5

บทที่ 4


บทที่ ๔

 

                “บร๊ะ สงสัยเด็กมึงจะไม่ไหวแล้วนะ เมื่อครู่ตอนมาที่ห้องก็ดูตาฉ่ำๆ” อิชย์พยักพเยิดให้อินทัชหันมองตามสายตาของเขาไปยังโต๊ะที่คีตกาลนั่งอยู่ พร้อมทั้งยิ้มขำอินทัชที่มานั่งเฝ้ามองหญิงสาวคนนั้นอยู่ไกลๆ “กูว่าไอ้หน้าอ่อนคนนั้นมันกำลังหาทางฉวยโอกาสอยู่นะ มึงเห็นไหม”

                อินทัชกำหมัดแน่นพร้อมทั้งหลับตาลง

เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง ไม่ยุ่ง ไม่เด็ดขาด!

ชายหนุ่มพร่ำบอกตนเองอยู่ในใจ หนก่อนก็ทีแล้ว หนนี้ก็อีก เขาจะไม่...

                “มึงต้องรอให้มันจับ มันบีบก่อนหรือไงวะ”

อิชย์ถามเสียงยานคาง เตรียมวางแก้วเหล้าลงบนเคาน์เตอร์ สัญชาตญาณบอกว่าอีกประเดี๋ยวเพื่อนรักของเขาต้องเดินปรี่ไปที่โต๊ะนั้นแน่ๆ แล้วก็ผิดเสียที่ไหน พริบตาเดียวร่างสูงใหญ่ของอินทัชก็ตรงดิ่งไปที่โต๊ะนั้นแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรสักอย่าง ทำเอาอิชย์อดหัวเราะไม่ได้เมื่ออินทัชมีพฤติกรรมแปลกประหลาดแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้จะเป็นเพื่อนกันมาร่วมสิบปี

 

                “ขอโทษครับ”

เสียงนุ่มๆ ที่ดังขึ้นทำเอาสมาชิกที่นั่งอยู่รอบโต๊ะหันมามองเป็นตาเดียว ก่อนที่บรรดาเด็กสาวที่นั่งอยู่จะอ้าปาก ทำตาโต ตื่นตะลึงในสิ่งที่เห็น และยิ่งตะลึงหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นคนที่เดินมาสมทบอีกคน

                คีตกาลเองก็ตะลึงไปเช่นกันเมื่อเห็นว่าใครมาเยือนโต๊ะที่เธอนั่งอยู่ หญิงสาวพยายามขยับตัว จัดท่าจัดทางของตน แต่มันก็ลำบากเหลือเกินเมื่อสิ่งที่ดื่มเข้าไปทำเอาเธอแทบทรงตัวไม่อยู่แม้แต่ตอนที่นั่งอยู่แบบนี้

                “ผมมาขอรับตัวคีย์ครับ”

                จบประโยคนี้ สมาชิกทั้งโต๊ะก็หันขวับมามองคีตกาลเป็นตาเดียว

                “คะ...คีย์หรือคะ” นิลรพัดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหมือนประหลาดใจสุดๆ

                “ครับ คีย์” อินทัชพยักหน้ารับ พร้อมกับยื่นมือออกไปตรงหน้าคีตกาล

                จะด้วยฤทธิ์ของน้ำเมาหรืออะไรก็แล้วแต่ แทบไม่มีการตัดสินใจด้วยซ้ำยามที่หญิงสาวยกมือไปวางลงบนมือใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ คีตกาลลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ด้วยแรงฉุดของอินทัชล้วนๆ ความรู้สึกหายใจขัดกับใบหน้าร้อนผ่าวกลับมาเยือนเธออีกหน และคีตกาลก็มั่นใจว่าอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มที่เธอดื่มไปแน่ๆ ยามได้มายืนอยู่ในวงแขนแข็งแรงนี้อีกหน

                สายตาหลายคู่มองท่อนแขนที่โอบประคองร่างบอบบางของคีตกาลเอาไว้ด้วยความประหลาดใจ จะไม่ให้ประหลาดใจได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีใครรู้มาก่อนว่าคีตกาลรู้จักกับสมาชิกของวงดนตรีชื่อดังวงนี้

                “ดะ...เดี๋ยวสิคุณ” กรวินทร์และนิลรพัดรีบขยับตัวทันทีเมื่อเพื่อนสาวถูกพาออกไปจากโต๊ะ แต่ก็ไม่สามารถไปต่อได้ เมื่อพ่อนักร้องนำของวงผู้เป็นขวัญใจมหาชนก้าวเข้ามากางแขนกันท่าไว้

                “ไม่ต้องห่วงครับ คู่นั้นเขาแฟนกัน”

                ยิ่งได้ฟังคำพูดของนักร้องนำเจ้าเสน่ห์ก็ยิ่งทำให้กรวินทร์และนิลรพัดตกใจ ประหลาดใจหนักกว่าเก่ายิ่งนัก

                “แฟน! คุณต้องอำพวกเราแน่ๆ ยายคีย์เพิ่งเคยมาเที่ยวที่นี่ไม่กี่หนเอง” แม้จะหวั่นไหวกับใบหน้าหล่อเหลาและหุ่นแซ่บๆ ของพ่อนักร้องนำคนนี้ แต่นิลรพัดก็อดกังวลเรื่องความปลอดภัยของคีตกาลไม่ได้

                “คุณก็เห็นไม่ใช่หรือว่าน้องคีย์เขาก็ยอมไปดีๆ คนไม่รู้จักกันจะเดินไปแบบนั้นได้ไงกัน”

                “แต่...” นิลรพัดยังรั้นแม้จะเห็นจริงอย่างที่อิชย์พูด แต่ก็ต้องหยุดเมื่อกรวินทร์มารั้งท่อนแขนเอาไว้

                “ถ้าคุณอิชย์ว่าแบบนั้น เราก็เชื่อนะ” กรวินทร์หันไปส่งยิ้มหวานให้อิชย์ ในขณะที่นิลรพัดยังชะเง้อมองตามอินทัชและคีตกาลไป “คนไม่รู้จักกันจะเดินไปง่ายๆ แบบนั้นได้ยังไงเล่านิล เออ...คุณอิชย์นั่งด้วยกันก่อนไหมคะ เมื่อครู่อ้อมเป็นคนที่กระโดดรับเสื้อของคุณอิชย์มาได้ นี่ไงคะ” กรวินทร์รีบควานหาเสื้อยืดสีขาวที่เพิ่งได้ขึ้นมาอวดเจ้าของเสื้อ “คุณอิชย์เซ็นชื่อให้อ้อมด้วยได้ไหมคะ อ้อมติดตามเป็นแฟนคลับคุณอิชย์มานานแล้วนะคะ”

                อิชย์ส่งยิ้มกระชากใจ ลดมือลงข้างหนึ่ง แต่อีกข้างยังคงยกค้างกันนิลรพัดเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยังคงชะเง้อคอมองตามเพื่อนของเขาไป “ทำไมจะไม่ได้เล่าครับ”

                นิลรพัดสะบัดตัวเบาๆ เมื่อมือของอิชย์มาสัมผัสโดนตัวเธอเข้า ทำเอาเจ้าของมือถึงกับหันมาขมวดคิ้วใส่ เริ่มมองเด็กสาวผิวเข้มนัยน์ตาคมคนนี้อย่างพินิจทันที ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำท่าทำทางแบบนี้ใส่เขาเลยสักคน มีแต่จะหาโอกาสถูกเนื้อถูกตัวเขาประจำ

                อิชย์จับปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อลงบนเสื้อ และยื่นเสื้อคืนให้กรวินทร์ ทำเอากรวินทร์กรี๊ดกร๊าด ยกเสื้อขึ้นโชว์สมาชิกในโต๊ะด้วยความยินดีเหลือจะกล่าว ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ ในโต๊ะกำลังตื่นเต้นยินดีไปกับกรวินทร์ ชายหนุ่มก็หันไปมองนิลรพัดแบบเต็มๆ ตา ก่อนจะถือวิสาสะดึงมือเด็กสาวมาและเขียนอะไรลงไปบนฝ่ามือนั้นอย่างรวดเร็วจนเจ้าตัวห้ามไว้ไม่ทันและคนอื่นก็ไม่ทันสังเกตเห็น แล้วปล่อยออกทันทีก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้สะบัดหนีด้วยซ้ำ

                “วันนี้ผมไม่ค่อยสะดวกเท่าไร เอาไว้โอกาสหน้านะครับ หวังว่าจะมาฟังผมร้องเพลงที่นี่บ่อยๆ นะครับ...คุณอ้อม” อิชย์ทอดเสียงหวานโปรยเสน่ห์เต็มที่ ก่อนจะส่งปากกาคืนให้กรวินทร์พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจที่มีไว้สำหรับแจกจ่ายสาวๆ โดยเฉพาะ ทำเอาสาวๆ ที่โต๊ะส่งเสียงกรีดร้องราวกับโดนน้ำร้อนราดก็ไม่ปาน

                “เห็นไหมๆ เขายิ้มให้ฉัน” กรวินทร์ทึกทัก ท่าทางตื่นเต้นดีใจเหลือจะกล่าว “งานนี้มีลุ้นแน่ๆ เลยแก”

                นิลรพัดค่อยๆ ลดมือลงมาจากโต๊ะพร้อมกับกำเอาไว้แน่น หันมองตามร่างสูงของนักร้องหนุ่มไปจนลับตา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกตหรือมองมาทางเธอก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงไปมองสิ่งที่อิชย์เขียนไว้บนมือเธอ

089-xxx-xxxx

ดวงตาคมแบบสาวใต้แท้ๆ เบิกกว้าง ความตกใจถูกแทนที่ด้วยความโกรธ นี่เห็นว่าเธอเป็นเด็กสาวใจแตกหรืออย่างไร ถึงได้มาทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้เรี่ยราดแบบนี้ นี่คงคิดว่าเธอคงเหมือนคนอื่นๆ ละสิ อาจจะใช่ที่เธอเคยกรี๊ดในความหล่อเหลาของเขาเหมือนสาวๆ คนอื่นๆ แต่ตอนนี้ไม่มีวันเสียละ เธอไม่มีวันโทร. ไปหาเขาก่อนแน่ๆ คอยดู!

 

“ปะ...ปาย...ไหนคะ” หญิงสาวก้าวกระชั้นตามแรงจับจูงของอีกฝ่าย ความร้อนจากฝ่ามือหนายิ่งเพิ่มความตื่นเต้นในใจหญิงสาว ตอนนี้หัวใจของเธอเหมือนจะเต้นเร็วเกินไป เร็วจนคีตกาลกลัวว่าตัวเองจะช็อกและหัวใจวายไปตรงนี้

“กลับบ้านได้แล้ว” เสียงนุ่มๆ นั้นดังตอบกลับมา โดยที่เจ้าตัวยังเดินดุ่มนำหญิงสาวออกมาที่ลานจอดรถ “ทำไมดื่มจนเมาแบบนี้”

คีตกาลมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน แม้จะมึนเมาจากเครื่องดื่มที่ดื่มเข้าไปหลายขนาน แต่พอได้ยินคำว่า ‘บ้าน’ หญิงสาวก็บิดมือหนีทันที

“ม่าย...กลับ”

อินทัชหันมามองหญิงสาวที่ตอนนี้แม้แต่จะยืนตรงๆ ก็ยังทำไม่ได้แต่กลับดื้อดึงใส่เขา

“คิดว่าการกินเหล้ามันดีหรือไง ดูสภาพตัวเองสิ ดูได้ที่ไหน ถ้าพ่อแม่คุณมาเห็นเข้าท่านจะรู้สึกยังไง กลับบ้านไปได้แล้ว”

คีตกาลกัดริมฝีปากแน่นเมื่อสิ่งที่ชายหนุ่มพูดอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่ฟังแล้วแสลงหูเธอที่สุด “คุณมายุ่งอะไรด้วย”

“ก็ไม่ได้อยากยุ่งนักหรอก กลับบ้านไปซะ” อินทัชพูดเสียงเบาแต่ฟังดูดุดัน สิ่งที่คีตกาลทำนั้นเขาไม่ชอบเอาเสียเลย ยิ่งเมามายจนเปิดโอกาสให้ผู้ชายมาฉวยโอกาสแบบนั้นยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด

“ม่าย...กลับ เราม่ายรู้จักกันด้วยซ้ำ แค่คุณช่วยฉันไว้ครั้งเดียว ช่าย...ครั้งเดียว แต่คุณก็ม่ายมีสิทธิ์มาวุ่นวายกับฉัน ฉันจะกลับเข้าไปกินเหล้ากับเพื่อน”

“หนก่อนก็แบบนี้ หนนี้ก็อีก คุณนี่มันหาเรื่องใส่ตัวชะมัด” อินทัชเขม้นมองคีตกาล เขาโกรธ เขาโมโห แต่เขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับเธอดี “กลับบ้าน!”

“ม่าย...” หญิงสาวหมุนตัวหนีอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมก้าวเข้ามาหา จนเสียหลักล้มไปนั่งแหมะหมดท่ากองอยู่กับพื้น

อินทัชสบถอย่างหัวเสียสุดๆ เมื่อเดินเข้าไปแล้วเห็นว่าคนเมานั่งตัวสั่นสะอึกสะอื้นร้องไห้ไปเสียแล้ว อินทัชช้อนร่างบอบบางขึ้นไว้ในวงแขน หมายใจว่าจะอุ้มไปส่งที่รถ แต่ด้วยสภาพแบบนี้คงไม่แคล้วเป็นเขาแน่ๆ ที่ต้องขับรถไปส่งหญิงสาวถึงบ้าน

หญิงสาวสะอื้นเบาๆ มือเล็กๆ นั้นขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้แน่น

“ม่าย...ไม่กลับบ้าน ไม่อยากกลับบ้าน” คีตกาลซุกหน้าเข้ากับอกกว้าง ร้องไห้ราวกับเด็กเล็กๆ วาจาของบิดาที่เหมือนจะไล่กลายๆ นั้นทำให้เธอไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก บ้านที่ไม่ใช่บ้านของเธอแล้ว

อินทัชกระชับอ้อมแขนเข้า เขาเกลียดน้ำตาของผู้หญิงที่สุดเพราะมันทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก ความโมโหที่มีอยู่ลดลงราวกับไม่เคยรู้สึก ก่อนจะปลอบหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนยวบลง

“หยุดร้องเถอะ รถคุณคันไหน เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้านเอง”

คีตกาลส่ายศีรษะ ไม่ยอมเปิดปากบอก และไม่ยอมหยุดร้องไห้ด้วย เธอไม่อยากกลับบ้าน บ้านที่ไม่มีที่ให้เธออยู่ บ้านที่ถูกแย่งชิงไปแล้ว

อินทัชถอนใจอย่างหนักอก เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนต้องมาเจออะไรแบบนี้ ชายหนุ่มลดแขนลง ปล่อยร่างเล็กบอบบางให้ยืนบนพื้น ก่อนคว้ากระเป๋าถือที่หญิงสาวสะพายบ่าอยู่มาเปิดหากุญแจรถ

พอลงมายืนทรงตัวได้เอง อาการคลื่นไส้อยากอาเจียนก็ตีขึ้นมาจุกที่ลำคอ คีตกาลดิ้นรน พยายามหาทางออกให้ตนเองเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะกลั้นไม่ไหวแล้ว

“อย่าดื้อสิคุณ!” อินทัชพยายามคว้าร่างบางมากอดไว้เพื่อกันคีตกาลหนี แต่เพราะสีหน้าของหญิงสาวและประสบการณ์บางอย่างในชีวิตทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ “จะอ้วกหรือเปล่า”

หญิงสาวรีบพยักหน้าไว พอดีกับที่ชายหนุ่มปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ คีตกาลจึงวิ่งไปหาถังขยะที่อยู่ไม่ไกล โก่งคออาเจียนจนแทบหมดแรง ดีว่าชายหนุ่มเดินตามมาโอบเอวรั้งตัวเธอไว้รวมถึงลูบหลังให้ อาการคลื่นไส้เลยบรรเทาลงและไม่ล้มขาอ่อนลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น

อินทัชปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่หลังจากที่คีตกาลอาการดีขึ้น เขาโอบประคองพาหญิงสาวมายืนพิงผนังอาคารไว้

“รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวจะไปหาน้ำมาให้ล้างปาก”

หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ รับคำ แต่ทันทีที่มือใหญ่แข็งแรงหลุดออกจากลำตัว ร่างของคีตกาลก็ค่อยๆ ไหลลงไปตามผนังลงนั่งคุดคู้หมดสภาพอยู่ที่พื้น

เธอง่วงจัง หนังตามันหนัก หนักจนแทบลืมไม่ขึ้นแบบนี้...

 

อินทิราลดโทรศัพท์มือถือลงจากใบหูแล้วถอนใจ ความรู้สึกตอนนี้ทั้งหนักใจและโล่งใจไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะหันกลับมาตามเสียงเรียกขานของแม่บ้าน

“คุณนางคะ คุณนาง เอายังไงดีคะ”

“มีอะไรคะป้า”

“คุณคีย์สิคะ ขนเสื้อผ้าออกจากบ้านไปแล้วค่ะ ทิ้งจดหมายไว้ด้วย” แจ่มใสรีบยื่นจดหมายฉบับดังกล่าวให้อินทิราด้วยความร้อนใจ “ป้าเพิ่งขึ้นไปเห็นตอนหัวค่ำ เลยพยายามโทร. หาคุณคีย์ แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย นี่ก็ดึกมากแล้วแต่คุณคีย์ยังไม่ยอมกลับ ป้าไม่กล้าเปิดจดหมายอ่าน เพราะเธอเขียนถึงคุณท่าน เอายังไงดีคะ โทร. ไปเรียนคุณท่านดีไหมคะ”

อินทิรารีบเปิดจดหมายออกอ่านด้วยสีหน้าเรียบสนิท ไม่พูดอะไรสักคำ เพราะข้อความในจดหมายนั้นมันบาดหัวใจเธอเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นว่าแจ่มใสจ้องมองเธออยู่ เลยต้องฝืนพูดอะไรสักอย่าง

“คุณคีย์บอกว่าจะไปพักผ่อนต่างจังหวัด เธอเขียนบอกไว้ว่าไม่ให้คุณพ่อกังวล พอเที่ยวเสร็จแล้วจะไปหาคุณลุงของเธอต่อ อาจจะกลับมาช่วงเปิดเทอมเลย” ระหว่างนั้นหญิงสาวก็พับจดหมายเก็บใส่ซองเอาไว้เหมือนเดิม แล้วพับซองเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงเงียบๆ

“คุณนางคะ คุณคีย์ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียวนะคะ แล้วเป็นสาวเป็นนางไปไหนมาไหนคนเดียวแบบนั้นได้ที่ไหน คุณนางต้องรีบบอกคุณท่านนะคะ เดี๋ยวป้าจะโทร. ตามคุณคีย์ให้รีบกลับมา ดึกดื่นป่านนี้แล้ว”

“ป้าแจ่มคะ ป้าแจ่มใจเย็นๆ ก่อนนะคะ นางเองก็ห่วงคุณคีย์ แต่นางว่าป้าแจ่มอย่าโทร. ไปเร่งรัดตามคุณคีย์ให้กลับมาบ้านตอนนี้เลยนะคะ เธออาจจะอยากไปเที่ยวจริงๆ นางว่าป้าแจ่มเปลี่ยนเป็นโทร. ไปถามคุณคีย์ประมาณว่าเที่ยวสนุกไหม แล้วเลียบๆ เคียงๆ ถามเธอดีกว่าว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เพราะนางกลัวว่าหากป้าแจ่มโทร. ไปโวยวายเร่งเร้าให้คุณคีย์กลับมา หากเธอไม่พอใจแล้วเตลิดไปอีกมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่นะคะ”

แจ่มใสพยักหน้ารับ สีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “แล้วเราจะบอกคุณท่านอย่างไรคะ”

อินทิราซ่อนความหนักใจไว้ใต้รอยยิ้ม “เดี๋ยวนางจะเรียนท่านเองค่ะ ป้าแจ่มอย่ากังวลเลยนะคะ ถ้ายังไงนางรบกวนป้าแจ่มหมั่นโทร. ไปหาคุณคีย์ ถามว่าเธอสุขสบายดีไหมอย่างที่นางบอกด้วยนะคะ”

“ค่ะ งั้นป้าขอไปโทร. หาคุณคีย์อีกรอบก่อนนะคะเผื่อจะเปิดเครื่อง เด็กคนนี้ทำอะไรแบบนี้ก็ไม่รู้ กลับมานะจะตีให้ตัวลายเลยเชียว” แจ่มใสบ่นอุบแล้วเดินออกจากห้องพักผ่อนไป

อินทิราเดินมายืนข้างเปลนอนของลูกชาย สีหน้าแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่ได้ต้องการเข้ามาสร้างปัญหาในบ้านหลังนี้ และไม่เคยคิดอยากเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้เลยสักนิด บ้านที่มีความทรงจำของผู้หญิงอีกคน คนที่เธอสำนึกผิด อยากเอ่ยปากขออภัยมาโดยตลอด แต่เธอไม่สามารถขัดความต้องการของสามีได้ ยิ่งเขาเอาลูกในท้องของเธอมาเป็นข้ออ้างด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แม่คนไหนเล่าจะอยากให้ลูกเกิดมาแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เป็นที่ยอมรับของใครๆ

 

เสียงเรือยนต์อย่างนั้นหรือ...หญิงสาวขยับตัวอย่างเกียจคร้านพร้อมชูแขนบิดไปมา ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้น กะพริบตาเป็นจังหวะเชื่องช้าจนภาพที่พร่าเบลอชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสติที่ขาดหายฟื้นตัวขึ้นมา ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งพร้อมกับทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

เธอนอนอยู่ที่ไหน...คีตกาลลุกพรวดขึ้นจากที่นอนพร้อมกับมองไปรอบตัวอย่างมึนงง แต่ก็ปวดหัวจี๊ดจนต้องล้มตัวลงนอนอีกหน รู้สึกปวดหัวแถมยังขมปากขมคอไปหมด หญิงสาวก้มลงมองตนเองก่อนเป็นอันดับแรก เธอยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่ตอนนี้ทั้งยับทั้งมอมจนแทบดูไม่ได้ ก่อนจะกลอกตามองไปรอบๆ ตัวด้วยความประหลาดใจแกมสงสัย เนื่องจากไม่คุ้นสถานที่ที่นอนอยู่ตอนนี้

หลังจากนอนนิ่งอยู่จนอาการปวดหัวทุเลาลง หญิงสาวก็ลุกออกจากเตียงสี่เสาแบบโบราณที่เธอสะดุดตาตั้งแต่ครั้งที่ลืมตาขึ้นมาเห็น บ้านไม้มีอายุทาสีขาวสะอาดตา ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องก็ดูเป็นของมีอายุพอๆ กับตัวบ้าน ไม่ได้ดูทันสมัยมีรสนิยมเหมือนบ้านที่เธออยู่ บ้านและข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่รอบตัวทำให้คีตกาลอดคิดไม่ได้ว่า ตนเองย้อนเวลามายุคโบราณแบบในละครเรื่องทวิภพก็ไม่ปาน บ้านนี้สร้างจากไม้ทั้งหลัง แม้แต่พื้นก็เป็นไม้แท้ที่ใช้งานจนเนื้อไม้เรียบขึ้นเงา หญิงสาวก้าวไปที่ประตูห้องแล้วดันมันเปิดอ้าออก

สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้คีตกาลอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา แสงระยิบระยับที่สะท้อนจากลำคลองตรงหน้าบวกกับลมเย็นที่พัดมากระทบผิวกาย ทำให้คีตกาลเดินเหมือนละเมอออกมาหยุดตรงชานระเบียง ก่อนจะหันกลับมามองตัวบ้านอีกครั้ง แม้จะดูเก่าแต่มันก็สวยแบบคลาสสิก โดยเฉพาะช่องลมที่เป็นไม้ฉลุนั่น ออกจะเสียดายนิดๆ ที่มีมุ้งลวดมาบดบังความงามของลายฉลุนั้นไว้ บ้านไม้หลังนี้ยกสูง มีระเบียงกว้างอยู่ด้านหน้า ในขณะที่ด้านหลังจัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ ไว้ ตรงโถงกลางเป็นห้องกว้างแบบเปิด ตามผนังมีภาพเก่าๆ มากมายหลายภาพติดเอาไว้เป็นความทรงจำที่งดงามของเจ้าของบ้าน

หญิงสาวขมวดคิ้วเมื่อสังเกตว่าผนังบางจุดว่างไปเหมือนมีใครปลดรูปออก ทั้งๆ ที่มันควรจะมีภาพอยู่ และไม่ใช่แค่จุดเดียวแต่เป็นหลายจุดเลยด้วยซ้ำ และตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าตนมาอาศัยหลับนอนอยู่ที่บ้านใคร หญิงสาวหยิบรูปที่วางอยู่บนชั้นขึ้นมาดูพร้อมกับยิ้ม เมื่อชายหนุ่มที่เธอจำได้แม้แต่ยามหลับปรากฏอยู่ในภาพถ่าย เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบอันทรงเกียรติ และหากจะให้คีตกาลเดา ชายหนุ่มคนนี้อยู่กองทัพเรือแน่นอน ก็ชุดที่เขาสวมใส่คือชุดกะลาสีแบบป๊อปอาย แต่ใบหน้าในภาพดูอ่อนเยาว์กว่าตอนนี้นัก

คีตกาลปัดความสงสัยและความสนใจออกไปก่อนจะเหลียวหันมองไปรอบตัว นาฬิกาบนฝาบ้านบอกเธอว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายเศษๆ วันนี้เป็นวันธรรมดา และหากว่าชายหนุ่มทำงานราชการตามเครื่องแบบที่เขาสวมใส่อยู่ในรูปจริง ก็แสดงว่าตอนนี้เจ้าของบ้านไม่อยู่แน่นอน และมันก็จริงดังที่เธอคิด เมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องที่เธออาศัยนอนนั้น มีกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง

ตื่นแล้วอย่าไปไหน ผมไปทำงาน แล้วจะรีบกลับมา เจอกันเย็นนี้

แค่นี้! ห้วนสั้นได้ใจความแบบทหารเป๊ะ ไม่มีทั้งคำขึ้นต้นและลงท้าย นี่เขาไม่กลัวว่าเธอจะเป็นขโมยยกเค้าบ้านเขาหรืออย่างไรกัน ถึงวางใจให้เธออาศัยหลับนอนอยู่ในบ้านแบบนี้ แต่ถึงเธอเป็นขโมยจริงก็คงไม่รู้จะขโมยอะไร เพราะดูๆ ไปแล้วบ้านนี้ไม่มีอะไรให้น่าขโมยสักนิด

แล้วทีนี้จะเอาอย่างไร หญิงสาวก้มมองดูตนเองอีกรอบพร้อมทั้งส่ายหน้าช้าๆ ข้าวของเครื่องใช้อะไรก็ไม่มีสักอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่คีตกาลยัดใส่กระเป๋าเดินทางใบย่อมสองใบอยู่ท้ายรถ แล้วตอนนี้รถของเธออยู่ที่ไหน ข้าวของสำคัญๆ ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด

หญิงสาวนั่งแหมะลงกับพื้นเหมือนคนคิดไม่ตก ถ้าวันนี้เธอได้เจอเจ้าของบ้านแล้วอย่างไร เธอจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี เมื่อวานตอนเก็บของออกมาจากบ้านก็ตั้งใจจะหายหน้าหนีไปให้บิดาได้คิด ในเมื่อท่านออกปากไล่เธอก็จะไป ไม่อยู่ให้ขวางหูขวางตา วางแผนว่าจะหลบไปท่องเที่ยวไหนต่อไหนสักสัปดาห์สองสัปดาห์ให้คลายเศร้า ก่อนจะไปขออาศัยอยู่กับลุงพินิจ พี่ชายคนเดียวของมารดาซึ่งครองตัวเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียว เธออาจจะขออยู่กับท่านไปนานๆ จนกว่าจะเรียนจบก็เป็นได้ เพราะตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่หวนกลับไปที่บ้านนั้นอีกครั้ง

คีตกาลนั่งเหม่อใจลอยคิดอะไรไปเรื่อย จากชีวิตที่เคยมีแบบแผน มีแนวทาง มองเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์สดใส มีครอบครัวที่รักและสนับสนุนอยู่พร้อมหน้า ตอนนี้กลับดูสับสนสิ้นดี ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพรุ่งนี้เธอจะทำอะไรหรือควรจะทำอะไรด้วยซ้ำ หลังจากนั่งนิ่งๆ คิดอยู่นาน หญิงสาวก็ถอนใจอย่างหนักอกหนักใจ ปลงกับทุกสิ่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหารถให้เจอต่างหาก แล้วค่อยๆ คิดอีกทีว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

 

หลังจากเดินดุ่มหาห้องน้ำ เธอก็เจอมันอยู่ที่ห้องสุดท้ายปลายสุดของตัวบ้าน อยู่ใกล้ๆ ห้องครัวแต่แยกยื่นออกไปต่างหาก แม้ภายนอกจะดูเก่าพอกับตัวบ้าน แต่พอเปิดเข้าไปก็ทำเอาใจชื้นขึ้นมาทันที เมื่อดูเหมือนว่าห้องน้ำนี้ผ่านการปรับปรุงให้สะดวกสบายขึ้น ไม่ได้มีโถส้วมแบบนั่งยองๆ อย่างที่จินตนาการไว้ในหัว ไม่ได้มีตุ่มใส่น้ำให้อาบ แต่มีฝักบัว แม้จะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นก็เถอะ แต่ด้วยความที่เป็นบ้านไม้แบบเก่าเธอจึงแอบกังวลเรื่องสัตว์บางชนิด หลังจากมองหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปทั่วแล้วไม่เจอ คีตกาลก็รีบเข้าไปอาบน้ำอาบท่า ดูแลตนเองเท่าที่จะทำได้ทันที

หลังจากอาบน้ำเสร็จอย่างทุลักทุเลพอควร เพราะเธอไม่กล้าแม้แต่จะค้นหาผ้าขนหนูของเจ้าของบ้านมาใช้ ชุดที่สวมใส่อยู่เลยเปียกชื้นอยู่บ้าง แต่มันก็ทำให้เธอสดชื่นแจ่มใส สมองปลอดโปร่งขึ้น ห้องต่อไปที่คีตกาลเปิดเข้าไปดูก็คือห้องครัว สิ่งที่ทันสมัยที่สุดในห้องนี้คือตู้เย็นขนาดกะทัดรัด รองลงมาคงเป็นเตาแก๊ส ไม่มีเตาไมโครเวฟหรือเตาอบใดๆ ทั้งสิ้น คีตกาลเปิดตู้เย็นออกดู แล้วยิ้มออกมาได้เมื่อพบน้ำผลไม้กล่องและขนมปังปอนด์

 

หญิงสาวนั่งห้อยขาทอดหุ่ยปล่อยอารมณ์ตามสบายอยู่ที่ระเบียง มองเรือแจวสัญจรไปมา แม้จะมีเรื่องไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้ร้อนรนเป็นทุกข์เหมือนเช่นทุกครั้ง ที่นี่สงบและปราศจากความวุ่นวาย แม้แต่เสียงรถราแล่นกันขวักไขว่ก็ไม่มี ทำให้นึกสงสัยอยู่ว่าบ้านหลังนี้อยู่ไกลจากถนนหนทางมากแค่ไหน เพราะนานๆ จะมีเสียงเรือที่ติดเครื่องยนต์แล่นผ่านไปสักที หรือไม่ก็เสียงบีบแตรของแม่ค้าพ่อค้าที่ค้าขายอยู่ในลำคลอง ทำให้นึกไปถึงตลาดน้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ ที่เธอเคยไปมา

เสียงย่ำเท้า เสียงไขกุญแจกุกกัก ทำให้ร่างบางที่นั่งปล่อยอารมณ์อยู่ขยับตัวระวังขึ้นทันที ก่อนจะเห็นว่าประตูที่ล็อกจากภายนอกตั้งแต่เช้าเปิดออกช้าๆ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น