2

บทที่ 1


บทที่ ๑

 

                คนเราจะสามารถตกหลุมรักคนคนหนึ่งจากอะไรได้บ้าง รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ บุคลิก อัธยาศัย หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่มารวมกันจนกลายเป็นคนหนึ่งคน แต่สำหรับเธอ เธอกำลังตกหลุมรักเสียงละมุน นุ่มทุ้ม ฟังดูอบอุ่น เสียงนั้นสะดุดหัวใจทันทีที่ได้ยิน คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเคยได้ยินเนื้อเสียงแบบนี้มาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน

                เสียงเพลงแว่วหวานทำเอาคนฟังหลับตาพริ้ม กล่อมเกลาอารมณ์ของหญิงสาวให้ลอยล่องเคลิบเคลิ้มไปตามบทเพลงที่คุ้นหู เหมือนครั้งหนึ่งที่เคยได้ฟัง แล้วทำให้ความเสียใจที่มีในอก ความทุกข์ ความเศร้าหมองหม่นที่มีในใจอยู่ก่อนหน้านี้แทบมลายหายไปจนสิ้น กลายเป็นความสุขสงบในใจ รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจเหมือนได้รับการปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดแสนอบอุ่น

“เฮ้ย...คนอย่างแน่น โชคดีจริงๆ ที่โทร. มาจองเอาไว้ได้ ได้โต๊ะใกล้ๆ เวทีด้วยแก”

เสียงแหลมของนิลรพัดปลุกให้คีตกาลลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตชะเง้อมองไปยังเวทีไม่สูงนักที่อยู่ภายในร้าน เสียดายที่เพลงเพราะๆ เพลงนั้นจบลงไปเสียแล้ว เธออยากเห็นหน้านักร้องที่ร้องเพลงเมื่อครู่นัก อยากรู้ว่าหน้าตาจะเหมือนกับมโนภาพที่สร้างไว้หรือไม่

ในขณะที่เธอกำลังจะเดินตามเพื่อนๆ ไปยังโต๊ะที่จองไว้ วงดนตรีที่เล่นอยู่ก็พากันเดินจากเวทีไปเสียอย่างนั้น ส่งต่อหน้าที่สร้างความสำราญให้ดีเจเปิดแผ่นเสียงมารับช่วงต่อไป ทำเอาคีตกาลเสียดายนักที่กลุ่มของเธอมาช้าไปเพียงนิด

                “ทำไมมีแต่สาวๆ” คีตกาลตั้งข้อสังเกตหลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ร้านอาหารดาดฟ้ากึ่งผับบาร์แบบสมัยใหม่ บรรยากาศเหมาะแก่การ ‘นั่งชิลๆ’ แห่งนี้ คือที่ที่นิล หรือนิลรพัด แนะนำว่าต้องมาลองสักครั้ง เพราะกำลังเป็นที่กล่าวขานของนักศึกษาสาวๆ ร่วมสถาบันที่เธอกำลังศึกษาอยู่

                “เขาว่ากันว่าวงใหม่ที่มาเล่นที่นี่ นักร้องเด็ดมากเลยตัวเธอ ทั้งเสียง ทั้งรูปร่างล่ำๆ กล้ามแน่นๆ ประหนึ่งท็อป สมาชิกของวงบิ๊กแบงยังไงยังงั้นเลยจ้า”

                “ใช่ๆ รูปที่เขาเอาไปโพสต์อวดกันนะ อิชย์นักร้องนำน่ะ กระชากต่อมชะนีมาก หล่อ ล่ำ กล้ามงี้แน่น น่าบีบ”

                “อะไรน่าบีบยะยายอ้อม” นิลรพัดเอาไหล่กระแซะกรวินทร์ เพื่อนรักอีกหนึ่งนาง

                “ให้บีบอะไรก็บีบหมดแหละ ทำเหมือนตัวเองไม่อยากบีบนะยะยายนิล” 

                “ฮ่าๆ อยากสิ แต่วงนี้เขาว่าหน้าตาดีทั้งวงเลยนะจ๊ะสาวๆ”

                “เล่นจบไปแล้วไม่ใช่หรือ เห็นเดินลงจากเวทีแล้ว” คีตกาลบุ้ยปากให้นิลรพัดและกรวินทร์เงยหน้าขึ้นไปดูบนเวที

                “เฮ้ย! ได้ไง อุตส่าห์มาดู” กรวินทร์อุทานเสียงดัง ก่อนจะชะเง้อคอมองไปหลังเวทีแล้วบ่นงึมงำด้วยความไม่ชอบใจ “เพราะแกแหละยายนิล แต่องค์ช้า เลยเวลาเลย”

                “อ้าว ไหงมาโทษกันแบบนี้ล่ะ อยากไม่บอกล่วงหน้าเองนี่ว่าจะชวนมาดูผู้ชาย”

                “ ’รมณ์เสียเลย” กรวินทร์กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ ใบหน้าหงิกงอขึ้นมาทันที หยิบบุหรี่ไฟฟ้าระบบเมคานิกขึ้นมาสูบพ่นจนควันโขมง

                คีตกาลยกมือขึ้นปัดกลุ่มควันที่พ่นมาใส่เธอด้วยความตั้งใจ “ไม่เห็นจะเท่เลย สูบเข้าไปได้”

                “ใครๆ เขาก็สูบกัน มีตั้งหลายกลิ่น วันนี้เราลองกลิ่นมินต์ หอมแมะ” กรวินทร์เถียงก่อนจะส่งไปให้นิลรพัดสูบอีกคน

                “หอมตรงไหน อันตรายจะตาย ทั้งสารฟอร์มัลดีไฮด์ ทั้งนิโคติน” คีตกาลเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี

                “แหม ก็ดูดแค่ตอนมาเที่ยว ใช่ว่าจะดูดตลอดเสียที่ไหน มองไปรอบๆ ตัวสิยายคีย์ มีกันแทบทุกโต๊ะ”

หญิงสาวส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ มองบุหรี่ไฟฟ้าที่นิลรพัดส่งมาให้

“ว่าไง ลองสักหน่อยจะเป็นไรไป”

สายตาท้าทายของกรวินทร์ทำให้คีตกาลหยิบบุหรี่ในมือนิลรพัดขึ้นดูใกล้ๆ

“หรือไม่กล้า...” กรวินทร์ท้าทาย

“กล้า” คีตกาลคว้าบุหรี่ดังกล่าวมาจ่อริมฝีปากเมื่อถูกท้าทาย แล้วค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าทางปาก สูบควันจากบุหรี่ไฟฟ้าเข้าปอดไปเพียงนิดจนรู้สึกซ่านลิ้น

“แรงๆ สิ แบบนั้นจะไปรู้สึกอะไร” กรวินทร์ยุส่ง

คีตกาลมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนด้วยสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะทำตามคำยุของเพื่อน ถ้าเพื่อนทำได้ เธอเองก็ต้องทำได้เช่นกัน

“แค็กๆๆ แค็กๆ” หญิงสาววางมันลงแทบไม่ทัน สำลักควันจนน้ำหูน้ำตาไหล ความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างจากความรู้สึกตอนสำลักน้ำ มันแสบไปหมดตั้งแต่ลำคอลงไปร้อนวาบๆ อยู่ที่อก หญิงสาวสำลักไม่เลิก น้ำหูน้ำตาไหลเปรอะใบหน้า

“ฮ่าๆ” นิลรพัดและกรวินทร์หัวเราะเสียงดัง ขบขันอาการสำลักควันของคีตกาล

“แรกๆ ก็แบบนี้แหละ อีกหน่อยแกก็จะชอบ เชื่อฉัน” กรวินทร์หยิบบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาสูบโชว์พร้อมทั้งพ่นควันสีขาว ซ้ำยังทำให้มันเป็นวงกลมมีรูตรงกลางได้ด้วย

“เครื่องดื่มมาแล้ว” นิลรพัดรับเครื่องดื่มสีสันสวยงามเหยือกใหญ่มาวางตรงกลางโต๊ะ ก่อนจะใช้หลอดที่มีไว้ให้ ดูดเครื่องดื่มดังกล่าวราวกับคนกระหายน้ำ

“ลองสิคีย์” เธอดันเหยือกเครื่องดื่มไปตรงหน้าเพื่อนที่ยังเช็ดน้ำตาป้อยๆ

“ไม่ไหวละ คลื่นไส้ แสบคอไปหมด ขอเราไปห้องน้ำหน่อยนะ” คีตกาลบอกแล้วลุกออกจากโต๊ะ บุหรี่บ้านั่นทำเอาหูตาเธอแสบไปหมด แถมยังทำให้ปวดจี๊ดขึ้นไปที่หัว

                “อืมๆ” นิลรพัดโบกไม้โบกมือ ในขณะที่กรวินทร์ยังนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ไปเรื่อย

                “คิดยังไงเอายายคีย์มากับเราด้วย” กรวินทร์เอ่ยถามรูมเมตด้วยน้ำเสียงแปลกใจ จริงอยู่ว่าคีตกาลกับเธอเรียนคณะเดียวกัน ชั้นปีเดียวกัน แต่ลักษณะนิสัยและการใช้ชีวิตแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แถมมีเพื่อนคนละกลุ่มด้วย

                นิลรพัดยักไหล่ “ไม่รู้สิ อยู่ๆ คีย์ก็ขอมาด้วย น่านะ...เพื่อนกันทั้งนั้น คิดซะว่าพาคุณหนูมาเปิดหูเปิดตา”

                กรวินทร์ทำหน้านิ่ว “อืมๆ แต่ก็แปลกนะ พักนี้มาขลุกอยู่กับพวกเรา”

                “คงเบื่อเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือแล้วม้าง แกอะเลิกพูดเรื่องนี้ซะทีเถอะ เพลงกำลังมันเลย” นิลรพัดตัดรำคาญ พร้อมกับโยกตัวไปตามจังหวะดนตรีที่กำลังเร่งเร็วขึ้น ดังขึ้น ตามห้วงเวลา

 

                “น้อง ขอน้ำเปล่าให้พี่ขวด”

                เสียงนี้...

                หญิงสาวหันขวับไปตามเสียงที่ได้ยิน พยายามหรี่ตามองฝ่าแสงสีของไฟไปยังต้นเสียง อาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะจากการลองสูบบุหรี่ครั้งแรกทำเอาหญิงสาวถึงกับบอกตนเองว่าเธอจะไม่ลองมันอีก
                สายตาของเธอประสานเข้ากับดวงตาของชายหนุ่มผิวขาวสูง หน้าตาหล่อเหลาราวกับซูเปอร์สตาร์เกาหลี พร้อมหุ่นสุดล่ำและรอยยิ้มละลายหัวใจเข้าพอดี ชายหนุ่มคนดังกล่าวโปรยยิ้มส่งให้เธอด้วยมาดของชายที่มั่นใจในเสน่ห์ของตนเองแบบล้นเหลือ คีตกาลรีบเบนสายตาหนีด้วยความขัดเขิน ก่อนจะเห็นชายหนุ่มอีกคนซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างกันสักเท่าไร แม้รูปร่างหน้าตาจะดีพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ผู้ชายคนนี้ดูนิ่ง ดูขรึม แตกต่างจากผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ กันชัดเจนราวสีขาวกับสีดำ

หรือจะเป็นเขา...

คิ้วบางขมวดเข้าหากัน ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างตีขึ้นจากท้องมาจุกอยู่ที่คอหอย หญิงสาวเลยเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งจากจุดที่ยืนอยู่ทันที

               

“สงสัยคืนนี้จะได้หมอนข้างนุ่มๆ ไปฟัด มองด้วยสายตาหยาดเยิ้มขนาดนั้น” อิชย์พยักพเยิดให้อินทัชหันมองตามหญิงสาวร่างบางในชุดแซ็กสั้นสีชมพูอ่อน

                “ใคร” อินทัช ชายหนุ่มผิวขาว รูปร่างสูงใหญ่ซึ่งยืนอิงโต๊ะหันไปมองตามสายตาของเพื่อนรัก

                “คนนั้นไงวะ ผิวขาว ผมยาว ตาโตๆ ใส่ชุดสีชมพู”

                “ไม่เห็นมี” แต่เขากลับไม่เห็นผู้หญิงที่อิชย์ชี้ชวนให้ดูสักนิด

                “ช่างมันเถอะ ว่าแต่คืนนี้หมดคิวแล้ว จะกลับเลยหรืออยู่ดื่มต่อวะ”

                ริมฝีปากหนาเม้มเข้าหากันเหมือนกำลังคิด “นั่งต่ออีกหน่อยก็ได้ พรุ่งนี้วันหยุดไม่ได้ไปไหน”

                “มีอะไรหรือเปล่า เห็นทำหน้ายุ่งๆ ตั้งแต่พี่มึงโทร. มาหาแล้ว”

                “เรื่องเดิมๆ โทร. มาบ่นให้ฟัง คงอยากหาที่ระบาย”

                “เอาน่า ใหม่ๆ ก็คงมีปัญหากันนิดหน่อย อยู่ๆ กันไปเดี๋ยวก็ชินกันไปเอง เฮ้ย! น้อง หนึ่งชุดใหญ่” อิชย์โบกไม้โบกมือบอกบริกร พร้อมกับส่งยิ้มให้สาวๆ ไปทั่วร้าน “ไม่เสียดายเลยที่ลองมารับงานร้านนี้ สาวๆ นักศึกษาแถวนี้เด็ดๆ ทั้งนั้น”

                “หึ...” อินทัชมองไปรอบตัว มันก็เหมือนร้านอื่นๆ ที่เขาเคยไปทำงาน ผู้คนที่มาหาความสำราญยามค่ำคืนส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่นช่วงปลาย หลายครั้งที่เขานึกสงสัยว่าเด็กพวกนี้รู้ค่าของเงินแต่ละบาทมากน้อยเพียงใด ถึงได้ใช้จ่ายถลุงกันราวกับมันเป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่า การออกมาสรวลเสเฮฮาแบบนี้ย่อมมีค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าพันบาท พวกเด็กเหล่านี้คงไม่รู้หรอกว่าเงินเหล่านั้นพ่อแม่หามายากเย็นแสนเข็ญเพียงใด จนกว่าจะได้หาเงินด้วยตัวเอง...

               

                หญิงสาวหลับตาปี๋เมื่อลิ้นสัมผัสเครื่องดื่มที่ไม่คุ้นเคยตามการคะยั้นคะยอของเพื่อนๆ รับรู้ถึงความขมและความร้อนที่กำลังไหลลงไปตามลำคอ

                “มาเที่ยวมันต้องแบบนี้ จะมาจิบน้ำอัดลม น้ำส้มทำไมกัน” กรวินทร์ตบมือให้เพื่อนสาว “จริงๆ มันต้องจิบเกลือสักนิดแล้วยกแก้วกระดก แล้วบีบมะนาวตามแบบนี้ๆ” เธอสาธิตวิธีการดื่มที่ถูกต้องให้คีตกาลดู ก่อนจะรินเหล้าใสๆ ใส่แก้วใบเล็กให้เพื่อนอีกหน “อีกแก้วสิ แล้วนี่หายแสบคอหรือยัง”

                คีตกาลพยักหน้าแล้วเบือนหน้าหนี แค่สามแก้วก็ทำเอาเธอมึน หัวหมุนติ้ว ขมปาก แสบคอ ซ่านท้องไปหมด “ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวขับรถไม่ได้”

                “ตามใจ งั้นจิบนี่ไปละกัน”

คีตกาลมองเครื่องดื่มสีฟ้าที่บรรจุอยู่ในเหยือกแก้วใสใบใหญ่รูปร่างคล้ายถัง มีขวดเหล้าขวดเล็กเสียบคว่ำเอาไว้ด้วยความสงสัย

“เขาเรียกเหล้าถัง ถังเดียวอยู่ได้ยาว...” นิลรพัดลากเสียงยาว ก่อนจะยกขวดเหล้าเล็กๆ ที่เสียบคว่ำหัวอยู่ในเหยือกนั้นขึ้นมา น้ำใสๆ ก็ไหลออกมารวมกับเครื่องดื่มที่อยู่ในเหยือกก่อนหน้านี้ “พอเริ่มจืดเราก็เพิ่มเหล้าเข้าไปแบบนี้” นิลรพัดสาธิต พร้อมกับชี้ชวนให้คีตกาลได้รู้จักเครื่องดื่มชนิดต่างๆ บนโต๊ะของนักเที่ยวทั้งหลาย “เนี่ยเบาๆ สำหรับสาวๆ ใสๆ และสวยชวนตะลึงแบบเราๆ”

“ย่ะ แม่คนสวย แต่...ดีใจชะมัดเลย ในที่สุดก็สอบเสร็จเสียที” กรวินทร์ยกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะพร้อมกับตะโกนเสียงดัง แต่เพราะเสียงเพลงที่ดังกว่าเลยไม่ได้ไปรบกวนใคร ท่าทางยินดีอยู่ไม่น้อย

“ปิดเทอมแล้ว นิลกับอ้อมกลับบ้านต่างจังหวัดหรือเปล่า” คีตกาลเอ่ยถามสองเพื่อนสาวร่วมคณะ

“ปิดเทอมใหญ่แบบนี้ ปกติเรากับอ้อมจะหางานพาร์ตไทม์ทำกัน เป็นพนักงานชั่วคราวตามบริษัทเอกชน แล้วคีย์ล่ะ”

“เรายังไม่รู้เลย” หญิงสาวตอบหน้าเศร้า เมื่อก่อนตอนที่มารดายังอยู่ ท่านจะเป็นคนวางแผนกำหนดกฎเกณฑ์ทุกอย่างเอาไว้ให้เบ็ดเสร็จ แต่ตอนนี้คีตกาลไม่มีท่านอยู่ข้างกายแล้ว และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

“ลองมาทำงานกับพวกเราไหม เงินดีอยู่นะ”

“พ่อคงไม่ยอม”

นิลรพัดกับกรวินทร์หันไปสบตากันอย่างเข้าใจ “ช่างเถอะ ถ้าอยู่บ้านเหงาๆ ก็ออกมาหาพวกเราที่หอละกัน เราสองคนออกย่ำราตรีกันบ่อยๆ”

“ใช่ เลิกทำหน้าเศร้าแล้วมาสนุกกันดีกว่า” กรวินทร์โยกตัวไปตามจังหวะเพลง ยิ่งดึกเพลงก็ยิ่งดัง แสงไฟในร้านก็ยิ่งมืดลง ตรงกันข้ามกับอารมณ์ของนักเที่ยวทั้งหลายที่เริ่มคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ หลายโต๊ะถึงกับลุกขึ้นเต้นทั้งๆ ที่ร้านนี้ไม่ใช่เธคแบบที่คนนิยมไปสักนิด

“ขอไปห้องน้ำหน่อยนะ” คีตกาลบอกเพื่อนด้วยเสียงติดจะยานคางนิดๆ เพราะฤทธิ์จากสุราที่ดื่มเข้าไป หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล ตอนนี้เธอเริ่มหายใจไม่ออก รู้สึกแสบจมูกไปหมดจากควันของบุหรี่ที่คละคลุ้งอยู่รอบตัว เลยอยากไปหาที่โล่งๆ ให้หายใจหายคอสะดวกขึ้น

“ไหวไหมคีย์”

“ไหวๆ” คีตกาลยิ้มรับ คืนนี้เธอมีความสุข สนุก ไม่เหงาเลยสักนิด

หญิงสาวสะบัดศีรษะเพื่อขับไล่ความมึนเมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอลองเครื่องดื่มที่แรงกว่าสปาร์กลิงไวน์หรือแชมเปญ ดวงตาหรี่ปรือมองพื้นเขม็ง ค่อยๆ ก้าวย่างไปตามทางมืดๆ ด้วยความระมัดระวัง ตรงหน้ามีกลุ่มคนเดินสวนออกมาทำให้คีตกาลต้องเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะเสียหลักเซไปชนใครไม่รู้เข้าอย่างจังจนเกือบล้ม ดีว่าเธอจับโต๊ะใกล้ๆ แถวนั้นเอาไว้เป็นหลักได้ จึงไม่ได้ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น

“ขอ...” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยปากขอโทษคนที่เธอเซไปชน แขนข้างหนึ่งก็ถูกฉุดกระชากอย่างแรงด้วยมือหยาบกร้าน จนร่างบอบบางแทบจะปลิวตามแรงไป

“เอ๊ะ...” คีตกาลร้องด้วยความเจ็บเมื่อแผ่นหลังกระแทกเข้ากับกำแพงปูนเย็นเฉียบ ความจุกทำให้เธอแทบจะเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ หัวสมองที่ว่างเปล่าไปหมดเพราะความมึนเมาทำให้คิดอะไรไม่ออก

“ไง คนสวย ชนพี่ซะเจ็บไปทั้งตัวขนาดนี้ จะรับผิดชอบยังไงดีจ๊ะ”

ยังไม่ทันได้เห็นหน้า คีตกาลก็ต้องก้มหน้าหลบ เมื่อได้กลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่จากร่างสูงใหญ่ตรงหน้าและน้ำเสียงกักขฬะจากคู่กรณี ที่ทำเอาหญิงสาวรังเกียจจนแทบอยากอาเจียน ไม่อยากแม้แต่เงยหน้ามองคนที่กักเธอไว้ด้วยสองแขนของเขา

ทว่ามือที่แข็งแรงกว่ากลับจับข้อมือบางแน่นเหมือนคีมเหล็ก จนข้อมือเธอเจ็บราวกับกำลังจะแตกหัก

“ขอ...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ พอดีมีคนเดินมาชน แล้ว...แล้ว...” พร้อมกันนั้นคีตกาลก็พยายามมองไปยังจุดที่นิลรพัดและกรวินทร์นั่งอยู่ แต่ทั้งคู่ไม่ได้หันมามองทางนี้เลยสักนิด สมองพยายามคิดหาทางออกให้ตนหลุดพ้นจากสภาวะคับขันในนาทีนี้ไปให้จงได้ แต่เพราะฤทธิ์ของน้ำเมาและบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้ความคิดของหญิงสาวไม่ฉับไวเหมือนปกติ

“แล้วยังไงจ๊ะ ขอโทษด้วยปากอย่างเดียวคงไม่ได้ละม้าง พี่เจ็บไปทั้งตัวแบบนี้ มันต้องใช้ปากทำอย่างอื่นด้วย”

คีตกาลเหลือบตามองสีหน้าของคนที่กำลังระรานตนด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด เธอไม่เคยเผชิญหน้ากับคนแบบนี้มาก่อน จึงได้แต่หดคอห่อตัวให้แนบชิดติดไปกับกำแพง เพราะไม่อยากให้ร่างกายสัมผัสอีกฝ่าย ยิ่งได้กลิ่นเหล้าฉุนออกมาพร้อมลมหายใจที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คีตกาลก็ยิ่งลนลานจนทำอะไรไม่ถูก

“ขอโทษจริงๆ ค่ะ ขอโทษ ฉะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

แต่...อีกฝ่ายก็หาฟังไม่ มือและแขนที่คร่อมยันอยู่ตรงผนังลดลงมาปัดป่ายไปตามท่อนแขนเรียวเสลา นาทีนั้นคีตกาลแทบหลั่งน้ำตาด้วยความสะอิดสะเอียน พยายามสะบัดแขนให้พ้นจากการเกาะกุม มือไม้สะบัดปัดป้องพร้อมทั้งดิ้นขัดขืนเต็มที่ ขยับถอยหนีไปเรื่อยๆ เมื่อชายคนนั้นเริ่มขยับเข้ามาประชิดตัวมากขึ้น

“ปล่อย! หยุดนะ!” มือที่กำลังใช้ปัดป้องถูกยกขึ้นมาปิดบังใบหน้าเมื่อเห็นว่าตนถูกต้อนจนมุม ไม่สามารถต้านทานอีกฝ่ายได้แล้ว พร้อมทั้งภาวนาขอให้ใครก็ได้มาช่วยเธอที “ปล่อยนะ! ปล่อย! ช่วย...”

 

“ปล่อยผู้หญิงซะ!”

เสียงสวรรค์ดังขึ้นในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ผู้ชายซึ่งกำลังลวนลามเธออยู่จะหยุดชะงัก และหันไปมองผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะเขา

“หมูจะหามอย่าเสือกเอาคานเข้ามาสอด”

“คงไม่สอดไม่ได้ นั่นผู้หญิงของอั๊ว”

คีตกาลเบิกตากว้าง เธอจำเสียงเขาได้...หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยความโล่งอก พร้อมทั้งพยายามเอี้ยวตัวผ่านอันธพาลรูปร่างหนาไปมองผู้ที่เข้ามาช่วยเธอไว้ แต่จุดที่เขายืนอยู่นั้นก็มืดเหลือเกิน หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัว แล้วค่อยๆ ก้าวถอยเมื่อเห็นช่องทางที่จะหลบหนีออกจากสถานการณ์ตรงนี้ แต่นาทีที่เธอกะพริบตาเตรียมจะก้าวหนี ไหล่บางกลับถูกกระชากกลับมาด้วยมือของคู่กรณีราวกับเขามีตาหลัง

“ผู้หญิงคนนี้มีเรื่องต้องเคลียร์กับกู”

“ถ้าอยากเคลียร์ มาเคลียร์กับอั๊วนี่ ปล่อยเด็กอั๊วซะ!” เขาเอ่ยช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น พยายามมองหาลู่ทางเพื่อช่วยหญิงสาวคนที่เขาบังเอิญเห็นว่ากำลังถูกลวนลาม

“แล้วถ้ากูไม่ปล่อยล่ะ มึงจะทำยังไง อยากจะทำเก่งอวดสาวหรือไง คนนี้กูเจอก่อนนะโว้ย”

“ถามน้องเขาไหมล่ะว่าเขาเป็นอะไรกับอั๊ว”

“กูไม่ถาม”

ขาดคำคีตกาลก็ได้ยินเสียงคนร้องฮือฮา ชั่วพริบตาเดียวร่างหนาๆ ของอันธพาลก็เสียหลักเซไปชนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงขวดและแก้วตกแตกกระจาย หญิงสาวไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อข้อมือบางถูกกระชากอีกครั้ง ครั้งนี้มันเร็วเกินไป มากเกินไป มากเกินกว่าที่คีตกาลจะรับมือไหว ร่างกายของเธอถูกกระชากเข้าสู่อกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ ในขณะที่มือใหญ่ของอีกฝ่ายกดท้ายทอยเธอไว้ให้ใบหน้าแนบชิดติดแผ่นอกกว้าง ได้ยินจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆ อยู่ข้างหู

ความรู้สึกสะอิดสะเอียนแทบขาดใจเมื่ออยู่ใกล้อันธพาลคนนั้นหายไปแทบจะทันที มันน่าแปลกใจนักเมื่อนาทีนี้ความรู้สึกของหญิงสาวกลับมีแต่ความไว้วางใจ อุ่นใจ เชื่อใจว่าผู้ชายคนนี้ยื่นมือเข้ามาปกป้องเธอโดยไม่ได้มีเจตนาจาบจ้วงข่มเหง ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ได้เห็นหน้าเขาและร่างกายกำลังแนบชิดกันจนเกินงามขนาดนี้ก็ตามที

หญิงสาวขยับศีรษะหมายจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเขา เมื่อมีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังขึ้นมาอีกหน แต่...วินาทีนั้นเธอกลับถูกผลักออกอย่างรวดเร็วจนเสียหลักเซออกไปไกลพอควร ครั้นตั้งหลักได้ก็รีบหันกลับมามอง คีตกาลกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปร่างไล่เลี่ยกันกำลังชุลมุนชกต่อยกันอยู่ที่พื้นตรงหน้า ตอนนี้คนที่มาช่วยเธอขึ้นคร่อมอยู่บนลำตัวเจ้าอันธพาลนั่น หมัดหนักๆ ถูกเหวี่ยงซัดเข้าที่ปลายคางอย่างจัง ทำให้ใบหน้าอันธพาลที่ลวนลามเธอสะบัดหันไปตามแรง เรียกเสียงกรีดร้องได้ทุกครั้งที่กำปั้นหนักๆ ซัดลงไปจนเกิดเสียง

                จากการชกต่อยกันตัวต่อตัว เพียงไม่นานทุกอย่างก็บานปลายชุลมุนหนักเข้าไปอีก เมื่อพรรคพวกของแต่ละคนเข้ามาช่วย เสียงโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดทำเอาคีตกาลยืนนิ่งขาแข็ง ก้าวไม่ออกด้วยความตกใจ ไม่นึกว่าตนเองจะเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้านี้ แล้วเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น ก่อนที่คนในชุดสีดำทั้งชุดจะเข้ามาแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

                คีตกาลสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ มีคนมากระชากแขนเธอจากเบื้องหลัง

                “ยืนบื้ออะไรอยู่เล่าแก อยากโดนลูกหลงหรือไง” กรวินทร์และนิลรพัดนั่นเองที่เข้ามาฉุดกระชากลากแขนของคีตกาล ก่อนจะลากหญิงสาวให้ออกมาจากพื้นที่อันตรายดังกล่าวด้วยความหวาดกลัวลูกหลง

                “ดีนะหลบทัน โต๊ะข้างๆ เราโดนลูกหลงเลือดอาบเลย เสียดายจริงๆ กำลังสนุกเลย” กรวินทร์บ่นอุบระหว่างเดินไปยังลานจอดรถกว้างที่ตอนนี้บรรดานักเที่ยวทยอยกันออกมายืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ “เกิดอะไรขึ้น ใครเห็นบ้าง ทำไมอยู่ๆ ก็ชกกันนัวแบบนั้น เห็นว่าเป็นคนของวงที่เราตั้งใจมาดูด้วยนะ ขออย่าให้เป็นพ่อนักร้องนำของฉันนะ เดี๋ยวหน้าหล่อๆ จะช้ำไปเสียหมด” หญิงสาวชะเง้อคอมองเข้าไปในร้านอีกรอบ ท่าทางเป็นกังวล

                “เมื่อกี้ก็เห็นไม่ชัด ว่าแต่คีย์ แกเห็นหรือเปล่า แกอยู่ตรงนั้นนี่” นิลรพัดหันไปถามคีตกาลที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างกาย

                “ช็อกไปแล้ว คงไม่เคยเจอ” กรวินทร์เย้าเพื่อนสาวเมื่อเห็นคีตกาลยังยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบนิลรพัด

                ทั้งกลุ่มยืนสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่จนคนเริ่มซา จึงคิดจะล่าถอย เพราะร้านคงไม่เปิดให้บริการต่อ

“ไหนๆ ก็หมดสนุกแล้ว เรากลับกันเถอะ”

กรวินทร์บอกก่อนจะเดินไปยังรถของคีตกาลซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล แต่เจ้าของรถยังยืนนิ่ง สายตายังคงจับจ้องไปยังภายในร้านที่มีเสียงเอะอะดังออกมาเป็นระยะอย่างห่วงใย

“ไปกันเถอะคีย์” นิลรพัดดึงแขนคีตกาลให้ออกเดินไปพร้อมกัน

คีตกาลหันกลับไปมองเบื้องหลังอีกหน เขาคือใคร...เธออยากขอบคุณเขา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น