บทที่ ๕


 แต่งงาน

 “นายปรัชญายอมสารภาพแล้วครับ”
                 ภูริกับอธิปพร้อมใจกันชูกำปั้นขึ้นฟ้าอย่างยินดีหลังจบคำพูดของพาที เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาพบลายนิ้วมือของปรัชญาและเลือดของผู้ตายบนโล่รางวัลซึ่งเป็นอาวุธสังหารแล้ว เพียงแต่คำสารภาพของคนร้ายจะยิ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักของสำนวนคดีที่ทางเจ้าหน้าที่สืบสวนจะส่งฟ้องศาลอีกด้วย
                 “แล้วนายปรัชญาเข้าไปอยู่ในบ้านของคุณอนงค์ได้ยังไงเหรอครับ ไม่มีร่องรอยการงัดแงะด้วย” อธิปถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่พีระจะตอบในทันทีว่า
                 “ปรัชญาเป็นเพื่อนกับคุณอดิเทพตั้งแต่เด็กครับ ทำให้คุณอนงค์รักและเอ็นดูเขาเหมือนลูกชายอีกคน คืนก่อนเกิดเหตุ คนร้ายกลับมาถึงบ้านตอนสี่ทุ่ม แต่พ่อกับแม่ของเขาไปนอนค้างบ้านญาติ ปรัชญาเลยเข้าบ้านไม่ได้ คุณอนงค์ที่บังเอิญลงมาเห็นจึงชวนให้เขามานอนค้างที่บ้านของตนแทน และให้นอนพักในห้องของลูกชาย โดยที่ปรัชญาไม่รู้ว่าเผลอทำดอกพลับพลึงธารที่ติดกระเป๋ามาตอนไปเที่ยวหล่นอยู่ในห้องของคุณอดิเทพ...”
                 “แต่ผู้ต้องหาไม่ได้มีความแค้นกับผู้ตาย แล้วเหตุจูงใจคืออะไรล่ะครับ”
                 “ลอตเตอรี่ของคุณอนงค์ครับ” พีระตอบพิเชษฐ์เสียงขรึม “ในวันเกิดเหตุ นายปรัชญาเห็นลอตเตอรี่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว จึงหยิบมาตรวจสอบรางวัล แล้วรู้ว่าลอตเตอรี่ใบนั้นถูกรางวัลที่หนึ่ง เขาตั้งใจจะขโมยไป แต่คุณอนงค์มาเห็นเข้าเสียก่อน คนร้ายจึงเอาโล่รางวัลที่เก็บไว้ในกระเป๋าฟาดไปที่ศีรษะของเธอ” 
                 ทีมนิติวิทยาศาสตร์พากันพยักหน้ารับ เพราะวัตถุพยานและผลการชันสูตรพลิกศพตรงกับคำสารภาพของคนร้าย
                 “หลังจากทำร้ายคุณอนงค์และลบลายนิ้วมือของตัวเองตามบริเวณต่างๆ ในบ้านแล้ว ปรัชญาก็รอจนพ่อกับแม่กลับมาบ้าน แล้วจึงแอบปีนออกจากบ้านของคุณอนงค์ ทำทีว่าเพิ่งกลับมาจากพังงาในเช้าวันถัดมาครับ”
                 “แล้วหลักฐานที่อยู่ล่ะครับ ตั๋วโดยสารที่เขามอบให้เรายืนยันว่า เขาอยู่บนรถทัวร์ในคืนเกิดเหตุไม่ใช่เหรอ”
                 “ปรัชญาซื้อตั๋วรถทัวร์เอาไว้ล่วงหน้าครับ แต่จริงๆ แล้วเขานั่งเครื่องบินกลับมาก่อนเพราะมีธุระ โดยที่ลืมไปว่าพ่อกับแม่ไปค้างที่บ้านญาติ” พาทีช่วยตอบคำถามให้พิเชษฐ์ “ตั๋วรถทัวร์ของบริษัทนี้จะส่งไปรษณีย์มาให้ลูกค้าก่อนหากมีการจองล่วงหน้า ถ้าลูกค้าโดยสารกลับจริง ที่ QR code บนตั๋วจะต้องถูกสแกนโดยเจ้าหน้าที่ครับ แต่เมื่อตรวจสอบตั๋วของนายปรัชญาแล้ว ปรากฏว่าเขาไม่ได้ขึ้นรถครับ”
                 “บ้านก็ดูออกจะรวย ทำไมถึงกล้าทำอะไรแบบนี้ได้”
                 “ปรัชญาติดหนี้พนันบอลหลายสิบล้าน ธุรกิจที่ทำอยู่ก็ขาดทุนมาหลายปี ถ้าเขาไม่รีบหาเงินมาใช้หนี้ พวกเจ้าหนี้ขู่ว่าจะเอาชีวิตเขาครับ”
                 คนในห้องประชุมพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพื่ออำนาจและเงินตราแล้ว คนบางคนทำได้ทุกอย่าง แม้จะต้องกลายเป็นฆาตกรก็ตาม
                 “นายปรัชญาสารภาพความผิดทั้งหมด หลังจากนี้พวกเราจะสรุปสำนวนคดีเตรียมส่งฟ้องศาลต่อไปครับ”
                 “เอาละ งั้นวันนี้ก็เลิกประชุมได้” พิเชษฐ์พูดก่อนจะหันไปค้อมหัวให้พาทีและพีระ ขณะที่จิรณัฐรวบแฟ้มเอกสารใส่มือ ก่อนจะก้าวเร็วๆ ออกไปจากห้องประชุม
 
                ภูริมองรุ่นน้องที่เอาแต่จ้องจานข้าวเบื้องหน้าอย่างงุนงง ตั้งแต่ปิดเคสคดีฆาตกรรมโล่รางวัลไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน จิรณัฐก็มักจะมีอาการเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่ปกติเธอจะกระตือรือร้นเวลาไปเก็บวัตถุพยานหรือเข้าห้องชันสูตรยิ่งกว่าใคร แต่มาตอนนี้กลับทำหน้าซังกะตาย เหมือนพลาดโคดส่งฟรีบนแอปชอปปิงเสียอย่างนั้น
                 “มึงคิดเหมือนกูไหมบีหนึ่ง” ชายหนุ่มหันไปถามฝาแฝดกล้วยหอมจอมซนของตัวเอง
                 “คิดอายายเหยอเพ่” อธิปพูดเสียงอู้อี้เพราะมีข้าวอยู่เต็มปาก ขณะที่ภูริกลอกตาไปมาอย่างละเหี่ยใจก่อนจะตอบ
                 “เคี้ยวให้หมดก่อนเถอะค่อยพูด เกิดข้าวติดคอตายขึ้นมา พี่เชษฐ์ต้องมาเหนื่อยชันสูตรศพมึงอีก”
                 อธิปแยกเขี้ยวกับคำประชดประชันนั้นใส่รุ่นพี่หนุ่มที่บุ้ยใบ้ไปทางหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามเขา ก่อนจะถามเสียงเข้ม
                 “โดนผู้ชายทิ้งมาเหรอวะไอ้จี ทำไมทำหน้าซังกะตายแบบนั้น”
                 สองหนุ่มจ้องอีกฝ่ายอย่างรอคำตอบ ลุ้นผลบอลนัดที่แมนยูเจอลิเวอร์พูลยังไม่เคร่งเครียดเท่านี้ ขณะที่พิเชษฐ์ก็มองท่าทางของลูกน้องทั้งสามคนอย่างนึกขำ มีแต่จิรณัฐเท่านั้นที่ยังเหม่อมองจานข้าวต่อไปราวกับไม่ได้ยินคำถามของภูริ
                 “ไปถามอะไรอย่างนั้นล่ะ อยากให้โลกตายหรือไง” นายแพทย์หนุ่มพูดพลางส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ไอ้จีมันคบใครที่ไหนกัน เห็นโสดมาตั้งหลายปีแล้ว”
                 “จริงด้วยพี่ พวกผมก็ลืมคิดไป”
                 อธิปกับภูริพากันยิ้มเจื่อนที่ตนเองเผลอคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทั้งๆ ที่พวกเขาก็รู้กันอยู่แล้วว่าตั้งแต่จิรณัฐเลิกกับแฟนคนล่าสุดเมื่อหลายปีก่อน เธอก็ปิดกั้นตัวเองไม่ยอมเปิดใจให้ใครอีก ไม่มีทางที่หญิงสาวจะกังวลเพราะเรื่องนี้แน่
                 “ไม่น่าอุตริคิดอะไรแปลกๆ เลยกู สงสัยจะทำงานหนักเกิน”
                 “ผมก็ด้วยพี่ เกือบทำให้โลกแตกแล้วไหมล่ะ”
                 ปัง!
                 “ทุกคนคะ!!” 
                 สามหนุ่มสะดุ้งโหยง ข้าวที่เคี้ยวอยู่ในปากแทบจะติดคอไปตามๆ กันเมื่อคนที่เงียบมาตลอดจู่ๆ ก็ทุบโต๊ะเสียงดัง ก่อนที่ทั้งสามจะหันไปมองสีหน้าถมึงทึงของเจ้าหล่อนโดยพร้อมเพรียง
                 “แกจะเสียงดังทำไม ตกใจหมด แล้วทำหน้าทำตาอะไรเนี่ย คัฟเวอร์เป็นผีเสื้อสมุทรเหรอ”
                 “นั่นสิไอ้จี กูเกือบสำลักข้าวตายเลยเนี่ย มึงจะหาศพให้พี่เชษฐ์ชันสูตรเพิ่มหรือไง”
                 “จีกำลังจะแต่งงานค่ะ!”
                 เป็นประโยคที่ทำให้สามหนุ่มพากันกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะมองหน้ากันไปมาอย่างสังเวชใจ แล้วส่ายหัว
                 “ดูท่าไอ้จีจะทำงานหนักเกินไป เราไปขอ ผอ. ให้มันลางานสักหน่อยดีไหมพี่เชษฐ์”
                 “นั่นสิ พูดอะไรน่าขนลุกชะมัด สงสัยพรุ่งนี้โลกคงจะแตกจริงๆ”
                 “จีพูดจริงๆ นะคะ จีกำลังจะแต่งงานค่ะ!” หญิงสาวย้ำชัด ก่อนจะหันไปหยิบการ์ดออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง แล้วแจกจ่ายให้เพื่อนร่วมงานที่รับไปเปิดดูอย่างงุนงง
                 “ขอเชิญร่วมงานมงคลสมรสระหว่างนางสาวจิรณัฐ รัตนเรืองรองกับนายณัฐวีร์ ลิขิตภักดี...”
                 “เชี่ยยยยย! พี่จีแม่งจะมีผัวจริงว่ะพี่”
                 “มึงล้อพวกกูเล่นใช่ไหม ออกไปจากร่างน้องกูเลยนะไอ้ผีร้าย!”
                 “โลกแตกแน่คราวนี้ ขอสันติสุขจงโอบอุ้มโลก อาเมน”
                 ทว่าจิรณัฐก็ยังคงมองเพื่อนร่วมงานด้วยสีหน้าจริงจังอยู่แบบนั้น จนสามหนุ่มชักใจคอไม่ค่อยดี พอเห็นว่าหญิงสาวยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น ทั้งสามคนก็พากันตะโกนเฮ แล้วลุกจากเก้าอี้มาตบบ่าคนเตรียมสละโสดอย่างตื่นเต้น
                 “ยินดีด้วยนะเว้ยไอ้จี! ในที่สุดมึงก็มีผัวสักที! กูตายตาหลับแล้วทีนี้”
                 “พี่ผมจะลงจากคานแล้ว ขอบคุณคุณพระคุณเจ้าที่โปรดสัตว์ได้ยาก”
                 “ว่าแต่เจ้าบ่าวคือใครวะ ไม่เห็นเคยพามาให้รู้จักบ้างเลย ใช่คนที่เอาดอกไม้มาให้แกตอนนั้นไหม”
                 “คะ?”
                 “ก็วันที่ต้องไปบ้านของปรัชญาไง พี่เห็นมีผู้ชายเอาดอกไม้สีขาวมาให้แกที่หน้าอาคาร ตอนแรกพี่ก็นึกว่าตาฝาด สรุปมีคนหลงผิดจริงๆ ด้วยสินะ”
                 จิรณัฐพ่นลมหายใจยาวหลังจบคำพูดของพิเชษฐ์ นึกถึงวันที่ณัฐวีร์บุกมาหาเธอถึงที่นี่เพื่อเอารองเท้าและช่อดอกไม้เจ้าสาวมาคืนก็ยิ่งปวดใจ เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นแท้ๆ ถึงทำให้เกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้
                 “แล้วเขาเป็นคนแบบไหน หน้าตาดีไหม ทำอาชีพอะไร นิสัยเป็นไงบ้าง เคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”
                 ร่างบางกลอกตามองบนกับกระสุนคำถามที่ภูริยิงมา เพราะไม่รู้จะเลือกตอบข้อไหนก่อนดี พยายามนึกถึงว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเองที่เจอหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วอธิบาย
                 “คือเขา...เป็นคนเงียบๆ น่ะค่ะ ชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร บางทีก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เหมือนมีหลายบุคลิกอยู่ในคนคนเดียว ดูภายนอกก็เหมือนคนธรรมดา แต่บางมุมก็เย็นชา คาดเดาอะไรไม่ได้ บางมุมก็กวนประสาท”
                 “แกแต่งงานกับฆาตกรเหรอวะ”
                 “คะ?”
                 “ก็ที่แกพูดๆ มา นิสัยคล้ายพวกฆาตกรโรคจิตเลยนี่นา ชอบเก็บตัว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เหมือนมีหลายบุคลิกในคนคนเดียว”
                 “สเปกพี่จีเป็นแบบนี้เองสินะครับ มิน่าถึงอดทนทำงานนี้ได้”
                 จิรณัฐกะพริบตาปริบๆ กับคำพูดของภูริและอธิป ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนถูกด่าเสียอย่างนั้น ก่อนที่พิเชษฐ์จะคว้าแก้วน้ำขึ้นมาแล้วยื่นออกมาข้างหน้า 
                 “พวกเรามาชนแก้วฉลองกันหน่อย ไอ้จีจะมีผัวแล้ว”
                 “งั้นเปลี่ยนจากพูดไชโยเป็นมีผัวละกันนะ” ภูริเสนอ อีกสองหนุ่มก็พยักหน้าเห็นด้วยในทันที “เอ้า! นับสามพร้อมกัน”              
                 คนเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวได้แต่มองเพื่อนร่วมงานอย่างละเหี่ยใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็คว้าแก้วขึ้นมาตามคำบอกของรุ่นพี่แต่โดยดี
                 “เอ้า! หนึ่ง! สอง! สาม!”
                 “มีผัว! มีผัว! มีผัว!”
                 ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร แต่หญิงสาวก็ชนแก้วไปตามน้ำ แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ราวกับจะไว้อาลัยให้ชีวิตโสดที่กำลังจะสิ้นสุดลงของตัวเอง ก่อนที่ภูริกับอธิปจะพากันยืนขึ้น แล้วตะโกนเสียงดังราวกับจะให้ทุกคนในโรงอาหารได้ยิน
                 “ไอ้จีจะมีผัวแล้วครับทุกคน!!”
                 “พี่ผมจะมีผัวแล้ววววคร้าบบบ!”
                 “มีผัว! มีผัว! มีผัว!”
                 หญิงสาวเอามือกุมขมับ เมื่อสองเพื่อนร่วมงานพากันชูแก้วขึ้นราวกับขอให้ทุกคนร่วมฉลองให้เธอ นึกอยากยกเก้าอี้มาฟาดหัวพวกเขาให้เลิกทำตัวปัญญาอ่อน แต่ก็กลัวว่าจะต้องทำงานเพิ่มเพื่อหาสาเหตุการตายของอีกฝ่าย ในขณะที่คนในโรงอาหารก็ร่วมโห่ร้องพลางปรบมือแสดงความยินดีไปด้วย
                 ไม่เข้าใจ...
                 เธอไม่เข้าใจเลยว่าพวกเขาจะดีใจอะไรกันนักกันหนากับการมีผัวของเธอ
                 และยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมีเพื่อนร่วมงานเพี้ยนๆ แบบนี้ด้วย!
 
                หลังจากที่จิรณัฐและณัฐวีร์เซ็นสัญญาว่าจะยอมทำตามข้อตกลงของกันและกัน เวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็มาถึงวันที่ทั้งคู่จะต้องเข้าพิธีแต่งงานตามฤกษ์ที่กำหนดไว้
                 คนเป็นเจ้าบ่าวมองไปรอบๆ สถานที่จัดงาน ซึ่งก็คือโรงแรมหรูย่านทองหล่อที่เพื่อนของเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ตอนนี้เป็นเวลาตีห้ากว่าแล้ว อีกไม่ถึงสองชั่วโมงก็จะถึงพิธีสงฆ์ ทว่าคนเป็นเจ้าสาวก็ยังไม่โผล่มา
                 ให้ตายสิ...
                 นี่เธอหายไปไหนกันแน่
                 ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อจะโทร. ตามอีกฝ่าย ทว่าประโยคปลายสายยอดฮิตที่บอกว่าเลขหมายปลายทางที่เขาเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ก็ทำให้หัวใจของณัฐวีร์เต้นระรัวอย่างหวาดหวั่นมากกว่าเดิม
                 หรือว่าเธอ...จะหนีเขาไปแล้ว
                 ‘คุณจะบ้าหรือไง! ทำไมฉันต้องแต่งงานกับคุณด้วย’
                 ‘คุณก็จัดการไปสิ คุณเป็นคนอยากแต่งเองนี่นา ฉันไม่ได้อยากแต่งด้วยสักหน่อย’
                 “เจ้าสาวอยู่ไหนล่ะลูก ทำไมยังไม่มาอีก”
                 ร่างสูงชะงักมือที่กำลังจะกดโทรศัพท์หาน้องชายของจิรณัฐ ขณะที่คนถามก้าวเข้ามาหาเขาพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
                 “เอ่อ...จีเขาแต่งตัวอยู่ที่ห้องน่ะครับแม่ ใกล้จะเสร็จแล้ว”
                 “แล้วทำไมสีหน้าวีเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมลูก”
                 “ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่อากาศมันร้อนนิดหน่อย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เข้าไปรอข้างในเถอะ”
                 ณัฐวดีพยักหน้ารับ ทว่าก็ยังไม่หายแคลงใจกับอาการเหงื่อแตกพลั่กของคนเป็นลูก แต่พอได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนของลูกชายแล้ว หล่อนก็ยอมเดินกลับเข้าไปนั่งรอด้านในตามเดิม
                 คล้อยหลังผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มก็เม้มริมฝีปากอย่างระงับอารมณ์ พยายามกดโทรศัพท์หาเจ้าสาวของตัวเองอีกครั้ง ทว่าจู่ๆ รถมอเตอร์ไซค์ที่กำลังพุ่งเข้ามาก็ทำให้ร่างสูงชะงัก ก่อนที่คนที่นั่งซ้อนท้ายจะกระโดดลงมา แล้ววิ่งมาหาเขาในทันที
                 “ฉันมาแล้วคุณ ขอโทษนะที่มาช้า”
                 นัยน์ตาสีเข้มวาวโรจน์อย่างโกรธจัดเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าดูไม่เหมือนคนที่พร้อมจะเป็นเจ้าสาวเลยสักนิด ใบหน้าของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ก่อนที่เขาจะคว้าข้อมือเล็กของคนพูด แล้วลากหนีไปอีกทาง ทิ้งให้จิรเมธได้แต่มองพี่สาวกับว่าที่พี่เขยของตัวเองอย่างงุนงง
                 “เดี๋ยวสิคุณ! จะลากฉันไปไหน” จิรณัฐร้องเสียงหลงพลางสะบัดมือให้หลุดจากการจับกุม 
                 “คุณหายไปไหนมา ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”
                 “ฉันก็มาแล้วนี่ไง พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อยก็เลยมาช้า”
                 “ผม...คิดว่าคุณหนีไปแล้ว”
                 ร่างบางมองแววตาสั่นระริกของคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง ใบหน้าของเขาซีดเผือด ขณะที่ดวงตาที่มองสบกันฉายแววตัดพ้อระคนหวาดกลัว
                 “ฉันไม่ได้หนีสักหน่อย คุณเห็นฉันเป็นคนยังไงกัน”
                 “อย่าหนีผมไปไหนเลยนะ คุณคือที่พึ่งสุดท้ายของผม...”
                 จิรณัฐกัดริมฝีปาก พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้าสู่จิตใจ เพราะก่อนหน้านี้ เธอตกลงกับเขาเสียดิบดีว่าจะมาถึงงานตั้งแต่ตีสี่ แต่ดันเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยระหว่างเดินทาง เธอจึงมาถึงงานช้ากว่าเวลานัด
                 ไม่คิดเลยว่าจะทำให้เขาตกใจขนาดนี้
                 “ฉันขอโทษ...” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ฉันไม่ได้จะหนีไปไหน และฉันก็เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อฉันเซ็นสัญญาแล้วก็ต้องทำตามข้อตกลง ไม่หายไปไหนหรอกค่ะ”
                 ทว่าณัฐวีร์ก็ยังคงมองเธอด้วยแววตาไหววูบ ราวกับยังตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ท่าทางอับจนหนทางของอีกฝ่ายทำให้มืออีกข้างของจิรณัฐเลื่อนไปวางบนบ่าของชายหนุ่ม ก่อนจะพูดเสียงนุ่ม
                 “ปล่อยฉันไปแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเลยเวลาฤกษ์เอานะ”
                 ร่างสูงสูดลมหายใจลึกก่อนจะพยักหน้ารับ ถึงจะยอมปล่อยแขนแต่โดยดี แต่เขาก็เปลี่ยนมาจับมือหญิงสาวเอาไว้แทนราวกับกลัวว่าเธอจะหนีหายไปไหน แล้วจึงพาเดินไปทางห้องแต่งตัวที่มีช่างแต่งหน้าและช่างทำผมรออยู่ก่อนแล้ว
                 “เจ้าสาวมาแล้วครับ”
                 “ขอโทษที่มาช้านะคะ”
                 ช่างสาวทั้งสองคนยิ้มกว้างให้จิรณัฐ ก่อนจะพากันไปหยิบอุปกรณ์และชุดไทยที่แขวนอยู่ในตู้ แล้วเดินมาหาเธอ
                 “กำลังรออยู่เลยค่ะ ยังไงรบกวนคุณเจ้าบ่าวออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ พวกเราใช้เวลาแปลงโฉมให้เจ้าสาวไม่นาน ทันกำหนดการแน่นอนค่ะ”
 
                ร่างบางในชุดไทยจักรพรรดิสีครีมหวานที่ก้าวอย่างเชื่องช้ามาหยุดตรงหน้า ทำให้ลมหายใจของณัฐวีร์สะดุด
             
ใบหน้านวลที่มักซีดเซียวและมีขอบตาที่ดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้าอยู่เสมอ มาตอนนี้แต่งแต้มไปด้วยสีสันสดใส ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงอยู่เป็นประจำถูกรวบเผยให้เห็นโครงหน้าที่งดงาม ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่เหลือคราบสาวห้าวที่ถกแขนเสื้อจะชกน้องชายของตัวเองที่โรงพักเลยสักนิด เธอเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ที่ลงมาจุติบนโลกนี้ไม่มีผิด
                 สวย...
                 วันนี้จิรณัฐ...สวยมากจริงๆ 
                 “มองอะไรคุณ เกิดมาไม่เคยเห็นคนเหรอ” ร่างบางถามเสียงห้วนก่อนจะเอามือปิดปากหาว เมื่อคืนเธอเขียนรายงานสรุปคดีจนถึงตีสาม เพิ่งได้นอนแค่สองชั่วโมงเท่านั้น แถมหลังจากที่ออกจากบ้านเพื่อจะรีบบึ่งมางาน รถแท็กซี่ที่นั่งมากลับเสียกลางทางอีก เลยต้องโทร. บอกให้จิรเมธแว้นมาส่งแทน
                 เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ 
                 “เรามีพิธีสงฆ์ตอนเจ็ดโมง รีบไปกันเถอะครับ”
                 มือหนายื่นออกไปหาคนตัวเล็กที่มองอย่างงุนงง พอเห็นว่าเธอไม่ยอมวางมือลงมาสักที เขาก็เป็นฝ่ายคว้าแขนเจ้าหล่อนมาเกี่ยวแขนตัวเองไว้เสียเอง
                 หลังจากพิธีสงฆ์ผ่านพ้นไป ก็มาถึงการแห่ขันหมากตอนเวลาเก้าโมงเก้านาที แน่นอนว่าเพื่อนสนิทของจิรณัฐที่รับหน้าที่กั้นประตูเงินประตูทองมีกันอยู่ไม่กี่คน พอรวมน้องชายของเธอเข้าไปด้วยแล้วก็มีแค่สองประตูเท่านั้น
                 “โห่ ฮี่โห่ ฮิ่โห่ ฮิ่โห่ ฮิ่โหยยยย...”
                 “ฮิ้วววว ขันหมากมาแล้วจ้าาาา!!”
                 จิรณัฐปวดหัวไม่น้อยกับขบวนแห่ขันหมากที่มีแกนนำหลักคืออธิปกับภูริ พวกเขาเป็นแขกฝั่งเจ้าสาว ไม่ได้รู้จักกับเจ้าบ่าวมาก่อนด้วยซ้ำ แล้วเรื่องอะไรถึงไปยืนเต้นแร้งเต้นการำกลองยาวแย่งซีนชาวบ้านเขาแบบนั้น                 
                 ขายขี้หน้าชะมัด
                 โชคดีที่พิเชษฐ์ต้องไปช่วยญาติเจ้าบ่าวถือต้นกล้วย ไม่งั้นนายแพทย์หนุ่มก็คงไปโยกย้ายส่ายสะโพกกับอธิปและภูริให้เธอรู้สึกอับอายไปด้วยอีกคน
                 “เอาละครับ มาถึงประตูแรกกันแล้ว เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าสาวสมัยเรียนมหา’ลัยนะครับ ว่าแต่คุณแพรวจะให้เจ้าบ่าวของเราทดสอบความรักที่มีต่อเจ้าสาวยังไงดีครับ”
                 “อยากฟังเสียงร้องเพลงเพราะๆ ของพี่วีจังเลยค่ะ”
                 จิรณัฐนึกอยากขอตัวลาไปงีบ เพราะดูท่าแล้วขั้นตอนการแห่ขันหมากจะใช้เวลานานกว่าที่คิด แถมบททดสอบที่เพื่อนของเธอให้ณัฐวีร์ทำก็ดูไม่ได้ชิลๆ เสียด้วย
                “เอ่อ...ไหนๆ ก็ใกล้จะลอยกระทงแล้ว เพื่อเป็นการอนุรักษ์ประเพณีไทยอันดีงาม งั้นผมขอร้องเพลงให้เข้ากับเทศกาลหน่อยละกันครับ...”
                 ไปกันหมดแล้วสมงสมอง...
                 เรื่องอะไรมาร้องเพลงลอยกระทงสืบสานประเพณีไทยในงานแต่งแบบนี้
                 การฝ่าฟันบททดสอบของว่าที่สามีทำเอาคนเป็นเจ้าสาวอึ้งไม่น้อย เสียงร้องของณัฐวีร์มั่นคงเลยแหละ แม้จะต้องควงเอวเพื่อเล่นฮูลาฮูปไปด้วย พอร้องเพลงลอยกระทงเสร็จ เพื่อนของเธอก็ยังไม่ยอมให้เขาผ่านไปง่ายๆ ยังให้ร้องเพลงสวัสดีปีใหม่ต่อ แถมด้วยรื่นเริงเถลิงศกและกระโดดตบไปด้วย
                 นี่แทบจะไม่ใช่เจ้าบ่าวแล้ว นี่มันคัดตัวนักกีฬาไปแข่งโอลิมปิกชัดๆ!
                 “มาถึงประตูที่สองแล้วนะครับ ประตูนี้มีน้องชายของเจ้าสาวอยู่ด้วย คุณเจจะให้ว่าที่พี่เขยทำอะไรดีครับ”
                 “เห็นแก่ที่พี่วียอมรับพี่สาวผมไปเป็นเมีย ผมก็ไม่อยากให้พี่เขาทำอะไรมากหรอกครับ”
                 ณัฐวีร์หันไปส่งยิ้มให้น้องชายเจ้าสาวอย่างขอบคุณ ความรู้สึกโล่งอกไหลผ่านไปทั่วร่าง ตะกี้ยังเหนื่อยที่ต้องเล่นฮูลาฮูปไปด้วยร้องเพลงลอยกระทงไปด้วยไม่หาย มาประตูนี้คงไม่ต้องทำอะไรที่มันลำบากลำบนมากนัก
                 “ได้ยินว่าสมัยเรียนพี่วีเป็นประธานกิจกรรมรับน้อง เลยอยากเห็นพี่วีเต้นเมดเลย์เพลงสันทนาการหน่อยครับ”
                 คนเป็นเจ้าบ่าวกะพริบตาปริบๆ พอเหลือบไปมองสองเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว ก็ได้แต่ยิ้มแห้ง จู่ๆ ก็มีกลองทอมโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ แถมจิรเมธกลายไปเป็นคนช่วยตีกลองให้เองเสร็จสรรพ
                 ให้มันได้อย่างนี้สิ...
                 “เจครับ คือพี่ว่า...” ณัฐวีร์พยายามบ่ายเบี่ยง ทว่าคนเป็นน้องเจ้าสาวกลับยิ้มกว้างส่งให้เขา แล้วควงไม้ตีไปด้วยมาดที่ประธานกีฬาสีมาเห็นยังต้องยกนิ้วให้ ก่อนจะเคาะให้จังหวะ
                 ตึง! ตึง! โป๊ะ!
                 “พร้อมไหมครับพี่วี”
                 “คือพี่...”
                 “สาม สอง หนึ่ง!” 
                 “พี่ว่า...”
                 “ลุย!!”
                 “ใจดวงเดียวที่น้องมีอยู่ กิ๊บกิ๊บกิ๊ว กิ๊บกิ๊บกิ๊ว เปิดประตูให้แล้วหมดใจ กิ๊บกิ๊บกิ๊ว กิ๊บกิ๊บกิ๊ว...”
                 คนเป็นเจ้าบ่าวตะโกนร้องพร้อมกับออกสเตปสุดเป๊ะในทันที ราวกับท่าเต้นส่งผ่านออกมาจากไขสันหลังไม่ใช่สมอง ตอนนี้เขาอายุสามสิบเอ็ดแล้ว กระดูกกระเดี้ยวก็ไม่ได้แข็งแรงดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังต้องมาโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามเสียงเพลงที่เคยคุ้นชิน ยิ่งพอมีเสียงกลองด้วยแล้ว มือและขาก็สะบัดไปในทันทีตามสัญชาตญาณ
                 ให้ตายสิ...
                 สมแล้วที่เขาได้ตำแหน่งประธานรุ่นสี่ปีซ้อน เพราะดูเหมือนเพลงพวกนี้จะเข้าไปอยู่ในสายเลือดของเขาแล้วจริงๆ 
                 ถ้าพวกคณะกรรมการสโมสรนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์มาเห็น จะต้องภูมิใจในตัวเขามากแน่ๆ 
                 “พลิ้วพันนาน่าพลิ้วพลิ้ว พันนาน่าพลิ้วพลิ้ว พันนาน่าโป๊ะ...”
                 จิรณัฐได้แต่มองการเต้นอย่างเอาเป็นเอาตายของณัฐวีร์อย่างทึ่งจัด อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว แต่ยังจำท่าแม่น แถมออกลวดลายได้คล่องราวกับซ้อมตอนอาบน้ำทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อยากให้เขาคีปลุคเจ้าบ่าวของตัวเองบ้าง เกิดเป็นลมเป็นแล้งหัวใจวายตายขึ้นมาจะทำยังไง
                 “ตุ่มใส่น้ำ ใส่น้ำให้เต็มตุ่ม ตุ่มใส่น้ำใส่น้ำให้เต็มตุ่ม แล้วเราจะชื่นใจ...”
                 ได้เดือดร้อนเจ้าสาวอย่างเธอต้องมาเก็บวัตถุพยาน แถมช่วยหาสาเหตุการตายอีก!
                 “ในที่สุดก็ผ่านประตูเงินประตูทองมาได้ครบแล้วนะครับ เชิญเจ้าบ่าวไปรับตัวเจ้าสาวได้เลยครับ”
                 เสียงปรบมือเฮดังลั่น ก่อนที่จิรณัฐจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ แล้วเดินออกไปรอที่หน้าประตูห้องรับรอง ร่างบางมองเจ้าบ่าวที่อยู่ในสภาพเหงื่อไหลไคลย้อยเหมือนเพิ่งวิ่งจากเชียงใหม่ไปยะลาอย่างสมเพช 

ใครก็ได้เอาทิชชูมาซับเหงื่อให้ณัฐวีร์ทีเถอะ ไหลเป็นน้ำก๊อกแล้วตอนนี้
                 “สภาพคุณนี่ทุเรศจริงๆ” เธอพึมพำบอกอีกฝ่ายก่อนจะหันไปหยิบผ้าที่วางอยู่ใกล้ๆ มาเช็ดหน้าให้ว่าที่สามี ไม่ได้สนใจเลยว่านั่นคือผ้าขี้ริ้วที่เอาไว้เช็ดโต๊ะ “เต้นเก่งเหมือนกันนะเราเนี่ย สมัยเรียนคงหัวหอกเรื่องพวกนี้เลยละสิ”
                 “อยู่ในสายเลือดเลยแหละ” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะขยับหน้าไปใกล้ภรรยาเพื่อให้เธอเช็ดเหงื่อได้ถนัด ขณะที่ตากล้องในงานพากันมารุมถ่ายภาพความเอาใจใส่ของเจ้าสาว ราวกับจะเก็บให้ได้ทุกช็อต
                 “เจ้าบ่าวเจ้าสาวมองกล้องนี้หน่อยครับ!”
                 “ยิ้มไว้นะครับ มองตากันด้วยครับ สวยครับสวย!”
                 จิรณัฐลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แม้สายตาจะมองเจ้าบ่าวพร้อมกับยิ้มหวาน แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนเต็มทน ทว่าก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น
                 น่าเบื่อชะมัด...
                 เมื่อไหร่พิธีแต่งงานปลอมๆ นี่จะเสร็จสักที


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น