปลาตายตาข่ายขาด (เชิงอรรถ 27) คิดไม่ถึงว่ายังมิทันได้ชักกระบี่ออกมา ลู่ชิงจะก้าวเข้ามาจับมือเขา

(เชิงอรรถ 27 เป็นสำนวนแปลตรงตัวว่า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด หมายถึงสู้กันให้ถึงที่สุดให้ตายกันไปข้างหนึ่ง)

“ตามข้ามา”

กล่าวจบก็พาเขาเดินไปยังส่วนลึกของห้องหนังสือ

“คอยสังเกตว่าข้าเหยียบแผ่นไหน อย่าเหยียบผิดล่ะ”

ใช่แล้ว ลู่ชิงเป็นเด็กกำพร้าที่กงซุนเหยาเก็บได้ระหว่างทาง กงซุนเหยาไว้ใจเขาเหมือนไว้ใจบุตรชายแท้ๆ ของตน เขาย่อมรู้กลไกในห้องหนังสือแห่งนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เหตุใดเขาต้องช่วยเหลือตนด้วย

 

ราตรีเยือกเย็นดุจน้ำ ดวงดาวเจิดจรัสดุจนัยน์ตา

ลู่ชิงนั่งอยู่บนหลังคากระเบื้องของหอสูงกับเหยียนจู เหมือนเวลาเฝ้ายามตอนกลางคืนด้วยกัน ทว่าลานเบื้องล่างพวกเขากลับโกลาหลอลหม่าน เหล่าองครักษ์อวี้เชวี่ยกำลังค้นหาผู้บุกรุกอย่างละเอียด หากไม่เพราะลู่ชิงพาเหยียนจูออกจากห้องหนังสือด้วยเส้นทางลับ ป่านนี้เหยียนจูคงถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนาแล้ว

“เหตุใดท่านต้องช่วยข้า ท่านไม่กลัวข้าจะเป็นสายสืบที่มาขโมยความลับของราชสำนักหรือ”

เหยียนจูถาม

ลู่ชิงตอบเสียงเรียบว่า

“แล้วสิ่งที่เจ้าอยากขโมยเป็นอะไรกันแน่”

เหยียนจูหลุบตาก่อนกล่าวต่อ

“ถ้าข้าบอกว่า ข้าแค่อยากได้ทะเบียนบุคคลของข้าและที่อยู่ของครอบครัว ท่านจะเชื่อหรือไม่”

ลู่ชิงมองใบหน้าซีดเผือดดุจหยกขาวของเหยียนจูอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

“เจ้ากับฮ่องเต้...ด้วยความโปรดปรานที่เจ้าได้รับ ยังขอของเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ได้อีกหรือ”

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ...”

เหยียนจูหัวเราะออกมา เสียงไม่ดังนัก แต่กลับฟังดูคลุ้มคลั่งเยียบเย็น

“นั่นสินะ ใช้เรือนร่างปรนนิบัติเจ้านาย แต่กลับมีดีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เกรงว่าข้าคงเป็นโสเภณีชายที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วกระมัง ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ...”

ลู่ชิงไม่เคยเห็นเหยียนจูที่แต่ไหนแต่ไรมาสุขุมสำรวมแสดงท่าทางดูถูกตัวเองเช่นนี้มาก่อน จึงประหลาดใจจนกล่าวอะไรไม่ออก

หลังเสียงหัวเราะยืดยาว เหยียนจูหุบยิ้มก่อนกล่าวต่อ

“ปีที่ข้าพบเขา ดูเหมือนอายุจะยังไม่ถึงเก้าขวบด้วยซ้ำ”

ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กน้อยซุกซนที่โผงผางตรงไปตรงมา ทุกวันไปเล่นสนุกที่แผงลอยของพ่อแม่ บ้างก็ช่วยงานเบ็ดเตล็ดเล็กน้อย นั่นเป็นร้านขายเต้าฮวยเล็กๆ การค้าไม่ใหญ่แต่พอเลี้ยงปากท้องได้ วันหนึ่งมีแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งมาเยือน คุณชายน้อยที่เป็นหัวหน้ากลุ่มดูแล้วอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น หน้าตางดงาม ท่วงทีสง่าผ่าเผย แต่สีหน้าและการกระทำกลับเอาแต่ใจและเผด็จการมาก เห็นชัดว่าต้องเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโตแน่

คนใหญ่คนโตเช่นนี้จะมากินเต้าฮวยที่แผงลอยริมทางได้อย่างไร คิดดูก็รู้ว่ามาเพราะพี่สาวผู้มีใบหน้าสะสวยของเขา พี่สาวอายุมากกว่าเขาสี่ปี เป็นสาวงามเลื่องชื่อบนถนนเสียงอัน มักมีคนมากินเต้าฮวยเพราะอยากเห็น ‘เต้าหู้ซีซือ’ (เชิงอรรถ 28) ผู้นี้อยู่บ่อยๆ แต่คนที่จ้องมองผู้อื่นอย่างลามกกลางวันแสกๆ เช่นนี้ เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

(เชิงอรรถ 28 ซีซือ หรือ ไซซี เป็นหนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีน)

ที่น่าโมโหที่สุดคือ บุตรเศรษฐีผู้นั้นไม่เพียงจ้องมอง ยังฉวยโอกาสจับก้นตอนพี่สาวยกเต้าฮวยมาให้ ทำเอานางทั้งตกใจทั้งอับอาย แต่กลับไม่กล้าต่อว่าอะไร นางรู้ว่ามิอาจล่วงเกินผู้มีอำนาจ แต่เหยียนจูที่ยังเด็กกลับไม่เข้าใจ เขากระโดดออกมาชี้หน้าบุตรเศรษฐีผู้นั้นแล้วเปิดปากด่าทอทันที

“ไอ้อันธพาล! เจ้ามารังแกพี่สาวข้าทำไม!”

บุตรเศรษฐีผู้นั้นโบกพัดจีบ ยิ้มพลางกล่าว

“ดวงตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าข้ารังแกพี่สาวเจ้าล่ะ”

“ดวงตาทั้งสองข้างของข้านั่นแหละ!”

“อ้อ?”

เนตรหงส์ของคนผู้นั้นหรี่ลงก่อนกล่าวต่อ

“เห็นทีดวงตาทั้งสองข้างของเจ้าจะมีปัญหา เด็กๆ ควักมันออกมาซะ”

เขากล่าวง่ายดายราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ข้ารับใช้ข้างหลังเขากลับจับตัวเหยียนจูน้อยมากดลงบนโต๊ะ พ่อแม่ของเหยียนจูเข้ามาขวาง แต่ไหนเลยจะสู้แรงชายฉกรรจ์แข็งแรงกำยำที่ฝึกวรยุทธ์พวกนี้ได้ ครั้นเห็นพวกมันไปหามีดเตรียมจะควักลูกตาเหยียนจูออกมาจริงๆ พวกเขาก็ตื่นตระหนกจนพาบุตรสาวไปคุกเข่าให้บุตรเศรษฐี โขกศีรษะอ้อนวอนไม่หยุด

บุตรเศรษฐีหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวกับ ‘เต้าหู้ซีซือ’ ว่า

“ไม่อยากให้พวกเขาช่วยก็ได้ แต่เจ้าต้องให้ข้าหอมแก้มทีหนึ่ง”

พี่สาวของเหยียนจูหน้าแดงก่ำ ทั้งอับอายทั้งโมโห

เสียงเอะอะโวยวายเมื่อครู่นี้ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาเข้ามามุงดูความครึกครื้นแล้ว

นางเป็นสาวแรกรุ่น ถูกผู้ชายหอมแก้มต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ วันหน้าจะมีหน้าไปพบผู้ใดได้อีก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการแต่งงานกับคนดีๆ

บุตรเศรษฐีเห็นนางลังเลจึงเอ่ยเสียงเรียบ

“อย่าหาว่าคุณชายข้ารังแกเจ้าเลย ไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร”

กล่าวพลางหันไปสั่งข้ารับใช้

“พวกเจ้าเอาแต่กดเขาไว้โดยไม่ลงมือเพื่ออะไร คุณชายข้ายังต้องรีบกลับบ้านนะ!”

พี่สาวเขากล่าวด้วยเสียงร้อนใจ

“อย่านะ! อย่านะ! ข้ารับปากท่านก็ได้!”

บุตรเศรษฐีจึงร้องห้ามข้ารับใช้ ยิ้มพลางเอ่ยว่า

“เจ้าสมัครใจเองนะ”

กล่าวจบก็จับคางนางและหอมแก้มนางต่อหน้าผู้คนมากมาย หอมเสร็จแล้วยังเดาะลิ้นก่อนกล่าวต่อ

“ก็งั้นๆ แหละ ‘เต้าหู้ซีซือ’ อะไรกัน”

กล่าวจบก็หัวเราะดังลั่น โบกพัดจีบขณะเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์

พี่สาวถูกเขาลวนลามและยังถูกหัวเราะเยาะ อับอายจนปิดหน้าร่ำไห้และวิ่งกลับบ้าน เหยียนจูน้อยที่ตกใจจนตะลึงงันมองแผ่นหลังของพี่สาว ยังไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้เพียงว่าบุตรคนมั่งมีผู้นั้นต้องทำอะไรร้ายแรงกว่าเดิมแน่ เขายังคิดจะด่าต่อ แต่กลับถูกท่านแม่ปิดปากไว้พลางด่าว่า

“เจ้าเด็กบ้า ยังก่อเรื่องไม่พออีกรึ กลับไปบ้านแล้วจำไว้ว่าอย่าเอ่ยเรื่องนี้กับพี่สาวของเจ้าอีก ถือเสียว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น เข้าใจหรือไม่”

แม้ในใจจะขุ่นเคือง แต่เหยียนจูยังคงฟังคำมารดา ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น มิคาดคิดว่าคนที่ในใจยังเกิดโทสะไม่หายกลับเป็นบุตรคนมั่งมีผู้นั้น จวบจนเขาตกอยู่ในเงื้อมมืออีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง จวบจนอีกฝ่ายโยนเขาเข้าไปในหออวี้เจินที่ซึ่งผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เขาจึงรู้ว่าที่แท้อีกฝ่ายเป็นไท่จื่อองค์ปัจจุบัน ผู้อยู่เหนือคนนับหมื่น อยู่ใต้คนเพียงคนเดียว

 

เหยียนจูเล่าความทรงจำในวัยเยาว์ออกมาต่อเนื่องในคราวเดียว

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะต้องเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ต่อผู้อื่น เพราะคนที่ขายชีวิตมาเป็นองครักษ์อวี้เชวี่ย โชคชะตาของใครบ้างที่ไม่อาภัพขมขื่น เขาไม่อยากใช้เรื่องเหล่านี้มาเรียกร้องความเห็นใจ ยิ่งไม่อยากหาข้ออ้างให้แก่การใช้เรือนร่างปรนนิบัติเจ้านายของตน...ความจริงเฉาเหยียนกล่าวถูกต้อง ถ้าเขาเป็นคนที่บริสุทธิ์สูงส่งจริงย่อมต้องยอมเป็นหยกแตก (เชิงอรรถ 29) เพียงแต่เขาไม่ใช่เด็กน้อยในวันวานที่อ่อนเยาว์โผงผาง ไม่กลัวเกรงอำนาจใดคนนั้นอีกแล้ว เป็นเขาเองที่ยอมจำนนและเต็มใจกระดิกหางขอความเมตตาจากฮ่องเต้ หวังว่าถ้าอีกฝ่ายพอพระทัยจะยอมทำให้ตนสมหวัง

(เชิงอรรถ 29 มาจากสำนวนเต็มว่า ยอมเป็นหยกแตก ดีกว่าเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ หมายถึง ยอมตายดีกว่าเสียศักดิ์ศรี)

ลู่ชิงฟังจบแล้วทอดถอนใจเบาๆ ก่อนกล่าว

“เหยียนจู เจ้าช่างโง่งม แม้เจ้าจะขโมยทะเบียนบุคคลออกไปได้สำเร็จ ถึงขั้นสามารถหนีออกจากกำแพงวังแน่นหนาและไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวได้จริง แต่หลังจากนั้นเจ้าจะทำอย่างไรต่อ พาพวกเขาหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ให้พวกเขากลายเป็นนักโทษที่ราชสำนักประกาศจับพร้อมกับเจ้า ใช้

ชีวิตอย่างหวาดกลัวไม่มีวันสิ้นสุดอย่างนั้นหรือ—

“เจ้าพึงรู้ว่า แม้เจ้าไม่ใช่บุคคลสำคัญเท่าใดนัก แต่การหนีไปของเจ้าย่อมเป็นการท้าทายอำนาจของราชวงศ์ ท้าทายกฎระเบียบของวังหลวงครั้งใหญ่ ฮ่องเต้จะไม่ทรงละเว้นครอบครัวของเจ้าแน่ สมุดทะเบียนบุคคลแค่เล่มเดียวมิอาจทำให้เจ้าคืนสู่ฐานะเดิมได้ มีแต่จะกลายเป็นยันต์ปลิดชีวิตที่ใช้แยกแยะและยืนยันสถานะนักโทษของเจ้า”

เหยียนจูนิ่งอึ้งไป ตัวเขาเองตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว แต่ครอบครัวของเขาเล่า? เกรงว่าครอบครัวเขาคงคิดว่าเขาตายไปนานแล้ว จะยังยอมรับเขาได้หรือไม่ก็สุดคาดเดา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการหลบหนีไปพร้อมกับเขา เขามัวแต่จดจ่อกับสมุดเล่มเล็กเล่มนั้น กลับลืมไปว่าโชคชะตาหาได้อยู่บนสมุด แต่ขึ้นอยู่กับความคิดเพียงชั่ววูบของหลี่ฟู่ต่างหาก

“แต่ว่า...ข้าจะทำอย่างไรได้ หรือมีแต่ตายเท่านั้นจึงจะได้เป็นอิสระ?”

เหยียนจูกล่าวอย่างห่อเหี่ยว

ลู่ชิงพลันกุมมือเหยียนจูไว้ สีหน้าของเขาเรียบเฉย ทว่ายามนี้ดวงตากลับทอประกายน่าเชื่อถือ

“ฮ่องเต้เองใช่ว่าจะสามารถทำตามพระทัยได้ทุกอย่าง ตอนนี้ในวังยังมีบุคคลสองคนที่สามารถบงการพระองค์ได้ ขอเพียงใช้พวกเขาให้เป็นประโยชน์ เจ้าย่อมสามารถบีบให้พระองค์ยอมจำนนโดยไม่รู้ตัว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น