๑๕

๑๕

ความสับสนอลหม่านของหัวใจ

“ผมรู้จากคำพูดและท่าทางของคุณนั่นแหละครับ” คนรอเอาคืนพูดพลางยิ้มกว้างอย่างถูกใจ “แต่ถ้าคุณกินเป็นลองกินให้ดูหน่อยสิครับ”

“...” 

คนถูกท้าให้ลองกินถึงกับนิ่งอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“นิ่งแบบนี้แสดงว่าไม่กล้ากิน แต่จำได้ไหมว่าตอนคุณท้าให้ผมกินกบผัดเผ็ด ผมยังกล้ากินให้ดูเลยนะครับ แล้วทำไมแค่ปลาไหลผัดเผ็ดคุณถึงไม่กล้ากินล่ะ”

คราวนี้กัตติกาเพิ่งรู้ถึงความหมายของสำนวนที่ว่า ‘อยากร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตา’ ที่มักพบเจอจากการอ่านหนังสือนิยายจีนว่าเป็นเช่นไร ทั้งรู้ซึ้งถึงสำนวนไทยที่ว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นจะถึงตัวด้วยเช่นกัน พลางมองไปยังปลาไหลผัดเผ็ดด้วยท่าทางสยดสยอง

ไม่น่าเลย ตอนสั่งลืมคิดว่าตัวเองกินไม่ได้ คิดแต่จะแกล้งอีกฝ่ายอย่างเดียว

“คุณพูดเหมือนว่ากินเป็นอย่างนั้นแหละ”

“ไม่ใช่เหมือนว่ากินเป็น แต่ผมกินเป็นต่างหาก” 

เมื่อพูดว่ากินเป็น ภาคินก็ต้องแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากินเป็นจริงๆ โดยการตักอาหารที่กำลังพูดถึงใส่ปากเคี้ยวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย แม้ความเป็นจริงจะไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยก็ตาม จากนั้นก็รีบกลืนลงท้องอย่างรวดเร็วตามด้วยการดื่มน้ำตามด้วยท่าทางเป็นปกติ

“เดือนไม่คิดเลยนะคะว่าคุณเมฆจะกินเป็น” สิตางศุ์คิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะระหว่างปลาไหลกับแย้ เธอคิดว่าแย้น่าจะกินง่ายกว่า

“เพื่อนๆ ผมสั่งมากินกันบ่อยครับเลยต้องกินตาม” ความจริงเขากินตามนับครั้งได้ “แล้วตกลงคุณกัตติกากล้ากินไหมล่ะครับ”

คนที่นั่งภาวนาให้เลิกพูดเรื่องปลาไหลผัดเผ็ดได้แต่แอบสะอื้นไห้อยู่ในใจ เวรกรรมของเธอจริงๆ นี่แหละที่เขาบอกว่ากรรมเดี๋ยวนี้ติดจรวด ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ไม่น่าเลยจริงๆ 

แล้วจะให้เธอไม่รับคำท้าเหรอ เสียฟอร์มตายเลย คงต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไปแหละ

“แกก็กินได้ไม่ใช่เหรอดาว”

แทนที่จะช่วยญาติสาว สิตางศุ์กลับเข้าข้างนายตำรวจหนุ่มซะงั้น ด้วยอยากแก้เผ็ดที่อีกฝ่ายช่างแกล้งคนอื่นดีนัก 

“ฉัน...”

กัตติกามองญาติสาวตาขุ่นเขียว แทนที่จะเลือกเข้าข้างกัน มีร้อยเหตุผลที่จะช่วยเธอให้รอดพ้นจากสภาวะคับขันตรงหน้าได้ เช่นพูดว่าดาวกินไม่ได้หรอกค่ะเพราะแพ้ปลาไหลหรืออะไรก็แล้วแต่ ดันมาพูดย้อนถามเช่นนี้อีก ซึ่งไม่มีหนทางรอดให้เธอเลย

ทางเดียวที่ทำได้คือยอมรับชะตากรรม เอาละกินก็กินวะ

“กินได้สิ ทำไมจะกินไม่ได้”

พูดจบกัตติกาก็ตัดใจตักอาหารที่ตัวเองบอกว่ากินได้เข้าปาก รีบเคี้ยวแล้วกลืนลงท้องด้วยความขยะแขยง ตามด้วยการดื่มน้ำจนหมดแก้ว

“แหม...คุณก็รีบกินจัง ผมกำลังจะบอกว่า ถ้าไม่สะดวกกินก็ไม่ต้องกิน ผมไม่ว่าอะไรหรอก”

ดวงตาทั้งคู่ของคนกินไปแล้วแทบจะลุกเป็นไฟ แม้จะรู้ว่าถูกอีกฝ่ายเอาคืนแต่ก็อดโกรธเคืองไม่ได้ เพราะถ้าเขาบอกเร็วกว่านี้เธอคงไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไปหรอก

อยากรู้นักว่าถ้าต่อยหน้าตำรวจสักเปรี้ยงจะต้องเสียค่าปรับเท่าไหร่

“เพราะปลาไหลหน้าตามันคล้ายงูเกินไปอย่างที่คุณเดือนว่านั่นแหละครับ ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงมักจะขยะแขยง แล้วหนังปลาไหลก็ลื่นๆ เป็นเมือกๆ อีกต่างหาก”

สิ่งที่นายตำรวจหนุ่มบรรยายทำให้คนเพิ่งกินและกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธคุกรุ่นแทบจะขย้อนเอาอาหารที่ตัวเองเพิ่งกินออกมาเลยทีเดียว คนบ้า จะพูดให้ได้อะไรขึ้นมา เพราะตอนนี้ภาพที่ว่าผุดขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งคิดยิ่งขยะแขยง จนลืมไปว่าก่อนหน้านี้ตัวเองก็พูดทำนองนี้ใส่อีกฝ่ายเช่นกัน ตอนคะยั้นคะยอแกมบังคับให้กินกบผัดเผ็ด 

“แกกินได้นี่นาดาว เมื่อก่อนฉันได้ยินแกบอกว่าเป็นตายยังไงก็ไม่กิน”

สิตางศุ์พูดยิ้มๆ ทั้งนึกอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ นัก กลับถึงบ้านมีหวังถูกคนเป็นญาติเล่นงานเป็นแน่

“แล้วทำไมจะกินไม่ได้ล่ะ...”

กัตติกาพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงักกลางคัน เมื่อเห็นหญิงสาวร่างท้วมในชุดแซ็กสีฟ้าอ่อนเดินถือถาดเข้ามาหาที่โต๊ะซะก่อน บนนั้นมีจานอาหารบางอย่างวางอยู่  

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าอาหารถูกปากกันหรือเปล่าคะ” ผู้พูดวางถาดในมือลง พร้อมเอ่ยทักทายยิ้มๆ

กัตติกาที่กำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ไม่ดีมากถึงมากที่สุดเกือบจะพูดออกไปแล้วว่า อาหารไม่ถูกปากแล้วจะกินเข้าไปได้ยังไง ดีที่ยั้งปากและใจไว้ได้ทัน หญิงสาวมองแล้วก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายคงเป็นเจ้าของร้าน ที่ตาผู้กองบ้าบอกว่าเป็นพี่สาวเพื่อนอย่างแน่นอน

การคาดเดาของกัตติกานับว่าถูกต้อง เพราะร่างสูงของคนไม่ถูกชะตาผุดลุกขึ้นยืน แล้วยิ้มกว้างให้ผู้มาใหม่จนเต็มหน้า

“ว่างแล้วเหรอครับพี่นุชถึงออกมาได้”

ฟังแล้วคนจ้องหาเรื่องก็อดคิดค่อนขอดในใจไม่ได้ว่า

แหม...ถ้าไม่ว่างจะออกมาได้เหรอ แม้แต่พี่สาวของเพื่อนยังต้องยืนให้เกียรติกัน ช่างทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกินพ่อคุ้ณ แต่แม้ในใจจะนึกค่อนขอดเขาอยู่ แต่ก็คอยเงี่ยหูฟังว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน

“ตอนเมฆมาพี่ติดลูกค้าประจำอยู่เลยไม่ได้ออกมาคุยด้วย แต่ตอนนี้ลูกค้าค่อยซาลงแล้วเลยมีเวลาออกมาหาได้ไง”

นุชนารถบอกด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม แต่ดวงตานั้นฉายแววสงสัยอย่างปิดไม่มิด เพราะตอนแรกเพื่อนของน้องชายโทร. มาจองโต๊ะ ทั้งยังบอกว่าจะพาหญิงสาวที่ตัวเองถูกใจมากินอาหารที่นี่ แต่ทำไมตอนนี้มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนั่งอยู่ตั้งสองคนแถมยังหน้าตาละม้ายคล้ายกันอีกต่างหาก

หรือจะพาสาวที่ตัวเองถูกใจทั้งสองคนมาให้ดู แต่เมื่อคิดไปแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ ก็ใครจะถูกใจผู้หญิงทีเดียวสองคนกัน คิดบ้าๆ ไปได้

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่นุช” นายตำรวจหนุ่มบอกพี่สาวของเพื่อนสนิทยิ้มๆ ก่อนจะหันไปแนะนำอีกฝ่ายให้หญิงสาวทั้งคู่รู้จัก

“คุณเดือน คุณกัตติกาครับ นี่คุณนุชนารถ เจ้าของร้านอาหารที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญอยู่ในตอนนี้ครับ”

“สวัสดีค่ะ” สิตางศุ์กับกัตติกายกมือขึ้นไหว้พร้อมกัน “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

“สวัสดีจ้ะ ยินดีเช่นกัน แล้วเมฆก็พูดเกินไป เป็นที่กล่าวขวัญอะไรกัน” เจ้าของร้านสาวเอ่ยถ่อมตัว “แล้วเมื่อกี้พี่ได้ยินเมฆบอกว่าชื่ออะไรกันนะคะ” ถามพลางก็ทรุดนั่งข้างนายตำรวจหนุ่ม

“ชื่อสิตางศุ์เรียกว่าเดือนก็ได้ค่ะ” 

สิตางศุ์บอกชื่อตัวเองยิ้มๆ ตามด้วยกัตติกา 

“กัตติกาหรือดาวค่ะ”

“เดือนกับดาว ชื่อเพราะจัง พี่จำได้ว่าสิตางศุ์แปลว่าดวงจันทร์แล้วกัตติกาแปลว่าดาวลูกไก่” นุชนารถเอ่ยตามที่รู้มา

 “คือเดือนกับดาวเป็นลูกพี่ลูกน้องกันค่ะ พ่อของเราสองคนเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน” สิตางศุ์เป็นฝ่ายอธิบายให้ฟัง เพราะเวลาบอกชื่อของเธอสองคนให้ใครต่อใครฟัง มักจะได้ยินคำพูดทำนองนี้แทบจะทุกครั้ง

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง หน้าตาน้องเดือนกับน้องดาวถึงคล้ายกัน มองเผินๆ เหมือนฝาแฝด”

แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่นุชนารถก็ยังคงคาใจกับเรื่องที่ตัวเองสงสัยอยู่ แต่เดี๋ยวค่อยหาโอกาสสอบถามแล้วกัน

“แล้วอาหารอร่อยถูกปากหรือเปล่าคะ” ถามพลางมองอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเบิกตาโตแล้วอุทานเสียงสูง “นี่กินอาหารป่าเป็นกันด้วยหรือจ๊ะ ปลาไหลก็ยังกินเป็น”

นายตำรวจหนุ่มชำเลืองมองไปยังคนนั่งตรงข้ามแวบหนึ่งก่อนจะตอบยิ้มๆ

“ปลาไหลผัดเผ็ดนี่เป็นอาหารโปรดของคุณกัตติกาเลยครับพี่นุช ส่วนแย้ผัดเผ็ดคุณเดือนก็กินเป็น”

แม้จะนึกสงสัยกับคำเรียกที่ดูแตกต่างกันของเพื่อนสนิทน้องชาย ทว่า...อาหารจานโปรดของหญิงสาวสวยทั้งคู่เรียกความสนใจของนุชนารถได้มากกว่า

“พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้หญิงท่าทางเรียบร้อยแบบน้องเดือนจะกินแย้ผัดเผ็ดเป็น”

คนถูกว่าเป็นผู้หญิงเรียบร้อยยิ้มกว้าง ใครต่อใครที่เห็นเธอครั้งแรกมักจะคิดว่าเธอเป็นคนเรียบร้อยบ้าง กุลสตรีบ้าง แต่ใครจะรู้ว่านั่นคือภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น คงมีคนในเครือญาติเท่านั้นที่รู้แจ้งเห็นจริงว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น

“เดือนเคยกินตอนเป็นเด็กค่ะ กินตามลูกน้องของตาแต่ไม่ได้กินนานแล้ว”

“อ๋อค่ะ อาหารป่าบางอย่างถึงพี่จะเป็นเจ้าของร้านก็เพิ่งจะกินเป็น อย่างแย้ผัดเผ็ดนี่เพิ่งจะเอาลงในเมนูครั้งแรกเลยนะ มีเพื่อนของพ่อครัวเป็นคนทางภาคอีสานนำมาขายให้แบบแล่เป็นชิ้นมาแล้ว แต่คิดว่าจะเอาออกจากเมนูรวมทั้งเมนูอาหารป่าอย่าง กวาง หมูป่าด้วย”

“อ้าว ทำไมล่ะคะ”

ที่สิตางศุ์ถามเพราะความสงสัยไม่ใช่เสียดาย ซึ่งก็ไม่ต่างจากกัตติกาที่รอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน

“กลัวว่าถ้าต่อไปคนติดใจรสชาติแล้วต้องหามาปรุงบ่อยๆ จะถูกกล่าวหาจากพวกอนุรักษนิยมทั้งหลายว่าทารุณสัตว์สิจ๊ะ และตัวพี่เองไม่นิยมด้วยค่ะ สงสารมัน”

“จริงอย่างพี่นุชว่านะคะ”

สิตางศุ์พยักหน้าเห็นด้วย อย่างแย้ผัดเผ็ดถึงแม้ตัวเธอจะกินเป็น แต่ไม่ได้ชอบถึงขั้นสรรหามากินและกินนับครั้งได้ด้วยซ้ำ ตอนกินครั้งแรกยังเป็นเด็ก แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืออะไร และครั้งนี้เห็นคนเป็นญาติสั่งมาเพื่อแกล้งนายตำรวจหนุ่มก็เลยกิน ไม่อย่างนั้นจะเสียของเปล่าๆ

“ผมเห็นด้วยนะครับ พวกอนุรักษนิยมโดยเฉพาะพวกอนุรักษ์สัตว์ยิ่งกำลังจ้องอยู่ ซึ่งผมเองเข้าใจทั้งสองฝ่าย เมื่อก่อนคนจับสัตว์ป่ามากินเพื่อประทังชีวิต แต่ตอนนี้กลายเป็นอาหารยอดนิยมเพราะติดใจในรสชาติ จนตอนนี้สัตว์ป่าบางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์ไปแล้ว สัตว์ทุกตัวต่างรักชีวิตเหมือนคนเช่นกัน”

น้ำเสียงติดเศร้าสร้อยท้ายประโยคของนายตำรวจหนุ่ม ทำให้กัตติกานึกชื่นชมความคิดอยู่ในใจ แต่แค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น หญิงสาวพร่ำบอกตัวเอง ก่อนจะย้ำกับตัวเองว่าต่อไปเธอจะไม่กินอาหารป่าอีกแล้ว

“โชคดีที่พี่เพิ่งเปิดร้านไม่นาน อาหารป่าบางอย่างลูกค้ายังไม่ค่อยกล้าสั่งมากินนัก ยกเลิกเมนูคงไม่มีใครสังเกต” นุชนารถบอกก่อนจะหันไปทางกัตติกาที่กำลังเท้าคางฟังเพลินๆ อยู่ “เมื่อกี้เมฆบอกว่าน้องดาวกินปลาไหลผัดเผ็ดเป็น แถมเป็นอาหารจานโปรดอีกต่างหาก พี่ละทึ่งจริงๆ พี่เองยังไม่กล้ากินเลย”

คำพูดของเจ้าของร้านสาวทำเอาภาคินแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ ยิ่งเห็นหน้าของคนที่ถูกเข้าใจผิดว่าปลาไหลผัดเผ็ดเป็นอาหารจานโปรด และกำลังเขม้นมองมายังเขาตาเขียวปั้ดก็ยิ่งขำหนัก ซึ่งในความขำนั้นมีความรู้สึกบางอย่างแทรกอยู่จางๆ 

คนอะไรโกรธยังน่ารัก ครั้นคิดแล้วนายตำรวจหนุ่มก็รีบหยุดความคิดตัวเองลงทันที แต่ดูเหมือนจะยากยิ่งนัก นี่เขาเป็นอะไรไปเนี่ย หญิงสาวที่เขาต้องตาต้องใจชื่อเดือนไม่ใช่ดาว ท่องไว้ ท่องไว้

ดาว ดาว ดาว แต่...นี่คือชื่อที่เขากำลังท่อง จนนายตำรวจหนุ่มต้องยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเองเพื่อเตือนสติ 

ส่วนคนถูกแกล้งว่าปลาไหลผัดเผ็ดเป็นอาหารจานโปรด หลังจากส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายไปยังคนแกล้งแล้ว จะตีหน้ายังไงได้นอกจากยิ้มแห้งๆ 

“ก็...พอกินได้ค่ะแต่ไม่ถึงกับโปรด นานๆ กินครั้งนึงเหมือนเดือนแหละค่ะ”

นี่คงเป็นครั้งแรกที่คนพูดจาฉะฉานอย่างกัตติกาพูดจาอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำนัก

“อ้าว เมื่อกี้ผมได้ยินคุณกัตติกาบอกว่า ชอบกินปลาไหลผัดเผ็ดมากถึงมากที่สุดไม่ใช่หรือครับ” ภาคินเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า 

“...”

ดวงตาของคนถูกหาว่าชอบปลาไหลผัดเผ็ดมากถึงมากที่สุดเป็นประกายวาวจ้าและอึ้งไปชั่ววินาที เธอพูดคำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คนอะไรโกหกกุเรื่องมาพูดหน้าตาเฉย ชื่อเล่นสมกับสำนวนไทยที่ว่ายกเมฆนัก 

“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย หูคุณน่าจะมีปัญหานะคะผู้กองเมฆ” คำสุดท้ายคนพูดเน้นย้ำเสียงหนักๆ 

“เอ...แต่ว่าผมได้ยินจริงๆ นะครับ คุณยังบอกว่าแม้ปลาไหลหน้าตาอาจจะคล้ายงูดูไม่น่ากินเท่าไหร่ แต่เนื้อกับหนังแหยะๆ ของมันอร่อยนักหนา”

คำพูดของนายตำรวจหนุ่มทำเอากัตติกาแทบอยากจะยกมือข่วนหน้าที่เจือด้วยรอยยิ้มของคนพูดให้เป็นรอยนัก จะพูดทำไมนักหนา ก่อนหน้านี้ก็พูดอย่างนี้ออกมาหนนึงแล้ว หญิงสาวรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเอาคืนเธอนั่นแหละ 

ตำรวจอะไรเจ้าคิดเจ้าแค้นนัก ฝาก...ฝากไว้ก่อนเถอะ คนเป็นทหารทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้นกว่าอาฆาตอยู่ในใจสิตางศุ์ชำเลืองมองหน้าบูดๆ ของญาติสาวแล้วอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ แกล้งเขาไว้ดีนัก เป็นไงล่ะโดนเอาคืนซะแล้ว

“มันจริงอย่างที่เมฆว่านั่นแหละ พี่เองอย่างที่บอกว่ายังไม่กล้ากิน คือ...จะลองกินหลายครั้งแล้วแต่ยังทำใจไม่ได้ เพราะพอนึกถึงว่าหน้าตามันคล้ายงูก็กินไม่ลงทุกครั้ง”

นุชนารถบอกยิ้มๆ โดยไม่คิดอะไร แต่คนที่คิดตามอย่างกัตติกาแทบจะสำรอกอาหารที่ว่าออกมาในทันที

โอย...เลิกพูดถึงปลาไหลกันได้แล้ว จะพูดถึงกันให้ได้อะไรขึ้นมา

“ตอนแรกผมก็ไม่กล้ากินเหมือนกันครับ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นอาหารโปรดของคุณกัตติกา คนเราดูหน้าอย่างเดียวไม่ได้จริงๆ”

“คุณพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงคุณผู้กอง” คนถามเอ่ยถามเสียงเขียวไม่ต่างจากดวงตา

“ผมไม่ได้มีความหมายอะไรซ่อนอยู่หรอกครับ แค่คิดว่าผู้หญิงหน้าตาสวยๆ อย่างคุณไม่น่าจะกินปลาไหลได้ เพราะส่วนใหญ่พอผู้หญิงได้ยินชื่อก็พากันกลัวแล้ว”

คำว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณทำเอาคนฟังรู้สึกขัดเขินจนต้องหยิกตัวเองหลายต่อหลายครั้ง รีบบอกกตัวเองว่า ยายกัตติกา...หล่อนจะเขินทำไมยะ เขาพูดกระแนะกระแหนต่างหากไม่ได้ชม สังวรณ์ไว้ด้วย หล่อนแกล้งเขาซะขนาดนี้ เขาจะชมว่าสวยเพื่อ...

หลังบอกตัวเองเสร็จกัตติกาก็แก้ขวยด้วยการมองไปยังจานอาหารบนถาดแล้วพูดขึ้นว่า

“แล้วพี่นุชถือจานอะไรมาด้วยคะ หน้าตาน่ากินจัง”

“ปลาไหลผัดกะเพราหรือเปล่าครับ”

คนเพิ่งกล้ำกลืนกินปลาไหลผัดเผ็ดไปถึงกับสะดุ้งโหยงจนต้องส่งค้อนให้คนพูดขวับใหญ่ นึกโมโหที่อีกฝ่ายเล่นเรื่องปลาไหลไม่ยอมเลิกราซะที

ส่วนสิตางศุ์นั้นถึงกับหัวเราะคิกออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ไม่คิดว่าคนมาดขรึมชอบยิ้มอย่างเดียวอย่างนายตำรวจหนุ่มจะพูดกระเซ้าคนเป็น แค่ต่อล้อต่อเถียงกับญาติสาวของเธอก็น่าประหลาดใจมากพอแล้ว

“ตาคุณไม่ดีหรือไง มองเป็นปลาไหล” กัตติกาพูดเสียงขุ่น

“ครับ” คนถูกหาว่าตาไม่ดีพยักหน้ายอมรับ “ช่วงนี้ตาผมไม่ค่อยดีจริงๆ” เคยมองเห็นแต่เดือนแต่ทำไมตอนนี้มองเห็นแต่ดาวก็ไม่รู้ ประโยคนี้คนพูดเก็บเอาไว้ในใจเท่านั้น

นุชนารถมองเพื่อนสนิทของน้องชายแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ 

“จะว่าเมฆตาไม่ดีคงไม่ถูกต้องนัก ปลาเหมือนกันจ้ะ แต่เป็นปลากะพงผัดกะเพรา”

“ปลากะพงผัดกะเพราหรือคะ แปลกดี เดือนไม่เคยกินเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะกินแต่ต้มยำ ผัดขึ้นฉ่าย หรือไม่ก็ทอดน้ำปลา” 

สิตางศุ์พูดเสียงใสตามด้วยการพยักหน้าเห็นด้วยของกัตติกา

“จริงอย่างที่เดือนพูด ดาวก็ไม่เคยกินเหมือนกันค่ะ”

เจ้าของร้านสาวยิ้มกว้างให้หญิงสาวสวยทั้งคู่

“พี่ลองให้พ่อครัวทำดูเลยเอามาให้ชิมกัน น้องเดือนกับน้องดาวลองกินสิจ๊ะ”

สิตางศุ์ตักกะเพราปลากะพงใส่ปากเคี้ยวแล้วทำตาโต

“อร่อยนะคะ รสชาติกลมกล่อม แต่ถ้าเผ็ดกว่านี้อีกสักนิดจะอร่อยมากยิ่งขึ้นค่ะ” ก่อนจะหันไปทางญาติสาว “แกลองกินดูสิดาว จะได้จำรสชาติไปทำที่โฮมสเตย์ของตาบ้าง”

กัตติกาลองตักมากินแล้วก็มีสีหน้าไม่ต่างจากสิตางศุ์นัก

“อือ อร่อยจริงอย่างที่แกว่า แต่ที่บอกว่าถ้าเผ็ดอีกสักนิดจะอร่อยยิ่งขึ้น แกลืมไปหรือเปล่าว่าคนเมืองกรุงส่วนใหญ่ไม่ได้กินอาหารรสชาติจัดจ้านเหมือนแกกับฉันหรอกนะ”

สิตางศุ์ยิ้มแหยๆ พยักหน้ายอมรับเห็นด้วย

“จริงของแก ฉันดันเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานซะงั้น”

นุชนารถมองแล้วให้นึกเอ็นดูการพูดตรงๆ ไร้จริตของหญิงสาวทั้งคู่ยิ่งนัก

“พี่เองคงต้องเก็บเอาความเห็นของน้องดาวไปพิจารณาเหมือนกันจ้ะ เพราะใช่ว่าคนเมืองกรุงจะกินอาหารรสชาติจัดจ้านกันไม่ได้นี่จ๊ะ คงต้องเพิ่มเติมอีกนิดเพื่อความเหมาะสม”

“สำหรับผมรสชาตินี้คงเหมาะกับตัวเองแล้วครับ” ภาคินพูดยิ้มๆ พลางตักอาหารที่กำลังถูกพูดถึงเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยถนัดอาหารประเภทนี้นัก

“คุณเมฆคงไม่ค่อยได้กินปลาหรือเปล่าคะ” สิตางศุ์ถามยิ้มๆ

“คือผมเคยกินปลาแล้วก้างปลาติดคอตั้งแต่เด็กครับคุณเดือน เลยไม่ค่อยกล้ากินปลา” คนตอบตอบอ่อย 

“แต่กินปลาเยอะๆ ดีต่อตัวเองนะคะผู้กอง จะทำให้เป็นคนฉลาด” คนจ้องหาโอกาสหาเรื่องพูดโพล่งขึ้น

“แต่ถ้าเริ่มกินตอนนี้คงไม่ทันแล้วมังครับ แล้วเผอิญผมฉลาดตั้งแต่เด็กโดยไม่ต้องพึ่งปลา”

ภาคินพูดสวนกลับทันควันโดยไม่ต้องหยุดคิดสักนิด และไม่ได้ตั้งใจจะโอ้อวด แต่เขาฉลาดตั้งแต่เด็กจริงๆ 

กัตติกาฟังแล้วได้แต่อึ้งจนคิดหาคำตอบไม่ทัน ก็...ใครจะคิดว่าจะโดนสวนกลับทันควันเช่นนี้ 

“ตอนเด็กๆ เดือนเคยก้างติดคอเหมือนกันค่ะ ติดจนคิดว่าต้องตายแน่ๆ”

สิตางศุ์พูดขึ้นยิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออกของคนเป็นญาติ นี่ถือว่าฉันช่วยแกนะดาว

“แล้วทำยังไงถึงออกล่ะครับ”

“ตาเอาข้าวสวยปั้นเป็นก้อนกลมๆ แล้วให้กลืนลงคอ แปลกดีนะคะ ก้างก็หลุดหายไปเลยค่ะ”

“แปลกอย่างที่น้องเดือนว่าจริงๆ แหละจ้ะ พี่เองระวังมาก กลัวก้างติดคอ เพราะเป็นคนชอบกินปลา” นุชนารถพูดพลางยิ้มพลาง 

“เป็นความเชื่อของคนโบร่ำโบราณน่ะค่ะ ตาของเดือนมีเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อพวกนี้เยอะแยะ จำไม่หวาดไม่ไหว ตัวเดือนชอบกินปลาเหมือนกันค่ะ ชอบอาหารทะเลทุกชนิดยกเว้นกุ้งที่กินแล้วแพ้”

“ว้า น่าเสียดายจัง พี่มีอาหารเมนูกุ้งจะแนะนำให้ลองชิมอยู่พอดี”

“ผมแนะนำไปแล้วครับ เสียดายเหมือนกันที่คุณเดือนแพ้กุ้ง”

นายตำรวจหนุ่มพูดขึ้นพลางชำเลืองมองไปยังคนนั่งเยื้องๆ เพราะเขารู้เรื่องที่ว่าจากอีกฝ่าย นึกสงสัยว่าทำไมปกติพูดจ๋อยๆ แต่ตอนนี้กลับนั่งเงียบไม่พูดไม่จา

“นั่นสิ น่าเสียดาย” 

สิตางศุ์มองอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ บางอย่างยังไม่ถูกแตะต้องเลยด้วยซ้ำแล้วก็ยิ้มน้อยๆ 

“อาหารที่สั่งมาก็หลายอย่างจนจะกินไม่หมดแล้วค่ะพี่นุช แล้วก็อร่อยทุกอย่างด้วย”

“ขอบคุณค่ะที่ชมว่าอาหารอร่อย” เจ้าของร้านยิ้มหน้าบาน “แล้วเมื่อกี้พี่ได้ยินน้องดาวพูดเหมือนมีโฮมสเตย์ด้วยหรือคะ”

“เป็นโฮมสเตย์ของตาที่เมืองจันท์ค่ะ”

“ชื่ออะไรนะจ๊ะ เอาไว้ว่างๆ จะได้ไปเที่ยว”

“เคียงจันท์โฮมสเตย์ค่ะ อยู่อำเภอแหลมสิงห์ ที่เป็นอำเภอชายทะเลของจังหวัดจันทบุรีน่ะค่ะ” สิตางศุ์บอกยิ้มๆ จะได้เป็นการโพรโมตไปในตัว

“ชื่อเพราะจัง เคียงจันทร์ ตามที่พี่เคยอ่านส่วนใหญ่ชื่อของโฮมสเตย์หรือรีสอร์ตมักจะใช้ชื่อจากบนท้องฟ้ามาตั้ง อย่างเช่นเคียงจันทร์ เคียงเดือน เคียงดาว เหมือนชื่อของน้องเดือน น้องดาวไงจ๊ะ”

คนชื่ออยู่บนท้องฟ้าทั้งคู่มองหน้ากันแล้วยิ้มบางๆ ให้กัน โดยเฉพาะสิตางศุ์ เพราะชื่อของเธอเกือบจะกลายเป็นชื่อโฮมสเตย์ของผู้เป็นตาอยู่แล้ว

“เอ...ชื่อของเมฆก็อยู่บนฟ้าเหมือนกันนี่นา” 

พูดจบนุชนารถก็หันไปมองเพื่อนของน้องชายยิ้มๆ 

“พี่นุชว่าอะไรนะครับ” คนมัวแต่คิดอะไรอยู่ในใจเอ่ยถามซ้ำ 

“อ้าวแล้วกันคุณตำรวจ นั่งคิดอะไรอยู่หรือจ๊ะ”

“ก็คิดอะไรเพลินๆ น่ะครับ”

คิดเพลินๆ ของนายตำรวจหนุ่มคือกำลังคิดตามคำพูดของนุชนารถ ที่บอกว่าส่วนใหญ่ชื่อของโฮมสเตย์มักมาจากชื่อบนท้องฟ้า

“พี่บอกว่าชื่อของเมฆก็มาจากบนท้องฟ้าเหมือนกันนี่จ๊ะ”

“อ๋อครับ” คนชื่ออยู่บนท้องฟ้าเหมือนกันยิ้มเจื่อนๆ 

“ถึงอยู่บนท้องฟ้าเหมือนกันแต่เมฆก็ไม่เหมือนดาวกับเดือนนะคะพี่นุช”

“ทำไมคุณถึงว่าไม่เหมือนล่ะ” คนชื่อเล่นว่าเมฆเอ่ยถาม

“เพราะถ้ามีเมฆมากทำให้ฝนตก ส่วนดาวแม้จะดวงเล็กๆ แต่ก็พยายามส่องแสงสว่าง ตามขีดความสามารถของตัวเอง ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”

แม้แต่ชื่อเล่นของคนไม่ถูกชะตากัตติกาก็ยังหาเรื่องเอามาว่าได้

“ใครบอกว่าเมฆไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าไม่มีเมฆฝนจะตกไหมล่ะ ถ้าฝนไม่ตกผู้คนก็เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า จริงไหมล่ะครับ” คนเคยพูดน้อยแต่ตอนนี้กลายเป็นคนพูดมากเถียงกลับทันควัน “ดาวอย่างคุณต่างหากที่ไม่มีประโยชน์เพราะส่องแสงได้เพียงนิดเดียว ถึงจะมีเป็นล้านดวงก็ตาม แล้วคุณรู้ได้ไงว่าดาวพยายามส่องแสง”

คนชื่อเล่นว่าดาวนิ่งอึ้ง เพราะเมื่อคิดตามแล้วก็เป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ แต่เรื่องอะไรจะยอมแพ้ 

“ฝนตกเยอะน้ำท่วมผู้คนก็เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าเหมือนกันแหละ” 

ในเมื่อเถียงเรื่องใครมีประโยชน์มากกว่ากันไม่ขึ้น กัตติกาก็ยกเอาเรื่องฝนมาเถียงซะงั้น 

“แต่ผมคิดว่าน้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง เพราะน้ำท่วมอย่างน้อยก็ยังมีน้ำ”

“ฝนแล้งต่างหากดีกว่าน้ำท่วม เพราะน้ำท่วมทุกอย่างก็พังเสียหาย”

“ไม่จริงเสมอไปหรอกครับ”

“ยังไงฉันก็ว่าเมฆไม่มีประโยชน์”

“ดาวต่างหากไม่มีประโยชน์ เหมือนแค่ประดับไว้บนท้องฟ้ามากกว่า ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่าดาวประดับฟ้าหรือครับ”

“ใครบอกคุณว่าดาวประดับไว้บนฟ้าอย่างเดียว” กัตติกาเชิดหน้าพูดยิ้มๆ

“แล้วคุณว่าประดับที่ไหนได้ล่ะ”

“บนบ่าคุณไงล่ะ เพราะถ้าไม่มีดาว คุณก็จะไม่มียศตำแหน่ง หรือจะเถียง?”

คราวนี้คนมีดาวประดับบนบ่าถึงสามดวงถึงกับอึ้ง ด้วยไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องนี้มาเถียงกับเขา ส่วนคนเถียงแบบแถไปเรื่อยเพราะอยากเอาชนะยิ้มแป้น

นุชนารถส่งสายตาไปยังสิตางศุ์ที่นั่งยิ้มอยู่แวบหนึ่งก่อนส่งเสียงกระแอมกระไอ

“เอ้อ...พี่ว่าทั้งเมฆและดาวมีประโยชน์ทั้งคู่แหละจ้ะ จะน้อยหรือมากเท่านั้น”

“ส่วนเรื่องน้ำท่วมกับฝนแล้ง เถียงกันไปก็ไม่มีวันจบสิ้นหรอก” สิตางศุ์พูดกลั้วหัวเราะ

“นั่นสิ ตอนแรกพี่ได้ยินพูดกันเรื่องเมฆกับดาวอยู่ แล้วไหงกลายเป็นเรื่องน้ำท่วมกับฝนแล้งไปได้ล่ะจ๊ะ” 

 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น