2

ตอนที่ 1

 

            กริ๊ง!!!

เสียงนาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่น

            “กรี๊ด!!!” แต่เสียงมุลิลาดังกว่า!

            มุลิลาผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วหันไปตบนาฬิกาปลุกจนเงียบสนิท ก่อนหันมานั่งหายใจเหนื่อยหอบ สองมือยกขึ้นลูบหน้าตา เหงื่อเธอแตกพลั่ก ความรู้สึกเหมือนวันที่คลอดลูกไม่มีผิด ความทรงจำหวนคืนกลับมาอีกครั้ง

มุลิลาอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก น้ำตาแห่งความเจ็บใจ เสียใจเพราะถูกสามีบอกเลิก บวกกับอาการเจ็บท้องคลอดก่อนหน้านี้หายไปเป็นปลิดทิ้ง กลายเป็นน้ำตาแห่งความสุขและความหวัง...เหมือนกับคนทั้งประเทศ แต่วันปีใหม่ของมุลิลาอาจไม่เหมือนกับคนอื่น ผู้ชายคนหนึ่งจากเธอไป แต่มีอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ วันปีใหม่ที่แสนจะบ้าคลั่ง และไม่รู้ว่า...นับจากนี้...ชีวิตจะเปลี่ยนไปยังไงบ้างหนอ

แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...นั่นคือผัวจอมเจ้าชู้และไร้ความรับผิดชอบกลับมาขอคืนดี เสกคาถาเป่ากระหม่อมเธอด้วยคำว่า ‘ป๊ารักหนู’ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะยาก แต่นี่...มีลูกด้วยกันแล้ว มุลิลาจึงใจอ่อน กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับพงศ์พิศุทธิ์อีก แต่ที่มีเพิ่มเติมเข้ามาก็คือ น้องปลื้ม ลูกชายที่แสนน่ารักของเธอ...การได้เลี้ยงลูก ดูแลลูกทุกลมหายใจเข้า-ออก บวกกับหน้าที่การงานที่วุ่นวาย ทำให้มุลิลาลืมความทุกข์ใจที่เกิดจากพฤติกรรมของสามีไปได้บ้าง

ห้าปีแล้วสินะ...มุลิลากะพริบตาปริบๆ รวบรวมสติ สายตาเธอกวาดมองไปรอบๆ เมื่อเห็นรูปถ่ายแต่งงานของเธอกับพงศ์พิศุทธิ์ รูปน้องปลื้มลูกชายตอนแบเบาะ รูปเธอกำลังอุ้มลูกป้อนนม รูปส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล รูปพาลูกไปเที่ยว และอีกหลายภาพที่มีแต่เธอและลูกเท่านั้น

            “เฮ้อ” มุลิลาถอนใจโล่งอกแล้วหันไปมองที่นอนข้างๆ ซึ่งว่างเปล่าด้วยสายตาเบื่อหน่าย...อีกแล้วที่สามีกลับบ้านตอนเช้าพร้อมกลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั้งตัว

            หญิงสาวลุกขึ้นจากที่นอน พอเปิดประตูห้องปุ๊บ พงศ์พิศุทธิ์ก็เดินสวนเข้ามาทันทีอย่างไม่สนใจอะไร ไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มุลิลามองพงศ์พิศุทธิ์ด้วยความไม่พอใจ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงลูกชายก็ดังขึ้นเสียก่อน

            “แม่คร้าบ...”

มุลิลาหยุดความคิดในหัวเกี่ยวกับสามีตัวดีไว้แค่นั้น หันมองขวับไปที่นาฬิกาปลุก พบว่าเลยเวลาหกโมงไปสิบนาที ทำให้เธอถึงกับตาเหลือก

            “ว้าย!” มุลิลาร้องลั่น วิ่งออกจากห้องไป ทิ้งพงศ์พิศุทธิ์นอนแผ่หลาโดยไม่ได้ห่มผ้าห่ม ก่อนนึกขึ้นได้วิ่งกลับมา รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้พงศ์พิศุทธิ์แบบลวกๆ จนคลุมมิดหัว แล้ววิ่งผลุบหายออกไปนอกห้องอีก

            มุลิลาวิ่งไปอีกด้านหนึ่งของบ้าน เห็นน้องปลื้มยืนงัวเงียขยี้ตาอยู่ในชุดนอน ก็พุ่งไปคว้าตัวลูกขึ้นอุ้มหนีบเอวเอาไว้ แล้วพูดพลางวิ่งไป

            “เร็วๆ ลูก สายแล้ว!”

            “ทำไมแม่ตื่นสาย”

            “ก็มัวแต่เบ่งอยู่” มุลิลาตอบเร็วๆ วิ่งไปผิดทาง จะเข้าห้องน้ำแต่ดันลงบันได

            “เบ่งอะไรครับ”

มุลิลารีบหันกลับไม่ได้ตอบคำถามลูก แต่ก็จะเดินเลยห้องน้ำอีก จนน้องปลื้มต้องร้องเตือน

            “ห้องน้ำทางนี้ครับ”

คนเป็นแม่ดึงตัวกลับมาแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ “วันนี้วันอะไรนะลูก”

            “วันพฤหัสครับ”

            “อ๊าย มีประชุม!”

            มุลิลาร้อนรน คว้าเอาแปรงสีฟันอันใหญ่อันเล็กมาบีบยาสีฟันใส่ทั้งสองด้าม สั่งให้ลูกชายแปรงฟันพร้อมๆ กับตัวเอง แล้ววิ่งไปอีกฟากที่เป็นห้องเสื้อผ้า มือหนึ่งหยิบชุดนักเรียนชาย อีกมือหนึ่งก็แปรงฟันไปด้วย เธอจับลูกชายบ้วนปากรีบเร่งใส่เสื้อผ้าให้ลูก

            “เสร็จแล้ว”

พอกลัดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นลูกชายพูดตาใสว่า

            “วันนี้ใส่ชุดพละครับ”

มุลิลาอึ้งไปสองวินาที ก่อนจะรีบหน้าตั้งถอดเสื้อนักเรียนลูกออก ถอดกางเกง เห็นกางเกงใน น้องปลื้มรีบตะปบปิดช้างน้อย

            “อุ๊ย! มีอาย เป็นหนุ่มแล้วสินะเรา” มุลิลาใส่ชุดพละให้ปลื้มอย่างเร่งรีบ เสร็จแล้วก็ยืนดูผลงาน

            “โอเค หล่อแล้ว”

            “ต่อไปตาแม่” น้องปลื้มพูดยิ้มๆ

            “สบาย”

มุลิลารีบวิ่งแน่บออกไป น้องปลื้มมองตาม เห็นแม่เข้าห้องฝั่งตรงข้ามแล้วปิดประตู

            เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที มุลิลาที่อยู่ในชุดทำงาน หน้าตาผมเผ้ายังไม่ได้แต่งใดๆ ก็ออกมาวิ่งจูงมือน้องปลื้มข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็หิ้วสัมภาระตัวเองและกระเป๋านักเรียนลูก ลงบันไดออกจากบ้านไปเปิดประตู ‘บุญช่วย’ รถคู่ใจกลางเก่ากลางใหม่ เธอดันลูกชายเข้าไปในรถ โยนสัมภาระทั้งหมดเข้าไปที่เบาะหลังแล้วปิดประตู วิ่งปรู๊ดไปขึ้นประจำที่คนขับ สตาร์ตรถจอมเกเร สตาร์ตทีแรกยังไม่ติด สตาร์ตอีกทีก็ยังไม่ติด มุลิลาโมโหตะโกนสั่งลั่น

            “ติดเดี๋ยวนี้”

รถสตาร์ตติดทันที

            “เออ ให้มันได้อย่างนี้สิวะ” มุลิลาเข้าเกียร์บึ่งออกไปทันที และอีกไม่กี่นาทีต่อมาเธอกับลูกชายก็นั่งกินไส้กรอกที่แวะซื้อจากร้านสะดวกซื้อ M-ONE ในขณะที่รถติดแหง็กไม่ขยับ อย่างต่ำก็สิบห้านาทีเข้าไปแล้ว

            มุลิลากับปลื้มชะเง้อคอมองแถวรถยาวเหยียด สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างเซ็งๆ เสียงโทรศัพท์ของมุลิลาดังขึ้น เธอรับแล้ววุ่นอยู่กับการปฏิเสธคำชวนไปปาร์ตี้ของเพื่อน ก่อนที่จะทำโทรศัพท์หลุดมือ เมื่อวางสายลงแล้ว หญิงสาวรีบก้มลงเก็บ ปากก็บอกลูกว่าอย่าลืมให้สัญญาณถ้ารถขยับ

            “ครับ” น้องปลื้มรับคำก่อนจะกัดซาลาเปากินเข้าไปคำโต

            จังหวะเดียวกันนั้น ข้างๆ กัน ชิษณุซึ่งอยู่ในมาดผู้บริหารสุดเท่ สวมแว่นกันแดด ขับรถคันหรูเข้ามาจอดเทียบข้างรถมุลิลา เขาหันมาเห็นน้องปลื้มกำลังกินซาลาเปา ถือถุง M-ONE เด่นชัด จึงยิ้มอย่างพอใจ เขาเปิดกระจกรถลง โบกมือเรียกน้องปลื้ม

น้องปลื้มหันไปมองอย่างแปลกใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดกระจกลงเพียงเล็กน้อยพอให้ใบหน้าโผล่ออกไป ได้ยินชิษณุพูด

            “ซาลาเปาอร่อยมั้ยครับ” ชิษณุถามยิ้มกว้างอย่างใจดี ชายหนุ่มยังคงสวมแว่นตาอยู่

            น้องปลื้มรีบปิดกระจกหนีทันทีเมื่อสติเริ่มมา ไม่ควรคุยกับคนแปลกหน้าตามที่แม่เคยสอนไว้ และเผอิญรถเคลื่อนตัวพอดี

ชิษณุยิ้มให้เด็กชายอย่างเอ็นดู เขาปิดกระจกแล้วขับออกไป

มุลิลาเงยหน้าขึ้นมา หันไปเห็นลูกชายกำลังปิดกระจกก็แปลกใจ “เปิดกระจกทำไมลูก อันตราย แม่สอนแล้วไง ทีหลังไม่เปิดนะครับ”

            “ครับ” น้องปลื้มหันมารับคำตาใส ไม่ได้เล่าเรื่องชิษณุให้แม่ฟัง

รถคันหลังบีบแตรไล่ดังลั่น มุลิลาตกใจ รีบขับรถออกไปทันที

            มุลิลาส่งน้องปลื้มที่โรงเรียนทันเวลาแปดโมงพอดี แต่โล่งอกโล่งใจได้ไม่กี่นาทีบุญช่วยก็หักหลัง สตาร์ตไม่ติดชนิดที่ว่าตบกี่ทีก็ยังไม่มีลุ้น เมื่อไม่มีทางเลือกจึงต้องจอดรถทิ้งไว้แล้วอาศัยบริการวินมอเตอร์ไซค์

การใช้ชีวิตให้รอดในกรุงเทพฯ ความสามารถหนึ่งที่ต้องมีนอกเหนือจากความอดทนกับการจราจรแล้วก็คือ ทักษะในการนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างคล่องแคล่วและปลอดภัย...มุลิลารีบขึ้นนั่งซ้อนท้าย สวมหมวกกันน็อกที่ไม่ได้ป้องกันการน็อกได้จริงหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา...เรียกว่าใส่ไว้หลอกตำรวจจราจรคงจะเหมาะกว่า

หญิงสาวถึงบริษัทเวลาแปดโมงสี่สิบนาที ถึงปุ๊บก็พุ่งเข้าไปทันที ระดับนักวิ่งทีมชาติยังอาย หญิงสาวแว่บเข้าห้องน้ำจัดการตัวเองลวกๆ เพราะไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานตกใจนึกว่าเห็นผี...มีเวลาแค่สิบนาทีเท่านั้น! มุลิลาคำนวณเวลาในหัวอย่างว่องไว เวลาเข้างานคือเก้าโมงเช้า...จากห้องน้ำไปถึงเครื่องตอกบัตรใช้เวลาสิบห้านาที

เสียงเครื่องตอกบัตรประทับเวลาเข้างานของมุลิลาได้ทันเวลาเก้าโมงพอดี ขณะมุลิลากำลังจะขาดอากาศหายใจ หลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลาย...สภาพของเธอเหมือนผ่านสนามรบมาหมาดๆ อย่าถามหาความสวย ความเนี้ยบ ความเป๊ะจากแม่ลูกอ่อน ผัวลูกแหง่ ในเมืองใหญ่ที่ต้องทำงานไปด้วยอย่างมุลิลาเด็ดขาด

            เช้าตื่นมาดูแลลูก วางเงินให้แม่บ้านไปหาของกินเตรียมไว้ให้สามีที่ไม่รู้มันจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องมีไว้ให้กิน จากนั้นก็ไปส่งลูก แล้วมาตอกบัตรทำงาน เย็นให้ลูกกลับรถโรงเรียน ที่บ้านมีแม่บ้านรอรับ เลิกงานก็รีบกลับบ้านไปให้ทันก่อนที่แม่บ้านจะกลับ และไปสอนการบ้านลูก ดูแลจนกว่าลูกจะเข้านอน จากนั้นก็ใช้เวลาสะสางงานค้างหากต้องเอากลับไปทำที่บ้าน...แล้วเข้านอนโดยไม่ต้องรอสามี เพราะไม่รู้อีกเหมือนกันว่ามันจะกลับเมื่อไหร่ หรือจะไม่กลับมุลิลาก็ไม่สนใจ เพราะได้ทุ่มเทเวลาและสมองทั้งหมดให้แก่ลูกและงาน...ไม่มีคำว่าเวลาส่วนตัวเลยเสียด้วยซ้ำ นอกจากเวลาอยู่ในห้องน้ำ...ชีวิตเธอเป็นปกติอย่างนี้ทุกวัน 

เหนื่อย แต่ก็มีความสุขดี...ถ้าวันไหนไม่วุ่นวายแบบนี้ เธอคงนอนไม่หลับ

มุลิลาเริ่มนับถอยหลัง วางแผนสิ่งที่ต้องทำในใจระหว่างที่เดินไปที่โต๊ะทำงาน ทุกอย่างต้องถูกวางแผนในแต่ละวัน แล้วทำให้ลุล่วง ถ้ามีอะไรผิดแผน นั่นอาจหมายถึงความวายป่วง สำหรับคนที่มีภาระรัดตัวอย่างเธอ ครอบครัวและงานต้องสมดุล มุลิลาพยายามวางภาพชีวิตของเธอไว้อย่างนั้น อาจจะนานๆ ทีที่ต้องทำงานล่วงเวลา และต้องให้แม่บ้านเป็นคนจัดการเรื่องลูกแทน ที่ผ่านมามุลิลาคิดว่าเธอทำได้ดี ทุกอย่างเป็นปกติและเอาอยู่

เมื่อมุลิลามาถึงโต๊ะทำงาน ก็พบพนักงานรุ่นน้องที่ยืนรออยู่แล้ว

            “พี่มู่ลี่คะเอ็มดีขอพบพี่ตอนนี้เลยค่ะ” มุลิลาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

            “ขอพี่เก็บของก่อน” เธอว่ายังไม่ทันขาดคำ พนักงานคนเดิมก็ยังเร่ง

            “ตอนนี้เลยค่ะ แกบอกว่า...ด่วน” มุลิลาพยายามข่มใจต่อความไร้มารยาทของพนักงานรุ่นน้อง แต่พอเห็นหน้านางแล้ว...มุลิลายอมปล่อยผ่านทันที ต่อมเมตตาของเธอยังใช้งานได้ดี...คงจะเรื่องด่วนและซีเรียสจริงๆ

            “ซองขาว” เธอเอ่ยอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นซองสีขาววางอยู่บนโต๊ะเอ็มดี “ด้วยความเคารพนะคะ ทำบุญผ้าป่าวัดอะไรคะ”

คนพูดพยายามยิ้ม แต่พอเห็นสีหน้าที่เริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ ของเอ็มดี ก็รู้เลยว่ามันไม่ขำ...หรือไอ้ที่คิดๆ ไว้ในใจมันจะเป็นจริง

            “จดหมายแจ้งออก” เอ็มดีเอ่ยขรึมๆ

มุลิลาอึ้งไป มองคนตำแหน่งสูงกว่าสลับกับซองขาวบนโต๊ะ “ไม่ใช่ซองผ้าป่า”

            “ไม่ใช่” เอ็มดีตอบ

            “ให้ออก” มุลิลาพูดอีก

คราวนี้เอ็มดีไม่ตอบแต่พยักหน้านิ่งๆ ท่าทางของเขาบ่งบอกได้ว่าเตรียมตัวรับมือผู้หญิงอย่างมุลิลามาเป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ผล เมื่อมุลิลาลุกขึ้นแล้วตบโต๊ะดังปัง เอ็มดีสะดุ้งตกใจนั่งตัวลีบอยู่ที่โต๊ะ เมื่อเห็นมุลิลาเริ่มวีน

            “ด้วยความเคารพอีกทีนะคะ ช่วยบอกเหตุผลมาเป็นข้อๆ ขอเคลียร์ๆ” คนพูดยืนกอดอก หน้าตาเอาเรื่อง

            “มันเป็นนโยบายจากบริษัทแม่”

            “แล้วบริษัทแม่เป็นแม่แท้ๆ เอ็มดีหรือไง!”

            “ยิ่งกว่าแม่แท้ๆ แม่แท้ๆ ไม่ได้ให้เงินเดือน แต่บริษัทแม่ให้” เอ็มดีตอบ

มุลิลาอึ้งไปแล้วพยักหน้า...รับทราบ แต่ยังไม่หายข้องใจ

            “โอเค เข้าใจ แล้วไงต่อ”

“เพราะเราต้องควบคุมต้นทุน เลิกจ้างซีเนียร์ที่เงินเดือนสูงๆ”

            “สูงตรงไหน! หนูทำงานที่นี่ ตั้งแต่เรียนจบ เงินเดือนขึ้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์” หญิงสาวเถียง

            “ก็ยังสูงกว่าเด็กๆ ที่เพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปี แล้วที่สำคัญ เด็กพวกนั้นน่ะไฟแรงกว่าหนูเยอะเลยนะ” เอ็มดีย้อนกลับ

คราวนี้มุลิลาถึงกับไปไม่เป็น เพราะสะอึกกับความจริงที่ได้ฟัง

            “มู่ลี่ เข้าใจผมนะ ผมก็เป็นลูกจ้างเหมือนคุณ ผมต้องทำตามนโยบาย”

คราวนี้มุลิลาถึงกับเข่าอ่อน ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังอย่างหมดแรง

            “ความจงรักภักดีที่หนูมีต่อองค์กร มันไม่มีประโยชน์เลยใช่มั้ย” หญิงสาวยิ้มขื่น พยายามยอมรับว่าต่อให้ต้องการจะเปลี่ยนแปลงความจริงแค่ไหนก็ไม่มีวันทำได้

เอ็มดีมีสีหน้าเห็นใจมุลิลา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จำเป็นจะต้องพูดอย่างชัดเจน “โลกของทุนนิยมเรายึดที่ผลกำไร อีกอย่างใครทำงานให้เราไม่เต็มที่ เราก็ต้องพิจารณา ตั้งแต่หนูมีลูก ความทุ่มเทที่หนูมีให้เราน้อยลงมาก ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ที่ยังโสดเค้าเต็มที่ได้มากกว่าหนู”

มุลิลาเงียบไป แล้วพูดต่อ “ใครแข็งแรงกว่า คนนั้นคือผู้อยู่รอด สิ่งที่หนูมีมันเรียกว่าความอ่อนแอใช่มั้ย ได้ค่ะ หนูมีเวลาอีกหนึ่งเดือนใช่มั้ยคะ”

เธอพยายามซ่อนความเจ็บปวดและผิดหวังในดวงตาอย่างสุดความสามารถ

            “ไม่มีแล้ว” เอ็มดีตอบแล้วเบือนหน้าหนี รู้สึกสงสารลูกน้องสาว แต่ก็ไม่มีทางเลือก

            “อ้าว ได้ไงคะ จะให้ออกตามกฎหมายก็ต้องบอกล่วงหน้าเดือนนึงสิคะ”

            “ผมเคยให้จดหมายแจ้งให้ออก และหนูก็เซ็นรับทราบไปแล้วเมื่อเดือนที่แล้ว จำได้มั้ยว่าเซ็นอะไรไปบ้าง”

เอ็มดีหันมามองมุลิลาที่หน้าซีดเผือดนิ่ง หญิงสาวทำท่าคิดแต่หัวสมองกลับว่างเปล่า เธอจำอะไรไม่ได้เลย มองหน้าเจ้านายที่ทำท่าอ่อนใจหันไปเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน แล้วเอาเอกสารที่มีลายเซ็นรับทราบของมุลิลามาวางต่อหน้าเจ้าตัว

            มุลิลาชะโงกหน้าไปก้มมองเอกสาร เห็นลายเซ็นตัวเองแล้วกลืนน้ำลาย รู้สึกเหวอที่ตัวเองเบลอถึงขนาดนี้

            “ทีนี้เข้าใจหรือยังล่ะว่าทำไมผมถึงเรียกพบคุณด่วน ผมต้องขอบคุณสำหรับความทุ่มเทของหนูที่มีให้บริษัทตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่ว่ามันถึงเวลาแล้วล่ะ หนูกลับไปเก็บของที่โต๊ะได้แล้วนะ ผมให้เวลาถึงเที่ยง”

            “แต่...” มุลิลาทำท่าจะอ้าปากขัดอีก ทว่าเอ็มดีก็ยกมือห้ามไว้ก่อน

            “มู่ลี่ รู้ไหมคนที่จะมาทำงานแทนหนู มาเริ่มงานวันแรกวันนี้แล้ว ผมต้องใช้ที่ตรงนั้นให้เขานั่งทำงาน ตอนนี้ผมให้เขาไปนั่งที่พนักงานคนที่ลาหยุดไปก่อน หนูรีบๆ เข้าเถอะ”

มุลิลาพูดไม่ออก

            เอ็มดีหันไปเปิดสปีกโฟนเรียกเลขาฯ ให้มาพาเธอออกไป มุลิลาไม่รอ หญิงสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องทันที พอเดินออกมาก็เห็นเลขาฯ สุดเอกซ์ที่อดีตนายของเธอพยายามเรียกให้เข้าไปเมื่อครู่นี้ ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรเลย ยกเว้นแต่คิ้วหกมิติ ใบหน้าที่ตึงเปรี๊ยะ กับลิปสติกที่ทาทับแล้วทับอีกบนปากที่ดูก็รู้ว่าฉีดมาแหงๆ นั่น

            มุลิลาไล่สายตาลงมาเห็นนมตู้มแล้วก็หมั่นไส้ ยิ้มเหยียด แต่พอจะเดินออกไปความคิดก็ปิ๊งขึ้นมาในหัว เธอยิ้มมุมปากแล้วเดินหันกลับเดินเข้าไปหาเลขาฯ คัปดี กอดอกแล้วสั่ง

            “ต่อสายหาภรรยาเอ็มดีให้หน่อย”

            “เอ่อ” เลขาฯ เอ็มดีหันมามองแบบงงๆ

            “เร็ว! ไม่งั้นถูกกินหัว!” มุลิลาสั่งอย่างมีเพาเวอร์ หน้าตาท่าทางน่าเกรงขาม คนฟังตกใจลนลานคว้าโทรศัพท์

            “ค่ะๆ” เลขาฯ รีบต่อสายหาภรรยาของเอ็มดี มุลิลายืนอดทนรออย่างใจเย็น

            “สวัสดีค่ะ จากออฟฟิศนะคะ สักครู่ค่ะ” เลขาฯ ส่งโทรศัพท์ให้มุลิลา

“สวัสดีค่ะ มู่ลี่ แผนกมาร์เกตติงนะคะ หนูจะทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้าย แต่ไม่อยากจากไปแบบคนที่โลกลืม เอ็มดีไล่หนูออกจากงานด้วยเหตุผลว่าแก่เกินจะทุ่มเทกับงานไหว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ หนูถูกกำจัดเพราะดันไปรู้เห็นว่าเอ็มดีกับเลขาฯ หน้าห้องแอบกินกันอย่างลับๆ มาได้สองปีแล้ว รายละเอียดกรุณาหลังไมค์กันเอาเองนะคะ สวัสดีค่ะ”

มุลิลาส่งโทรศัพท์คืนให้เลขาฯ ที่หน้าเหลอรับโทรศัพท์จากเธอ แล้วเชิดใส่ เดินจากมาอย่างสะใจ ในขณะที่เลขาฯ ยังช็อกทำอะไรไม่ถูกอยู่ที่เดิม

            ค่ำนั้นมุลิลาอ่านนิทานกล่อมลูกหลับไปก็มายืนรอพงศ์พิศุทธิ์อยู่หน้าบ้าน กดมือถือโทร.ไปสามีก็ไม่รับสายเลยส่งไลน์

พรุ่งนี้จะพาลูกไปแฮปปีเบิร์ทเดย์ที่บ้านแม่ จะไปด้วยกันมั้ย

มุลิลากดส่งไป มองหน้าจอสักพักก็เห็นว่ามีการอ่านข้อความแล้ว เธอยืนจ้องอยู่อึดใจก็มีข้อความส่งกลับมา

ติดงาน ต้องออกกอง คิวด่วน

มุลิลาถอนใจหนัก เธอไม่น่าจะหวังอะไรแบบลมๆ แล้งๆ เลย รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ หญิงสาวพิมพ์ตอบกลับไป

โอเค กลับวันที่สองนะ เดี๋ยวบอกลูกให้ ขับรถระวังตัวด้วย เป็นห่วง

มุลิลากดส่งข้อความไป เธอเห็นว่ามีการเปิดอ่านแล้ว แต่รออยู่นานไม่มีข้อความส่งกลับมา หญิงสาวถอนหายใจหนัก บอกกับตัวเองว่าควรจะชิน ทว่าเธอก็ไม่เคยชินได้เสียที...ในเมื่อเขาไม่ตอบ มุลิลาจึงก้มหน้าก้มตาพิมพ์ ตั้งใจจะบอกเรื่องสำคัญในชีวิตให้เขารู้

ออกจากงานแล้วนะ...

แต่แล้วก็เปลี่ยนใจลบข้อความไม่กดส่ง สุดท้ายเธอก็ได้แต่ยืนถอนหายใจ มองฝ่าความมืดออกไป ทำได้แต่เพียงนึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา

            มุลิลาเห็นภาพตัวเองเจ็บท้องคลอดลูกเมื่อหลายปีก่อน ภาพพงศ์พิศุทธิ์กระซิบบอกเลิกในขณะที่จะเข้าห้องคลอด ภาพตัวเองอุ้มลูกตอนหนึ่งขวบร้องไห้กับต้องตาเมื่อถูกขอเลิกอีกครั้ง ครั้งที่สามตอนลูกสองขวบเมื่อพงศ์พิศุทธิ์ไปติดพันนางแบบโฆษณา อีกครั้ง...และอีกครั้ง หลายต่อหลายครั้งนั้นมุลิลาต้องพาลูกไปร้องไห้ต่อหน้าต้องตา และทุกครั้งเธอก็กลับมาที่เดิม มาอยู่กับพงศ์พิศุทธิ์เป็นครอบครัวเหมือนเดิม

                       มุลิลาไม่ใช่คนโง่ เธอไม่ได้เทิดทูนบูชาความรักจนเจ็บแล้วไม่รู้จักจำ เธอแค่ใช้ชีวิตด้วยเหตุผลของตัวเอง สำหรับเธอลูกเป็นที่หนึ่งและเรื่องนี้เธอก็ทำเพื่อลูก หญิงสาวไม่อยากให้ลูกเป็นเหมือนตัวเอง มุลิลาอยากให้ลูกมีทั้งพ่อและแม่ เธอจึงพยายามอย่างหนักที่จะประคับประคองครอบครัวเอาไว้ แต่เธอก็สงสัยว่าตัวเองจะทำไปได้อีกนานแค่ไหนกัน 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น