3

ตอนที่ 3

3

 

ข้าวต้มมัดที่กำลังนึ่งได้ที่ส่งกลิ่นหอมตลบไปทั่วทั้งห้องเรียน บอกถึงเวลาเลิกเรียนในคลาสเรียนหลักสูตรอาหารคาวหวานจากในวัง

และบรรดานักเรียนที่ลงเรียนในคลาสวันหยุดของมหา’ลัยนี้เรียนฟรีทุกคอร์ส เพราะเป็นโครงการที่มหา’ลัยดีลเอาไว้กับนัทธ์เพื่อเปิดสอน

แล้วไงล่ะ

คนที่ต้องบากหน้ามาสอนงกๆ ก็เป็นเธอนี่ นันท์นพิน น้องสาวผู้น่าสงสารที่ถูกพี่จิกหัวใช้ ขณะที่พี่ชายหนีไปรับจ๊อบไพรเวตคลาสของทางร้านแทน

“พรุ่งนี้ครูพี่นัทธ์เข้าสอนใช่ไหมคะครูพี่หนาม”

ลูกศิษย์วัยคุณป้าที่เรียกนันท์นพินว่าครูพี่หนามจนติดปากถามอย่างดีใจจนออกนอกหน้า ทำเอาครูสาวชักน้อยใจ เจอหน้าเธอไม่เคยมีคนดีใจขนาดนี้สักคนเดียว อ่อยผู้ชายยังไม่ขึ้น ประสาอะไรกับการอ่อยคุณป้าในคลาสเรียนให้มารักมาหลง ไม่ได้มีดวงนารีอุปถัมภ์อย่างพี่นัทธ์บ้างให้รู้ไปสิเออ! 

“ใช่ๆ พี่เห็นเขาเมาท์กันให้แซ่ด”

“ในเพจก็เหมือนจะมีคนไปโพสต์ถามอยู่นะคะ ครูพี่นัทธ์มาตอบเองเลยว่า ‘อาจจะ’ เข้า”

“กรี๊ดๆ”

“แบบนี้เราต้องแวะสปาร์กันไหมคะคุณพี่”

ลูกศิษย์วัยคุณป้าเริ่มนัดแนะหาสถานเสริมความงาม นัดช่างแต่งหน้าส่วนตัว คุยกันไปจนถึงชุดที่ต้องใส่มาเรียนในวันพรุ่งนี้

“ว่าแต่ครูพี่นัทธ์เข้าสอนแน่หรือคะคุณพี่”

วงสนทนาที่มีใครสักคนเอ่ยถาม ตอนนั้นเสียงคุยจ้อจึงเงียบลง ทุกคนเหมือนพร้อมใจกันหันมามองนันท์นพินเป็นตาเดียว

เอ่อ...อาจจะเข้าสอนของฮีอาจจะหมายความรวมไปถึงอาจจะไม่เข้าด้วยไหม ฟังดีๆ สิคะแม่ยกทั้งหลาย

นันท์นพินแย้งในอก แล้วก็ยิ้มแหยๆ ตอบกว้างที่สุดให้คนเดาทางไม่ถูก ไม่มีใครหยั่งความคิดของนัทธ์ได้หรอก เกิดวันดีคืนดีมีคนมาให้สอนทำขนมเงินเยอะเงินหนาก็อาจเทงานสอนการกุศลที่นี่ไปก็ได้

“ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเป็นพี่นัทธ์ที่มาค่ะ ยังไงพรุ่งนี้ถ้าจะเข้าเรียนก็เหมือนเดิมนะคะ เตรียมวัตถุดิบมาเอง เจอกันแปดโมงเช้า เช็กวัตถุดิบที่ต้องเตรียมในเพจ ไม่เข้าใจอะไรก็ส่งข้อความไปถาม หรือโทร. สอบถามทางร้านได้เลยนะคะ”

เมื่อเลิกคลาสเรียน นักเรียนในชั้นต่างเริ่มทยอยเก็บของกลับ

นันท์นพินก็เช็กวาล์วหัวแก๊สว่าปิดดีหรือไม่ เก็บข้าวของที่เอาออกมาใช้ไปล้าง ทุกทีเด็กที่ร้านจะตามมาช่วยเธอด้วยหนึ่งคน แต่วันนี้ไพรเวตคลาสของพี่ชายคงเป็นคณะคนมีเงินคณะใหญ่ ถึงต้องดึงตัวเด็กทุกคนในร้านเอาไว้ที่ร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์หมด

ส่วนคลาสเรียนในวันพรุ่งนี้ ถ้าพี่ชายเข้าสอนจริง นันท์นพินก็เห็นแววยุ่งเหยิงมาแต่เนิ่นๆ ตอนแรกนั้นเป้าหมายของการเปิดสอนโครงการทำอาหารและขนมไทยสูตรชาววังที่มหาวิทยาลัยนี้คือเพื่อไปประกอบวิชาชีพ เลยเน้นกลุ่มคนที่เป็นพวกแม่บ้าน คนว่างงาน คนที่ต้องการหาอาชีพเสริม แต่ทุกครั้งที่ครูพี่นัทธ์คอนเฟิร์มตารางเข้าสอน จะมีนักเรียนสาวที่ไม่ได้ลงเรียนแวะเข้ามาด้วยความบังเอิญเสมอๆ และก็เข้าทางพี่นัทธ์ในการขายตรงไพรเวตคลาสให้นักเรียนหลงทางพวกนั้นหลงไปเรียนต่อจนถึงเรือนคุณนัทธ์

เสียเงินเป็นแสน แขนไม่ได้จับ แฟนก็ไม่ได้เป็น 

นั่นคือสโลแกนที่นันท์นพินอยากบอกลูกศิษย์เหล่านั้นของพี่ชาย

“ครูพี่หนามครับ ถ้าผมไปลองทำข้าวต้มมัดที่บ้านแล้วไม่ได้อย่างที่สอน ผมสามารถโทร. ไปสอบถามส่วนตัวได้ไหมครับ”

และคลาสเรียนของเธอพักนี้ดูแปลกๆ มักมีผู้ชายหันมาทำกับข้าวเองก็เยอะ ดูอย่างวันนี้มีเข้ามาใหม่สี่ห้าคน ยังดูหนุ่มแน่นกันทั้งนั้น ตอนเรียนก็ตั้งใจเรียน คอยเรียกเธอไปสอบถามใกล้ๆ อยู่เสมอ ตั้งแต่สอนมามีนักเรียนชายนี่ละตั้งใจเรียนสุดๆ  ถามละเอียดแทบทุกขั้นตอน แทบจับมือสอนทำเลยทีเดียว

“ได้สิคะ ตามนามบัตรที่หนามให้ไว้เลยนะคะ ติดต่อไปได้” หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้ และตอบเหมือนที่สามคนก่อนหน้านี้ถาม

“แต่นั่นมันไม่ใช่เบอร์คุณหนามนี่ครับ”

“นี่ร้านหนามค่ะ ถ้าอยากขอสายหนามก็บอกทางร้านได้ หรือสะดวกทางเพจก็สอบถามเข้ามาได้ค่ะ หนามเป็นแอดมินเพจเอง”

หญิงสาวตอบกลางๆ เพื่อจะส่งต่อลูกค้าให้ทางร้านเพียงพอดีบายเรือนคุณนัทธ์

ผู้ชายคนนั้นทำท่าเสียใจนิด แต่ไม่ย่อท้อ

“แล้วครูพี่หนามจะกลับเลยไหมครับ ผมไม่เห็นรถทางร้านมารอรับอย่างทุกที”

“หนามต้องอยู่รอเช็กอุปกรณ์กับเจ้าหน้าที่ค่ะ กลับก่อนได้เลย ถ้าอยู่นานกว่านี้หนามจะคิดตังค์ค่าสอนแล้วนะคะ”

“คิดเท่าไหร่ผมก็ยอมจ่ายครับ”

นันท์นพินเพียงขำนิดๆ เอ่ยตามที่พี่ชายเคยสอนไว้ในกรณีที่นักเรียนไม่ออกไปจากห้องเรียนสักที

“จริงหรือคะ ค่าเช่าสถานที่ ค่าเช่าอุปกรณ์ทุกชิ้นที่นี่ ตู้อบเล็ก ตู้อบใหญ่ เตากว่ายี่สิบตัว นี่ยังไม่รวมค่าไฟ ค่าแก๊สหุงต้ม ค่าน้ำ...”

“เอ่อ...อย่างนั้นครูพี่หนามค่อยๆ เช็กตรวจตราอุปกรณ์ไปเถอะครับ ผมขอตัวกลับก่อน”

เอ่ยยังไม่ทันจบ ผู้ชายที่มาตื๊อขอส่งกลับบ้านก็ล่าถอยไป หญิงสาวเองก็เลิกสนใจ หันมาเก็บข้าวของล้าง เช็ด ทำความสะอาด เพราะงานเยอะ และมีแค่เธอที่รู้ว่าข้าวของเก็บจัดวางที่ไหน ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็ทยอยออกไปทีละคนสองคนจนเกือบหมด บางคนที่รั้งรอขอไปส่ง หญิงสาวก็ปฏิเสธไปอย่างเดิม และไม่ใส่ใจจะพูดคุยด้วย สุดท้ายลูกศิษย์ทุกคนก็ออกไปจนหมด

“คุณมีลูกศิษย์หนุ่มๆ มาขายขนมจีบแบบนี้บ่อยงั้นหรือ”

เสียงขรึมๆ ดังมาจากหน้าประตู ทำเอาคนที่ง่วนกับการเช็ดล้างเครื่องมือตรงหน้าเงยหน้าขึ้น ทั้งขมวดคิ้วเมื่อเห็นเจ้าของร่างสูง สวมเสื้อเชิ้ตลายสีฟ้า สวมกางเกงขาสั้น ผ้าใบสีขาว ดูสบายๆ และมีคลาส เดินเข้ามาด้วยท่าทีกล่าวหา

นันท์นพินครุ่นคิดว่าตน ถูกขายขนมจีบตอนไหนกัน

“ไม่มีใครขายขนมจีบนี่คะ มีแค่พวกแม่บ้าน พ่อบ้าน คนทำงาน”

“ผู้ชายสามคนที่ขอเบอร์ส่วนตัวนั่น”

“อ้อ...ลูกศิษย์เขามีข้อสงสัยจะถาม”

ดวงหน้าหวานเอียงมามองอีกฝ่ายอย่างกังขา มีคนขอเบอร์เธอจริง ไม่เห็นแปลกตรงไหน ที่มหา’ลัยก็มีคนมาขอแบบนี้ เธอก็ให้เบอร์ที่ร้านไปตามปกติ หรือบอกช่องทางสื่อสารทางเพจของร้าน ขายของวนซ้ำไปเหมือนที่พี่นัทธ์ทำ

ดูเหมือนคำตอบยังไม่เป็นที่สบอารมณ์ของทีปกรสักเท่าไร เขาจึงยังจับผิดไม่เลิก

“แล้วที่ยกมือให้ครูพี่หนามเข้ามาสอนข้างๆ แทบจับมือกันสอนนั่นล่ะ เรียกว่าอะไร”

คนที่สงสัยขนาดยกมือขอให้ครูพี่หนามมายืนข้างๆ ก็มีทั้งชายทั้งหญิง นันท์นพินก็คิดว่าไม่แปลก เธอเป็นครู คนเหล่านั้นเป็นลูกศิษย์ เวลาสงสัยก็ต้องถามเธอนะถูกแล้ว

ว่าแต่ทีปกรมานานขนาดนั้นเลยหรือ 

คิดแล้วก็เหลือบตามองคนที่เดินเข้ามาหยุดข้างกาย กวาดสายตามองข้าวต้มมัดที่ถูกจัดใส่ตะกร้าอย่างเป็นระเบียบ

“แล้วห้องสอนทำอาหารของคุณนี่ค่อนข้างห่างจากตึกเรียนอื่นมาก ยามรักษาความปลอดภัยก็อยู่ไกล เกิดลูกศิษย์คุณคิดไม่ซื่อขึ้นมาจะทำยังไง”

“เขาไม่คิดอะไรกับหนามหรอกค่ะ หนามมาสอนที่นี่ในฐานะครูนะคะ”

“ลูกศิษย์อยากขึ้นครูก็มีถมไป”

เอิ่ม! พูดซะเห็นภาพเลย จากแค่คิดเพียงลูกศิษย์กับครู ตอนนี้นันท์นพินเริ่มระแวง คราวหลังเธอต้องเซฟตัวเองกว่านี้แล้ว

และพอเขาพูดเรื่องทำนองนี้ เธอก็นึกได้ว่าเมื่อคืนที่ตนเองปลอดภัยจากเขาเพราะเขาไม่มีเครื่องป้องกัน มาวันนี้ยังมาพูดเรื่องขึ้นครูอีก นันท์นพินชักสงสัยว่าคนที่เธอชื่นชอบเป็นคนยังไงกันแน่ แอบหื่นเงียบ หรือยังไงกัน

“ยิ่งครูหน้าเด็กๆ ซื่อๆ ไม่ทันคนแบบนี้ด้วยแล้ว ถูกลูกศิษย์หลอกจับมือไปกี่ครั้งแล้วล่ะวันนี้”

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันบนดวงหน้าหวาน ขณะที่เจ้าของดวงตาคมกริบกวาดสายตามองหญิงสาวร่างแน่งน้อยในชุดผ้าซิ่น เสื้อผ้าฝ้ายแขนกุด มวยผมไว้กลางกระหม่อม ดูเหมือนหญิงไทยหลุดมาจากหนังสือกุลสตรีไทย

“จริงๆ มาสอนคนอื่นควรแต่งตัวให้มันรัดกุมกว่านี้หน่อย ดูสิ ใส่แขนสั้นอวดแขนเปลือยๆ นุ่งผ้าถุงอวดก้น อวดสะโพกแบบนี้ก็ไม่ควรใส่ ใส่ชุดเชฟได้ก็ใส่ไปเถอะ”

นันท์นพินเริ่มยิ้มไม่ออกเพราะข้อกล่าวหามากมายที่เขายกมาตำหนิ เริ่มก้มลงมองตนเองอย่างสำรวจ นึกสงสัยว่าชุดที่ใส่อยู่ตอนนี้น่าเกลียดตรงไหน พี่นัทธ์ของเธอก็ยังชมเลยว่าสวย แทบจะบังคับให้ใส่มาสอนทุกเสาร์-อาทิตย์ด้วยซ้ำไป

แต่เพราะน้ำเสียง สายตา และท่าทางของทีปกรดูดุน่ากลัวก็เลยเออออตามเขาไป

“ค่ะ” รับคำเสียงอ่อยแล้วก็ก้มหน้าเช็ดข้าวของที่ล้างให้แห้ง

“คุณมาได้ยังไงคะ”

เมื่อเงียบไปนานคนที่หยิบจับตรวจเช็กข้าวของมือเป็นระวิงก็เอ่ยถาม ก็ทางมาที่มหา’ลัยนี้ไม่น่าจะเป็นทางผ่านไปไหนได้ นอกจากมาที่มหา’ลัย

นันท์นพินไม่อยากเข้าข้างตนเองหรอกนะว่าเขาตามเธอมา

“ผมเห็นคุณแชร์โลเกชันลงในเฟซบุ๊ก”

ทีปกรตอบเรียบๆ ไม่ได้บอกว่าตามมา หรือทางผ่าน หรือว่าอะไร เหมือนเห็นโลเกชันก็มาเฉยๆ ก่อนเดินเข้ามาก้มดูว่างานเธอใกล้เสร็จแล้วหรือยัง

นันท์นพินพยักหน้าเข้าใจ เพราะเมื่อคืนเขามาขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กและไลน์ ตอนมาทำงานเธอก็เพิ่งแชร์โลเกชันไป ไม่อย่างนั้นไอ้พี่นัทธ์ได้โวยแน่ๆ ถ้าเธอไม่ยืนยันตัวตนว่ามาสอนลูกศิษย์ที่รักให้จริง

“ว่างแล้วหรือยัง ไปกินข้าวกัน”

“หนามไม่ได้บอกว่าจะไปด้วยสักหน่อย”

นันท์นพินรีบแย้ง ทั้งหน้ายังงอ เพิ่งถูกว่าแต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะหยกๆ ใครจะกล้าไปไหนกับเขาอีกเล่า ขนาดยังไม่ไปไหนยังโดนโวยเสียขนาดนี้ ติไปหมดตั้งแต่ทรงผมยันรองเท้า

“ถ้าอยากเรียกผมว่าสามีก็กล้าๆ ไปทำความรู้จักกับผมหน่อย”

นันท์นพินที่วางหน้านิ่งมาตลอดเวลาสอนหลบสายตาของทีปกรครู่หนึ่งเพราะรู้สึกเหมือนจะเป็นลม

‘ตายแน่หนามเอ๊ย! นี่คุณทีปกรเขารุกเราหรือเปล่าหว่า’

แม้ตลอดช่วงเวลาทำการสอนนันท์นพินจะวางหน้านิ่งมานักต่อนัก เพราะต้องทำตัวให้ดูโต จะได้สอนลูกศิษย์ได้ ไม่ถูกปรามาสว่าให้เด็กมาสอน แต่กับทีปกรแม้หน้าจะนิ่งแค่ไหน แต่รอยแดงระเรื่อข้างสองแก้มมันซ่อนไม่ได้นี่สิ

“หนามไม่ทำความรู้จักกับคนที่มีแฟนหรอกค่ะ บอกอีกครั้งก็ได้ว่าหนามมีเพื่อนเยอะแล้ว พี่ชายก็มีแล้วด้วย”

ตั้งแต่ตามไอจีทีปกรมา เอาจริงๆ นันท์นพินไม่ได้คาดหวังว่าต้องได้เขาเป็นแฟน เพียงแต่ชื่นชอบและนับถือเขามาก

แต่ที่หยอดบ่อยๆ ขยันอ่อยถี่ๆ ก็เผื่อฟลุกแค่นั้น

“ผมยังไม่ได้คบใครเป็นแฟนนะช่วงนี้ ถ้าขืนคุณช้าก็ไม่แน่ว่าผมจะว่าง”

‘เอ๊า! สรุปที่มาหานี่คือจะให้เธอทำคะแนนว่างั้นสิ ช่างใจดีมีบริการส่งตรงมาให้จีบถึงที่เสียจริงๆ’

คนทำตาคว่ำเหลือบตามองอย่างขลาดๆ แต่ในสายตาของทีปกรมันช่างน่ารักจนรู้สึกหิวขึ้นมาตงิดๆ

เอ่อ...ไม่ได้อยากกินเจ้าหล่อนนะ ยังไงคนตรงหน้าก็ดูเด็กอยู่เลย

นันท์นพินครุ่นคิดถึงข้อเสนอของอีกฝ่าย ไหนๆ ก็ถูกเขาอ่อยมาขนาดนี้แล้ว มีหรือจะไม่ทำตัวให้พลาดยอมตกถังข้าวสาร

‘ก็จัดมันเลยสิเนอะ’

“ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนามส่งข้อความบอกพี่นัทธ์ก่อน ว่าสอนเสร็จแล้วจะไปธุระกับเพื่อนต่อ”

“แน่ใจนะว่าคุณจะให้ผมเป็นแค่เพื่อน”

รู้ทั้งรู้ว่าเธอไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเขา และไม่อยากมีพี่ชายเพิ่มก็ยังมากระเซ้าเย้าแหย่เล่น ทั้งยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียน จนพวงแก้มนันท์นพินแดงระเรื่อขึ้นทันตา ต้องเสก้มพิมพ์ข้อความส่งให้พี่ชาย แต่ในใจนี่กรีดร้องไปหลายภาษาว่า

คุณทีปน่ารักๆ อยากได้ๆ พ่อคุณ พ่อขนุนหนัง หยอดเก่ง อ่อยเก่งจริงๆ 

ฝ่ายคนได้รับคำชมว่าน่ารักหันไปหิ้วตะกร้าใส่ขนม แล้วเดินนำหน้าออกจากห้อง ปล่อยคนแก้มแดงทำตัวไม่ถูกล็อกห้องสอนไปลำพัง

“ผมชอบคนทำกับข้าวเก่งนะ”

โดนไปอีกดอก 

นันท์นพินยกมือลูบอกแรงๆ เพิ่งระงับอาการหน้าแดงขวยเขินมาได้ไม่ทันไร หน้าก็ยิ่งแดงระเรื่อขึ้นมาอีก ก็ไม่ทราบหรอกนะว่าเขามาบอกทำไม แต่อดที่จะเสนอขายตรงให้คนที่เปิดประตูวางตะกร้าใส่ของลงหลังรถไม่ได้

“หนามทำกับข้าวเก่งค่ะ ที่ร้านนอกจากพี่นัทธ์ หนามก็ไม่แพ้ใครทั้งนั้น นี่หนามยังสอนคนอื่นๆ ทำด้วยนะคะ จริ๊ง ไม่ได้โม้”

‘นั่นแหละเขาเรียกว่าโม้’ ชายหนุ่มคิดขันๆ ถึงการโอ้อวดสรรพคุณของอีกฝ่าย

นันท์นพินฉีกยิ้มหวานพร้อมยืดอกอวดเต็มที่ ทีปกรกลับเปลี่ยนเรื่องเสียหน้าตาเฉย ซ้ำเปิดประตูแล้วรุนแผ่นหลังนุ่ม เป็นเชิงไล่เธอขึ้นรถ ก่อนชวนคุยอย่างเป็นกันเองมากๆ แล้วแบบนี้นันท์นพินจะต้องเข้าใจความสนิทสนมพวกนี้ว่าคืออะไร

“ทุกทีคุณกลับยังไง”

“แท็กซี่ค่ะ ไม่ก็คนที่ร้านไปส่ง แต่วันนี้ที่ร้านมีคลาสสอนคนเยอะ พี่นัทธ์เลยไม่ให้คนมาช่วย”

เธอเลยขนข้าวของมาลำพัง แถมต้องจัดเตรียมและเก็บเครื่องมือในห้องสอนคนเดียว

“แล้วเคยกลับพร้อมลูกศิษย์บ้างไหม”

รถยนต์สุดหรูแล่นออกจากมหาวิทยาลัย มหกรรมการซักไซ้ก็เริ่มต้นขึ้น ดูดุกว่าพี่นัทธ์ของเธออีกหลายขุม

“ไม่เคยค่ะ”

“ดีแล้ว” ทีปกรพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ

ขณะที่เขาวนรถยนต์สุดหรูหาร้านอาหารแถวนั้น นันท์นพินก็ก้มหน้าค้นกระเป๋าหาโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงร้อง พอเห็นเบอร์คนโทร. ก็รีบกดรับ เกรงจะรบกวนสมาธิคนขับเข้า ยิ่งหน้าบึ้งๆ อยู่ ไม่รู้อารมณ์เสียมาจากไหน

“ค่ะพี่พีชญ์”

‘หนามครับ พอดีพี่มาทำธุระแถวมหา’ลัยที่หนามมาสอน ว่าจะแวะเข้าไปรับ’

เสียงตามสายดังออกมาจนคนขับได้ยิน แม้ชื่อจะฟังดูเป็นผู้หญิงจ๋า แต่เสียงทุ้มๆ ผ่านสายนั่นยืนยันว่าหมอนี่คงเป็นอีกหนึ่งลูกศิษย์ที่ริจะขึ้นครู แค่ฟังเสียง ทีปกรก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

“ไม่ต้องค่ะๆ หนามออกมาแล้วค่ะ”

‘อ้าว! แบบนี้คลาดกันเลยสิครับ ว่าแต่พี่นัทธ์มารับหรือหนามขึ้นแท็กซี่ล่ะครับ’ อีกฝ่ายยังรุกไล่ถามอย่างใจเย็น

“มากับพี่ค่ะ”

จากนั้นปลายสายก็ชวนคุยเรื่องมหา’ลัยอีกครู่ ซึ่งนันท์นพินก็ตอบโต้อย่างขอไปที เพราะไม่อยากเสวนากับอีกฝ่ายเท่าไร แต่หารู้ไม่ว่าคนขับรถของเธอข้างแกมกระตุก จากที่ตอนแรกทำท่าจะแวะร้านดังแถวนั้น ก็เลยขับรถผ่านมาไกลก่อนจะได้ร้านเหมาะๆ

พอเห็นร้าน นันท์นพินถึงกับอุทานในอก

อิหยังวะ! สอนทำอาหารในรั้วในวัง เปิดร้านระดับตำรับคนวังมาเอง ใส่ชุดจัดเต็มแบบนี้ แต่...

“กินร้านเพิงข้างทางหรือคะ”

พอวางสาย นันท์นพินก็หันไปถาม ซึ่งทีปกรก็ยังคงหน้านิ่งที่ยิ่งดูดุและขรึมขึ้นอีกเป็นกอง เธอชักสงสัยรูปตามสื่อโซเชียลต่างๆ ของทีปกรเสียแล้วว่าที่เห็นยิ้มนัยน์ตาอบอุ่นนั่นคงผ่านการรีทัชมาแล้วหลายรอบ เพราะตั้งแต่เจอตัวจริงมายังไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยสักที

“กินได้ไหมล่ะ” คนหน้านิ่งเอ่ยเสียงกระแทกนิดๆ

“เห็นสาวคนอื่นๆ คุณทีปพาไปเดตอย่างหรู นี่หนามคิดว่าจะได้ล่องเรือ ไม่ก็บินไปจกไข่ปลาคาเวียร์ที่ญี่ปุ่น หรือไปอุ่นท้องที่ไต้หวันเลยนะคะ” นี่แค่แซวเท่านั้น ไม่ได้น้อยใจอะไรทั้งนั้นจริงๆ นะ

“ถ้าผมตามจีบใครก็จะทุ่มหมดหน้าตัก แต่ถ้าใครมาตามจีบผมก็ต้องรับผมให้ได้ ไม่ว่าจะแบบไหน คุณต้องหัดเรียนรู้เอาไว้อย่างหนึ่งนะคุณหนาม เวลาตามจีบคนอื่น คุณก็จะได้มาตรฐานที่รองลงมา ตรงกันข้าม ถ้าทำตัวดีมีคุณค่าให้คนอื่นมาตามจีบ ก็จะอยู่ในระดับไฮคลาส”

“สองมาตรฐาน” นันท์นพินเบ้ปากใส่อีกคน แต่ก็ยอมตามเขาลงไป

ทีปกรตรงไปสั่งข้าวราดแกงของตนเอง แล้วเดินนำไปนั่งด้านในร้าน 

หญิงสาวก้มมองชุดผ้าซิ่น เสื้อผ้าฝ้ายเข้ารูปพลางถอนหายใจ เดินไปตะโกนสั่งอาหารอย่างคล่องปาก

“ป้า แจ่วบองผักสด ไข่ต้มสอง ซุบหน่อไม้ ลาบเป็ด จัดมาโลด”

สั่งอาหารจัดเต็ม ก่อนตรงไปตักน้ำในมุมที่ให้บริการฟรีไปเสิร์ฟมหาเศรษฐีใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าวันนี้หลังกินอิ่มแล้วยังต้องหารค่าอาหารกับเขาด้วยไหม

“แต่งตัวสวยจังหนู เป็นดาราหรือเปล่าลูก” แม่ค้าที่ตักอาหารมาส่งวางจานข้าวแล้วเอาแต่ยืนเมียงมองนันท์นพิน 

ทีปกรอดขำไม่ได้ แต่มีหรือที่หญิงสาวจะเขินอายไปด้วย หน้าเธอหนากว่านั้นมาก

“หนูสวยขนาดนั้นเลยหรือคะป้า”

“สวยสิลูก ดูลูกค้าหนุ่มๆ ในร้านป้าสิ มองหนูเป็นตาเดียว”

นันท์นพินไม่ได้หันไปมองรอบร้านหรือทำหน้าปลื้มที่มีคนมามองมาชมแบบนี้ หญิงสาวเพียงฉีกยิ้มให้อีกฝ่าย

“หนูไปรำแก้บนมาน่ะป้า ชุดมันเลยออกจะเว่อร์ๆ อยู่สักหน่อย” ใครบ้างเล่าจะจัดเต็มอย่างเธอแล้วเดินเข้าร้านเพิงข้างทางมากินข้าวราดแกงแบบนี้

“ไปบนอะไรมาลูก ป้าก็ว่าอยู่ ทำไมสวยเสียขนาดนี้”

“ก็บนให้ได้สามีหล่อๆ รวยๆ ไม่สองมาตรฐานน่ะสิคะ ผู้ชายเดี๋ยวนี้หายากป้า ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอา”

ป้าร้านข้าวแกงหันมองทีปกรแทบจะทันที เพราะไม่เพียงหญิงสาวคนสวยจะสวยมากแล้ว หนุ่มที่มาด้วยก็หล่อลากเลยทีเดียว จนต้องลองมาเลียบๆ เคียงๆ ถาม เผื่อว่าจะเป็นดารามาอุดหนุนที่ร้าน จะได้ขอถ่ายรูปติดหน้าร้านเรียกกระแสเสียหน่อย

“คนหล่อคนนี้ล่ะลูก”

“โอ๊ย! คนนี้ไม่ใช่ของหนูหรอกค่ะ อันนี้คนข้างทาง บังเอิญเจอกัน หนูก็เก็บๆ มางั้นแหละ จริงๆ หนูหาได้หล่อกว่านี้อีกนะป้า”

“โอ๊ย! ถ้าจะขอคู่ละก็โน่น! ต้องที่พระตรีมูรติแถวๆ เซ็นทรัลเวิลด์” มองซ้ายมองขวาแล้วลดระดับเสียงลง “ถ้าจะให้ผลดีต้องกุหลาบแดงเก้าดอก เทียนสีแดงหนึ่งคู่ รายไหนรายนั้น”

นันท์นพินมองหน้าทีปกรแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ยกมือป้องปาก ถามป้าเจ้าของร้านกลับ “จริงหรือป้า”

“จริงสิ ถ้าจะให้ดี หนูบนน้ำอ้อยน้ำตาลไปด้วยเลยลูก ท่านช้อบ”

“อ้อ...” ลากเสียง นัยน์ตาดูมีนัยแอบแฝงบางอย่าง

ทีปกรเริ่มจะหัวเราะไม่ออก คิดจะแกล้งคนสักหน่อย ที่ไหนได้เธอสั่งอาหารคล่องปาก คุยถูกคอกับเจ้าของร้าน ซ้ำตอนนี้เขาเหมือนจะถูกเอาไปบนบานศาลกล่าวด้วยซ้ำ จีบผ่านไอจีพอไหว ถ้าไปไกลถึงขั้นบนบานนี่ท่าจะไม่ไหว

“กินๆ” สั่งพร้อมจับช้อนส้อมตั้งท่ารอ เจ้าของร้านก็เลยจำต้องแยกจากโต๊ะนี้ไปดูแลคนอื่น

พอหูเริ่มสงบ ทีปกรก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีคนมองหญิงสาวคนสวยในชุดเสื้อแขนกุดผ้าซิ่นกันทั้งร้านจริง ให้หงุดหงิดใจที่ตนเองไม่เลือกร้านหรูๆ เมื่อครู่ จะได้เลือกมุมดีๆ หรือห้องวีไอพี จะได้ไม่มีคนมาเมียงมองเขากับเธอแบบนี้ มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว

“คุณโกหกไหลลื่นแบบนี้ประจำเลยหรือ”

“โกหกที่ไหน หนามคิดจะไปบนจริงๆ” หันมามองอีกคนอย่างจริงจัง

“ถ้าจะบนจริงก็มาบนที่ผมนี่ ขนมาเลยไอ้พวกน้ำอ้อยน้ำหวานของคุณ บนผมน่าจะมีหวังกว่า เชื่อสิ”

ฟังแล้วนันท์นพินเบ้ปากใส่ไม่จริงจังนัก แม้เธอจะไม่มีดวงนารีอุปถัมภ์อย่างนัทธ์ อ่อยผู้ชายไม่ขึ้น แต่เรื่องเมาท์มอยกับชาวบ้าน เธอนี่ยืนหนึ่งเลยเรื่องนี้

“ที่ผมถามไม่ใช่เรื่องบน แต่เรื่องโกหกว่าไปรำแก้บนมา ทำไมไม่ตอบไปตามความจริง”

“อ้อ...ก็ไม่ตลอดไปหรอกค่ะ เพียงแต่บางเรื่องหนามก็ไม่อยากบอกคนนอก เลยพูดเล่นบ้าง พูดตลกบ้าง หรือโกหกบ้าง”

“แล้วกับผม คุณเคยโกหกอะไรบ้างหรือเปล่า”

นันท์นพินชะงักช้อนที่ตักข้าว เงยหน้าขึ้นมองคนหล่อที่นั่งตรงข้าม ขนาดร้านเก่าโทรมยังไม่อาจทำลายล้างความหล่อของเขาให้ดูน้อยลงเลย บอกเลยว่าเขาหล่อทะลุผนังผุพังด้านหลังนั่นมาทีเดียว

“ไม่เคยโกหกนะคะ นอกจากพูดเล่นเสียมากกว่า”

“แล้วที่ว่าจะจีบผมนี่มันมีความจริงอยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์กัน”

ดวงหน้าสวยช้อนมองอีกฝ่ายอย่างไม่มั่นใจเท่าไร แต่มีหรือนันท์นพินจะพลาดโอกาสในการหยอด

“จริงทุกคำค่ะ”

เสียงหนักแน่น ดวงตากลมโตที่จ้องมองตรงมาที่เขาทำเอาหัวใจหนุ่มแกร่งสั่นนิดๆ แต่ทีปกรคิดว่าเพราะเจอเด็กปากเก่งมาจีบ หัวใจเลยกระชุ่มกระชวย เหมือนคนแก่เห็นเด็กสาวนั่นละ ไม่นานอาการเหล่านี้คงจะหายไป

หลังออกจากร้านข้างทาง รถยนต์คันหรูก็พาคนแต่งตัวสวยกลับ ระหว่างทางชายหนุ่มก็ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่เร็วมาก ตรงไปตามเส้นทางกลับที่พัก

“คุณอายุแค่นี้ทำไมไม่จีบเพื่อนรุ่นเดียวกันเล่า” พักใหญ่ทีปกรก็เกริ่นถามออกมาอีก

“ก็ไม่มีข้อห้ามไหนบอกไม่ให้จีบคนแก่กว่านี่คะ”

‘เด็กคนนี้นิ พูดเพราะซื่อ หรือถนัดเรื่องพวกนี้’

ทีปกรหันไปมองคนข้างกายอย่างพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นเพียงดวงตาใสแจ๋ว แก้มแดงระเรื่อ จะให้เขาคิดว่าหนูน้อยนามว่า ‘หนาม’ นี่เก่งกาจเรื่องผู้ชายก็ต้องส่ายหัว ขนาดหนุ่มๆ นักเรียนในคลาสทำอาหารยืนจีบอยู่รอบข้าง เจ้าหล่อนยังไม่รู้ตัว ช่างไม่รู้ว่าข้าวต้มมัดนั่นไม่น่ากินเท่าเจ้าหล่อนหรอก

“มันก็ใช่ แต่คนโตกว่าเอาใจยากกว่าเด็กนะ บอกก่อน”

ทีปกรกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ หันมามองคนข้างๆ ที่ฉีกยิ้มยียวน หน้าดูหวานฉ่ำน่ากิน เอ๊ย! น่ารักเสียไม่มี ชายหนุ่มยกมือขึ้นไปยีผมคนข้างๆ อย่างห้ามใจไม่ไหว

“คุณทีป ผมหนามจะยุ่งนะคะ ทรงนี้ยิ่งมวยยากอยู่”

นันท์นพินยกมือขึ้นห้าม ทั้งจัดผมให้วุ่น ไม่เข้าใจคนตัวโตเลย เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์เสียใส่เธออยู่ร่ำไป เธอเคยอ่านในหนังสือบันเทิงว่าเขายังอายุไม่เยอะมาก สามสิบค่อนไปทางปลาย แต่ทำไมภาวะอารมณ์เขาดูเหมือนคนเข้าวัยทองไปแล้ว แต่ถ้าวัยทองแล้วยิ้มนิดๆ จับหัวบ่อยๆ คอยชวนไปกินข้าวด้วยกัน เธอยอม

คิดแล้วหัวใจเธอก็พองจนแทบคับอก

ในรถเงียบจนนันท์นพินคิดว่าหูได้ยินแต่เสียงเต้นของหัวใจตนเอง ก็พอดีกับเสียงโทรศัพท์ของทีปกรดังแทรกมา ชายหนุ่มใส่หูฟังบลูทูทแล้วกดรับ

“น้องกุลหรือครับ”

นันท์นพินไม่ได้คิดจะแอบฟัง แต่เพราะชื่อ 'กุล' ที่ข้องเกี่ยวกับทีปกรในตอนนี้ที่เธอรู้ คือผู้หญิงสวยๆ ที่เขาเดินควงในเทศกาลทรรศนารัตนโกสินทร์ที่เธอและพี่ชายไปออกร้านขนมหนนั้น

“ผมหรือครับ” ทีปกรหันมามองคนข้างๆ ครู่หนึ่ง “ว่างครับ น้องกุลอยู่แถวไหน”

ปลายสายพูดว่าอย่างไร หญิงสาวไม่ได้ยิน แต่ไม่นานรถของทีปกรก็แวะจอดข้างทางที่ศาลารอรถ หญิงสาวเข้าใจโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องอธิบายด้วยซ้ำ

“หนามลงตรงนี้ใช่ไหมคะ” หญิงสาวหยิบข้าวของของตนเอง อกที่พองๆ ห่อเหี่ยวลง 

ทีปกรมีสีหน้าหนักใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายสีหน้าปกติ เขาก็เปิดประตูลงไปเอาตะกร้าข้าวของของอีกฝ่ายลงให้ แถมหยิบเงินค่ารถให้อีกฝ่าย

“ไม่ต้องค่ะ หนามมีค่ารถ ไม่ต้องห่วงหนาม หนามนั่งแท็กซี่จนชินแล้ว” ไม่ชินอย่างเดียวคือถูกทิ้งนี่ละ

ที่ทีปกรพูดว่าสองมาตรฐานในร้านขายข้าวแกงข้างทาง ตอนนั้นนันท์นพินยังไม่เข้าใจดี จนตอนนี้ถึงเห็นภาพเหล่านั้นชัดขึ้น

‘ถ้าผมตามจีบใครก็จะทุ่มหมดหน้าตัก แต่ถ้าใครมาตามจีบผมเองก็ต้องรับผมให้ได้ ไม่ว่าจะแบบไหน คุณต้องหัดเรียนรู้เอาไว้อย่างหนึ่งนะคุณหนาม เวลาตามจีบคนอื่นคุณก็จะได้มาตรฐานที่รองลงมา ตรงกันข้าม ถ้าทำตัวดีมีคุณค่าให้คนอื่นมาตามจีบ ก็จะอยู่ในระดับไฮคลาส’ 

“แกมันโลโซยายหนาม เทียบอะไรกับระดับซูเปอร์วีไอพีเล่า”

บอกตนเองระหว่างค้นหาโทรศัพท์ ตั้งใจจะโทร. หาคนที่ร้านให้มารับ แต่รอบข้างวังเวง เสียงรถที่แล่นผ่านไปผ่านมาดังน่ากลัวจนอยากยกมืออุดหู ชั่วขณะนั้นนันท์นพินหูอื้อตาลายเพราะเสียงรถที่วิ่งปาดแซงซ้ายแซงขวาผ่านหน้า ขมับมีเหงื่อซึม มือไม้อ่อนระทวยจนทำโทรศัพท์หล่น

“โทรศัพท์หรือกระเบื้องเคลือบ ตกปุ๊บพังปั๊บ”

ดวงหน้าซีดออกเผือดเงยมองถนน กลั้นใจ กลั้นน้ำตา ยกมือสั่นๆ โบกแท็กซี่คันแรกที่เจอ ก่อนหลับหูหลับตาก้าวขึ้นรถ ประคองตนเองออกไปจากที่ตรงนั้นให้เร็วที่สุด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น