5

ตอนที่ 5

5

 

“ทำไมเวลามาว...หนามถึงเห็นคุณทีปหล่อแบบนี้เนี่ย ล้อ...หล่อ!”

สองมือนุ่มนิ่มที่ประคองแก้มสากเอาไว้เริ่มลูบไล้ และออกแรงขยี้แก้มของอีกฝ่าย ราวกับเห็นเขาเป็นเด็กเล็กๆ จนทีปกรต้องยึดฝ่ามือซุกซนของคนเมาเอาไว้

“ตอนคุณไม่เมา ผมว่าผมก็หล่ออยู่นะ”

ยกยิ้มมุมปาก รู้ว่าอีกฝ่ายเมาเพราะเบียร์ที่เผลอดื่ม แต่ก็อดต่อปากต่อคำด้วยไม่ได้ ก่อนลดสายตาลงมองปากชมพูที่แย้มยิ้มจนแก้มใสเป็นก้อนกลมๆ ดูนิ่มน่าจับต้อง

“ไม่จริง ตอนนี้หนามเมา คุณทีปหล่อมาก หล่อกว่าทุกที ดูจับต้องได้”

คนเมาไม่พูดเปล่า มือเริ่มการจับต้องคนตัวโต สัมผัสอย่างที่เคยเห็น

“ทำไมน้า...คนแบบนี้ถึงจะมาเป็นแฟนหนาม” เอ่ยเสียงอ้อแอ้ ยื่นใบหน้าหวานๆ เข้ามาใกล้ทีปกรพร้อมขยับปีนป่ายขึ้นมานั่งคร่อมทับหน้าขาแกร่ง

ทีปกรถึงกับผงะเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ เอนกายพิงพนักด้านหลัง ไม่คิดว่าเจ้าตัวเล็กหอมกลิ่นขนมหวานเมาแล้วจะกล้ารุกเขาขนาดนี้ ทำเอาหัวใจเต้นระส่ำอยู่ข้างใน ตื่นเต้นอย่างสุดกู่

จะว่าไปทีปกรไม่มีอาการตื่นเต้นเหมือนเด็กหนุ่มแบบนี้มากี่ปีแล้วนะ

จริงๆ เขาก็เคยคิดว่านันท์นพินอาจจะเจนสังเวียนกามามามากแล้ว สันนิษฐานจากการคอมเมนต์ใต้โพสต์ และความก๋ากั่นที่เธอโต้ตอบกับเขาผ่านไดเรกเมสเสจ แต่เมื่อเจอตัวจริงถึงรู้ว่าเจ้าหล่อนนั้นเด็กมากแค่ไหน มีคนตามจีบอยู่รอบตัว แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัว

เขาจะต้องกระตุ้นเจ้าตัวสักหน่อย

“อยากได้ก็จีบสิครับ ฉิบ!...” ทีปกรสบถออกมาตอนที่ฝ่ามือนุ่มนิ่มวางนาบลงที่หน้าอกแกร่ง ร่างนุ่มนิ่มขยับเข้ามาชิดด้านหน้า ขาเรียวสวยที่ขาวปลอดขยับเสียดสีกับต้นขาแกร่ง

“ม่ายๆ หนามไม่จีบคนมีแฟนแล้ว”

“ผมยัง...ไม่มีแฟน รอคนมาจีบอยู่” เอ่ยทอดเสียงยาวติดตะกุกตะกัก ทั้งยังเกิดความสงสัยว่า...

แม่ง! เด็กทำให้ผู้ใหญ่ใจแตกได้ด้วยหรือวะ

“อย่ามาโกหก อย่ามาหลอกเด็กเล่นเลยน่า คุณกุลของคุณทีปนั่นไง มาให้ความหวังหนามแล้วก็มาทิ้งขว้างข้างทาง หนามไม่เอาหรอกคนแบบนั้น จิตใจโลเล ถึงจะหล่อก็เถอะ”

ทีปกรถอนหายใจ ตาจดจ้องดวงหน้าหวานละมุน จมูกกรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมหวาน สัมผัสจากเนื้อกายนุ่มนิ่มยิ่งปลุกเร้าให้เขาตื่นเต้นจนสุดกู่ ติดแต่ว่าเจ้าตัวนุ่มนิ่มน่ารักนี่เมา ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะคิดไปว่านันท์นพินอ่อยเขาแน่ๆ

“ผมหล่อมากไหม ฮึ!”

ฉีกยิ้มยียวน สองมือกระชับเอวบาง ยกคนตัวเล็กมานั่งไพล่อยู่บนตักแทนการนั่งคร่อมที่สร้างความตื่นตระหนกแก่เขามากจนเกินพอดี ไม่คิดว่าสาวน้อยขนมหวานของเขาเห็นหน้าหวานๆ แบบนี้ เวลาเมานี่ตาหวานฉ่ำ ยิ้มทีนี่ตาเยิ้มจนเขาไม่อยากให้คนมาเห็น

“หล่อมากๆ” ลูบปลายคางบึกบึน สบสายตาร้อนเร่าของทีปกร “แต่ที่ดีกว่าความหล่อคือความใจสู้ ความไม่ยอมแพ้ ความเข้มแข็ง ก้าวข้ามผ่านปัญหา อย่างตอนที่คุณเสียพ่อและครอบครัวไป ตอนนั้นคุณหล่อมาก”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินสิ่งที่คนเมาเอ่ย

“คุณรู้จักผมด้วย?”

“แน่สิคะ หนามรู้จักคุณตั้งแต่อายุสิบห้า หลงรักคุณตอนอายุสิบเจ็ด เพราะคุณสัมภาษณ์ออกรายการทีวีหลังเสียคุณพ่อและครอบครัวไป ตอนนั้นคุณหล่อมาก”

“แล้วตอนนี้?”

คนเมารู้สึกหนักหัวจนซบแก้มลงกับบ่าแกร่ง เงยหน้าขึ้นมองเพียงปลายคางอีกคน

“ดุ หน้าบึ้งอยู่ตลอด ทำตัวเป็นคุณครูฝ่ายปกครอง เนี่ยพี่นัทธ์ยังดุไม่สู้คุณทีปเลยจริงๆ หนามยังไม่เคยเห็นคุณทีปยิ้มเลยสักครั้ง”

“จูบแลกยิ้มเอาไหม”

คนเมาครางเบาๆ ฝ่ามือที่ซุกซนไปตามแผ่นอกเขายกขึ้นคล้องคอ ดวงหน้าที่เอียงเล็กๆ ง่อนแง่น กายอ่อนระทวยขยับขึ้น สองมือตะปบที่ข้างแก้ม

“เอามาเลย...” เสียงอ้อแอ้ ก่อนที่ปากอิ่มจะแนบลงมาอย่างชดช้อย

ทันทีที่ความนุ่มนิ่มแนบกับปากร้อน ทีปกรก็โอบรัดรอบแผ่นหลังบอบบาง รั้งร่างนั้นเข้ามาชิด ทว่าดวงหน้าหวานฉ่ำกลับผละออกและซบลงที่ข้างคอเขา ทำเสียงงึมงำเบาๆ ไม่นานก็กลายเป็นเสียงหายใจสม่ำเสมอ

“จูบอะไรแบบนี้วะ มาอ่อยให้อยากแล้วก็จากไป” เม้มปากตนเองแรงๆ รับรู้ถึงไออุ่นและความนุ่มนิ่มที่ค้างคาตรงริมฝีปาก พลางผ่อนลมหายใจออกมา

ทีปกรไม่อยากเชื่อว่าตนเองถึงขั้นกลั้นลมหายใจเพราะท่าทีคุกคามของคนเมาแสนไร้เดียงสา

‘เอาปากมาชนผมแล้วหนี จะจำได้ไหม’

ทีปกรเพียงโอบรัดร่างคนเมาให้นอนซบซอกคอ ฝ่ามือหนาลูบไล้แผ่นหลังนุ่มราวกับขับกล่อม ตามองจ้องทีวีที่ตอนนี้บอลแมตช์สำคัญจบไปแล้ว และกำลังโฆษณาอะไรสักอย่าง ซึ่งทีปกรไม่ได้สนใจเท่าร่างอรชรที่หลับซบหัวไหล่

ถ้ามีกระจกสักบานคงได้เห็นว่าตอนนี้ดวงหน้าหล่อเกลื่อนไปด้วยความสุข ไม่ใช่เพราะมีเจ้าของร่างอรชร หรือว่าปากนุ่มนิ่มมาแนบชิดแค่เสี้ยววิ

แต่เพราะคำพูดของเจ้าหล่อนที่ราวกับมองเห็นตัวตนจริงๆ ข้างในของเขา ซึ่งน้อยคนจะเห็น

ใครจะรู้ว่ากว่าเขาจะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องฝ่าฟันมากขนาดไหน ช่วงที่เสียพ่อพร้อมภรรยาและลูกในคราวเดียวกัน จากคนมีพร้อมสรรพทุกอย่างต้องสูญเสียไปในคราวเดียว แม่เขาโคม่าอยู่แรมปี เขาที่เหลือเพียงคนเดียวในเวลานั้นต้องแบกรับความเสียใจและหน้าที่การงานบนบ่า และผ่านมันมาได้

ในเวลานั้นไม่มีใครมองหรอกว่าเขาหล่อ ต่างมองด้วยความสงสาร เวทนา บ้างก็รอดูว่าเขาจะไปรอดสักกี่น้ำเมื่อไม่มีพ่อแม่มาหนุนหลัง และในตอนนั้นเขาก็โทรมมาก เย็นชา เหมือนร่างไร้วิญญาณที่อยู่ไปวันๆ กว่าจะมาอยู่จุดนี้ได้ก็ปล่อยวางทุกอย่างจนแทบเรียกว่าไม่ใส่ใจว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร

 

เสียงนาฬิกาปลุกกรีดร้องลั่นห้องในตอนเวลาแปดนาฬิกา คนที่นอนซุกอยู่บนที่นอนขยับกายงัวเงียเอื้อมมือคว้าหาที่มาของเสียง พอเจอถึงรู้ว่าไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุก แต่เป็นเสียงโทร. เข้า กดรับแล้วซบหน้าลงกับหมอน วางนาบโทรศัพท์ไว้บนแก้มอย่างขี้เกียจ

“สวัสดีค่ะ” เอ่ยเสียงยานคาง ทำเอาปลายสายหยุดเสียงหัวเราะเพราะความน่ารักไม่ได้ ก่อนถามคนยังไม่ตื่นดี

“วันนี้ไม่มีเรียนหรือ”

“เรียนสิ” เอ่ยงึมงำ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“แล้ว...”

“แล้วอะไรล่ะคะ”

“แล้วยังไม่รีบลุกอีกล่ะ”

นันท์นพินเด้งกายขึ้นจากเตียง ยกมือจับโทรศัพท์ที่เลื่อนจากพวงแก้มเกือบหล่น อ้าปากตอบปลายสาย ทั้งมองโทรศัพท์อย่างแปลกใจ

“วันนี้หนามเรียนบ่ายค่ะ เดี๋ยวๆ นี่ใคร เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน เราไม่มีโทรศัพท์”

ถามอย่างสับสน หรี่ตามองแสงจ้าที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน หัวยังปวดตุ้บๆ กวาดสายตามองรอบห้องอย่างงุนงง ก่อนซบหน้าลงกับหมอนอีกครั้งเพราะยังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่นานเสียงจากโทรศัพท์ก็ดังมาอีก หญิงสาวถึงรู้ตัวว่าเมื่อครู่นี้คุยโทรศัพท์อยู่

“จำได้หรือยังว่าเมื่อคืนคุณเมา”

“คุณทีปหรือคะ”

หลังจากนันท์นพินก็ยกโทรศัพท์มาแนบหูอีกครั้งพลางกรอกเสียงลงไป ก่อนสมองจะสว่างวาบ จำได้ว่าเมื่อวานทีปกรอยู่ที่ห้องนี้กับเธอด้วย แล้วยังจำได้อีกว่าสำลักไส้กรอกเหี่ยวๆ จนแย่งน้ำเขามาดื่ม จากนั้นก็ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้เท่าไร

“มีผู้ชายคนไหนนอกจากผมที่โทร. หาคุณอีก” น้ำเสียงคุกคามทำเอาคนเพิ่งตื่นงุนงง เกิดอาการร้อนตัวขึ้นมาทันที กวาดสายตามองรอบห้องอย่างพิจารณา และครุ่นคิดหนักมากขึ้น

“เอ่อ...คือหนามกำลังงงๆ อยู่น่ะค่ะ จำไม่ได้ว่าเมื่อวาน...” หนามทำอะไรไปบ้าง

ยังไม่ได้เอ่ยประโยคเหล่านั้นออกไป อยู่ๆ เสียงในลำคอก็หายไปราวกับเกิดอาการอัมพาตอย่างเฉียบพลัน เมื่ออยู่ๆ ภาพปีนขึ้นนั่งคร่อมตัก คล้องแขนกอดคอ ที่สำคัญฉากสุดท้ายที่ปรากฏคือ คือภาพ ปากแนบปาก!

‘กรี๊ด! ไอ้หนาม แกจูบคุณทีปกร ทำไมแกช่างกล้าแบบนี้’

คนที่เพิ่งตื่นแทบจิกทึ้งดึงผมตนเอง กรีดร้องในลำคอ หน้าแดงซ่านไปหมดทั้งหน้า หัวใจดวงน้อยเต้นระทึกราวกับจะหลุดออกมาข้างนอก

มือสั่นๆ ยกขึ้นลูบที่ปากตนเองอย่างเหม่อๆ

‘เขาเป็นสุภาพบุรุษ คงไม่ถือสาคนเมาหรอกมั้ง เราก็แกล้งๆ ลืมไปเสีย’

บอกตนเองทั้งที่ไม่อาจหยุดสั่นได้ หัวใจเธออัดแน่นไปด้วยความขัดเขิน โชคดีที่เขาไม่อยู่ที่นี่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง วางหน้าแบบไหนในสถานการณ์อีหลักอีเหลื่อแบบนี้

ทว่าเสียงที่ดังมานั่นสิ

“เมื่อวานคุณจูบผม”

‘รู้! แล้วจำต้องพูดออกมาตอนนี้เลยหรือไง คนบ้าๆ’

นันท์นพินกรีดร้องเสียงหลง เขินหนักจนเริ่มกัดเล็มปลายเล็บบนนิ้วน้อยๆ แม้จะจำไม่ได้ว่าตอนปากเธอแนบชิดกับปากเขารู้สึกเช่นไร แต่จำได้ว่าเธอเอาปากชนปากเขาจริงๆ กอดเขาจริงๆ

กอดทีปกรเนี่ยนะ กอดนักธุรกิจหนุ่มหล่อที่ตามจีบ ตามคอมเมนต์ ตามส่องในไอจีเป็นว่าเล่นคนนั้น

“อย่ามาตีเนียนแกล้งลืมเสียล่ะ คุณจะรับผิดชอบผมยังไง”

“คะ?”

แค่จูบ นี่เธอถึงกับต้องรับผิดชอบเขาเชียวหรือเนี่ย พวกคนรวยนี่เล่นด้วยยากจริงๆ

“คุณคุกคามทางเพศผม”

“คะ...”

“ถ้าเป็นพนักงานของผมมาแตะเนื้อต้องตัว แถมมาจูบผมขนาดนั้น ผมอาจจะแจ้งความได้ ดังนั้นคุณจะทำอย่างไรกับการกระทำของตนเอง”

“เอ่อ...”

‘นี่ร้ายแรงขนาดนั้นจริงสิ’

นันท์นพินครางออกมาอย่างจนปัญญา และเมื่อลองค้นไปในความทรงจำก็พบว่าเธอแตะต้องเขาฝ่ายเดียว จึงเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มออกไป

“คุณทีปอยากให้หนามรับผิดชอบยังไงล่ะคะ”

“ดีที่คุณรู้จักรับผิดชอบ เรื่องนี้เอาไว้เราจะหาทางออกร่วมกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี”

“สรุปนี่คือคุณเสียหาย หนามไม่เสียหายเลยงั้นสิ จูบแรกของหนามด้วยนะ” บ่นอุบอิบ ถ้านันท์นพินมีตาวิเศษคงได้เห็นว่าคนที่โทร. มาปลุกตนเองยกยิ้มพึงใจมากแค่ไหน

“ผมทิ้งโทรศัพท์ไว้ให้ เราจะได้ติดต่อกันได้ ผมจะได้แน่ใจว่าคุณไม่หนีหนี้”

“นี่โทรศัพท์คุณทีปหรือคะ” นันท์นพินยกโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อยเพื่อจ้องมองสภาพใหม่เอี่ยมราวกับแกะออกจากกล่อง แถมมีกลิ่นใหม่เอี่ยมเตะจมูกอีกต่างหาก ที่สำคัญยี่ห้อแพงแน่นอน

“ใช่ คุณเอาไว้ติดต่อกับผมก็แล้วกัน ถ้าเมื่อไหร่คุณเปลี่ยนเครื่องหรือผมติดต่อไม่ได้ ผมจะถือว่าคุณไม่คิดจะรับผิดชอบผม ดังนั้นทราบนะว่าอะไรจะตามมา บริษัทผมมีทีมทนายความที่พร้อมจะฟ้องคุกคามทางเพศได้”

“คะ...ค่ะ”

นันท์นพินรับปากอย่างเลื่อนลอยเต็มที สรุปได้อย่างหนึ่งจากการคุยกับทีปกรคือ จากเรื่องคุกคามทางเพศ ตอนนี้กลายมาเป็นเธอติดหนี้เขาไปแล้ว แถมได้โทรศัพท์มาใช้อีกต่างหาก

‘หนี้นี่มันแปลกๆ ทำไมมีแต่ได้กับได้วะ’

 

ฝ่ายทีปกรที่เพิ่งวางสายยืนกอดอกมองแสงของวันใหม่ที่ขึ้นสูงและจ้ากว่าตอนที่เขาออกจากห้องของนันท์นพินมาก แม้จะไม่ได้นอนเลย แต่วันนี้เขากลับไม่รู้สึกเพลียเลยสักนิด

“อะไรของแกไอ้ทีป ยืนยิ้มคนเดียว หรือยังไม่ตื่น”

พันวิเศษเดินหัวยุ่งออกมาจากห้องพักด้านใน เอ่ยทักทายเพื่อนที่ตอนนี้แต่งตัวพร้อมสำหรับไปทำงานแล้ว

“หยุดเสือกสักเรื่องได้ไหมครับ”

ทีปกรหันมาทำหน้าตึงใส่เพื่อน เก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋า เดินไปที่เครื่องชงกาแฟ จัดการกาแฟเข้มจัดให้ตนเองกับพันวิเศษ

“แล้วนี่พากันโทร. หาฉันทำไมหลายสาย เกิดอะไรขึ้น”

“แม่แกน๋ะสิไอ้ทีป เล่นโทร. มาหาฉันกับไอ้นะ ร้องห่มร้องไห้ว่าเมื่อวานแกออกจากวัดก็หายไปเลย ติดต่อไม่ได้”

ดวงตาคมหลุบลงมองที่กาแฟในมือ ก่อนทิ้งกายลงนั่งยังโซฟาตรงข้ามเพื่อน วาดเท้าไขว้ทับกัน เมื่อวานเขาไปทำบุญวันเกิดแม่ที่วัดพร้อมท่านมา เป็นวัดที่เก็บอัฐิของพ่อ ลูก และเมียเขาไว้ และมันทำให้เขาหวนคิดถึงการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

“ไปธุระมา”

“ธุระที่ไหนจนเช้า คุณกุลเขาก็อยู่บ้าน แกคบคนใหม่แล้วหรือ”

พันวิเศษจับผิด ตอนแรกเขาคิดว่าเพื่อนค้างที่คอนโดเลยแวะมา แล้วอยู่รอจนเช้า กว่าเพื่อนจะกลับมาก็เช้าไปแล้ว ด้วยสภาพเสื้อผ้ายับยุ่ง แต่สีหน้าสดชื่นจนปิดไม่มิด

“แกเป็นเมียฉันงั้นสิ”

“ฉันไม่เป็นหรอกเมีย แต่อยากรู้ว่าใครเป็นเมียแกอยู่ตอนนี้ ทุกทีคบทีละคนนิ รอบนี้คั่วทั้งคุณกุลและหญิงนิรนามอีกคน”

“นิรนามที่ไหน”

ทีปกรยกกาแฟขึ้นจิบ อดคิดถึงดวงหน้าหวานๆ ที่มองเขาตาหยาดเยิ้มเวลาเมาไม่ได้

‘ถ้ารู้ว่าถูกพี่วีวี่เรียกว่าผู้หญิงนิรนามจะทำหน้ายังไง’ คิดแล้วก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้

“อีกอย่างฉันยังไม่ได้คบใคร ทำไมรีบร้อนให้ฉันหาเมียจริงวะ แล้วไอ้นะล่ะไปไหน”

“มันขับรถไปพัทยา เผื่อแกไปที่นั่น ส่วนฉันแวะมานี่”

เมื่อคืนทัศนา แม่ของทีปกรโทร. หาทั้งณวพลและพันวิเศษให้ตามหาทีปกรให้ สองหนุ่มเลยติดต่อหาเพื่อนทั้งคืน แต่เจ้าตัวไม่ได้สนใจ กว่าจะติดต่อกลับก็ตอนเช้าแล้ว

“ตื่นตูมอะไรกันนักหนา ผ่านมาตั้งหกปีแล้ว” 

หัวใจของทีปกรเจ็บปวดและย่ำแย่เพราะการสูญเสียครั้งนั้น พันวิเศษและณวพล แม้แต่ทัศนาผู้เป็นแม่ก็ไม่เคยวางใจ ทุกครั้งไปที่ทำบุญเจออัฐิของครอบครัว ชายหนุ่มจะเจ็บปวดมากจนปลีกตัวหายไปแบบนี้แทบทุกครั้ง

“ฉันโตแล้วน่า”

“ถึงแกจะโตกว่านี้ แกก็ยังมีฉันเป็นเพื่อนอยู่ดี ฉันจะห่วงจนแกแก่โน่นไอ้ทีป แม่แกเขาสงสัยว่าทำไมแกไม่คบกับคุณกุลเขาไปเสีย หน้าที่การงานก็เข้ากันดี ทำเล่นท่าโน้นท่านี้ เขาอยากได้ลูกสะใภ้จะแย่แล้ว”

“นั่นแม่ฉัน เขาอยากได้อะไรเดี๋ยวก็มาบอกฉันเอง ไม่ต้องส่งผ่านให้แกหรอก”

พันวิเศษยกกาแฟที่เพื่อนเอามาให้ขึ้นดื่มอึกๆ จนหมดแก้วพร้อมเสยผมยุ่งๆ ไม่สนใจจัดการเสื้อผ้ายุ่งยับของตนเอง มือก็ตอบข้อความณวพลที่กำลังบึ่งรถจากพัทยากลับกรุงเทพฯ

“ก็แกไม่เอาไงสักทีน่ะสิ รู้ไหมว่าแม่เขาเตรียมสินสอดรอแล้ว รอแค่แกพยักหน้า เขาจะยกขันหมากไปสู่ขอคุณกุลสตรีให้ถึงบ้าน”

“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขา” ทีปกรไล้ขอบแก้วกาแฟ คิดถึงริมฝีปากอ่อนนุ่ม ผิวกายขาวนวลขึ้นมาก็ร้อนรุ่ม จนต้องขยับคอเสื้อกระแอมเบาๆ

“แกคิดสักทีเถอะ คนนี้ฉันให้ผ่าน แม่แกก็ให้ผ่าน ไอ้นะเองมันก็บอกเห็นชอบด้วย สาวๆ ข้างกายแกนอกจากเรือนคุณน้ำก็มีแค่คุณกุลนี่แหละผ่าน”

พอได้ยินคำว่าเรือนคุณน้ำ ทีปกรก็ช้อนตาขึ้นมองเพื่อนทั้งยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย วางแก้วกาแฟลงพลางกอดอกราวกับตัดสินใจได้แล้ว

“แกว่าเรือนคุณน้ำผ่าน รู้ได้ไงว่าไอจีนั้นคนเล่นไม่ใช่ผู้ชาย หรืออีกทีเขาอาจจะหน้าตาไม่เอาไหน พิกลพิการก็ได้ ใครจะไปรู้”

จริงๆ ทีปกรก็ไม่ได้เลือกคนจากหน้าตาสักเท่าไร เพียงแต่คนที่เข้าหาเขาส่วนมากเป็นคนหน้าตาดีเลยกลายเป็นมาตรฐานไปเองว่าเป็นแฟนของทีปกรต้องหน้าตาดี ส่วนตัวเขาเองไม่ได้ต้องการผู้หญิงสวยหรือทำงานเก่ง เพียงต้องการคนที่เข้าใจ และมองเขาได้ทะลุถึงแก่นข้างในต่างหาก

“ไอ้นะมันเข้าไปส่องไอจีแล้ว มีรูปหนึ่งที่เรือนคุณน้ำเขาอัป แล้วมีภาพคนถ่ายสะท้อนที่พื้นโต๊ะ”

ว่าแล้วพันวิเศษก็ค้นหาในโทรศัพท์แล้วขยายภาพนั้นให้เพื่อนดู ซึ่งทีปกรก็วางหน้านิ่ง รับมาดูก็เห็นว่าเป็นหนูหนามขนมหวานของเขาจริงๆ

“หน้าตาไม่ขี้เหร่ ชอบทำอาหาร ไอ้นะบอกว่าเคยคุย น่าจะเป็นพวกเชฟ อายุไม่เยอะ ถ้าแกต้องเป็นฝั่งเป็นฝาหาเสาหลักให้ตนเองก็คนนี้ เดี๋ยวฉันให้คนตามสืบให้ว่าชื่ออะไร เป็นคนยังไง อยู่ที่ไหน”

ทีปกรโยนโทรศัพท์คืนทันทีที่รู้ความคิดเพื่อน ซึ่งพันวิเศษคว้าเอาไว้แทบไม่ทัน ไม่เข้าใจอาการผีเข้าผีออกของเพื่อนเสียจริง

“เชี่ย! เบาหน่อยสิวะ โทรศัพท์ไม่เสียดายเท่าข้อความนัดหมายสาวๆ ในนี้นะไอ้ทีปมึง ตารางนัดสาว ขาดโทรศัพท์มาเตือนนี่บรรลัยเลยนะ ก็รู้ว่าฉันทำงานไม่รู้วันรู้คืน” พันวิเศษลูบโทรศัพท์เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรัก

“ไม่ต้องไปขุดคุ้ยอะไรทั้งนั้น ฉันยังจะไม่แต่งงานเร็วๆ นี้หรอก พวกแกมีเมียแล้วก็มีปัญหาคาราคาซัง ฟ้องหย่า เตรียมหย่า รอหย่า สนุกตรงไหนกัน”

“มันไม่ได้สนุกหรอกไอ้ทีป” พันวิเศษถอนหายใจแรงๆ เขาแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะหย่า และเพิ่งแต่งไปอีกเป็นครั้งที่สองกับเด็กสาว ซึ่งเขาคาดหวังว่าจะศึกษาเข้าใจกันจนอยู่กันไปตลอด

“พวกฉันห่วง อยากให้แกมีใครสักคน จริงอยู่ฉันแต่งกับภรรยา เพราะทำสัญญากับพ่อเขาว่าจะหย่าให้ถ้ามีลูกด้วยกัน แต่ลึกๆ ฉันก็หวังว่าเขาจะไม่หย่าเมื่อถึงวันนั้น”

นี่ไงที่เจอหน้ากันแล้วคุยเครียดจนคิดว่ามาสัมมนาวิชาการ แล้วเขาก็ดันแย้งเพื่อนไม่ได้ เพราะรับรู้ถึงความห่วงใยนั้น

“ฉันไม่ได้จะเยาะเย้ยถากถางแกเรื่องครอบครัวนะไอ้พัน ฉันเพียงอยากบอกว่าตอนนี้ฉันไม่เจ็บปวดใจอะไร จนต้องหาคนมาแทนที่หรือดามอกดามใจมาเป็นหลักยึดแล้ว ฉันจะปล่อยให้มันเป็นไปตามเวลา”

เอ่ยพร้อมยืดกายขึ้นยืน สองมือกระชับเสื้อสูทเข้ากับตัวแรงๆ ยกยิ้มใส่เพื่อนตัวดี นึกหมั่นไส้สองเพื่อนตัวดีอย่างพันวิเศษและณวพลที่แม้แต่ภาพของหนูหนามขนมหวานของเขา พวกมันก็ยังไปสังเกตเห็น

“ปล่อยตามเวลาได้ที่ไหนวะ แกเสียเมียกับลูกไปจะเข้าหกปีแล้ว ป่านนี้แกยังไม่คบใครจริงจัง พอไปวัดเจออัฐิหรือถึงวันครบรอบทีก็หายหัวไปทั้งวันทั้งคืน ก็ลองตัดใจคบคุณกุลเขาเลยสิ หรือจะเอาเรือนคุณน้ำพาฮาดี”

“เอาอะไรได้วะ เด็กแบบนั้น”

เอ่ยเสียงเบาทั้งส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่แน่ใจว่าปฏิเสธคำพูดตนเองหรือว่าปฏิเสธคำพูดเพื่อน ก่อนหยิบของแล้วเดินออกจากห้อง

“ปิดห้องให้ด้วยนะไอ้พัน อย่าเสือกพาสาวมามั่วที่ห้องฉันล่ะ”

“มั่วได้ที่ไหน ลองมีความเสี่ยงดูสิ เมียก็ไม่ให้ทำลูกพอดี”

ทีปกรยักไหล่ก่อนจะเดินออกจากห้อง ครุ่นคิดถึงคำพูดเพื่อน จนตอนที่มาขึ้นรถ ขับไปทำงานตามปกติ ขณะจอดที่ไฟแดงเห็นนักศึกษาหลายคนเดินผ่านทางม้าลาย ตาเขาก็อดลอบมองตามไม่ได้ แล้วก็ส่ายหน้าไล่ความคิดอกุศลที่เพื่อนยัดมาใส่หัวเขา

“อายุเท่าไหร่กันเชียว ยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย ยังไงๆ ก็เด็กอยู่แหละว้า”

แม้จะขึ้นคร่อมตักเขา แถมเอาปากแนบปากเขา ทำเอาหนุ่มแน่นอย่างเขาอกสั่น แต่นั่นก็แค่เด็กไร้เดียงสาเท่านั้น ทีปกรบอกตนเอง ก่อนจะคว้าโทรศัพท์โทร. ออก

“ค่ะ”

“คุณแต่งตัวเตรียมไปเรียนหรือยัง” เอ่ยเสียงเข้มเล็กน้อย และไม่แน่ใจว่าจะโทร. หานันท์นพินทำไมกัน

“ก็บอกไปแล้วนิคะ ว่าหนามมีเรียนบ่าย” คนที่ยังไม่หายเขินอายเพิ่งลุกจากเตียงมาเมื่อครู่แท้ๆ ไม่นานเจ้าของโทรศัพท์ก็โทร. มาตามทำเอาร้อนตัวไปหมด

“ก็ไม่ต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวหรือไง”

“ต้องค่ะ” เอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

“ถ้าแต่งตัวเตรียมออกจากห้องแล้ว ถ่ายรูปมาให้ผมดูด้วย จะได้รู้ว่าไปเรียนจริง”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับ ทีปกรก็วางสายก่อนขับรถไปทำงานตามปกติ หลังจากดูโครงการต่างๆ บนโต๊ะ และตรวจเอกสารมากมาย ก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กพลางๆ กว่าภาพนักศึกษาหน้าหวานจะถูกส่งมาก็สายมากแล้ว

‘ยิ่งใส่ชุดนักศึกษาแบบนี้ยิ่งเด็กไปอีก’

ทีปกรบอกตนเองขณะเซฟภาพเก็บ ว่างๆ ก็เอาโทรศัพท์ออกมาเปิดดูภาพนั้นซ้ำ จะมองยังไงก็ยังต้องบอกตนเองว่า นั่นเด็ก กินไม่ได้ และห้ามกินอย่างเด็ดขาด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น