13

ตอนที่ 13

13

 

“เอ่อ...พวกแก นี่คุณทีปกร เพื่อนอาจารย์ณวพล”

เมื่อทีปกรบุกเข้ามาเปิดตัวต่อหน้าเพื่อนสาวแบบนี้ นันท์นพินก็เลยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากแนะนำเขาต่อเพื่อนๆ 

สองสาวมองนันท์นพินผู้รับหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยสายตราวกับจะบอกว่าจะมาแนะนำกับพวกฉันทำไม พวกฉันเพิ่งบอกแกไปไง และตอนนี้ก็ไม่ได้อยากรู้จักด้วย

“คุณทีปคะ นี่เพื่อนหนาม คนนี้จุรินทร์สวยซ่า ส่วนคนนั้นมะปรางสวยหวาน ส่วนนี่หนามสวยมาก” เอ่ยตลกกลบเกลื่อนสีหน้าเหมือนร้อนตัว

“สวัสดีครับ” ทีปกรฉีกยิ้มบางๆ ประดับหน้านิ่งๆ ซึ่งสองสาวก็ยังไม่เข้าใจว่ายิ้มทำไม แล้วตอนนี้เขาก็ขอให้พนักงานเพิ่มจานให้ชุดหนึ่ง และสั่งเครื่องดื่ม

“ทานกันเยอะๆ นะครับ วันนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเอง เนื่องในโอกาสเจอเพื่อนของหนามเขา”

จุรินทร์เริ่มขมวดคิ้วมองแก้มแดงๆ ของเพื่อน แถมท่าทีการนั่งของทีปกรที่เบียดเพื่อนเธอจนแทบจะสิงร่างกันและกัน  หัวไหล่เบียดกัน และต้นแขนเบียดกันเสียขนาดนั้นก็ชวนให้คิดลึก

“ไอ้หนาม แกรู้จักกับคุณทีปกรหรือ”

นันท์นพินหลบสายตาเพื่อนแทบไม่ทัน ก็ไม่ได้อยากเปิดตัวแบบนี้ แทนที่เขาจะทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินเลยผ่านไป  ใครจะคิดว่าเขาจะพุ่งเข้าหาแบบนี้ แล้วเธอจะบอกเพื่อนว่าอะไรได้บ้างเล่า

“ผมเป็นแฟนเพื่อนคุณ”

คำตอบของทีปกรทำเอาสองสาวตกตะลึงยิ่งขึ้น ส่วนนันท์นพินนั้นเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปอย่างสงบ ขณะที่เขาวางท่าทีเป็นกันเอง ย่างเนื้อ หั่น และคีบใส่จานให้ ทั้งหันมามองพร้อมยิ้มอ่อนๆ แบบนั้น

“คุณทีปคบไอ้หนามนานแล้วหรือคะ มิน่า ใครมาจีบไอ้หนามก็ไม่ยอมคบ” เมื่อหายเกร็ง มะปรางก็เริ่มเก็บข้อมูลรอบตัวของทั้งคู่ทันที

“ว่าไงคุณ คบกันนานหรือยัง” ทีปกรเอนกายพิงเบาะด้านหลัง โยนเสื้อสูทคลุมต้นขาขาวล่อตาล่อใจ 

นันท์นพินไม่รู้ว่าจะวางหน้าอย่างไรต่อสายตาสืบสวนสอบสวนของเพื่อนสาว แทบอยากจะหันหน้าเข้ากระจกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“เพิ่งคบกัน” 

นันท์นพินไม่ลงรายละเอียดอะไรมากมาย แต่ดูท่าทีปกรจะไม่ค่อยพอใจในคำตอบเสียเท่าไร เลยจัดการลงลึกในรายละเอียดอีกสักหน่อย

“แต่เขาตามจีบผมมาสักพักแล้วนะครับ สามสี่ปีได้”

‘สามสีปีนี่เขาเรียกว่าตามจีบหรือ ฟังเหมือนตามตื๊อมากกว่าไหม’

นันท์นพินค่อนขอดในใจ หันมามองคนข้างกายที่ตอนนี้ยักคิ้วให้เธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมวางนาบฝ่ามือที่หน้าขาของเธอ 

ก็นึกว่าห่วงกลัวกระโปรงร่นขึ้นมาจนเห็นขาอ่อน

 และการขยับฝ่ามือลูบโลมหรือขยำตรงนั้นก็ทำให้หญิงสาวหนาวๆ ร้อน ๆ จนต้องลดมือลงไปกระชับฝ่ามือเขาไว้แทน

“แปลว่ารู้จักกันมาตั้งนานแล้วสิ” มะปรางถามย้ำ

นันท์นพินรีบถลึงตาใส่เพื่อน ส่งสัญญาณว่าอย่าเพิ่งถามตอนนี้ เพราะเธอไม่รู้จะวางหน้าอย่างไรแล้ว

“ครับ”

ทีปกรตอบรับ แล้วลงมือย่างเนื้อให้สาวๆ แต่ทำไมไปๆ มาๆ เนื้อย่างฝีมือเขามักตกไปกองที่จานของนันท์นพินเสียส่วนใหญ่

ความอิจฉานั้นทำให้จุรินทร์แอบส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มไลน์

Joorin : ถ้าจะหวานกันขนาดนี้ เอามีดมาฆ่าสาวโสดให้ตายตรงนี้เถอะจ้า

Maprang : เหม็นกลิ่นฟาร์มรัก

Joorin : จริง มาเป็นฟาร์ม บอกเลย

นันท์นพินแอบเปิดอ่านข้อความของเพื่อนๆ ที่เด้งกันถี่เหลือเกิน แล้วลอบมองเพื่อนอย่างคาดโทษ กล้ามานินทาท่านผู้ใหญ่ต่อหน้าต่อตาแบบนี้

แม้ทีปกรจะพอเดาออกว่าที่สาวๆ ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์คงเป็นเพราะเขา แต่ก็วางหน้าตาย ตั้งใจดูแลคนข้างกายเต็มที่ กระทั่งนันท์นพินกินไม่ไหวจึงหันมาย่างเนื้อใส่จานให้เขาบ้าง

“ผมไม่ชอบกินพวกปิ้งย่าง”

‘ไม่กินแล้วจะมานั่งทำอะไรกันเล่า’ นันท์นพินนึกเคือง เพราะมีเขา พวกเธอเลยสวาปามอย่างทุกทีไม่ได้

และชั่วโมงครึ่งจากนั้น สามสาวก็กินปิ้งย่างกันอย่างสงบ ย่าง คีบ จุ่มน้ำจิ้ม ใส่ปากเคี้ยว ทำรูปแบบเดิมซ้ำๆ เหมือนหุ่นยนต์

ขณะที่ทีปกรนั่งย่างให้บ้าง ดื่มเครื่องดื่มของเขาไปพลาง กระทั่งจ่ายเงินแล้ว ทีปกรก็ฉวยมือนุ่มนิ่มของนันท์นพินเอาไว้ ซึ่งจุรินทร์และมะปรางก็เบิกตาโตมองนันท์นพินแทบจะทันที

‘มีกลิ่นความรักแรงมากแถวนี้’ เหมือนรู้สึกถึงข้อความพวกนี้

“ขอตัวเพื่อนของคุณก่อนนะครับ ผมไม่นึกว่าเขาจะเลิกเร็ว พวกคุณคงไม่มีธุระอะไรกับหนามอีกใช่ไหม” ฟังเผินๆ ก็ดูเหมือนคำถามทั่วไป แต่ทำไมสองสาวฟังแล้วรู้สึกเหมือนทีปกรบอกว่า ‘อย่าได้มีธุระกับคนของผม’

“พวกเราไม่มีธุระอะไรต่อเลย ใช่ไหมหนาม” จุรินทร์รีบออกตัว

“อ้าว! ไหนว่าพวกแกจะไปติวแล้วอยู่ค้างที่เรือน...”

“ติวเตวอะไรกันล่ะไอ้หนาม ไม่มี้! ป้ะไอ้จุ๊ กลับบ้านเรา”

มะปรางควงแขนเพื่อนซี้ ก่อนหันไปขอบคุณทีปกรที่เลี้ยงอาหาร แล้วรีบเผ่นแน่บจากไป

ก็ถ้าไม่เอ่ยแบบนั้น ดูเหมือนว่าแฟนเพื่อนจะไม่พอใจอย่างมาก แค่มองมานิ่งๆ สองสาวก็รู้สึกเหมือนจะอายุสั้นไปอีกหลายปี

ลับหลังสองสาว ทีปกรจับจูงนันท์นพินไปที่ชั้นบนของตัวห้างซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับใช้จัดงาน ตอนนี้มีคนงานมากมายกำลังเดินสำรวจ วางแผนงาน บ้างทดลองแสงสี

ลินดา เลขาฯ ของทีปกรเดินเข้ามาทักทายนันท์นพินแล้วบอกเจ้านาย

“สายไปสามสิบนาทีค่ะ แต่ลินดาดูแลได้ คุณกุลเธออยากได้รันเวย์แบบเปิดออกไปถึงลานด้านนอกค่ะ เลยให้เธอสำรวจเส้นทางดูว่าจะเดินได้ถึงไหน”

ทีปกรพยักหน้า หันมามองคนข้างกายแล้วสวมเสื้อสูททับชุดนักศึกษาให้เจ้าหล่อน พร้อมพับแขนเสื้อให้

“เดี๋ยวแม่ผมเขาจะมาดูการวางแผนออกแบบเวทีแฟชั่นโชว์ด้วย ยังไง...คุณพอจะเตรียมตัวคุยเรื่องการเรียนทำอาหารกับท่านได้ไหม”

พบแม่ของเขา

การพบลูกค้า นันท์นพินก็คุ้นเคยดี แต่เพราะเป็นคุณทัศนา แม่ของทีปกร ทั้งยังไม่ได้เตรียมเอกสารอะไรมาเลย หญิงสาวเพียงพยักหน้า ก่อนทีปกรจะแยกออกไปคุยงานกับทีมงานที่รออยู่ด้านหน้าเวที หญิงสาวเห็นกุลสตรียืนรวมอยู่ในกลุ่มนั้น อีกฝ่ายรวบผมสูง สวมเสื้อกั๊กรับกับกางเกงสแล็กดูอินเตอร์ และโคตรเซ็กซี่มาก

ก้มมองตนเอง รองเท้าผ้าใบ สวมชุดนักศึกษา มองยังไงวุฒิภาวะก็ไม่อาจเทียบเคียงข้างกายทีปกรเหมือนกุลสตรีได้

ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะยืนอยู่ตรงนั้นได้โดยไม่อาย และเหมาะสมกับทีปกร

“เอ่อ...คุณลินดาคะ พอจะหาโน้ตบุ๊กให้หนามหน่อยได้ไหมคะ” หันไปบอกเลขาฯ ของทีปกร

“คุณหนามจะหาข้อมูลงานหรือคะ”

“ค่ะ หนามยังต้องพรินต์งานอีกด้วย เอกสารหนามเตรียมเอาไว้แล้ว แต่ไม่ทราบว่าคุณทีปจะให้หนามคุยงานกับคุณทัศนาวันนี้ เลยไม่ได้เอามาด้วย”

ลินดาก็เพิ่งโทร. แจ้งทัศนาเมื่อครู่นี้ตอนที่แยกกับเจ้านายว่าเขานัดเชฟสอนทำอาหารให้

“เดี๋ยวลินดาจัดการให้เลยนะคะ แล้วจะส่งเด็กให้มาเป็นผู้ช่วยด้วย”

ลินดาเดินออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมผู้ช่วยหนุ่มและโน้ตบุ๊กสำหรับทำงาน จัดหาโต๊ะและเก้าอี้ทำงานให้นันท์นพินด้วย ทีปกรที่คุยเรื่องพื้นที่ใช้เดินแฟชั่นโชว์ของกุลสตรีเหลือบตามามองคนตัวเล็กที่กำลังคุยกับผู้ช่วยของเขาก็ปลีกตัวมาสอบถาม

“มีอะไรครับคุณลินดา” เอ่ยถามลินดา แต่ตามองผู้ช่วยหนุ่มหนึ่งในทีมเลขาฯ

“คุณหนามเธอต้องการโน้ตบุ๊กใช้งานค่ะ จะต้องพรินต์งานด้วย”

ทีปกรเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างนันท์นพินกับผู้ช่วยที่อาจหาญมายืนแทบขนาบข้าง หันมองหน้าอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ผู้ช่วยหนุ่มถึงพอเข้าใจ ก้าวถอยห่างเล็กน้อย

“คุณจะใช้โน้ตบุ๊กหรือ”

“ค่ะ หนามเก็บข้อมูลเอาไว้ในอีเมลแล้ว จะเอาข้อมูลที่พี่นัทธ์ส่งมาให้อีกหน่อย แล้วทำตารางนิดหน่อย”

“คุณ ไปเอาโน้ตบุ๊กส่วนตัวของผมมา” บอกผู้ช่วยหนุ่มคนนั้น ก่อนจะยืนรออีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น

“หนามใช้โน้ตบุ๊กเครื่องนี้ก็ได้ค่ะ ไม่ได้มีอะไรสำคัญมาก”

“ใช้ของผม” ทีปกรยังย้ำมาอีก 

นันท์นพินไม่เข้าใจว่าใช้โน้ตบุ๊กของเขากับของคนอื่นมันต่างกันอย่างไร ยังไงเธอก็พรินต์งานได้อยู่ดี

“จะดีหรือคะ ของสำคัญส่วนตัว เผื่อหนามทำพัง”

“ผมจะรอดูว่าคุณจะทำพังกี่เครื่องกัน” ทีปกรเย้าหยอกอีกคนทั้งลูบผมยาวสลวยเล่น

กุลสตรีเห็นทีปกรแยกตัวออกมาเลยเดินตามมาสมทบ เธอยอมรับว่าตั้งแต่คุยงานมา วันนี้ทีปกรดูไม่เป็นมืออาชีพมากที่สุด แต่ก็อย่างว่านั่นละ งานในส่วนนี้เขาไม่จำเป็นต้องลงมาคุมเองก็ได้ เพียงแต่แม่ของเขาฝากฝังให้ลงมาช่วยเธอดู

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะพี่ทีป” กุลสตรีเดินเข้ามา นันท์นพินที่นั่งอยู่เลยจำต้องลุกขึ้น รอว่าทีปกรจะแนะนำเธอให้อีกฝ่ายรู้จักหรือเปล่า แต่เขากลับมายืนบังเธอเสียนี่

“ไม่มีครับ พอดีแม่พี่จะมาที่นี่ แล้วมีนัดคุยกับครูสอนทำอาหาร เดี๋ยวพี่คุยตรงนี้เสร็จจะตามไป น้องกุลคุยกับคนของพี่ได้เลย”

เธอเป็นแค่ครูสอนทำอาหาร ขณะที่อีกฝ่ายเป็นถึงน้องกุล 

พอคิดแบบนี้แล้วนันท์นพินรู้สึกว่าตนเองยังอยู่ที่เดิมตามมาตรฐานของทีปกร ระหว่างคนที่เขาจีบเองกับคนที่ตามจีบเขา ไม่มีความเท่าเทียมหรือสิทธิพิเศษสำหรับเธอ

กุลสตรีเหลือบตามองนันท์นพินครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วเดินห่างออกไป ตอนนั้นผู้ช่วยชายของทีปกรก็เอาโน้ตบุ๊กส่วนตัวของเขามาให้ ทีปกรบอกพาสเวิร์ดเข้าเครื่อง แล้วปล่อยให้อีกคนใช้เครื่องไป

นันท์นพินสลัดเรื่องในหัวเมื่อครู่ออก ก่อนจะจัดการรวบรวมเอกสารให้ลูกค้าเหมือนทุกครั้งแล้วจะสั่งพรินต์ ขณะรอผู้ช่วยไปเอาเอกสารมาให้ เธอก็นั่งมองกุลสตรีและทีปกรที่ยืนเคียงข้างกัน ดูเหมาะสมกันมาก

“ลินดาคะ ไหนล่ะคนที่ลูกทีปนัดให้ ลูกทีปนี่น้า กลัวคุณแม่ว่างขนาดต้องหากิจกรรมมาให้ทำ แทนที่จะหาลูกหาหลานมาให้คุณแม่เลี้ยง”

น้ำเสียงอ่อนหวานคุ้นหูของผู้หญิงรูปร่างเล็กดังขึ้น แม้จะดูมีอายุ แต่ก็ยังสวยมาก ท่านเดินเข้ามาด้านในทักทายลินดาอย่างคุ้นเคย ขณะที่ลินดาพูดคุยเล็กน้อย ก่อนจะเชิญอีกคนมาหานันท์นพิน

ทันทีที่มาหยุดยืนต่อหน้านันท์นพิน ทัศนาถึงกับขมวดคิ้ว มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจแกมเป็นกังวลอย่างปิดไม่มิด พลางร้องทัก

“หนู...”

นันท์นพินยกมือขึ้นไหว้ทัศนา เธอรู้จักทัศนาดี เพราะจนตอนนี้ก็ยังผ่อนส่งบ้านเรือนไทยกับท่านอยู่ และสาขาอาหารไทยและขนมหวานตามโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ก็เพราะท่านมีเมตตา

“ลูกทีปนัดหนูหนามเองหรอกหรือ”

“ค่ะ”

พอได้ฟังคำตอบ ทัศนาก็หันไปมองลูกชายที่ยังคุยกับนักออกแบบและทีมงานอยู่หน้าเวที ก่อนหันมามองสาวน้อยขนมหวานตรงหน้า ถามเหมือนเอ่ยไม่ออกเพราะการเจอกันระหว่างตนเองกับนันท์นพิน

“ลูกทีปไปเจรจาพาตัวมาเองเลยหรือ”

“ค่ะ”

“ไม่ได้ดีลงานผ่านใคร?”

“ไม่ค่ะ”

“ลูกทีปไม่รู้หรือคะว่าหนูเป็น...”

“ไม่ค่ะ”

นันท์นพินไม่รู้ว่าทำไมทีปกรต้องให้ตนเองมาสอนทัศนาทำขนมกับทำอาหาร แต่เมื่อถูกยัดเยียดเงินให้แล้วก็จะทำหน้าที่ของตนเองให้ดี

“เอ่อ...”

ทัศนารู้สึกพูดไม่ออกไปนาน ยิ่งเห็นเสื้อสูทที่คลุมทับเรือนร่างแน่งน้อยในชุดนักศึกษาดูใหญ่เกินตัว อีกทั้งแบรนด์นี้ช่างคุ้นตา พอหันไปมองลูกชายที่สวมกางเกงเข้าคู่กับเสื้อสูทที่นันท์นพินสวมทับอยู่ก็พอจะรู้ว่าสูทนี้เป็นของใคร

“หนูรู้ใช่ไหมคะว่าลูกชายฉันไม่ชอบ เอ่อ...”

“ทราบค่ะ” นันท์นพินวางสีหน้าเรียบ มองตอบทัศนาอย่างมั่นคงไม่คลอนแคลนราวกับตัดสินใจไปแล้ว

ผู้ใหญ่กว่ามองท่าทางนั่นแล้วอดเป็นห่วงทั้งคู่ไม่ได้

“ฉันขอเตือนนะคะหนู ตัวฉันอาจจะทำใจได้และให้โอกาสพวกหนูได้ แต่ไม่ใช่กับตาทีป เขาเป็นพวกรักแรงเกลียดแรง อย่าริลองเล่นกับไฟเลย ถอนตัวตั้งแต่ยังสามารถทำได้ หนูจำไม่ได้หรือคะว่าพ่อหนูเคยทำผิดมาแล้ว หนูยังจะตั้งใจทำผิดทั้งที่รู้ว่าไม่ควรไม่ได้นะคะ” ผู้อาวุโสกว่าเตือนสติ เพราะมองยังไงก็เห็นว่าเรื่องระหว่างทีปกรกับนันท์นพินไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่ควรเป็นแบบนี้

“ว่าไงครับแม่ ถูกใจคุณครูสอนทำอาหารไหม” ระหว่างที่นันท์นพินยืนตัวลีบเล็กต่อหน้าทัศนา ทีปกรก็เดินเข้ามาสวมกอดเอวบางของแม่พร้อมถามเสียงร่าเริง 

คุณทัศนาหันไปมองหน้าลูกชาย เห็นดวงตาอบอุ่นนั้นมองเด็กสาวตรงหน้าครู่หนึ่งก็ใจไม่ค่อยดีสักเท่าไร พลางถอนหายใจแล้วมองนันท์นพินครู่หนึ่ง

“ครูพี่หนามกับครูพี่นัทธ์จากร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์ ตอนนี้เขาดังจะตาย ในโรงแรมเราก็มีแต่ร้านขนมเขา ทำไมคุณแม่จะไม่ชอบล่ะคะ”

“เห็นแม่บ่นว่าว่าง บ่นว่าเหงา ผมเลยหาอะไรให้ทำ จะได้ยุ่งๆ ยังไงนัดวันกับเขาดูนะครับ ตกลงกันเอง”

ทีปกรมองหญิงสาวด้วยสายตากรุ้มกริ่มนิดๆ เมื่อเห็นเธอหน้าซีดตอนเจอหน้าแม่ของเขา

“ฝากด้วยนะครับแม่ กว่าผมจะได้ตัวครูพี่หนามมาไม่ใช่ง่ายๆ อย่าทำให้เขาหนีไปเสียล่ะ อย่างน้อยก็ไว้หน้าคนจ้างงานอย่างผมบ้าง”

ว่าแล้วก็ปลีกตัวออกไปเพื่อดูงาน ทิ้งทัศนาให้อยู่กับนันท์นพิน ซึ่งหญิงสาวก็ทำหน้าที่ตัวแทนร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์ได้อย่างดี เธอเอารายชื่ออาหารและรายชื่อขนมให้ทัศนาเลือก อธิบายที่ไปที่มาของขนม กระบวนการทำคร่าวๆ และแลกตารางการทำงาน ซึ่งได้ข้อยุติว่าวันที่เหมาะทำการเรียนการสอนคือวันเสาร์-อาทิตย์

เมื่อตกลงเรื่องตารางการเรียนทำอาหารเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็รวบรวมเอกสารเก็บ คุณทัศนาให้ติดต่อกับแม่บ้านเรื่องขั้นตอนการเตรียมเครื่องปรุง นัดวันเข้าไปดูบ้านและดูครัว รวมถึงเครื่องมือทุกอย่างในครัวของที่บ้านว่าพร้อมสำหรับการเรียนการสอนหรือไม่

“เอาเป็นว่าเสาร์-อาทิตย์นี้หนามเข้าไปดูความพร้อมก่อนนะคะ แล้วเริ่มเรียนกันวันอาทิตย์เลย”

“เอาตามนั้นก็ได้ค่ะ ว่าแต่ครูพี่นัทธ์นี่พอจะมาเป็นอาจารย์พิเศษให้ได้บ้างไหม”

นันท์นพินอดหัวเราะไม่ได้ ไม่ว่าจะลูกศิษย์ผู้หญิงคนไหนก็ไม่พ้นจะต้องถามหาครูพี่นัทธ์ผู้แสนหล่อเหลา มาดผู้ดี ใจเย็น แสนสะอาด เข้าอกเข้าใจผู้คน

“หนามจัดตารางทำงานพี่นัทธ์เองค่ะ ถ้าคุณทัศนาอยากเจออาทิตย์ไหน หนามจัดให้ได้นะคะ เพียงแต่ต้องมีค่าน้ำชาสักหน่อย ค่าตัวครูพี่นัทธ์...อุ๊ย!...”

เอ่ยยังไม่ทันจบ ศีรษะก็ถูกเคาะเบาๆ หันไปถึงเห็นว่าทีปกรยืนอยู่ด้านหลังเธอ เยื้องไปนั้นเป็นกุลสตรี

“นี่คุณยังจะมาหาลำไพ่พิเศษกับแม่ผมอีก”

“หนามแค่แหย่เล่นเท่านั้นค่ะ แหม ก็เจอลูกศิษย์สาวๆ ทีไรถามหาแต่ครูพี่นัทธ์ทุกรายไป ครูพี่หนามก็น้อยใจเหมือนกันนิคะ” เอ่ยแล้วแสร้งทำท่าน้อยใจ 

ทีปกรวางนาบฝ่ามือลงบนศีรษะเล็กแล้วเขย่าเบาๆ ลืมหรือว่าตั้งใจไม่ทราบ แต่ทำต่อหน้ามารดาและกุลสตรีรวมทั้งคนของเขา จนนันท์นพินต้องรีบเอนตัวออกห่างเสียเอง

“สวัสดีค่ะคุณป้า กุลมัวแต่ทำงาน ไม่ทันได้มาทักทายสักที แล้วนี่คุยอะไรกันคะ น่าสนุกจริง” กุลสตรีพิจารณานันท์นพินอีกครู่หนึ่ง “เดี๋ยวนะ! นี่ใช่แม่ครัวร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์ที่ออกรายการทีวีบ่อยๆ นั่นไหมคะ”

“ใช่ค่ะ คนนี้แหละ ก็ร้านที่คุณป้าเอาไปเปิดที่โรงแรมจัดเป็นบุฟเฟต์นั่นไงคะ” ทัศนารีบแนะนำ 

กุลสตรียิ้มกว้างออกมาทันที ตรงเข้าไปคว้าสองมือของนันท์นพินมากุมไว้

“แหม หาตัวยากจริงๆ นะคะ รู้ไหมว่าพี่กุลติดต่อคุณหนามไปบ่อยมาก ส่งทั้งข้อความทางเพจ ทางร้าน หรือไอจีร้าน โทร. ไปก็หลายหนด้วยซ้ำค่ะ”

ตอนแรกเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงาน กุลสตรีเลยเพียงรู้สึกเหมือนคุ้นหน้านันท์นพินเท่านั้น ตอนนี้พองานเข้าที่เข้าทางก็เลยเริ่มมองเห็นชัด

“ติดต่อหนามหรือคะ”

“ใช่สิคะ วันนี้เจอตัว พี่กุลขอเข้าเรื่องเลยได้ไหมคะ”

กุลสตรีหานามบัตรแล้วยื่นให้นันท์นพินทันทีชนิดที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว เหลือบตามองทีปกรครู่หนึ่ง เห็นอีกคนยังนิ่ง ก็เลยเงยหน้าขึ้นมองกุลสตรีแทน

“คือแบบนี้นะคะ พี่จัดแฟชั่นโชว์คอลเล็กชันใหม่ธีมออกแนวขนมหวาน ซึ่งพี่ได้แรงบันดาลใจมาจากคุณหนามเลยค่ะ คือพี่อยากขอเชิญหนามมาเดินปิดชุดสุดท้ายของงานให้พี่หน่อยได้ไหมคะ”

“หนามนี่หรือคะ”

“ค่ะ หนามนี่แหละ หนามนี่แหละนางแบบที่พี่ตามหา ทั้งสวยหวาน หุ่นดี ขาว ดูอิ่มเอิบ”

พอทัศนาได้ยินกุลสตรีพูดแบบนั้นก็เริ่มมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ก็เพิ่งเห็นชัดเต็มๆ ตาว่าเด็กสาวตรงหน้าเธอสวยหวานอย่างที่กุลสตรีว่าจริงๆ แล้วลอบมองลูกชายที่จนตอนนี้ก็ยืนอยู่ชิดด้านหลังนันท์นพิน ผู้สูงวัยถอนหายใจแรงๆ ส่ายหน้าไปมาคล้ายกลัว

“คงไม่เหมาะมั้งครับน้องกุล หนามนี่ยังถือว่าเด็กมาก” ทีปกรรีบปฏิเสธแทนอีกคน

“เด็กอะไรล่ะคะพี่ทีป นางแบบที่มาเดินให้กุลอายุสิบห้าสิบหกก็มีนะคะ”

“เขาไม่เคยเดิน เดี๋ยวเสียงานเปล่าๆ”

ทีปกรยังชะโงกหน้ามามองคนที่เขาไม่ยอมให้เดินแบบ ทั้งเขย่าศีรษะเล็กอีกครั้ง ไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะอยู่รอบกายและมองความใกล้ชิดนี้อย่างสงสัย

“หัดได้ค่ะเรื่องพวกนี้ เป็นนางแบบรับเชิญพิเศษของกุลไม่ต้องมีพิธีการอะไรมาก แค่เดินสวยๆ ให้คนมองเท่านั้นเองค่ะพี่ทีป”

อันนั้นละที่เขาไม่ชอบ ทีปกรตอบอยู่ในอก สบสายตากับคนที่แหงนเงยขึ้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนเลื่อนมือมาแตะที่เอวบาง

“เรื่องงานนี่ต้องผ่านพี่ชายหนามก่อนค่ะ คุณกุลต้องไปคุยกับพี่นัทธ์นะคะ ช่วงนี้ยิ่งบอกไม่ให้หนามรับงานที่ไหนด้วย”

เพราะดูสีหน้าของทีปกรแล้วเหมือนไม่อยากให้เธอไปข้องเกี่ยวกับกุลสตรี จะด้วยเหตุผลอะไร นันท์นพินก็ไม่เข้าใจ หญิงสาวเลยตอบอ้อมๆ ไป โยนให้พี่ชายแทน 

“งั้นพี่ขอเบอร์ติดต่อหน่อยได้ไหม” กุลสตรีก็ไม่ย่อท้อ

“ได้ค่ะ แต่พี่นัทธ์อาจจะไม่ค่อยรับสายหน่อยนะคะ ถ้าพี่กุลรีบก็บุกไปที่ครัวได้เลย หนามจะบอกคนที่นั่นให้ว่าพี่กุลไปหาพี่นัทธ์”

“ไปที่ครัวเลยดีกว่า เอาเบอร์เรามาให้พี่เลย”

เมื่อแลกเบอร์กันแล้ว ลินดาก็เข้ามาแจ้งว่าจองร้านอาหารให้แล้ว นันท์นพินที่รู้สึกว่าเป็นคนนอกก็ทำท่าจะปลีกตัวออกไป

“ถ้างั้นหนามขอลา...” กำลังจะยกมือไหว้ ทีปกรกลับยกมือมากุมมือน้อยลงหน้าตาเฉย พร้อมดุมาอีก

“จะลาอะไรกันตอนนี้ ข้าวเย็นไม่กินหรือไง”

“หนามว่าเนื้อในท้องหนามยังไม่ย่อยด้วยซ้ำค่ะ” นันท์นพินดึงมือออกจากอุ้งมือแกร่งของทีปกร แต่มันไม่ง่ายเลยเมื่อเขายึดเอาไว้แน่น

“ไปนั่งทานอะไรเล่นก็ได้นะคะหนู ไป คุณลินดานำไปเลย”

ทัศนาเห็นลูกชายทำตัวหวงก้างขนาดนั้นก็เลยเข้าไปดึงแขนนันท์นพินให้เดินแยกไปกับตน ปล่อยให้ทีปกรและกุลสตรีเดินรั้งท้ายมา

“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าหนูต้องการอะไรจากการเข้ามาใกล้ชิดลูกทีป และฉันไม่อยากรับรู้ด้วยว่าหนูกับลูกทีปมีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่ฉันขอบอกตรงนี้เลยว่าหยุดเถอะ” เมื่อเดินห่างทุกคนมา ทัศนาก็ย้ำเสียงเบาให้พอได้ยินกันสองคน

“ถ้าให้ฉันต้องเลือกระหว่างหนูกับหนูกุล ฉันชอบหนูกุลมากกว่า และเชื่อเถอะค่ะ เมื่อถึงเวลาต้องเลือก ลูกทีปเขาจะเลือกสิ่งที่ดีกับเขา”

ทัศนาจูงมือนันท์นพินมาวางพาดที่ท่อนแขนขณะเดิน และพยักพเยิดไปยังทีปกรกับกุลสตรี

“ดูสิ เวลาเขาเดินด้วยกัน เวลาคุยกัน เวลาเขาทำงานกัน หนูคงเห็นนะคะว่าเขาสองคนเหมาะสมกันแค่ไหน”

นันท์นพินเหลือบมองเจ้าของร่างสูงที่เดินตามมาเคียงข้างกับกุลสตรี และต่างก็พูดคุยปรึกษาเรื่องงานกัน มองมุมไหนก็ช่างเหมาะสม เห็นและรับรู้ดีทีเดียว แม้ทัศนาจะข่มและทับถมเธอมากเท่าไร นันท์นพินก็ไม่ได้เจ็บปวดมากนัก เพราะเจียมตัวไว้แต่แรกอยู่แล้ว

ตอนรับประทานอาหาร หัวข้อในการสนทนาส่วนมากเป็นเรื่องงานแฟชั่นโชว์ของกุลสตรี นันท์นพินที่เพิ่งกินปิ้งย่างมาเลยไม่ค่อยสนใจอาหารหนักเท่าไร ทีปกรเลยสั่งสลัดผัก ยำผลไม้รวมมาให้ แถมคะยั้นคะยอให้เธอกิน

“เอาขนมหวานไหม” ทีปกรหันมาถามคนข้างกาย 

นันท์นพินเพียงส่ายหน้าเท่านั้น แม้หิวก็กินไม่ลง มันจุกๆ อยู่ที่อก 

“ถ้าร้านนี้ต้องนี่เลยค่ะ แกงส้มไข่เจียวชะอม กุลชอบมาก” กุลสตรีแนะนำทุกคน 

ทีปกรลองชิมตามคำชวน รสชาติถือว่าดี แต่เขาจำได้ว่านันท์นพินเคยทำเมนูนี้ให้กินแล้ว ขนาดตอนนั้นเธอทำเร็วๆ เครื่องไม่ครบยังอร่อยกว่านี้มาก กลมกล่อม กลิ่นหอมสมุนไพรครบเครื่อง

“ถ้าเมนูนี้ผมแนะนำว่าต้องที่ร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์เลยครับ” พอได้ที ทีปกรรีบโอ้อวดพรีเซนต์คนข้างกาย

“มันจะกลมกล่อมกว่านี้ จริงไหมคุณ” หันมาสะกิดนันท์นพินพร้อมตักแกงส้มไข่เจียวชะอมใส่ชามเล็กให้อีกคนชิม 

นันท์นพินชิมแล้วพยักหน้านิดๆ

“อร่อยมาตรฐานร้านเขาค่ะ เพียงแต่เครื่องแกงนี้คงทำสำเร็จตามสูตรทางร้าน มันเลยออกรสชาติเหมือนเราฉีกซองเครื่องปรุงเทใส่หม้อ ถ้าตำเครื่องแกงสดๆ มันจะเข้มข้นและหอมกว่านี้ค่ะ”

“เมนูนี้ทำไมไม่เห็นมีแนะนำให้ในรายการอาหารล่ะคะหนูหนาม ฉันก็ชอบเมนูนี้ ดีต่อสุขภาพ” ทัศนาเอ่ยแทรก สีหน้าดูปกติเหมือนไม่มีความบาดหมางเล็กๆ เกิดขึ้นระหว่างทาง

“อ้อ พี่นัทธ์ขอให้เน้นทำอาหารหายากและตำรับในวังเท่านั้นค่ะ หนามเลยไม่แน่ใจว่าคุณทัศนาจะสนใจพวกอาหารพื้นๆ เหล่านี้”

“สนใจสิคะ ฉันนี่ชอบพวกผัก ถ้าอาหารในรั้วในวังส่วนมากจะเน้นกะทิ คนแก่แบบฉันก็ไม่ไหวหรอกค่ะ”

“ถ้าชอบอาหารพวกผักและอาหารข้างทาง ครูพี่หนามนี่ละตอบโจทย์แล้วแม่”

ทีปกรหันมาเย้าหยอกคนข้างกาย พูดไปแล้วก็คิดถึงอาหารมื้อหรูที่ครูพี่หนามทำให้เขากิน คงมีแค่วันที่เพื่อนมาเท่านั้น นอกนั้นอาหารที่เขาได้กินเป็นจานด่วน อาหารเด็ก หนักสุดคือแกะถุงใส่ไมโครเวฟ

เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ นันท์นพินบอกตนเองว่าไม่ได้อึดอัดอะไรมากนัก ยังรับมือได้ กำลังเดินตามคนอื่นออกมา ก็พอดีกุลสตรีหันมาเอ่ยสนทนาด้วย

“น้องหนามกลับยังไงจ๊ะ พี่ไปส่งให้ไหม นี่ก็ดึกแล้ว เผื่อเจอพี่ชายเราที่บ้านด้วยจะได้คุย...”

“หนามกลับกับพี่ครับ น้องกุลกลับได้เลย”

“เอ่อ...”

ไม่ใช่กุลสตรีไม่เห็นถึงความสนิทสนมของทีปกรและนันท์นพิน ทีปกรขนาดแชร์ของใช้ส่วนตัวด้วย อย่างเสื้อสูทที่คลุมอยู่บนร่างเล็กนั่น และตอนอยู่ลานแสดงกิจกรรมชั้นบนของห้างสรรพสินค้าก็ยังให้นันท์นพินใช้โน้ตบุ๊กส่วนตัวได้ สองคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์มากกว่าคนจ้างงานกับครูสอนทำอาหารที่จ้างมาสอนแม่ตนเองแน่นอน

“ไปเรา เดี๋ยวดึก” ทีปกรหันไปมองคนหน้าหวานข้างกาย

นันท์นพินเลยยกมือไหว้ลาทัศนาและกุลสตรี ออกจะกระดากอยู่บ้างตอนทีปกรคว้ามือขึ้นมาจูงเมื่อเห็นคนรถของทัศนามารับคุณแม่เขาแล้ว

กุลสตรีและทัศนาเลยได้แต่มองตามสองหนุ่มสาวที่เดินห่างออกไป

“พี่ทีปคบกับน้องหนามหรือคะคุณป้า น่าเอ็นดูจริงๆ กุลไม่เคยเห็นพี่ทีปดูอารมณ์ดีแบบนี้มาก่อนเลยนะคะ เวลาทำงานสายตาแทบไม่คลาดจากน้องเขาเลย” กุลสตรีถอนหายใจ เสียดาย แต่ก็นึกชมชอบทั้งคู่ไปด้วย

“หนูกุลไม่ชอบลูกทีปของคุณป้าหรือคะ” ทัศนาเองก็ใช่จะไม่สังเกตเห็น ลูกชายเธอแทบไม่เป็นอันกินข้าว มัวแต่พะวงดูแลคนข้างกาย

“คุณป้าขา ใครจะไม่ชอบพี่ทีปบ้างล่ะคะ สำคัญคือเขาชอบเราไหมต่างหาก อะไรที่ไม่ใช่ของกุล กุลก็ทำใจยอมรับได้ค่ะ”

ทัศนาพยักหน้าตามพลางทอดสายตาห่วงใยมองตามแผ่นหลังกว้างของลูกชาย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น