อยากลืมเท่าไหร่ก็จำได้เท่านั้น

 นภเกตน์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงที่พูดเจือแววกระด้างระคนโกรธขึ้ง อย่างที่คนสนิทสนมอย่างธนบดีฟังแล้วอดแปลกใจไม่ได้

“ใช่ โดยเฉพาะคุณเดือน ที่นอกจากลูกค้าจะติดใจเรื่องการทำงานแล้ว ยังถูกตามขายขนมจีบอยู่เป็นประจำ จะว่าไปแล้วที่บริษัทได้งานเข้ามาเรื่อยๆ คุณเดือนก็มีส่วนช่วยไม่น้อย”

“คุณเอกก็พูดเกินไปค่ะ” คนถูกพูดชมต่อหน้าพูดแย้งขึ้น ทั้งนึกภาวนาให้ทุกคนเลิกพูดเรื่องเกี่ยวกับเธอซะทีเถอะ ทั้งที่ปกติฟังแล้วก็ไม่เคยรู้สึกอะไร แต่ครั้งนี้ฟังแล้วหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ขอรับรองว่าคำพูดของคุณเอกเป็นความจริงจ้ะ” พันทิพย์พูดรับรองด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม

“หนูเล็กรับรองด้วยอีกคนค่ะ เพราะเคยเป็นคนรับของฝากทั้งดอกไม้ทั้งขนมจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่นำมาให้คุณเดือนหลายต่อหลายครั้งแล้ว”

นิภาภัทรพูดรับรองอีกคน ทำเอาสิตางศุ์ต้องลอบถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ยังหงุดหงิดไม่หาย ไม่รู้จะพูดกันเพื่ออะไร ซึ่งตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุของอาการหงุดหงิดนั้นมาจากอะไร

“แหม แน่นอนอยู่แล้ว เพราะขนมทั้งหลายที่น้องเดือนได้ ส่วนใหญ่จะเอามาให้หนูเล็กกินนี่นา ส่วนดอกไม้ก็ปักแจกันอยู่ในห้องรับแขก ใช้ประโยชน์ได้ทุกสิ่งอย่าง” พันทิพย์พูดกระเซ้ายิ้มๆ 

“ก็ขนมของกำนัลแต่ละอย่างที่ใครต่อใครเอามาให้คุณเดือนน่ะ ล้วนแล้วแต่ของแพงๆ ทั้งนั้นนี่นาพี่ป้อม ถ้าให้หนูเล็กซื้อกินเองคงไม่มีปัญญาและไม่บังอาจซื้อหรอกค่ะ ลาภปากทั้งนั้น โดยเฉพาะบราวนีรูปหัวใจของผู้กองภาคิน ที่ไปสืบรู้มาว่าราคากล่องละเป็นพันนั่น ทั้งอร่อยทั้งฟินจนกินไม่หยุดเลยค่ะ” สาวอ้วนยอมรับตรงๆ พลางยิ้มกว้าง

“อือ แต่บราวนีรูปหัวใจนั่นอร่อยจริงอย่างที่หนูเล็กว่านั่นแหละ” พันทิพย์เห็นด้วย “แต่ขนมอะไรไม่รู้ ราคาแพงชะมัด อยากรู้นักว่าแพงตรงไหน”

“คนรับอาจชอบของแพงก็ได้นะครับ”

นภเกตน์พูดเสียงเข้มแปร่งหู ทว่าสิตางศุ์ฟังแล้วรู้สึกสาสมใจกับน้ำเสียงที่ได้ยินนัก เพราะฟังคล้ายกับแฝงรอยประชดประชันออกมาด้วย 

“ไม่น่าจะใช่นะคะคุณนภเกตน์ เพราะถ้าคุณเดือนชอบของแพงจริง หนูเล็กคงไม่มีวาสนาได้กินขนมที่ว่านั่นหรอกค่ะ” คนได้กินของฟรีบ่อยๆ บอกยิ้มๆ “แล้วก็แทบไม่เคยเห็นคุณเดือนกินหรือเก็บกลับบ้านเลย มีแต่แบ่งให้กินกันในออฟฟิศทุกครั้ง”

“ใครบอกว่าเดือนไม่ชอบของแพงล่ะคะคุณหนูเล็ก ชอบค่ะ ชอบมากด้วย”

ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้สิตางศุ์พูดเช่นนี้ออกไป อาจเป็นเพราะรู้สึกหมั่นไส้คำพูดของใครบางคนที่นั่งข้างเธอก็เป็นได้

“อ้าว” คนเถียงแทนร้องอ้าวแล้วมองคนพูดอย่างไม่เข้าใจนัก

“อ้อ แสดงว่าผมเข้าใจไม่ผิด”

นภเกตน์พูดพลางยิ้มกว้างจนเต็มหน้า ยิ่งทำให้คนฟังที่เหลือบเห็นพอดีรู้สึกขัดอกขัดใจยิ่งนัก นึกว่าจะได้ยินคำพูดประชดประชันและท่าทางไม่พอใจมากกว่านี้ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเธอจะยิ่งสะใจและดีใจ แต่เปล่าเลย คล้ายกับอีกฝ่ายรู้เท่าทันความคิดอยากเอาชนะของเธอก็ไม่ปาน

ดังนั้นตอนนี้เปลี่ยนเรื่องพูดคงจะเป็นหนทางที่ดีสุดสำหรับเธอ

“แล้วคุณเอกจะพาพวกเราไปกินอาหารที่ไหนหรือคะ”

“นั่นสิคะ หนูเล็กว่าจะถามอยู่พอดี” พอเอ่ยถึงเรื่องกินนิภาภัทรก็ลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่ตัวเองไม่เข้าใจไปทันที “นั่น รถขยับได้แล้วค่ะ ยังกับรู้ว่ากำลังหิว”

“ผมเห็นว่าซันเพิ่งมาจากต่างประเทศคงอยากกินอาหารไทย เลยจะพาไปร้านที่เคยพาพวกคุณไปกินน่ะครับ”

คนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกคงไม่พ้นสิตางศุ์ เมื่อเห็นทุกคนหันไปสนใจเรื่องร้านอาหารแทนเรื่องของเธอ แต่ก็ต้องรีบขยับตัวไปชิดกับพันทิพย์อีกครั้ง เพราะคนที่นั่งชิดเธอทางซ้ายมือซึ่งเมื่อกี้ขยับตัวออกห่าง เริ่มขยับเข้ามาชิดเธออีกแล้ว

จะขยับไปขยับมาทำไมนักหนาไม่เข้าใจจริงๆ สิตางศุ์คงไม่รู้ตัวหรอกว่าหัวใจตัวเองนั้นสั่นไหวเพียงใดกับความใกล้ชิดนั่น

“คุณเอกหมายถึงร้านอาหารตรงถนนศรีนครินทร์ใช่ไหมคะ” คนที่นอกจากจะช่างเมาท์ ช่างสังเกต ยังช่างกินอย่างนิภาภัทรเอ่ยถาม

“ใช่แล้วครับ ร้านนั้นบรรยากาศดีแถมทำเลยังอยู่ริมบึงอีกต่างหาก อาหารก็เป็นอาหารไทยแท้ๆ ที่เดี๋ยวนี้หากินได้ยาก” คนพูดพูดพลางขับรถลัดเลาะแซงซ้ายขวา หลังจากการจราจรที่ติดขัดก่อนหน้านี้กลับมาเป็นปกติ

“แล้วคุณซัน เอ้อคุณนภเกตน์จะกินได้หรือ ที่นั่นอาหารรสชาติค่อนข้างจัดนะคะ” พันทิพย์พูดอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าของดวงหน้าหล่อเหลาของคนถูกถามผุดรอยยิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก “คือเมื่อก่อนโน้นผมอาจจะกินไม่ได้เพราะเป็นคนไม่ชอบอาหารรสจัดครับ แต่เคยมีคนสอนให้กินเลยพอกินได้ แล้วตอนนี้เลยกลายเป็นชอบแล้วครับ” 

“พี่ก็เพิ่งรู้นะว่าเดี๋ยวนี้เอ็งกินอาหารรสจัดได้แล้ว แต่ใครสอนให้เอ็งกินวะ”

“ใครที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร” คนตอบตอบเล่นลิ้นพลางยิ้มกว้างขึ้น ก่อนจะชำเลืองมองไปยังคนนั่งข้างๆ ที่เขาเห็นเพียงปลายจมูกโด่งงามที่เชิดขึ้นเท่านั้น จนนึกมันเขี้ยวอยากจะเอื้อมมือไปบีบแรงๆ นัก

“เอ็งอย่ามาตอบเล่นลิ้นนะซัน หรือว่าเป็นคุณแจนที่สอนให้เอ็งกิน”

คำพูดของธนบดีมีผลให้สิตางศุ์ชำเลืองสายตาไปยังคนถูกถามแวบหนึ่ง แล้วก็รีบหันขวับกลับมานั่งตัวตรงเหมือนเช่นเดิม เมื่อสบเข้ากับดวงตาคมกริบที่มองมาพอดีราวกับรู้ว่าเธอจะชำเลืองมอง 

แจน...ใครกัน! คงเป็นคนรักเขากระมัง แต่เธออยากจะรู้ไปทำไม ช่างปะไร จะแจนไหนก็ช่าง เรื่องของเขาไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอ แต่อาการเสียวแปลบและหน่วงในหัวใจลึกๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันล่ะเกี่ยวกันไหม?

หญิงสาวถามตัวเอง ซึ่งคำตอบที่ได้คือไม่รู้ รู้แต่ว่า ณ ตอนนี้ไม่อยากรับฟังเรื่องของคนอื่น จึงนั่งหลับตาเสีย แล้วก็เผลอหลับไปจริงๆ 

“ไม่ใช่หรอกครับ ผู้หญิงคนหนึ่งเคยสอนผม แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอลืมไปแล้วหรือยัง”

ตอบแล้วนภเกตน์ก็ชำเลืองมองคนที่นั่งทางขวามือ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังขยับตัวยุกยิกอยู่ไม่สุขเกือบตลอดเวลา ทว่าตอนนี้หลับซะแล้ว แถมเอนซบมาทางไหล่เขาด้วย ชายหนุ่มจึงจงใจเอนตัวไปทางซ้าย ซึ่งมีผลให้ร่างที่นอนซบไหล่เขาเอนตามไปด้วย 

ชายหนุ่มยอมรับว่าตอนนี้เขามีความสุข เขาไม่เคยสัมผัสความรู้สึกที่ว่ามานานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ แล้ว และจากการนั่งที่แนบชิด กระทั่งได้กลิ่นหอมจางๆ จากตัวอีกฝ่าย มีผลทำให้อารมณ์ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ค่อยๆ จางหายไป

“อ้าว ไม่ใช่คุณแจนแล้วใครกัน”

“สักวันพี่เอกจะรู้ครับว่าคนที่ผมพูดถึงคือใคร”

พันทิพย์ชำเลืองมองคนพูดนิดหนึ่ง นึกอยากรู้ขึ้นมาตงิดๆ ว่าคนที่ถูกพูดถึงคือใครกัน แต่ใครจะกล้าถามล่ะ ทางที่ดีเปลี่ยนเรื่องพูดจะได้กำจัดความอยากรู้ไปซะ 

“ร้านอาหารที่คุณเอกจะพาไป ป้อมโทร. จองเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่มีโต๊ะว่างพอดี ไปถึงก็ได้กินเลย แล้วไม่รู้ว่าป่านนี้พวกคุณเจตน์ถึงกันหรือยัง เพราะเห็นออกมาก่อนเราตั้งนาน หรือจะติดอยู่บนถนนเหมือนเราก็ไม่รู้” 

“ถึงจะออกมาก่อนเรา แต่พี่ป้อมก็รู้นี่คะว่าคุณเจตน์ขับรถช้าขนาดไหน อาจจะอยู่ข้างหน้าเรานี่แหละ” นิภาภัทรพูดพลางหาวพลาง

“พี่ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เอ...แล้วทำไมคุณแหววไม่ไปรถคุณเอกล่ะคะ” พันทิพย์เอ่ยถามฆ่าเวลา และคุณแหววที่เอ่ยถึงก็คือณหทัย เลขาฯ ของธนบดีนั่นเอง

“โธ่ ให้ผมห่างกับยายแหววบ้างเหอะ เจอหน้ากันทุกวันที่ทำงาน กลับบ้านก็ยังเจอกันอีก ให้ไปกับคนอื่นบ้างน่ะดีแล้ว”

ที่ธนบดีพูดแบบนี้เพราะณหทัยเป็นน้องสาวของเขา และคนอื่นที่ว่าคือเจตนาซึ่งกำลังดูใจอยู่กับเจ้าตัวนั่นเอง

“แหม ป้อมก็แค่สงสัยนี่คะ แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วค่ะ” 

“เข้าใจอะไรหรือคะพี่ป้อม” นิภาภัทรที่เมื่อกี้ยังมีอาการง่วงเหงาหาวนอนหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งยังเอ่ยถามต่อเสียงระรัว “หรือว่ามีข่าวอะไรที่เล็ดลอดผ่านหนูเล็กไปได้”

“เรื่องนี้หนูเล็กต้องคอยสังเกตเอาเองแล้วกันจ้ะ พูดมากไม่ได้เดี๋ยวจะเจ็บปาก” พันทิพย์นำคำคมในโลกโซเชียลมาใช้

“แหม ใช้คำทันสมัยซะด้วย อ้าว...คุยกันเพลินถึงร้านอาหารพอดี”

พันทิพย์หันไปทางหญิงสาวรุ่นน้องก็เห็นเจ้าตัวยังนั่งนิ่งหลับสนิท แถมเอนซบไปทางชายหนุ่มหน้าหล่ออีกต่างหาก ครั้นมองแล้วก็ยิ่งตอกย้ำความคิดในใจว่า หน้าตาของทั้งคู่ดูสวยหล่อเหมาะสมกันดีจังแถมคล้ายกันอีกต่างหาก ทว่าเมื่อคิดไปแล้วก็ขำตัวเองที่คิดอะไรบ้าๆ จึงรีบสะกิดที่แขนของคนหลับทันที

“น้องเดือน น้องเดือนถึงแล้วจ้ะ”

คนเผลอหลับแถมหลับสนิทลืมตาขึ้น พอรู้ว่าตัวเองกำลังเอนซบไหล่ใครบางคนอยู่ก็รีบกระเถิบไปทางขวาทันที ดวงหน้านั้นร้อนผ่าวด้วยความอับอาย นึกด่าความไม่ระวังตัวของตัวเองแต่จำต้องพูดแก้เก้อออกไปว่า

“ขอโทษค่ะ” 

“ไม่เป็นไรผมไม่ถือ” คนตอบตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่านัยน์ตาทั้งคู่ไหวระริก

“เอาละพวกคุณลงตรงนี้แล้วเข้าไปในร้านเลยแล้วกัน เดี๋ยวผมเอารถไปจอดก่อน” ธนบดีบอกทุกคน

“ค่ะเจ้านาย”

พันทิพย์ก้าวลงจากรถไปก่อน ตามด้วยสิตางศุ์ที่รีบก้าวลงจากรถทันที คล้ายกับว่าถ้าอยู่ในรถต่ออีกแค่นาทีเดียวจะทนไม่ได้ ความจริงคือเธออายที่เผลอซบไหล่ของนภเกตน์ต่างหาก

“เมื่อยมากหรือจ๊ะน้องเดือน ทำยังกับนั่งอยู่ในรถป๊อกๆ อย่างนั้นแหละ นี่รถเบนซ์เชียวนะจ๊ะ” พันทิพย์เอ่ยแซวขำๆ เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนลงจากรถของหญิงสาวรุ่นน้อง 

“เมื่อยมากค่ะพี่ป้อม” บอกพลางบิดเนื้อตัวและขยับแขนไปมา กระทั่งไปถูกร่างสูงใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ “ขอโทษค่ะ ไม่ทันเห็น”

“แต่ผมทันเห็น” นภเกตน์กระซิบพร้อมกับยิ้มกริ่มแฝงเลศนัย ที่มีแค่ชั่วพริบตาก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนแรกสิตางศุ์ก็ไม่เข้าใจความหมายนัก แต่เมื่อนึกถึงเมื่อกี้ที่ตัวเองยกแขนขึ้นเพื่อขับไล่ความเมื่อยขบ และด้วยชุดที่สวมใส่วันนี้เป็นผ้ายืดค่อนข้างแนบลำตัวจนเน้นส่วนสัด

ฉับพลันสิตางศุ์ก็อ่านความหมายจากนัยน์ตาของเขาออก ที่เขาพูดหมายความว่า...

ถ้าทำได้อย่างใจนึก เธออยากจะควักลูกตานั่นออกมานัก

“เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะน้องเดือน หนูเล็กเดินไปโน่นแล้ว ไม่รู้ว่าพวกนั้นมากันหรือยัง”

“ค่ะพี่ป้อม” พูดจบหญิงสาวก็ก้าวตามพันทิพย์เข้าไปด้านใน โดยไม่เหลียวกลับไปมองด้านหลังอีกเลย จึงไม่รู้ว่ามีใครบางคนมองตามหลังจนลับจากสายตา

“มองอะไรเหรอซัน”

เสียงของธนบดีทำเอาคนกำลังมองตามหลังร่างระหงสมส่วนของหญิงสาว เจ้าของชื่อที่มีความหมายว่าพระจันทร์ไปจนลับตาสะดุ้งโหยงก่อนจะย้อนถามกลับ

               “แล้วพี่เอกคิดว่าผมมองใครล่ะครับ” 

“เอ็งไม่ต้องมาย้อนถามพี่เลยนะ เห็นชัดๆ ว่ามองตามหลังคุณเดือนอยู่” ธนบดีว่าคนพูดย้อนไม่จริงจังนัก

“ผมอาจจะมองคุณป้อมหรือคุณหนูเล็กก็ได้นี่ครับ”

“เอาละ พี่ไม่เถียงด้วยแล้ว เอ็งจะมองใครหรือไม่มองใครก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจนะซัน แต่ตอนนี้เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า”

ดวงหน้าของนภเกตน์ฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ที่น้อยครั้งนักจะมีใครได้เห็นออกมา ก่อนจะก้าวตามหลังชายหนุ่มรุ่นพี่เข้าไปภายในร้านอาหาร

วันนี้นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของการกลับมาเจอกันอีกครั้งจริงๆ แม้จะได้รับการหมางเมินแถมทำเป็นไม่รู้จักจากเจ้าตัวก็ตาม แต่มีหรือคนอย่างเขาจะยอมแพ้หรือหันหลังกลับ

เส้นทาง...มีไว้ให้เดินไปข้างหน้าเท่านั้น แม้จะไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่เขาจะเดินต่อไปและทำให้พระจันทร์ของเขา กลับมาเป็นของพระอาทิตย์เช่นเขาเหมือนเดิมให้ได้

นภเกตน์คิดอย่างหมายมั่นปั้นมือ 

ภายในร้านอาหารที่พอย่างเท้าเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศและกลิ่นอายแบบไทยแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมฟุ้งจากบรรดาไม้ดอกทั้งหลายที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่ง ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้โบราณซึ่งมีชื่อติดอยู่ทุกต้น ทั้งนมแมว จำปา จำปี ยี่หุบ ราชาวดี และอีกหลายชนิด ที่บางชนิดหาดูได้ยากยิ่งในสังคมเมืองปัจจุบัน

โต๊ะที่สั่งจองไว้อยู่ในศาลาทรงไทยขนาดย่อมซึ่งยื่นออกไปในบึงน้ำกว้างใหญ่ ในนั้นเต็มไปด้วยดอกบัวสีชมพูที่กำลังชูช่อล้อลมรับแสงแดดอยู่ สายลมเฉื่อยๆ พัดโชยเอากลิ่นของธรรมชาติรอบตัวมาให้ได้สัมผัส นภเกตน์เหลียวมองรอบตัวพลางสูดกลิ่นสดชื่นเข้าไปจนเต็มปอด รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

“บรรยากาศดีจังพี่เอก อากาศไม่ยักร้อน คงเป็นเพราะต้นไม้ใหญ่รอบๆ กับน้ำในบึงนี่มังครับ”

“ใช่” ธนบดีพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อยิ้มๆ “เวลามีเพื่อนต่างชาติมาพี่ก็ชอบพามากินที่นี่แหละ ที่ได้มากกว่ารสชาติของอาหารก็คือบรรยากาศ ชื่อร้านก็ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย ครัวริมบึง” 

“แต่หนูเล็กว่าความอร่อยของอาหารก็พอๆ กับบรรยากาศนั่นแหละค่ะ” คนช่างกินอย่างนิภาภัทรบอกแล้วก็อุทานออกมาเสียงดังลั่น “นั่นพวกคุณเจตน์มาพอดี”

คนที่นำหน้ามาคือเจตนาหนุ่มใหญ่หัวหน้าสถาปนิกของบริษัท ตามด้วยณหทัยหญิงสาวรูปร่างผอมสูง น้องสาวของธนบดี ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นเลขาฯ พ่วงอีกตำแหน่ง ตามด้วยศิรดาซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคล และปิดท้ายด้วยอรวรรณ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์

“อ้าว แล้วคนอื่นๆ ที่วันนี้มาไม่ทันเข้าประชุมล่ะ” เ

คนเป็นเจ้านายเอ่ยถามด้วยความสงสัย ด้วยเป็นเช้าวันจันทร์และที่สำคัญฝนตกหนักจึงมีผู้เข้าประชุมไม่ครบ

“อ๋อ คนอื่นๆ บอกว่ามีนัดแล้วค่ะพี่เอก” ณหทัยบอกกับพี่ชาย “เลยปลีกตัวมาไม่ได้”

“อือ ไม่เป็นไร เอาไว้ค่อยเลี้ยงใหญ่อีกทีแล้วกัน ใช่ไหมซัน”

“ครับ” คนถูกถามพยักหน้าพร้อมกับรับคำด้วยเสียงหนักแน่นจริงจัง พลางชำเลืองมองไปยังใครบางคนแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มน้อยๆ “เลี้ยงใหญ่แน่นอน”

หลังเห็นทุกคนทรุดนั่งเรียบร้อยแล้ว ธนบดีก็หันไปพูดกับเจ้าภาพ

“พี่สั่งอาหารที่เคยสั่งประจำไว้ อย่างพวกแกงเขียวหวานหมึกยัดไส้ ทอดมันปลากราย ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง แล้วก็ต้มยำปลากะพง เอ็งอยากจะสั่งอะไรเพิ่มก็สั่งเลย หรือจะลองต้มยำกุ้ง ที่นี่ใช้กุ้งก้ามกรามที่หากินได้ยาก แกงส้มไข่ทอดชะอมที่นี่ก็อร่อยมาก...”

ธนบดีพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องชะงัก เพราะสิตางศุ์กับนภเกตน์พูดออกมาพร้อมกันว่า

“มีคนแพ้กุ้งน่ะครับ สั่งอย่างอื่นดีกว่า” 

“มีคนแพ้ชะอมน่ะค่ะ สั่งอย่างอื่นดีกว่า”

ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำเอาแต่ละคนต่างหันมามองทั้งคู่เป็นตาเดียวกัน และสายตาแต่ละคู่ที่มองนั้นเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย 

“ทำไมเอ็งถึงรู้ล่ะซันว่าคุณเดือนแพ้กุ้ง” ธนบดีเป็นคนแรกที่เอ่ยถามนภเกตน์ ก่อนจะหันไปทางสิตางศุ์ “แล้วคุณเดือนทำไมถึงรู้ว่าซันแพ้ชะอม”

ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของทุกคนในโต๊ะมองไปยังคนถูกถามทั้งคู่แล้วรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ

นภเกตน์มองไปยังคนที่พูดพร้อมกับเขาด้วยนัยน์ตาคมเป็นประกายวิบวับ

อ้อ...ยังจำได้ว่าเขาแพ้ชะอม แสดงว่ายังเหลือเยื่อให้สานไยต่อ ชายหนุ่มรู้สึกหัวอกหัวใจพองโตจนแทบระเบิดออกมา แต่ที่ทำได้ในตอนนี้คือปั้นหน้าให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ แล้วตอบเสียงเรียบๆ ออกไปว่า

“คือผมเห็นคนส่วนใหญ่ชอบแพ้กุ้งกันน่ะครับพี่เอก บางคนแพ้ถึงขั้นเป็นผื่นขึ้นทั้งตัวต้องพาส่งโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว เลยพูดเผื่อๆ ไว้ ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณเดือนแพ้กุ้ง เพิ่งจะพบกันวันนี้เป็นครั้งแรก”

คำพูดสุดท้ายของนภเกตน์เน้นย้ำเป็นพิเศษ

“นั่นสิ” ธนบดีพยักหน้าพลางจ้องหน้าหนุ่มรุ่นน้องตาเขม็ง แต่ก็ไม่พบเห็นร่องรอยพิรุธใดๆ จากดวงหน้านิ่งๆ ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จึงทำได้แค่ขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะหันไปทางหญิงสาวอีกคน

“แล้วคุณเดือนล่ะครับ”

สิตางศุ์เองก็พยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่ภายในใจนั้นสั่นระรัวด้วยกลัวจะเผยรอยพิรุธออกไป

“คือเดือนเคยมีเพื่อนแพ้ชะอมอย่างรุนแรง เพียงแค่ได้กลิ่นเท่านั้นก็เป็นลมหมดสติไปเลยค่ะ จึงคิดว่าเผื่อมีใครแพ้อย่างนั้นบ้างจึงพูดรวมๆ ออกไป เดือนไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณนภเกตน์แพ้ชะอม เพิ่งจะเจอหน้าวันนี้เป็นครั้งแรก”

สิตางศุ์เน้นย้ำประโยคท้ายไม่ต่างกัน นึกด่าตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่ปากไวเผลอพูดแต่เรื่องจริงออกไป ทำไมนะสิตางศุ์ ทำไมต้องจำด้วย ลืมๆ ไปให้หมด ลืมให้สิ้น ตัดบัวไม่ต้องเหลือใย ตัดใจไม่ต้องกลัวเจ็บ

นภเกตน์!

ไม่ต้องมาทำเป็นจำได้เลยนะว่าเธอแพ้กุ้ง ลืมไปเลย ไม่ได้ต้องการให้จดจำ ผู้ชายใจร้าย ใจดำ ขอให้แพ้ชะอมจนเป็นลมแล้วเป็นลมอีกไปเลย หญิงสาวนึกสาปแช่งอยู่ภายในใจ

“นั่นสิคะ คุณเดือนจะรู้ได้ไงว่าคุณนภเกตน์แพ้ชะอม แต่เคยได้ยินอย่างที่คุณเดือนพูดเหมือนกันว่ามีคนแพ้จนหายใจไม่ออก อาการปางตายเลยทีเดียว เพียงแค่ได้กลิ่นเท่านั้น ผิดกับหนูเล็กที่เห็นไม่ได้โดยเฉพาะไข่ทอดชะอม อร่อยจนกินแล้วจะเป็นลม”

นิภาภัทรพูดติดตลกจนทุกคนพากันหัวเราะ ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศที่ดูอิหลักอิเหลื่อในขณะนั้นให้ผ่อนคลายได้ทันที 

“พี่ก็เห็นด้วยกับหนูเล็กนะ คุณนภเกตน์จะรู้ได้ไงว่าน้องเดือนแพ้กุ้ง แต่พี่จำได้ว่าตอนแพ้อาการหนักจริงๆ เป็นผื่นแดงทั้งหน้าและแขนเลย คนแพ้ก็แพ้จริงๆ จังๆ” พันทิพย์พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “พี่ก็ไม่แพ้เหมือนหนูเล็ก เห็นเมื่อไหร่กินจนต้องยอมแพ้ แล้วคุณนภเกตน์อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

คนถูกถามปรายตามองไปยังใครบางคนอีกครั้ง ก่อนจะผุดรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากแล้วตอบเสียงเรียบ

“ผมอยากกินปูไข่หลนทรงเครื่องกับน้ำพริกไข่ปูครับ”

“เอ นั่นเป็นของโปรดของน้องเดือนนี่นา ไม่ยักรู้ว่าคุณนภเกตน์ชอบกินด้วย”

พันทิพย์พูดอย่างสงสัย พลางจ้องหน้าของคนพูดด้วยสายตาค้นหารอยพิรุธ แต่ก็ไม่เจออะไรนอกจากรอยยิ้มน้อยๆ บนดวงหน้าหล่อเหลา และคำตอบด้วยเสียงเรียบๆ เช่นเคย

“ผมก็เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าอาหารที่ผมอยากกินเป็นของโปรดคุณสิตางศุ์ เป็นเรื่องบังเอิญจังนะครับ”

สิตางศุ์ฟังแล้วก็เม้มปากแน่น ไม่ได้นึกดีใจหรือปลาบปลื้มแต่อย่างใดที่อีกฝ่ายจำของโปรดของเธอได้ ทั้งยังแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันสาปแช่งอีกครั้ง ไม่ต้องมาจดมาจำ ไม่ได้อยากให้จำ แต่สิ่งที่พูดออกไปได้ก็เป็นเพียง

“อ๋อ เมื่อก่อนชอบแต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้วค่ะ”

“แต่สำหรับผม ถ้าเคยชอบอะไรแล้ว จะ...เมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ยังชอบเหมือนเดิมครับ” นภเกตน์พูดโต้กลับทันควันพร้อมด้วยรอยยิ้มแฝงอะไรบางอย่าง ที่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ความหมาย แล้วจึงบอกกับพันทิพย์ “คุณพันทิพย์ช่วยสั่งให้ผมด้วยสิครับ”

“ได้ค่ะ แต่คุณนภเกตน์เรียกว่าป้อมเฉยๆ ไม่ต้องมีคุณ หรือจะเรียกว่าพี่ป้อมก็ได้” พันทิพย์บอกชายหนุ่มแล้วจึงเรียกพนักงานมาสั่งอาหารเพิ่ม

“ครับ” นภเกตน์รับคำ “ถ้าอย่างนั้นพี่ป้อมเรียกผมว่าซันก็ได้ครับ”

“ค่ะคุณซัน”

เมื่อพนักงานนำอาหารที่โทร. สั่งไว้ล่วงหน้ามาเสิร์ฟพร้อมด้วยข้าวสวยร้อนๆ ธนบดีก็หันไปบอกวิศวกรคนใหม่และเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ว่า

“ในฐานะเจ้าภาพเอ็งก็ทำหน้าที่ตักข้าวแจกแล้วกัน”

คนถูกสั่งให้ตักข้าวแจกอมยิ้มเล็กน้อย

“ถึงพี่เอกไม่บอกผมก็กำลังจะทำอยู่แล้วครับ”

ร่างสูงใหญ่พูดพลางลุกขึ้นจัดการตักข้าวแจกทุกคน ครั้นมาถึงสิตางศุ์เขาก็ตักให้อีกฝ่ายทัพพีครึ่ง ทั้งที่หลายคนก่อนหน้านี้ตักให้แค่ทัพพีเดียวเท่านั้น พันทิพย์เห็นแล้วจึงอดเอ่ยแซวไม่ได้ 

“เอ๊ะ คุณซันตักข้าวให้ยังกับรู้เลยนะคะว่าน้องเดือนกินข้าวครั้งละทัพพีครึ่ง”

เป็นเพราะกินข้าวด้วยกันแทบทุกวัน ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าเวลาหญิงสาวรุ่นน้องสั่งข้าวมักจะบอกคนตักให้ตักแค่นี้ เจ้าตัวบอกเหตุผลว่าทัพพีเดียวน้อยไป แต่ถ้าเป็นสองก็มากไปเลยขอเพิ่มอีกแค่ครึ่งเดียว

“อ๋อ ผมเห็นตอนนั่งรถมาด้วยกันคุณสิตางศุ์นั่งตัวเกร็ง แถมยังต้องช่วยนวดขาให้ผมตอนเป็นตะคริวอีก ก็เลยคิดว่าน่าจะหิวจัดครับ เลยตักให้มากกว่าคนอื่น”

คนถูกหาว่านั่งตัวเกร็งพยายามข่มกลั้นความรู้สึกขุ่นเคือง เรื่องที่ถูกกล่าวหายังไม่น่าเจ็บใจเท่ากับเรื่องข้าวทัพพีครึ่งนั่น ไม่รู้จะมาจดมาจำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเธอทำไมกัน

เพราะเธอก็พยายามจะลืมเรื่องทั้งหลายทั้งมวลเกี่ยวกับตัวเขาด้วยเช่นกัน

สิตางศุ์คิดอย่างนี้เพราะความเจ็บช้ำ แต่เธอคงไม่รู้ตัวหรอกว่ายิ่งอยากจะลืมเรื่องของอีกฝ่ายมากเท่าใด ก็ยิ่งจะจดจำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาได้มากขึ้นเท่านั้นเป็นเงาตามตัว แถมยังเป็นทบเท่าทวีคูณ คงเป็นอย่างที่เขาว่า...อยากลืมเท่าไหร่ก็จำได้เท่านั้น


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น