8

ตอนที่ 8


 

“ปล่อยฉัน!” มุลิลารู้สึกขยะแขยงอย่างมาก เธอปัดป้องรักษาตัวเองอย่างสุดแรงเกิด เมื่อก่อนเธออาจจะรักและยอมเพื่อเขาได้ทุกอย่าง แต่ความเจ็บปวดที่ผ่านมาสอนให้เธอรักศักดิ์ศรีของตัวเอง พงศ์พิศุทธิ์อาจจะเป็นคนที่เธอเคยรักมากที่สุด แต่รักได้ก็เกลียดได้ คราวนี้เธอจะไม่มีวันยอมเขาอีกต่อไปแล้ว ไม่มีวัน! 

            มุลิลานั่งอยู่ในห้องฉุกเฉิน เพื่อรอให้เจ้าหน้าที่และพยาบาลจัดการเรื่องแอดมิตลูกชายและพาเธอกับน้องปลื้มไปที่ห้องอยู่ เมื่อครู่นี้หมอมาตรวจเบื้องต้นแล้ว ได้ผลว่าหลอดลมตีบเพราะอาการอักเสบจากหวัด น้องปลื้มต้องพ่นยาทุกสี่ชั่วโมง มุลิลาจึงไม่รอช้าที่จะให้ลูกชายเข้าโรงพยาบาลเพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

ราวยี่สิบนาทีมุลิลาก็เดินตามพยาบาลไปที่ห้อง ไปนั่งมองน้องปลื้มที่กำลังหลับและถูกให้น้ำเกลือด้วยความสงสารอยู่ ต้องตากับยักษ์แฟนหนุ่มเปิดประตูเข้ามา

            “สวัสดีค่ะพี่ยักษ์” มุลิลาทักทาย

“จ้ะ” ยักษ์ยิ้มบางรับ

“หลานเป็นไง มู่ลี่” ต้องตาเกาะเตียงคนไข้

“เพิ่งจะหลับ สงสารจัง” มุลิลาตอบ

“นอนโรงพยาบาลกี่วัน” ยักษ์ถามขึ้นมาบ้าง

“คงประมาณเดิมแหละ สามวันเป็นอย่างน้อย”

“ลูกเอ๊ย นอนโรงพยาบาลบ่อยจนซี้กับพี่พยาบาลแล้วเนี่ย” ต้องตาเอื้อมมือไปลูบหัวน้องปลื้ม

“ดีนะที่ทำประกันเอาไว้ ไม่งั้นเสียเงินไม่ไหว” มุลิลาบ่น

“ดีแล้ว เรื่องสุขภาพไว้ใจไม่ได้หรอก เราไม่รู้ว่าจะป่วยจะเจ็บตอนไหน อุ่นใจไว้ก่อนดีกว่า”

“ก็คิดอย่างนี้แหละพี่ยักษ์ เลยกัดฟันส่งค่างวด”

“แต่แกต้องเริ่มงานพรุ่งนี้นี่”

“อือ ยังไม่ได้ทำงานให้เค้าเลย ต้องลาซะแล้ว เฮ้อ...” มุลิลาหนักใจ

ต้องตาหันไปสบตากับยักษ์ ยักษ์ยิ้มให้ รู้ใจแฟนสาวเป็นอย่างดี

“ฉันลาพักร้อนได้ เดี๋ยวฉันลามาเฝ้าหลานช่วงกลางวันให้เอง”

มุลิลาซึ้งใจเพื่อน “แก...เกรงใจ”

“เออน่ะ ไม่ต้องเกรงใจ บอกแล้วไง ช่วยอะไรได้ฉันจะช่วย”

มุลิลาเข้าไปกอดต้องตา เสียงมือถือยักษ์ดังขึ้น ยักษ์หยิบมือถือขึ้นมาดู

“พี่ขอตัวนะ เพื่อนโทร.มา” ยักษ์เดินออกนอกห้องไป รีบรับสาย กลัวเสียงกวนน้องปลื้มที่หลับอยู่

ชิษณุเดินคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอย่างอารมณ์ดี มีสุจินต์เดินตามอย่างสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ

            “มีเรื่องจะปรึกษาว่ะ ยืมตัวไปกินข้าวแป๊บนึง แฟนจะอนุญาตหรือเปล่า โอเค งั้นฉันไปรับแกเอง...น่าจะสักประมาณสี่สิบนาทีถึง” ชิษณุวางสาย ยิ้มครึ้มอกครึ้มใจ หันไปคุยกับสุจินต์

“แยกกันเลยนะ ผมจะไปรับเพื่อน”

“ขอประทานโทษนะครับ ท่านยังจะให้ผมดูแลว้าวทีวีแทนท่านอยู่มั้ยครับ”

ชิษณุอึ้งหน้าเจื่อนรู้สึกผิด “โอย ผมขอโทษจริงๆ นะคุณสุจินต์ ลืมไปเลยว่าฝากงานคุณ แต่กลับล้วงลูกซะได้”

“เรื่องนี้มีประเด็นอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่าครับ” สุจินต์ถามยิ้มๆ

“เปล่านี่...แต่ปฏิเสธยังไง คุณก็ไม่น่าจะเชื่อใช่มั้ย ไม่งั้นคงไม่ถาม”

“ครับ”

ชิษณุนิ่งคิดเล็กน้อย “ผมคิดว่าผมเจอแล้วละ ตอนนี้บอกได้แค่นี้...”

“ครับ” สุจินต์รับคำแล้วค้อมให้แต่โดยดี

ชิษณุหันเดินไป เจออัศวินกำลังเดินมาพอดี ชะงักที่เห็นชิษณุ แล้วรีบยกมือไหว้ทำความเคารพทันที ชิษณุรับไหว้แทบไม่ทัน อัศวินรีบเดินมุดผ่านไป ค้อมหลังให้อีกเวลาที่เดินผ่าน ชิษณุมองตามยิ้มๆ อารมณ์ดี เดินออกไป

อัศวินตรงเข้าไปยังห้องทำงานของดอลลี่ เจอพราวฟ้าที่อยู่หน้าห้องทำท่างอนๆ ไม่จริงจังนักใส่เขา แต่พออัศวินพูดด้วยเข้าหน่อยความไม่พอใจที่ชายหนุ่มไม่สนใจก็หายไปทันที ทักทายพราวฟ้าไม่กี่คำชายหนุ่มก็เดินเข้าไปด้านในห้องทำงานของดอลลี่ แจ้งข่าวเรื่องลูกมุลิลาป่วย แล้วเขาก็กังวลว่าถ้าเด็กป่วยมากแล้วมุลิลาจะมาทำงานไม่ได้

“ชิท! แล้วมาบอกฉันทำไม งานของแก แกก็จัดการไปสิ” ดอลลี่สบถ

“ผมไม่มีเบอร์ แล้วพี่ก็เป็นหัวหน้าสายงานโดยตรงของป้าเค้า ไม่ใช่ผม ผมทำตามขั้นตอน อีกอย่างก็เพื่อนพี่ไม่ใช่เหรอ โทร.ถามสักหน่อยมั้ย”

“เออจริง...โอ๊ย ต่อมความเอื้ออาทรโอบอ้อมอารีถูกทำลายตอนไหนเนี่ยดอลลี่!” ดอลลี่หยิบมือถือ กดเบอร์มือถือหามุลิลา เดินไปเดินมา อัศวินเดินตามทุกฝีก้าว

ด้านนอกพราวฟ้าได้ยินเรื่องมุลิลาออกจากปากอัศวินก็ไม่พอใจที่ชายหนุ่มสนใจมุลิลามากกว่าตัวเอง

“ดอลลี่ ฮัลโหล มู่ลี่ วอตส์อัป ฉันได้ข่าวจากไอ้วิน...เออ ไอ้ตี๋นั่นแหละ”

“โอเคแล้ว...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกจ้ะ น้องปลื้มจะหอบถ้าเป็นหวัด เพราะหลอดลมเค้าไวมาก ไม่ถึงกับหอบตลอดเวลา โตขึ้นร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นก็หายเอง”

“ค่อยยังชั่ว เออ แล้วถ้าเธอเฝ้าไข้ลูก ก็แปลว่าเรื่องงานพรุ่งนี้...”

อัศวินชะโงกฟังสุดฤทธิ์ ลุ้น จนดอลลี่ทำท่าโล่งอก

“โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้จ้ะ โอ๊ะ! เดี๋ยวฉันจะส่งตัวแทนไปเยี่ยมไข้หลานนะ ซียู บาย มัวะๆ” ดอลลี่วางสาย

อัศวินยิ้มอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ “ให้ไปตามพราวฟ้าให้มั้ย”

“ตามทำไม” ดอลลี่ทำหน้างง

“ก็พี่บอกจะส่งตัวแทนไปเยี่ยมไข้ลูกป้ามู่ลี่ ผมก็จะไปตามพราวฟ้าให้ไง”

“ใครบอกว่าฉันจะส่งพราวฟ้าไป ฉันจะส่งแกนั่นแหละ”

“เฮ้ย! เกี่ยวไรอะ ไม่ใช่หน้าที่” อัศวินร้องเสียงหลง

“ฉันรู้ว่าแกกับมู่ลี่ยังไม่ได้จูบปากดีกันร้อยเปอร์เซ็นต์ จำเป็นต้องมีสถานการณ์ช่วยสานสัมพันธ์” ดอลลี่พยักพเยิดเห็นด้วยกับความคิดอันล้ำเลิศของตัวเอง

“เฮ้อ...” อัศวินถอนใจยาวเหยียด

“เอ้า เอาเงินไปซื้อของเยี่ยมไข้เด็ก อย่าลืมการ์ด ลงชื่อฉันด้วย! จากคุณดอลลี่ ห้ามใช้คำว่าป้า ไม่งั้นแกตาย”

อัศวินรับเงินมาอย่างจำใจ ชายหนุ่มก้มลงเงินในมือ “ร้อยเดียว? เวร!”

แต่ดอลลี่เดินออกไปแล้ว อัศวินจึงเดินตามออกไปอย่างเซ็งๆ

            มุลิลาเดินออกมากับยักษ์เธอตั้งใจจะไปเก็บของที่บ้านพงศ์พิศุทธิ์เพิ่ม เพราะเช็กแน่ใจแล้วว่าสามีตัวแสบไม่อยู่บ้าน เธอฝากน้องปลื้มไว้กับต้องตา ด้านยักษ์ก็ขอเวลานอกออกมาเจอเพื่อนที่นานๆ เจอกันที แล้วจะกลับมารับต้องตาอีกที

ระหว่างทางเดิน สองคนคุยกันอย่างสนิทสนม

“ขอบคุณมากนะคะพี่ ที่อยู่เคียงข้างหนูมาตลอด ทำให้หนูไม่รู้สึกว่าอยู่ตัวคนเดียวเพราะพี่กับต้องตา”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร เราดูแลกันมาแต่ไหนแต่ไร ตารักใครพี่ก็รักด้วย”

“สู้ๆ นะคะพี่ หนูเอาใจช่วย ให้ต้องตามันใจอ่อนเร็วๆ”

“พี่รอได้ พี่เกิดมาเพื่อรอเค้า” ยักษ์พูดยิ้มๆ ตามประสาผู้ชายใจเย็น

            “สุดๆ อะ ผู้ชายคนนี้ น่าอิจฉาต้องตา” มุลิลาทำท่าชื่นชมยักษ์สุดๆ

“ไม่เอาน่า อย่าอิจฉา เราเองก็ต้องสู้นะ คิดซะว่าธรรมะอาจจะจัดสรรคนที่ใช่มาให้เราในอนาคต”

“ไม่เอาแล้วพี่ หนูเข็ด เข็ดแล้วจริงๆ ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้มีเพื่อลูกเท่านั้น” หญิงสาวส่ายหน้าแรง

“อย่าปิดโอกาสตัวเองสิมู่ลี่...ทำเพื่อลูกน่ะใช่ แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะมีความสุข น้องปลื้มเองก็คงอยากเห็นแม่มีความสุข ไม่ใช่แบกทุกข์อยู่ทั้งชาติ”

“ตอนนี้ขอหย่าให้เรียบร้อยก่อน ยังไม่อยากคิดเรื่องมีใหม่” พูดถึงเรื่องหย่าแล้วมุลิลาก็หนักใจ

“พูดเผื่อไว้ ไว้เราพร้อมค่อยคิด” ยักษ์ขำปนเห็นใจหญิงสาว ก่อนมองไปทางหนึ่งแล้วยิ้มออกมา โบกมือให้เพื่อน “เฮ้ย! ทางนี้”

มู่ลี่หันไปเห็นชิษณุเดินมา คราวนี้เธอจำได้จึงอึ้งไป ชิษณุเองก็แปลกใจที่เห็นมู่ลี่กับเพื่อนสนิท เขาดีใจทั้งยังรู้สึกหัวใจเต้นแรงอีกด้วย ชิษณุเดินมาหยุดยิ้มให้ยักษ์และมุลิลา

“มู่ลี่ นี่ไอ้ณุ เพื่อนพี่... ณุ นี่มู่ลี่ เพื่อนสนิทแฟนฉัน”

มุลิลาอึ้งไปก่อนจะหน้าเสียเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่าย

“เพื่อน? เอ่อ...สวัสดีค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้

ชิษณุรับไหว้ “เจอกันอีกแล้วนะครับ”

“ค่ะ” มุลิลายิ้มเจื่อน

ยักษ์มองทั้งคู่อย่างแปลกใจก่อนที่จะหันไปทางเพื่อน “มีประวัติศาสตร์กับมู่ลี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้ณุ”

“เมื่อไม่กี่วันก่อนและอีกครั้งก็เมื่อเช้า ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และก็เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ชิษณุว่ายิ้มๆ

“เหรอ เออ โลกกลมเนอะ” ยักษ์หันมาทางมุลิลา

“ค่ะ โลกกลม”

“เออ ใช่ ที่ทำงานใหม่ของมู่ลี่น่ะ เป็นของ...” ยักษ์กำลังจะพูด แต่ชิษณุก็แทรกขึ้นมาก่อน

“ตระกูลโภคยสมบูรณ์ เห็นว่าเพิ่งจะเทกโอเวอร์มาจากเจ้าของเก่านี่”

ยักษ์มองหน้าชิษณุอย่างแปลกใจ ชิษณุขยิบตาให้ เขานิ่งไป รับมุกเพื่อน

“ใครจะเป็นเจ้าของก็ช่างเหอะค่ะ ฉันคิดแค่ว่า...อย่าเบี้ยวเงินเดือนฉันก็พอ”

“นั่นสินะ ผมเห็นด้วย” ชิษณุว่า

“ต้องรีบไปแล้วค่ะ เดี๋ยวรถจะติด ถ้าเราเริ่มต้นกันได้ไม่สวยเท่าไหร่ ก็ขอโทษด้วยนะคะ” มุลิลามองนาฬิกา พูดค่อนข้างรีบร้อนเตรียมจะปลีกตัวออกเดินทาง

“เพราะคุณเข้าใจแล้วใช่มั้ย ว่าผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณไม่พอใจ” ชิษณุทำท่าดีใจ ทว่าต้องอึ้งอีกครั้งเมื่อมุลิลาตอบว่า

“เปล่าค่ะ เพราะคุณเป็นเพื่อนพี่ยักษ์ ฉันเลยยกให้”

ยักษ์อมยิ้มขำเพราะรู้นิสัยของมุลิลาดี

“สวัสดีค่ะ ไปนะพี่ยักษ์” หญิงสาวยกมือไหว้เขา แล้วหันไปทางยักษ์

“จ้า มีอะไรโทร.หากัน”

“ขอพลังหน่อย” มุลิลาเข้าไปกอดยักษ์แน่นๆ เร็วๆ

“โอเค มีแรงแล้ว” เธอว่าแล้วก็รีบวิ่งออกไป ชิษณุมองตามด้วยความประทับใจ ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หลุดรอดสายตาของเพื่อนสนิท

“เฮ้ย มีอะไร” ยักษ์ถามเพื่อนพร้อมกับหลิ่วตาไปยังทางที่มุลิลาเดินลับหายไป

ชิษณุยิ้มเก้อก่อนเดินนำเพื่อนไปอีกทาง “คนนี้แหละ ที่ฉันอยากปรึกษาแก”

“คงยากหน่อยนะ...เค้าเจ็บมาเยอะ หัวใจยังไม่เปิดประตูหรอก” ยักษ์เข้าใจทันที บอกอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็เล่าเรื่องมุลิลาให้เพื่อนฟังคร่าวๆ

“อืม ฉันเข้าใจ” ชิษณุพยักหน้ารับ

“แต่ทำไมไม่ให้ฉันบอกเรื่องที่แกเป็นเจ้าของบริษัทเค้าล่ะ”

“มันคือวิถีบ้านฉันว่ะ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก”

            “นิสัยชอบทดสอบคนของแกนี่แก้ไม่หาย” ยักษ์ส่ายหน้า

            “แต่ฉันก็แปลกใจนะที่คุณมู่ลี่รู้จักกับแกดี แถมรู้จักมาตั้งนานแล้วด้วย ใกล้แค่เอื้อมแต่ก็เหมือนกับไกลจนลับตา” ชิษณุพึมพำยิ้มๆ

“แกมองคนไม่ผิดหรอกณุ และฉันก็ดีใจนะถ้าโอกาสครั้งใหม่ของมู่ลี่คือแก”

ชิษณุยิ้มพอใจที่ได้ยินการยืนยันจากเพื่อนสนิทเกี่ยวกับตัวมุลิลา

เลิกงานแล้ว เจมส์ขี่มอเตอร์ไซค์มีอัศวินซ้อนท้ายออกจากออฟฟิศไปเลือกซื้อของเยี่ยมลูกมุลิลา พราวฟ้าเดินออกมามองตามอย่างน้อยใจที่อัศวินกลับบ้านแล้วไม่บอกสักคำ แต่ลูกพีชที่เดินมาด้วยกันนั้นเล่าให้ฟังว่าอัศวินไม่ได้กลับบ้านแต่จะไปเยี่ยมลูกของมุลิลาต่างหาก ยิ่งทำให้พราวฟ้าน้อยใจคิดหึงและเกลียดมุลิลามากยิ่งขึ้น

อีกด้านเจมส์กับอัศวินก็ไปติดอยู่แถวๆ ชั้นวางลูกอม ขนมในซูเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่ ทั้งคู่ครุ่นคิดอย่างหนักเพราะไม่รู้ว่าลูกมุลิลาเป็นผู้ชาย ผู้หญิง และอายุเท่าไหร่ มองหน้ากันแล้วส่ายหน้า อัศวินหันไปเห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ก็เกิดไอเดียขึ้นมา

“ขอโทษครับ ถ้าเด็กป่วย เราควรเลือกซื้ออะไรไปเยี่ยมไข้เด็กดีครับ” อัศวินเดินเข้าไปขอความช่วยเหลืออย่างสุภาพ คุณแม่ยิ้มให้อัศวินอย่างอ่อนโยน

            “เด็กอายุกี่ขวบคะ”

            “ไม่ทราบครับ เอาแบบ วัยกลางๆ แล้วกันครับ”

“เด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงคะ”

“ไม่ทราบครับ เอาแบบเพศกลางๆ แล้วกันครับ”

พออัศวินพูดจบ คุณแม่ก็อึ้งเหวอตกใจ

“เพศกลางๆ เหรอคะ...รู้แล้วเหรอคะว่าเป็น”

อัศวิน เจมส์มองหน้ากันงงๆ ว่าเป็นอะไร แต่สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี

มุลิลาไขกุญแจบ้านที่ไม่ได้เปิดไฟสักดวงด้วยความหงุดหงิด เธอผลักประตูเข้าไปและยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบ ก่อนจะค่อยๆ ออกเดินด้วยความคุ้นเคยไปยังสวิตช์ไฟ กดเปิดและเดินขึ้นข้างบน หญิงสาวตั้งใจอย่างมุ่งมั่นว่าจะใช้เวลาให้น้อยที่สุด

“รีบเก็บของแล้วก็รีบออกไป” เธอพึมพำบอกกับตัวเอง ในหัววาดไว้ว่าควรจะหยิบอะไรก่อนหลังดี คิดลำดับอย่างเป็นระบบ

เธอเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เห็นเตียงนอน ยังเป็นผ้าปูที่นอนผืนเดิมก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาในอกอีกครั้ง มันช่วยไม่ได้ที่ความรู้สึกถูกหักหลังจะเข้ามาเชือดเฉือนใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า...มุลิลาสะบัดหน้าเมินมัน เดินพุ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดบานตู้ออก หยิบเสื้อผ้าชุดทำงานที่แขวนอยู่ รวบออกมา แต่พอหันมาอีกครั้งก็ต้องตกใจเมื่อเจอพงศ์พิศุทธิ์ยืนอยู่ข้างหลังในสภาพกรึ่มๆ

“ไหนบอกว่าไม่อยู่ คุณหลอกฉัน”

“ก็ป๊าอยากเจอหนู ขืนบอกว่าอยู่ หนูก็ไม่มา”

มุลิลาเดินเบี่ยงหลบ พงศ์พิศุทธิ์เข้ากอดมุลิลาไว้ทันที หญิงสาวตกใจสะบัดมือออกทันที

“ปล่อยฉันนะ”

“มู่ลี่ ป๊ารักหนูนะ คิดถึงหนูมาก คิดถึงทุกวัน”

“เคยถามถึงลูกสักคำมั้ย ลูกนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ รู้ก็รู้ ฉันบอกคุณแล้ว เคยถามถึงมั้ย หา!”

พงศ์พิศุทธิ์อึ้ง อารมณ์เปลี่ยนทันที “จะหาเรื่องด่าว่าผมสนใจแต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่สนใจลูกอีกงั้นสิ”

“เออ! ไอ้คนเห็นแก่ตัว! ปล่อย!”

            “ไม่ปล่อย! เอาสิ! อยากเอาชนะฉันก็เอาสิ ดิ้นสิ ชอบเอาชนะมาตลอดไม่ใช่เหรอ เอาสิ!”

“บอกให้ปล่อย!” มุลิลาโวยวาย เธอพยายามดิ้นสุดแรงเกิด แต่พงศ์พิศุทธิ์ก็ไม่ปล่อย เขาผลัก ดันจนมุลิลาล้มลงบนเตียง แล้วขึ้นคร่อมเอาไว้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น