5
กระชับความสัมพันธ์
“เอ่อ…คือ…”
อัยรดาทำหน้าเหลอทันทีที่ถูกกล่าวหาเสียชุดใหญ่ และดูเหมือนว่าปลายสายเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดกล่าวหาเธอเสียที หากไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากเธอ
หญิงสาวเงยหน้ามองหน้าหล่อที่ก้มมองมาที่เธออยู่พอดี แต่เหมือนโลเวลไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองหรือไม่พอใจเมื่อเธอถือวิสาสะรับโทรศัพท์เขาแต่อย่างใด แถมยังยิ้มขบขันเสียเต็มประดาอีกต่างหาก
เธอนึกโมโหตัวเองที่หลับไปได้อย่างไรทั้งที่กำลังดูหนังอยู่แท้ๆ จนเกิดเรื่องน่าอายอย่างนี้ขึ้น รู้แค่ว่าหลังจากโลเวลเข้ามานั่งดูหนังด้วยกัน ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาหนังที่กำลังฉายอยู่ก็ไม่ได้เข้าหูเธอแม้แต่น้อย
ใครกันล่ะจะทนนั่งดูหนังโดยมีคนจ้องสำรวจตรวจตราร่างกายเธออยู่ ที่นั่งนิ่งทำเป็นตั้งใจดูหนังอยู่นั้น เธอกำลังดึงสติตัวเองไม่ให้เตลิดไปต่างหาก
คงเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ค่อนไปอีกวันแล้ว เมื่อกินอิ่ม อากาศเย็นสบาย แถมหัวใจและสมองยังทำงานหนักแบบนี้จึงทำให้เพลียและหลับไปในที่สุด
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นพร้อมเขายื่นมือมาขอโทรศัพท์ตนเองคืนทำให้อัยรดาได้สติ ก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่มือคืนเขาไปแต่โดยดี ทำท่าจะลุกขึ้นนั่งเมื่อรู้ว่าตอนนี้อยู่ในท่าไหน แต่เจ้าของตักแกร่งกลับไม่ยอมเสียอย่างนั้น เขากดตัวเธอให้นอนลงไปในท่าเดิม แถมมือที่ล็อกเอวไว้ก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ หญิงสาวจึงจำต้องนอนนิ่งหนุนตักของเขาต่อไปและเงี่ยหูฟังเขาคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ว่าไงไอ้โลลิคอน” โลเวลทักปลายสายด้วยน้ำเสียงสดใสกว่าปกติ ก็แน่ละ ได้กอดคนตัวนุ่มไว้แบบนี้ ต่อให้เหน็บกินตักหรือเลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงที่ขาเขาก็ยินดี
“ดูแกอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ” คนปลายสายทักด้วยความแปลกใจ
มีคนมารับโทรศัพท์เพื่อนก็ว่าตกใจพอแล้ว เพราะรายนี้มันหวงยิ่งกว่าอะไร แต่ที่ตกใจไปกว่านั้นคือมันไม่มีท่าทีโกรธหรือโมโหที่ผู้หญิงคนเมื่อครู่ถือวิสาสะเลย แถมเสียงที่เอ่ยกลับมายังดูอารมณ์ดีมากเกินความจำเป็นด้วยซ้ำ
“ก็ปกติดีนี่” ความจริงโลเวลก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษอย่างที่โดมินิกว่านั่นแหละ ยิ่งได้เห็นคนหน้าหวานแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับตีมือเขาซึ่งเริ่มซุกซนลูบไล้หน้าท้องแบนราบของเธอเล่นก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ แต่เรื่องอะไรเขาต้องรายงานเพื่อนที่ต้องการล่อน้องเพื่อนอย่างมันด้วย
“ปกติมากมั้งไอ้ซีน! นี่แกให้ใครมารับโทรศัพท์วะ คู่ขาใหม่เหรอ ใคร ยังไง เล่ามาเลยนะ”
โลเวลส่ายหัวให้ความอยากรู้มากของเพื่อน ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยก็ตาม
“นี่ถ้าแกไม่บอกว่าอยากได้ยายซันนี่เป็นเมีย ฉันคงคิดว่าแกอยากได้ฉันเป็นผัวแทน” ชายหนุ่มแขวะเพื่อน เผื่อต่อมความอยากรู้ของมันจะหยุดทำงานลงบ้าง แต่ก็นั่นแหละ มันยิ่งทำให้ต่อมนั้นทำงานดีกว่าเดิมซะอีก
“แกด่าฉันเป็นโลลิคอนยังไม่โกรธเท่าแกว่าฉันอยากได้แกเป็นผัวเลยไอ้ซีน”
“ตกลงแกโทร. มาหาฉันเพราะมีธุระอะไรมิทราบ”
“มีน่ะมีแน่ แต่แกช่วยสนองความอยากรู้ของฉันหน่อยสิว่า ผู้หญิงเสียงหวานเมื่อครู่นี้เป็นใคร”
ธุระที่โทร. หาเพื่อนมันสำคัญก็จริง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคืออยากรู้ว่าเพื่อนกำลังกกหญิงคนไหนอยู่ต่างหาก และความรู้สึกเขาก็บอกว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดาแน่ๆ
ใช่ว่าเธอเป็นลูกประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาหรืออะไรหรอกนะ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือความรู้สึกของโลเวลที่มีต่อเธอคนนั้นต่างหาก เพราะน้ำเสียงของเพื่อนมันดูมีความสุขเกินไป
“แฟน”
“ขออีกรอบชัดๆ”
ไม่ใช่ว่าโดมินิกได้ยินคำตอบของเพื่อนไม่ชัดหรอกนะ แต่เขาแค่อยากแน่ใจว่า ‘แฟน’ ที่มันพูดออกมาจากปากน่ะแน่ใจแล้วหรือ ใครก็รู้ว่าคนอย่างคุณชายมาเฟียโลเวลคนนี้ไม่เคยใช้คำว่าแฟนกับใคร
“เธอชื่ออัยรดา เป็นแฟนฉัน…จบไหม” โลเวลขี้ตู่ไปก่อน ส่งสายตายียวนให้คนถูกแอบอ้างอย่างไม่เกรงกลัว เขารู้ว่าเธอไม่กล้าทะลุกลางปล้องระหว่างที่เขาคุยโทรศัพท์แน่ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นก็ไม่แน่
นั่นไงล่ะ ผิดไปจากที่คิดเสียที่ไหน มือเล็กตีมือเขาซึ่งกอดเอวเธออยู่อย่างแรงจนแดงเถือก
“โอ๊ย…ตีผมทำไมเนี่ย” ชายหนุ่มไม่ได้รีบปล่อยมือจากเอวบาง แต่เขากลับรัดแน่นขึ้น
“เฮ้ยๆ มีลงไม้ลงมือกันด้วยเว้ย ตีด้วยโซ่ แซ่ หรือกุญแจมือวะไอ้ซีน” โดมินิกอดจะคิดลึกไม่ได้เพราะรู้จักเพื่อนตัวเองดี มีไม่กี่กิจกรรมที่โลเวลใช้ทำกับผู้หญิง
“ไอ้บ้า ใครที่ไหนเขาเอากุญแจมือมาตีกันวะ” โลเวลสบถใส่ความคิดล้ำเลิศของมัน โซ่ แซ่ พอเข้าใจ แต่ไอ้กุญแจมือนี่น่าจะเป็นการใช้ของผิดประเภท “และแกควรหยุดคิดไอ้จินตนาการลามกล้ำเลิศของแกซะ เพราะมันไม่ได้มีอะไรอย่างที่แกคิดหรอก”
“นี่แกยังไม่ได้จับเขากิน?”
“ยัง”
“ถามจริง!” โดมินิกถามเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ มันปล่อยเหยื่อให้รอดไปได้อย่างไรวะเนี่ย
“เออ!”
“เสือผู้หญิงอย่างแกน่ะเหรอที่จะปล่อยให้เหยื่อสาวอยู่อย่างปลอดภัย” ชายหนุ่มออกความคิดเห็นกับความจริงที่เพื่อนเป็น ทว่าเสียงหัวเราะในลำคอแสนมีความสุขของมันทำให้เขาขมวดคิ้ว
‘มันจะมีความสุขอะไรขนาดนั้นวะ กับอีแค่ถูกถามเนี่ย’
ส่วนคนที่กำลังมีความสุขกับการสู้กันด้วยมือก็ไม่ได้สนใจคำถามของเพื่อนสักเท่าไร ออกจะรำคาญเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมวางสายเสียที เขาจะได้ใช้มือที่ถือโทรศัพท์แนบหูอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์
โลเวลยิ้มขันคนตัวเล็กที่พยายามใช้มือทั้งสองข้างยื้อยุดมือของเขาที่กำลังลูบหน้าท้องเธอเล่นอย่างมีความสุข อดจะชื่นชมเธอไม่ได้เพราะเป็นคนรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย หน้าท้องที่เขาลูบไล้ผ่านเสื้อยืดตัวบางมีแต่กล้ามเนื้อที่แค่สัมผัสก็รู้ว่าภายใต้เสื้อคงมีซิกซ์แพ็กเป็นลอนสวย
แต่มีหรือมือเล็กแถมยังแรงน้อยอย่างเธอจะปัดป้องมือแกร่งของเขาได้ ทั้งยังเปิดโอกาสให้เขาได้ลวนลามเธอหนักไปกว่าเดิมซะอีก เพราะมีบ่อยครั้งที่แรงยื้อยุดของเขาทำให้มือเขาปัดผ่านหน้าอกเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาแสนจะชอบใจเอามากๆ
‘ปล่อย-เดี๋ยว-นี้-นะ’
นั่นคือประโยคที่เขาอ่านจากปากของเธอโดยไม่มีเสียง นอกจากความหน้าด้านที่เขาเอาเข้าสู้ก็มีความมึนอีกอย่างที่เขางัดมาใช้ ทว่าตอนนี้เขายังไม่อยากจัดการกับอัยรดาอย่างเด็ดขาด เพราะต้องกำจัดเพื่อนผู้อยากรู้เรื่องชาวบ้านให้เสร็จสิ้นก่อน
“ที่เงียบเนี่ยหมายความว่ายังไงวะ”
โดมินิกเอ่ยทัก เพราะเสียงขลุกขลักที่เล็ดลอดมาตามสายเหมือนอีกฝ่ายกำลังต่อสู้ฉุดกระชากกันอยู่ทำให้เขาคิดไปไกล หรือบางทีเขาจะโทร. ผิดเวลา เพราะเพื่อนกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะอยู่
“แกกำลังเป็นส่วนเกินอยู่ไงโดมินิก”
“แกพูดขนาดนี้ คิดบ้างไหมว่าฉันจะเสียใจที่เพื่อนไม่เห็นความสำคัญ เพราะมัวแต่สนใจหญิงมากกว่าเพื่อนอย่างฉัน” โดมินิกแสร้งโอดโอยเหมือนเสียใจเต็มประดา ทั้งที่จริงชายหนุ่มกำลังแกล้งยืดเวลาก่อกวนโลเวลด้วยความหมั่นไส้ต่างหาก
“ส่วนธุระของแกเดี๋ยวค่อยคุย” โลเวลไม่ได้สนใจคำโอดของเพื่อน เพราะร่างนุ่มนิ่มที่เขากอดอยู่น่าสนใจกว่า
“ทำไมแกทำกับเพื่อนที่น่ารักอย่างฉันแบบนี้วะซีน” อีกฝ่ายว่าเสียงเศร้าหวังให้เพื่อนเห็นใจ แต่โลเวลไม่หลงกลเพราะรู้จักกมลสันดานของกันและกันดีว่าเป็นอย่างไร
“แล้วเจอกันเพื่อน” ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงโวยวายที่ลอดมาตามสายเพราะเขาตัดสายทิ้งไปทันที ก่อนจะโยนโทรศัพท์ทิ้งไปบนโซฟาที่ว่าง และต่อจากนี้เขาจะได้ทำศึกกับคนตัวเล็กบนตักได้ถนัดขึ้น
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะคุณโลเวล” อัยรดาดิ้นเมื่อถูกชายหนุ่มกอดรัดเอวไว้ไม่ให้ลุกหนีไปไหน เธอจะไม่โวยวายแบบนี้เลยถ้าเขากอดแบบปกติธรรมดา ถ้ามือของเขาจะไม่ซนลูบไล้หน้าท้องเธอไปด้วยเช่นตอนนี้
หยิกก็แล้ว ตีก็แล้ว ข่วนก็แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยเธอหรือหยุดลวนลามเสียที จะส่งเสียงร้องกรี๊ดก็เกรงใจเพราะเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แถมยังแอบอ้างว่าเธอเป็นแฟนเขาอีกต่างหาก แล้วจะไม่ให้เธอโมโหได้อย่างไร
ถึงจะชอบ จะรักเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปล่อยให้เขาแตะเนื้อต้องตัวเกินความจำเป็นแบบนี้ ถ้าเธอหลุดไปได้จะเอาคืนเขาแน่ที่ทำกับเธอแบบนี้
“คุณอัยย์ก็เลิกดิ้นก่อนสิครับ ไม่งั้นก็นอนกันอยู่ท่านี้แหละ ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบอกข้อแม้ ซึ่งอัยรดาก็ยิ้มหยุดดิ้นและเลิกการประทุษร้ายมือเขาเสียที เขาจึงไม่วายหยอดคำชม “แฟนผมนี่ว่าง่ายจังเลยนะเนี่ย น่ารักที่สุดเลยครับ”
โลเวลดึงแก้มนุ่มอย่างมันเขี้ยวความน่ารักของเธอ
“ฉันหยุดดิ้นแล้วก็ปล่อยเสียทีสิคะ” หญิงสาวบอก อีกทั้งยังปัดมือหนาที่ดึงแก้มเธอเล่นเหมือนกำลังคลึงซาลาเปาอยู่อย่างนั้นแหละ “ที่สำคัญฉันยังไม่ได้เป็นแฟนคุณเสียหน่อย”
“หรือเราจะเป็นแฟนกันตอนนี้เลยดีไหมครับ” โลเวลต่อปากต่อคำ ยังไม่ยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระ เพราะเขากำลังสนุกอยู่
“ไม่ดีแน่นอนค่ะ แล้วก็ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“ถ้าผมไม่ปล่อยล่ะ คุณจะทำอะไรผมได้ครับที่รัก” คนกำลังสนุกก็ยังต่อปากต่อคำไม่เลิก ไม่ค่อยได้เจอใครที่กล้าออกคำสั่งกับเขาหรือแม้แต่พยศใส่แบบนี้ ที่สำคัญเขากลับไม่นึกรำคาญ แต่ออกจะค่อนไปทางชื่นชอบเสียมากกว่า
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดออกมา”
“ไม่มีอะไรแน่ใจเท่านี้มาก่อน…โอ๊ย!”
โลเวลยังพูดไม่ทันจบดีก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อแม่สาวแสนสวยกลายเป็นยายหมาบ้างับแขนเขาอยู่ในตอนนี้ ไอ้ตีกับข่วนเมื่อครู่พอทนไหว แต่ฟันสามสิบสองซี่ที่งับลงมาสุดแรงเกิด อย่าว่าแต่ผู้ชายอกสามศอกเลย ผู้ชายอกสิบศอกก็ไม่มีทางทนความเจ็บได้
“จะปล่อยไม่ปล่อย” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งชายหนุ่มก็รีบปล่อยทันทีโดยไม่ต้องตั้งคำถามอีก แน่ละ ถูกกัดจมเขี้ยวขนาดนั้น ถ้ายังดื้อด้านรับรองเธอจะลงแรงหนักกว่านี้ให้ได้เลือดเลย
“ยอมแล้วทูนหัว”
แต่เท่านั้นคงไม่พอ ทันทีที่อัยรดาเป็นอิสระแล้วยืนขั้น ฝ่ามืออรหันต์ทั้งสองของเธอก็เริ่มประทุษร้ายร่างกายของเขาทันที
“โทษฐานที่คุณลวนลามฉันเมื่อกี้”
อัยรดาระดมทุบคนตัวโตด้วยความโมโห แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะยกมือกันได้ตลอด จนกลายเป็นตอนนี้เกิดโมโหตัวเองเพราะทำอะไรเขาคืนไม่ได้
“เมื่อกี้เขาไม่ได้เรียกลวนลามนะที่รัก เป็นแค่การสัมผัสเท่านั้นเอง” เขาอธิบายน้ำเสียงขบขัน ยิ่งเห็นคนตัวเล็กเหนื่อยหอบจากการทำร้ายร่างกายเขาก็ยิ่งน่าขัน
‘นี่ขนาดทำหน้าดุก็ยังน่ารักอยู่อีก โอ๊ย…ใจไอ้ซีนคนนี้กำลังจะละลายหมดแล้ว’
“ถ้าคุณยังไม่รู้ นั่นแหละเขาเรียกว่าลวนลาม”
“ไม่จริงม้าง…” ชายหนุ่มกังขา ยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่อัยรดาไม่สามารถอ่านออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “เพราะการลวนลามจริงๆ มันเป็นแบบนี้ต่างหาก”
“กรี๊ด!!”
โลเวลรวบมือเล็กทั้งสองไว้ด้วยสรีระและแรงที่ได้เปรียบกว่า ก่อนจะผลักหญิงสาวให้ล้มลงบนโซฟาหนานุ่มแล้วตามไปทาบทับเธอไว้ทั้งตัว ไม่ให้เธอมีโอกาสได้ดิ้นรนหลบหนี
ชายหนุ่มหัวเราะออกเสียงเพราะหญิงสาวทำหน้าได้ตลกยิ่งนัก เขาไม่อยากรังแกเธอหรอก เพียงแค่เห็นความพยศของเจ้าหล่อนแล้วคันไม้คันมืออยากปราบก็เท่านั้นเอง
“อยากรู้ไหมว่าลวนลามจริงๆ เป็นแบบไหน”
เขาพูดเสียงทุ้มน่าฟัง ยกมือปัดผมที่ตกลงมาปรกหน้าเธอตอนที่ล้มลงไปนอนด้วยความทะนุถนอมแบบที่ไม่เคยทำกับใคร แต่เหมือนว่าที่เขาทำจะเปล่าประโยชน์เมื่อคนใต้ร่างเอาแต่ส่ายหัวปฏิเสธ
“ฉันไม่อยากรู้ค่ะ” อัยรดาอยากหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ ไม่ใช่อึดอัดเพราะร่างสูงที่ทาบทับมาทั้งตัว แต่เป็นเธอที่เริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออยู่ในท่าล่อแหลมชวนเสียอะไรบางอย่างแบบนี้
“แต่ผมอยากแสดงให้คุณเห็นจัง”
“คุณหิวไม่ใช่เหรอคะ นี่เวลาก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้ทานดีกว่านะ”
หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง ยกเอาเรื่องที่เขาเข้ามาหาเธอในตอนแรก แต่คนตัวโตกลับยิ้มรู้ทันและคิดว่าเขาคงยังไม่ปล่อยเธอตอนนี้
“ผมหิวครับ” ชายหนุ่มยอมรับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเถอะนะคะ เดี๋ยวฉันไปทำกับข้าวให้ ก่อนที่คุณจะหิวไปมากกว่านี้”
“แต่ผมไม่อยากกินข้าวน่ะสิครับ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงยียวน นัยน์ตาวิบวับยามมองริมฝีปากอิ่มที่กำลังขบกัดกันโดยที่เจ้าตัวไม่รู้จักเจ็บ แถมยังไม่รู้อีกว่าท่าทางแบบนี้มันเป็นการยั่วยวนกิเลสของเขาให้แตกอีกด้วย
“ผมอยากกิน ‘อย่างอื่น’ มากกว่า”
ไอ้อย่างอื่นที่เขาพูดน่ะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคืออะไร เพราะตาคมเอาแต่จ้องมองที่ริมฝีปากเธอ จนหญิงสาวอดจะกัดปากตัวเองแก้เขินไม่ได้ ทว่าเธอไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นทำให้การชั่งใจของโลเวลสลายไป
“อื้อ…” อัยรดาเบิกตากว้างเมื่อโลเวลก้มลงมาจูบปากเธอโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่เขาไม่คิดจะส่งสัญญาณให้เธอรู้ตัวและตั้งรับเลยหรืออย่างไร แต่สิ่งที่น่าโมโหไปยิ่งกว่านั้นคือเธอดันเคลิ้มไปกับเขาเสียนี่
“คุณทำให้ผมอดใจไม่ไหวเองนะคุณอัยย์” โลเวลถอนปากออก ไม่ลืมที่จะกล่าวโทษเธอดักทางไว้ก่อน
“เพิ่งรู้ว่ามันคือความผิดของฉัน” อัยรดาพยายามทำเป็นไม่สนใจจูบเมื่อครู่ ทั้งที่ในใจเธอไม่ใช่แบบนั้นเลยเมื่อถูกปล้นจูบแรกไปแล้ว
หญิงสาวพยายามจะไม่อ่อนเปลี้ยไปกับการชักจูงของเขา เพราะเธอต้องเป็นผู้หญิงแกร่งสุดแสนจะมั่นใจแบบที่ชายหนุ่มชอบ แต่ฤทธิ์จูบของเขาละลายเธอให้เป็นคนอ่อนหัดไปซะงั้น
“คุณน่ารักจนผมอดใจไม่อยู่”
“พวกความอดทนต่ำสินะ”
“ใช่ครับ และตอนนี้ผมก็ชักจะทนไม่ไหวอีกแล้ว”
โลเวลไม่พูดเปล่า แต่ก้มจุมพิตปากหวานอีกครั้ง รอบนี้เขาไม่ได้อ่อนหวานเหมือนรอบแรก แต่แสดงการเรียกร้องให้เธอยอมเปิดปากให้เขาได้เข้าไปสำรวจความหวาน
“อื้อ”
ชายหนุ่มซุกไซ้ซอกคอขาวอย่างย่ามใจเพราะคิดว่าหญิงสาวกำลังหลงเข้าไปในวังวนเดียวกัน ซึ่งก็ไม่ผิดคาดนักเพราะอัยรดาหลงเข้าไปในวังวนนั้นจริง แต่ก็ยังคงเรียกสติที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองให้กลับคืนมา เธอจะยังไม่ยอมเสียตัวง่ายๆ แน่ถ้ายังไม่มีอะไรชัดเจนระหว่างเรา
โลเวลคงคิดว่าเธอยอมอ่อนให้แล้วจึงปล่อยมือที่กุมไว้ให้เป็นอิสระ และนี่แหละจะเป็นโอกาสให้เธอหลุดจากวงแขนอบอุ่นนี้ ทันใดนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นดึงใบหูเขาอย่างแรง
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะอัยย์ คุณทำอะไรอีกเนี่ย”
“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่ลุกอัยย์จะดึงให้หูคุณขาดเลย” หญิงสาวไม่ได้ขู่อย่างเดียว แต่เธอเพิ่มแรงดึงใบหูเขาที่แดงก่ำอยู่แล้วให้หนักกว่าเดิม ในที่สุดเขาก็ยอมยกธงขาว
“โอเคๆ ยอมแล้ว” ชายหนุ่มชูมือทั้งสองข้างเป็นการยอมแพ้ ยันตัวลุกขึ้นนั่งให้เธอเป็นอิสระจากตัวเขา
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” อัยรดาว่าและยอมปล่อยมือจากใบหูของเขา ทว่า…
ฟอด!
“ชื่นใจจัง” โลเวลรีบลุกขึ้นหนีให้ห่างจากรัศมีมือเล็ก หลังจากที่เขาขโมยหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่เป็นการปิดท้าย “อัยย์รีบลุกไปทำอาหารได้แล้ว ก่อนที่ผมจะหิวจนกินอัยย์แทนข้าว”
“ฉันควรจะไล่คุณออกจากห้องให้รู้แล้วรู้รอดไปน่าจะดี” อัยรดาส่งสายตาอาฆาตไปให้ ถึงจะเอาเรื่องก็ไม่ทันอยู่ดี จึงเดินตรงไปที่ครัวแทนเพราะตัวเองก็เริ่มหิวไม่ต่างจากเขา
“ไม่ทันแล้วละที่รัก” ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวเข้าครัว ยืนอิงเคาน์เตอร์บาร์มองสาวเจ้ากำลังก้มๆ เงยๆ ที่ตู้เย็นเครื่องใหญ่ “ถึงอัยย์จะไล่ผมก็ไม่ไปอยู่ดี”
“คุณนี่มันพวกหน้าด้านจริงๆ”
“ถ้าไม่หน้าด้านแล้วหญิงจะสนเหรอครับ”
“เป็นเหตุผลที่ไม่เมกเซนส์เอาซะเลย ดีนะเนี่ยที่อัยย์ไม่ชอบพวกหน้าด้าน”
“อย่าพูดว่าไม่สนใจผมเชียว เพราะก่อนหน้านี้เราทำยิ่งกว่าสนใจกันนะ อย่าลืม” ชายหนุ่มเย้าเรื่องเมื่อครู่เพราะรู้ว่าเธอต้องเขินอาย และมันก็ได้ผลเมื่อหน้าหวานเริ่มซับสีเลือด
“หน้าไม่อาย” เธอยังต่อปากต่อคำกับเขา ขณะเดียวกันก็รื้อของสดในตู้เย็นออกมาเพื่อปรุงอาหารไปด้วย โดยมีคนร่างสูงเดินตามเข้ามายืนมองด้วยความสนใจ
“คุณดูคล่องแคล่วจนผมแปลกใจ ปกติผู้หญิงสมัยใหม่ไม่ค่อยทำอาหารทานเอง” โลเวลตั้งข้อสังเกต เพราะการกระทำของเธอมันดูคล่องแคล่วจนเขามองเพลิน
“สงสัยฉันเป็นพวกผู้หญิงไม่ปกติ” หญิงสาวหันมาส่งยิ้มให้คนขี้สงสัย แต่ก็ไม่ใจร้ายจนไม่อธิบายต่อ “แม่ฉันทำอาหารเก่งมาก ฉันคงได้รับมรดกในเรื่องนี้มาจากท่าน”
“พูดซะผมอยากทานอาหารฝีมือท่านเลย อัยย์พาผมไปรู้จักท่านหน่อยสิครับ แบบว่าแนะนำว่าที่ลูกเขยอะไรแบบนี้น่ะ” ชายหนุ่มชงให้ตัวเองเสร็จสรรพ
“ฉันว่าคุณคงไม่อยากไปหาท่านหรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“ท่านไม่อยู่แล้วค่ะ ท่านเสียมานานแล้ว” หญิงสาวพูดเสียงเศร้าเมื่อนึกถึงมารดาผู้ล่วงลับ “คุณยังอยากจะไปพบท่านอยู่ไหมคะ บางทีฉันอาจจะสงเคราะห์คุณด้วยการเอามีดทำครัวจ้วงไปที่ท้องคุณ แล้วถ้าวิญญาณคุณเจอแม่ฉันก็ฝากบอกท่านด้วยว่าฉันคิดถึงท่านมาก” อัยรดาพูดทีเล่นทีจริง เพราะตอนนี้เธอกำลังใช้มีดหั่นผักอยู่พอดี
“ผมว่าผมอยากพบลูกสาวท่านมากกว่าครับ” โลเวลยิ้มแหยๆ เมื่อเจ้าหล่อนหันมีดปลายแหลมที่ถืออยู่มาทางเขาแทนที่จะเป็นผักพวกนั้น
เมื่อเห็นใบหน้าหวานซึมไป คงเป็นเพราะพูดถึงมารดาที่ล่วงลับ เขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
“ผมเสียใจด้วยนะครับเรื่องแม่ของอัยย์”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันพอจะทำใจได้แล้ว” หญิงสาวส่งยิ้มให้เขา และกลับมาสนใจผักตรงหน้าต่อ ก่อนชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณเป็นลูกครึ่งคงชินกับรสชาติอาหารไทยใช่ไหมคะ ฉันจะได้ใช้รสดั้งเดิม”
“ผมทานได้ทุกอย่างครับ แม้แต่อัยย์ผมก็ทานได้ ถ้าอัยย์อนุญาต” ชายหนุ่มส่งสายตาวิบวับให้
“กินแคร์รอตแทนไปก่อนแล้วกันนะคะ”
อัยรดาหยิบแคร์รอตที่เธอหั่นพอดีคำใส่ปากเขาระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังพูดได้อย่างพอดิบพอดี ระหว่างที่เดินผ่านเขาไปหยิบจานในซิงก์มาใช้งาน
“อีกไม่นานหรอกครับ ที่ผมจะได้กินอัยย์เป็นอย่างต่อมา” ชายหนุ่มเคี้ยวแคร์รอตอย่างเอร็ดอร่อยจนคนที่ตั้งใจ ‘ป้อน’ ให้ ออกอาการหมั่นไส้
“อย่ามั่นใจอะไรมากเลยค่ะ อย่างต่อมาที่คุณจะได้ทานอาจจะเป็นสากกะเบือในมือฉันแทน” อัยรดาโชว์สากในมือให้เขาดู ที่ปลายมีพลิกที่กำลังโขลกติดอยู่
“ใครจะรู้ว่าอัยย์อาจจะได้กินอะไรที่ใหญ่กว่า ‘สาก’ ในมือก็ได้”
“คุณนี่มันพวกหมกมุ่นจริงๆ”
คำพูดสองแง่สองง่ามของเขาทำให้เธอไม่อยากต่อปากต่อคำ เพราะเขามักจะโยงเข้าเรื่องอย่างว่าอยู่ตลอด และจะเป็นเธอเองที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะหน้าไม่หนาที่จะพูดถึงเรื่องแบบนั้นได้อย่างไม่กระดากปาก
“เป็นคุณรึเปล่าอัยย์ ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลยนะ”
โลเวลยิ้มขำ ชอบนักไอ้วาจาเผ็ดร้อนไม่เหมาะกับหน้าหวานๆ ของเธอ ใครจะเชื่อว่าการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอเมื่อครู่จะทลายกำแพงบางอย่างลงไป
อัยรดาเริ่มเปิดใจให้เขามากขึ้น แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมายามอยู่กับเขา แถมยังกล้าต่อปากต่อคำโดยไม่เกรงกลัวนามสกุลของเขา
ไอ้ตัวเขาเองก็ชักจะกู่ไม่กลับเมื่อได้ลิ้มรสปากหวาน จากที่หลงเจ้าหล่อนอยู่แล้วก็ยิ่งหลงเข้าไปใหญ่ ชนิดที่แทบจะถอนตัวไม่ขึ้น และเชื่อเถอะว่าตัวเขาเองก็ไม่อยากถอนตัวไปจากความน่ารักนี้หรอก
เขาไม่รู้ว่าถ้าตัวเองใช้คำว่า ‘รัก’ กับเธอมันจะเร็วเกินไปไหม ที่สำคัญชายหนุ่มก็ไม่เคยรู้เสียด้วยสิว่าไอ้ความรักที่เขาพูดกันมันเป็นอย่างไร แต่อาการที่เขาอยากอยู่กับเธอตลอด อยากเห็นหน้าหวานอย่างไม่รู้จักเบื่อ คิดถึงยามไม่เห็นหน้า พอเห็นหน้าหัวใจกลับอิ่มเอม อยากดูแลปกป้องเธอ อยากทำให้เธอมีความสุข แบบนี้มันพอจะตรงกับนิยามคำว่ารักหรือไม่
“นี่คุณจะรอกินอย่างเดียวเลยใช่ไหมคะคุณโลเวล”
เสียงหวานแกมประชดดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มละจากความคิดมาสนใจหน้าหวานที่กำลังบูดบึ้งอยู่แทน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่
“ก็ควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอครับ”
“ถ้าคุณจะมีน้ำใจช่วยฉันสักนิดก็จะดีมากเลยค่ะ แถมเราจะได้ทานข้าวกันเร็วขึ้น ไม่ต้องหิ้วท้องหิวกันแบบนี้”
ชายหนุ่มรู้แล้วว่าไอ้หน้าที่บูดบึ้งเนี่ยมันจะเกิดจากสาเหตุอะไรไปได้ ถ้าไม่ใช่โมโหหิว จึงเดินเข้าไปใกล้แม่ครัวใหญ่พร้อมส่งเสียงประจบไปด้วย
“อัยย์จะให้ผมช่วยอะไรครับ สั่งการมาได้เลยครับคนดี”
“ถ้าคุณหุงข้าวเป็น หม้อหุงข้าวอยู่ทางนั้นค่ะ” หญิงสาวชี้ไปที่หม้อหุงข้าวซึ่งอยู่ข้างตู้เย็น ก่อนจะชี้เลยไปที่ตู้เก็บของบนเคาน์เตอร์บาร์ “ส่วนข้าวสารอยู่ในนั้นค่ะ”
“รับทราบครับนายหญิง” โลเวลเอาสรรพนามที่เขาตั้งใจมอบให้เธอในอนาคตมาเย้า แต่ดูเหมือนว่าว่าที่นายหญิงจะไม่รู้ตัว เพราะเธอหันกลับไปสนใจการปรุงอาหารตรงหน้าต่อ
ทั้งสองไม่รู้ตัวว่าความผูกพันที่มีในวัยเด็กที่เคยตัดขาดไปหลายปีกำลังเริ่มถักทอขึ้นมาอีกครั้ง แม้อัยรดาจะมีแผนการในหัวเพื่อพิชิตใจโลเวล แต่พอถึงเวลาการกระทำที่แสดงออกมากลับเป็นสิ่งที่หัวใจสั่งการ ทว่าการเริ่มต้นที่มาจากการโกหกตอนจบมักไม่เคยสวยงาม
ความคิดเห็น |
---|