บทที่ ๘
ถ้าบรรยากาศวังเวงขนาดนี้ เธอคงไม่กล้าเดินท่อมๆ ผ่านสวนมืดๆ นี้ไปคนเดียวแน่ๆ หญิงสาวมองไปรอบตัวขณะพยายามซอยเท้าเดินตามคนที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าให้ทัน เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องกันให้ระงม บรรยากาศชวนให้ขนลุกเหลือเกินเมื่อมีเสียงใบไม้เสียดสีกันยามลมพัด พอเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก็เห็นใบมะพร้าวโบกไปมา พาให้จินตนาการเป็นภาพคนยืนโงนเงน ไหนจะต้นไม้สูงที่แผ่กิ่งก้านรวมตัวกันอยู่อีกเล่า แค่นึกขนอ่อนทั่วตัวก็ลุกชัน
คีตกาลรีบตวัดสายตามาจับจ้องแต่แผ่นหลังกว้างที่อยู่เบื้องหน้า ไม่พยายามเหลือบแลไปไหนให้ไกลตัว เพราะกลัวจะไปเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้า นี่แค่เดินผ่านรั้วเข้ามาไม่กี่ก้าวเท่านั้นเธอยังสั่นขนาดนี้ ไม่อยากคิดเลยว่าเมื่อเดินลึกเข้าไป กว่าจะถึงบ้านของอินทัชนั้นเธอจะสั่นขนาดไหน
“ขอมือ...”
เจ้าของเสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นถนนเล็กๆ ที่กำลังเดินอยู่นี้มืดสนิท กลัวว่าคนที่เดินตามหลังมาจะหกล้มหกลุกเอาได้ แต่คนที่อยู่เบื้องหลังกลับเงียบสนิท อินทัชชะงักแล้วหยุดเดินเสียดื้อๆ จนคนที่เดินตามมาชนแผ่นหลังแกร่งนั้นเข้าอย่างจัง
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ”
เสียงอุทานดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ คีตกาลยกมือลูบจมูกเบาๆ รีบถอยห่างจากชายหนุ่มทันที เมื่อได้สบสายตาเข้ากับดวงตาคมกริบที่แพรวพราวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เขาบอกเธอว่าไม่ให้ดื่ม แต่ตัวเองนั้นจิบเหล้าแทบจะทั้งคืน แม้เขาจะเดินตรงไม่มีเซ แต่ดวงตาฉ่ำๆ นั้นก็บอกให้รู้ว่าคงกรึ่มๆ อยู่เหมือนกัน
“เจ็บหรือเปล่า”
คีตกาลส่ายหน้าตอบ แม้ที่จริงจะเจ็บอยู่นิดๆ
“ไอ้อิชย์มันจีบคีย์หรือเปล่า”
คีตกาลขมวดคิ้วกับคำถามของอินทัช เพราะปรับอารมณ์รับรู้คำถามของเขาไม่ทัน นึกสงสัยว่าอะไรทำให้เขาคิดไปแบบนั้น หรือจะเป็นท่าทางใจดีของอิชย์ที่มีต่อเธอ
“ปละ...เปล่าค่ะ”
คนหน้าขรึมยิ้มบางๆ ท่าทางพอใจ “ดีแล้ว อย่าเพิ่งรีบมีเลยแฟนน่ะ คีย์ยังเด็ก ยังเรียนอยู่ อีกตั้งสองปีกว่าไม่ใช่หรือกว่าจะจบ”
คำพูดของอินทัชทำให้คิ้วบางที่ขมวดหากันอยู่ก่อนแล้วขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม ความสงสัยเกิดขึ้นทันทีเพราะจำได้ว่าตนไม่เคยเล่าเรื่องการเรียนให้เขาฟังสักนิด
“คุณรู้ด้วยหรือคะ คีย์จำได้ว่าคีย์ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง” คีตกาลเอ่ยถาม
ชายหนุ่มนิ่งไปนิดก่อนจะตอบ “เอ่อ...ผมได้ยินเพื่อนคีย์พูดถึงตอนอยู่ที่โต๊ะน่ะ”
“อ้อ...” หญิงสาวพยักหน้ารับ ความสงสัยในใจเริ่มจางหายไปเมื่ออินทัชไม่มีท่าทีพิรุธใดๆ ให้เห็นเลยสักนิด
“แล้วทำไมคุณถึงถามว่าพี่อิชย์จีบคีย์หรือเปล่าล่ะคะ” คีตกาลย้อนกลับมาอีกเรื่องที่ยังคาใจอยู่
“ก็เห็นเจอกันแค่สองครั้ง แต่พูดคุยสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมาก่อน แถมเรียกแทนตัวไอ้อิชย์ว่า ‘พี่’ เสียด้วย”
หญิงสาวเหลือบตามองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง เท้ากางออกจากกัน ขนาดยืนเฉยๆ ยังมีมาด ท่าทางเข้าถึงยาก บุคลิกแตกต่างจากอิชย์โดยสิ้นเชิง
“คงเป็นเพราะพี่อิชย์เขาไม่ถือตัว อัธยาศัยดี เป็นกันเองกับทุกคนมั้งคะ” คีตกาลทำเสียงอืมในลำคอ “เอาแบบนี้ไหมคะ...ให้คีย์เรียกคุณว่าพี่ เหมือนที่เรียกพี่อิชย์ว่าพี่ จะได้ไหมคะ”
ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่พักทั้งที่ในใจกำลังสั่นระริก ทำสีหน้านิ่งๆ ตามแบบฉบับก่อนพยักหน้ารับ
“ได้สิ...ถ้าเป็นความต้องการของคีย์” อินทัชกระแอมเบาๆ “พี่ว่า...เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ดีไหม”
อินทัชเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกโดยอัตโนมัติตามความต้องการของหญิงสาว มืออุ่นฉวยจับข้อมือเล็กหน้าตาเฉย ก่อนจะพาเดินไปตามทางช้าๆ
จากที่นึกประหวั่นบรรยากาศรอบตัวในคราแรก ตอนนี้คีตกาลกลับอยากให้ระยะทางที่จะเดินไปถึงตัวบ้านทอดยาวออกไปไกลแสนไกล ดวงหน้าหวานกระจ่างก้มลงอมยิ้ม พวงแก้มแดงระเรื่อขึ้น เธอรอคอยการสนทนาจากอีกฝ่าย แต่เดินมาหลายก้าวแล้ว คนที่เดินอยู่เบื้องหน้าก็ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ แล้วหญิงสาวก็ได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ
“ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไรดี” ชายหนุ่มสารภาพออกมาในที่สุด หลังจากที่นึกคำพูดอยู่นาน แต่ไม่กล้าพูดกล้าถามออกไป เพราะแต่ละคำถามในหัวของเขานั้นอาจเป็นการเผยสถานะของตนเองให้หญิงสาวรู้เอาได้
“งั้นให้คีย์ถามได้ไหมคะ คีย์มีเรื่องสงสัยอยู่หลายเรื่องเลย”
“ครับ”
“พี่อินอายุเท่าไหร่คะ”
“สามสิบหนึ่ง”
คิ้วบางขมวดทันที “ห่างจากอินสิบสองปีพอดีเลย ว่าแต่...ทำไมต้องสามสิบหนึ่ง ทำไมไม่สามสิบเอ็ดคะ”
“เรื่องมันยาว อยากฟังไหม”
“อยากค่ะ”
“ยาวนะ”
“ยาวก็จะฟังค่ะ กว่าจะถึงบ้านของเรายังอีกตั้งไกล”
‘บ้านของเรา’
อินทัชมองคีตกาลอย่างมีความหมาย ก่อนจะหันหนีพร้อมกระแอมเมื่อคีตกาลเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย
“การนับเลขของทหารเรือแตกต่างจากคนทั่วไป หรือที่เหล่าทัพทัพอื่นนับกัน คือเลขที่ลงท้ายด้วย ‘เอ็ด’ อย่าง ๑๑ (สิบเอ็ด) ทหารเรือนับว่าสิบหนึ่ง ๑๐๑ (ร้อยเอ็ด) ทหารเรือนับว่าร้อยหนึ่ง การที่เรานับแบบนี้ก็เพราะว่าการนับส่งเสียงขานยอดจำนวนในเรือเพื่อให้คนที่อยู่ในระยะไกลๆ ได้ยินสามารถเข้าใจได้ง่าย ไม่สับสน อย่างจากท้ายเรือถึงหัวเรือ หรือส่งเสียงโดยโทรศัพท์จากชั้นบนลงมาชั้นล่าง ถ้าฟังไม่ถนัดก็อาจจะเข้าใจผิดจาก ๑๑ (สิบเอ็ด) เป็น ๑๗ (สิบเจ็ด) หรือ ๑๗ (สิบเจ็ด) เป็น ๑๑ (สิบเอ็ด) ไป จึงต้องเปลี่ยนเสียงนับให้ต่างกัน และจากการใช้นับในเรือก็ติดขึ้นมาบนบก ทหารเรือเลยใช้วิธีออกเสียงนับเลขที่ไม่เหมือนใคร”
“โห...ยาวจริงๆ ด้วย”
“มีอีกนะ ธรรมเนียมหรือเครื่องแบบของทหารเรือจะไม่เหมือนกับเหล่าทัพอื่นนัก เพราะได้รับอิทธิพลโดยตรงมาจากอังกฤษ ผู้ที่ทรงพัฒนากองทัพเรือจนถึงทุกวันนี้คือเสด็จเตี่ย พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ อาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งพระองค์ท่านทรงเรียนวิชาการทหารเรือมาจากประเทศอังกฤษ เพราะฉะนั้นธรรมเนียมทหารเรือเราจึงอิงมาจากประเทศอังกฤษเสียเยอะ เดี๋ยวพี่จะลองยกตัวอย่าง เผื่อคีย์จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น เครื่องแบบพิธีการของทหารเรือใช้รองเท้าสีขาว แต่กองทัพบกและอากาศรวมทั้งตำรวจใช้สีดำ ทหารบกมีตำแหน่ง ผู้หมู่ จ่า ผู้หมวด ผู้กอง ผู้พัน ส่วนทหารเรือมี จ่า นายตอนหรือพันจ่า สรั่งปืน สรั่งกล ต้นปืน ต้นกล ต้นหน ต้นเรือ นายกราบ ผู้การเรือ”
“ต่างกันเยอะเลยนะคะ แล้ว...พี่อินเป็นทหารเรืออยู่หน่วยไหนคะ”
“พี่ทำงานอยู่ที่กองดุริยางค์ทหารเรือ”
“เล่นดนตรีหรือคะ”
“ครับ ประมาณนั้น หน้าที่ของกองดุริยางค์ทหารเรือคือการมอบความสุขจากเสียงดนตรีให้แก่ประชาชนทั่วไป และลงไปปฏิบัติการจิตวิทยาในภาคส่วนต่างๆ ของกองทัพ กล่อมขวัญทหารทั่วประเทศ ทำหน้าที่เปิดการแสดงในงานพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีการต่างๆ เช่น งานเลี้ยงรับรองพระราชอาคันตุกะ งานของสถานทูตประเทศต่างๆ งานพระราชทานเพลิงศพ รวมถึงงานอื่นๆ ที่มีการขอความสนับสนุนหรือที่ได้รับร้องขอมาด้วย”
“คีย์คุ้นๆ แล้วค่ะ เหมือนจะเคยเห็นในรายการทีวี ที่มีการจัดแสดงดนตรีเพื่อหารายได้บำรุงสภากาชาดไทยใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งของภารกิจ”
หญิงสาวนึกไปถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หรือลานพระบิดา ในโรงพยาบาลศิริราช ที่ประชาชนคนไทยได้ร่วมกันจัดพิธีน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี หลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคต
ณ เวลานั้น มารดาเธอรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น ฐานทัพเรือกรุงเทพได้จัดวงดุริยางค์ราชนาวีวงใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ๑๓๐ ชิ้น ไปบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์เพื่อร่วมน้อมดวงใจตามรอยพระราชปณิธาน ร่วมเทิดพระเกียรติและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ รวมทั้งร่วมกันร้องเพลง “ความฝันอันสูงสุด” และเพลงสรรเสริญพระบารมีในค่ำคืนนั้น
เธอยังจำวินาทีนั้นได้มิลืมเลือน การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถือเป็นข่าวที่นำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่พสกนิกรชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่มารดาเธอทราบข่าวการจัดงาน แม้จะเจ็บป่วยจนแทบขยับกายไม่ได้ แต่ท่านก็ขอให้พยาบาลช่วยพยุงพาท่านมาที่ริมหน้าต่างห้อง เพื่อที่จะได้มองลงไปเห็นภาพในวันงานดังกล่าวจากตัวตึก รวมถึงร่วมขับร้องเพลงไปพร้อมกับปวงชนคนไทยที่มาอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น
หญิงสาวกะพริบตาถี่เพื่อไล่น้ำตาที่คลอหน่วย “พี่อินได้ไปร่วมงานของวงดุริยางค์ราชนาวีที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่าคะ”
“ไปสิ งานนั้นเป็นงานที่พี่ตั้งใจไปน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านด้วยความสามารถทั้งหมดที่พี่มี”
“ตอนนั้นคีย์กับแม่อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นด้วยค่ะ ช่วงเย็นก่อนจะเข้าพิธี แม่ยังไปนั่งฟังเพลงพระราชนิพนธ์อยู่ที่ข้างหน้าต่าง ซ้ำยังชมว่าคนที่ร้องเพลงเสียงเพราะ โดยเฉพาะเพลง “แสงเทียน แสงทิพย์”๓ คนคนนั้นใช่พี่อินไหมคะ”
“ครับ พี่เอง”
เสียงนี้นี่เองที่ทำให้มารดาของเธอยิ้มได้ มิน่าเล่าเธอถึงคุ้นเสียงของเขานัก ถึงได้มาสะดุดหูอีกครั้งในวันที่เกิดเรื่องขึ้น หญิงสาวกล้ำกลืนความเศร้าเอาไว้ในอก ก่อนจะซักถามสิ่งที่ตนอยากรู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เพื่อเบี่ยงเบนความเศร้าในใจ
“แล้วทำไมถึงมาเป็นทหารคะ ที่ถามนี่เพราะคีย์เห็นพี่อินชอบดนตรี น่าจะไปเอาดีทางนั้นแบบเต็มๆ ตัวเลย”
“พี่ก็เคยคิดแบบคีย์ แต่แม่พี่กลัวว่าเล่นดนตรีอย่างเดียวจะไปไม่รอด เลยแนะนำให้พี่ลองสอบเข้าโรงเรียนดุริยางค์ทหารเรือเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่ชีวิต เพราะอย่างน้อยจบจากโรงเรียนไปก็ได้รับราชการแน่ๆ แถมได้ทำงานกับสิ่งที่เราชอบด้วย”
“ขอโทษนะคะ แล้วตอนนี้แม่พี่อินไปไหนเสียเล่าคะ”
“ท่านเสียไปหลายปีแล้ว เหลือพี่กับพี่สาว แต่...พี่สาวก็มีครอบครัวไปแล้ว”
“แบบนี้พี่อินเลยต้องอยู่บ้านนี้คนเดียวเลย”
เสียงหัวเราะนุ่มในลำคอทำให้หญิงสาวต้องแหงนหน้ามอง
“พี่อยู่ก็เหมือนไม่อยู่ คีย์ก็เห็น”
“นั่นสินะคะ แล้ว...พี่อินไปเล่นดนตรีที่ร้านทุกคืนเลยหรือคะ”
“ถ้าพี่ไม่ติดงานของทางราชการหรือติดเล่นให้วง พี่ก็มีไปเล่นให้วงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกของมหาวิทยาลัยมหิดลด้วย”
อีกแล้วหรือนี่! ดวงตาของคีตกาลสว่างวาบ เท้าหยุดเดินโดยอัตโนมัติจนทำให้คนที่จับจูงเธออยู่ต้องหยุดเดินตามไปด้วย เธอรู้สึกว่าอินทัชวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตัวเธอมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ได้พบเจอกัน รู้จักกันเท่านั้นเอง
“พี่อินรู้ไหมคะว่าทุกครั้งที่แม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจากโรงพยาบาล แม่ชอบชวนคีย์ไปนั่งฟังเพลงของวงนี้ จำได้ว่าเป็นเพลงคลาสสิกหรือโอเปรา บางทีก็มีเพลงซาวนด์แทร็กประกอบภาพยนตร์เพราะๆ เพลงจากแอนิเมชัน ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าพี่อินจะเล่นในวงนั้นด้วย แต่เท่าที่คีย์ทราบ นักดนตรีของวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกมีแต่อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ไม่ใช่หรือคะ”
“เขามีออดิชันเปิดโอกาสให้นักดนตรีที่มีความสามารถจากภายนอกเข้าร่วมด้วย พี่เลยลองไปดู แล้วก็ได้”
“พี่อินเล่นเครื่องดนตรีอะไรคะ”
“บาสซูน”
หญิงสาวทำหน้างงทันที “บาสซูนคืออะไรคะ”
“บาสซูนเป็นปี่ฝรั่งขนาดใหญ่ รูปร่างแปลกกว่าปี่ชนิดอื่นเพราะมีท่อลมขนาดใหญ่ ได้รับฉายาว่าเป็นตัวตลกของวงออร์เคสตรา เพราะเวลาบรรเลงเสียงมันจะสั้น ๆ ห้วน ๆ เอาไว้คลุมเสียงเบส”
“นึกออกแล้วค่ะ” ดวงตากลมโตวาวโรจน์ขึ้นหลังจากที่คิดอยู่นาน ก่อนจะหรี่แสงลง หญิงสาวทอดถอนใจออกมาจากอก “พูดแล้วก็คิดถึงแม่ขึ้นมาทันทีเลย เพราะเมื่อก่อนคีย์รู้ว่าท่านรักเสียงดนตรีมาก และท่านก็เป็นนักร้องมีชื่อ แต่เพราะแต่งงานกับพ่อเลยต้องเลิก แต่ท่านก็ยังรักเสียงดนตรีอยู่ รักมาก มากจนนำมาตั้งเป็นชื่อของคีย์ ทั้งชื่อจริงชื่อเล่นเลยนะคะ”
“คีต แปลว่า การขับร้อง กาล แปลว่า เวลา ถ้าเอามารวมกันน่าจะเป็น...” ชายหนุ่มเงียบไปเหมือนกำลังคิด
“ห้วงเวลาแห่งเสียงเพลง ชื่อของคีย์...คือความฝันที่แม่ละทิ้งมาไงคะ”
“งั้นแสดงว่าคีย์ก็ต้องร้องเพลงเก่ง เล่นดนตรีได้”
หญิงสาวหัวเราะเสียงดังขึ้นทันที “คีย์ไม่เอาถ่านเลยค่ะ ไม่ได้พรสวรรค์จากแม่มาเลย แม่เคยพูดเล่นๆ ว่าชื่อคีย์แท้ๆ แต่เวลาร้องเพลงหาคีย์ไม่เจอ แถมร้องเสียงหลงอีกต่างหาก”
“จริงหรือ” อินทัชถามเสียงสูง หันมาเลิกคิ้วถามอย่างไม่เชื่อ ก้าวเดินนำชักชวนให้ทั้งคู่เดินต่อไป
“จริงๆ สิคะ คีย์ไม่โกหก”
“วันหลังจะแกล้งให้ขึ้นไปร้องเพลงสักเพลงบนเวที”
“ว้าย ไม่เอานะคะ ถ้าพี่อินทำแบบนั้นคีย์ต้องตายแน่ๆ” หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “ว่าแต่...ทำไมพี่อินต้องทำงานหนักแทบไม่ได้พักแบบนี้ล่ะคะ”
“พี่อยากเก็บเงินสักก้อน ไปทำความฝันของพี่ให้เป็นจริง”
“ความฝันหรือคะ”
“คนเราก็ต้องมีความฝันไม่ใช่หรือ”
“คีย์ถามได้ไหมคะว่าความฝันของพี่อินคืออะไร”
“ได้สิ ความฝันของพี่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร วงดนตรีที่พี่ทำกับเพื่อนตอนนี้เราเป็นวงอินดี้เล่นตามผับตามบาร์ แม้จะเริ่มมีชื่อแต่มันก็ยังไม่ใช่ที่สุด พี่มีความฝันอยากให้วงของพี่มีชื่อเสียง ได้ออกอัลบัมทำแผ่นขาย แต่ค่ายเพลงในเมืองไทยตอนนี้ก็กำลังซบเซา ศิลปินพากันหมดกำลังใจเพราะถูกละเมิดลิขสิทธิ์ แถมยังถูกศิลปินต่างชาติเข้ามาตีตลาดเพลงซ้ำไปอีก พี่เลยอยากไปออดิชันกับค่ายเพลงที่อังกฤษ”
“ที่อังกฤษเลยหรือคะ แล้วงานราชการที่พี่อินทำอยู่ตอนนี้ล่ะคะ” หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นไปมองเสี้ยวหน้าคมสันด้วยความใจหาย อังกฤษจะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ได้ แต่ทำไมมันดูไกลเหลือเกินในความรู้สึกของเธอ
สีหน้าของอินทัชเครียดขึ้นทันที “คงต้องเลือก และพี่ก็ตัดสินใจไปแล้ว”
คีตกาลไม่กล้าถามต่อว่าสิ่งที่อินทัชเลือกคืออะไร เพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ ยิ่งเห็นสายตามุ่งมั่นที่วาวแสงขึ้นก็ยิ่งทำเอาคีตกาลอดใจสั่นไม่ได้ รวมทั้งชื่นชมอินทัชไปในคราวเดียวกัน เขาเกิดมาในครอบครัวธรรมดา แต่กลับมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ ตรงกันข้ามกับเธอ ครอบครัวของเธอพร้อมแสนพร้อมที่จะสนับสนุนเธอในทุกๆ ทาง แต่เธอกลับไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรหรืออยากทำอะไร ปล่อยชีวิตไปวันๆ ไม่เคยต้องดิ้นรนอะไร
ครั้นเงยหน้ามองไปรอบตัวอีกที ทั้งคู่ก็เดินมาถึงตัวบ้านที่เปิดไฟไว้เพียงดวงเดียวตรงทางขึ้น
“คุยกันเพลิน ถึงบ้านตอนไหนไม่รู้เลย” หญิงสาวพูดเก้อๆ แล้วจึงเห็นแสงไฟดวงเล็กๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศ ยิ่งมองไปบริเวณท่าน้ำก็ยิ่งเห็นว่ามันมากมายขนาดไหน โดยเฉพาะตรงพุ่มไม้เล็กๆ ที่อยู่ริมตลิ่ง
“สวยจัง” คีตกาลเอ่ยเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปเหมือนละเมอ พร้อมทั้งยื่นมือออกไปพยายามไขว่คว้าไฟสีเขียวอ่อนที่เห็นมาไว้ในมือ แต่ก็พลาดไปเสียทุกครั้ง
แตกต่างจากมือใหญ่ที่เธอเห็นอยู่บริเวณหางตา เพียงเขาเอื้อมมือไปคว้าครั้งเดียวก็จับหิ่งห้อยตัวเล็กๆ นั้นมาไว้ในมือได้ อินทัชจับมือของคีตกาลขึ้นมาและวางมือของตนคว่ำทับเอาไว้
“อยากดูก็เอาตามาส่องผ่านร่องนิ้วสิ พี่ว่าพี่จับได้สองสามตัวนะ”
“โม้แน่ๆ” หญิงสาวพูดขันๆ ขนาดเธอคว้าอยู่ตั้งหลายทียังจับไม่ได้ คีตกาลวางมือทับลงไปบนมือใหญ่นั้นอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ยื่นใบหน้าเข้าไปส่องดูตรงร่องนิ้ว
“มีจริงๆ ด้วย!” คีตกาลร้องอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าในฝ่ามือของเธอและอินทัชมีหิ่งห้อยถูกขังอยู่ “สวยจังเลยนะคะ”
อินทัชอมยิ้มเอ็นดูความไร้เดียงสาของเด็กสาวตรงหน้า พร้อมกับรู้สึกถึงความใกล้ชิดที่ทำเอาใจเขาแกว่งๆ ไป ยิ่งมือของเขาวางทับอยู่บนฝ่ามือเล็กของเธอ ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นที่ตอนนี้อยู่ใกล้ชิดเหมือนตกอยู่ในวงแขนของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เริ่มคุ้นจมูกโชยออกมาให้ได้ชื่นใจ
“อ้าว...” คีตกาลร้องออกมาอย่างเสียดาย เมื่ออยู่ๆ อินทัชก็หงายฝ่ามือ ปล่อยให้หิ่งห้อยโบยบินออกไปโดยไม่บอกล่วงหน้าสักนิด “ให้คีย์ดูอีกนิดก็ไม่ได้”
“ดึกแล้ว ขึ้นบ้านเถอะ น้ำค้างแรง เดี๋ยวเราจะป่วยเอา”
มือใหญ่วางลงบนศีรษะของหญิงสาวแล้วโยกไปมาเบาๆ ร่างสูงเดินผละห่างออกไปทันทีจนคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังต้องขมวดคิ้วมองตามด้วยความไม่เข้าใจ
อินทัชก้าวขึ้นไปไขกุญแจประตูบ้าน คีตกาลเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ ก่อนจะแยกเข้าห้องที่ตนมายึดครองไว้ หญิงสาวเดินไปนั่งบนเตียงก่อนจะหงายหลังทิ้งตัวลงไปบนที่นอน เอามือวางไว้บนอกเหนือหัวใจตนเอง
สุข...สงบ...สองคำนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงอินทัช ภาพความใกล้ชิดเมื่อครู่ทำเอาคีตกาลยิ้มออกมา หญิงสาวยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจยามที่เธออยู่กับอินทัช แต่เธอไม่มั่นใจในความรู้สึกของอีกฝ่าย อินทัชใจดี เขาทำดีกับเธอ แต่เธอเดาไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไร
น้องสาว...เขาเคยบอกว่ารู้สึกกับเธอเหมือนน้องสาว แต่...เธอไม่อยากเป็นแค่น้องสาว ยิ่งได้มารู้ว่าความฝันของเขาคืออะไรด้วยแล้ว เหมือนความหวังเล็กๆ ในใจถูกดับลง รักระยะไกลยากนักจะสมหวัง แถมรักของเธอก็เป็นรักข้างเดียวเสียด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้คนที่นอนคิดอะไรเพลินอยู่สะดุ้ง ลุกขึ้นมองบานประตูห้องซึ่งถูกเคาะ
“คีย์ พี่ต้มน้ำให้แล้ว รีบมาอาบซะ ดึกแล้ว” อีกฝั่งตะโกนเข้ามา
หญิงสาวยิ้มเหมือนจะสมเพชตนเอง มารบกวนเขา มาอาศัยอยู่บ้านเขา แต่ต้องมาทำให้เจ้าของบ้านเดือดร้อน เธอนี่มันไร้ค่าจริงๆ
เพราะเธอไม่ได้ตอบรับออกไป เสียงเคาะประตูจึงดังขึ้นอีกหน “คีย์”
“ทราบแล้วค่า” หญิงสาวขานรับ ก่อนจะรีบหอบเครื่องใช้ส่วนตัวเดินออกไปนอกห้อง
ความคิดเห็น |
---|