5

ตอนที่ 4...เหตุบังเอิญหรือทางเดินของพรหมลิขิต


แม้คนที่ตัวเองเอ่ยปากนินทาระยะเผาขนจะผละไปแล้วก็ตาม แต่ขวัญชีวาก็ยังอยู่ในอาการเดิมกระทั่งกรวรรณต้องสะกิดที่แขนยิกๆ

“นังหนูวา เขาไปกันแล้ว”

คนหน้าแตกหมอไม่รับเย็บค่อยรู้สึกตัว ก่อนจะส่งค้อนตามหลังคนที่ตัวเองนินทา ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้รับรู้แต่อย่างใด ทั้งยังพานโกรธที่ทำให้เธออับอายขายหน้า ที่แท้ผู้ชายคนนี้คือคนในคลิปที่ผู้เป็นเพื่อนเอาให้ตัวเองดูและใครต่อใครตามหากันนั่นเอง นึกตงิดๆ อยู่แล้วว่าเคยเห็นหน้าอีกฝ่ายจากที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ไม่ได้นึกเอะใจเท่านั้น โอย...ไม่เคยอับอายอะไรเท่านี้มาก่อน

“คนบ้า พูดฟังภาษาไทยได้แล้วทำไมต้องอุตริพูดภาษาจีนด้วย”

“แกนะแกนินทาเขาแล้วยังจะมีหน้าไปว่าเขาอีกนะ นินทาในระยะกระชั้นชิดมาก”

คนนินทาในระยะกระชั้นชิดส่งค้อนให้เพื่อน “ใครจะไปรู้ล่ะว่าฟังภาษาไทยได้แถมพูดชัดแจ๋วอีกต่างหาก เมื่อกี้เห็นยังส่งภาษาจีนกันอยู่เลย ฉันนะอุตส่าห์ชมว่าพูดจาไม่เอะอะเอ็ดตะโรเหมือนคนจีนโดยทั่วไป หน็อย...ที่แท้หลอกเราเสียดิบดี”

กรวรรณหัวเราะคิกคักกับท่าทางฮึดฮัดโกรธเคืองของผู้เป็นเพื่อน เพราะเรื่องหน้าแตกแบบนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นกับอีกฝ่ายนัก จึงไม่แปลกที่เจ้าตัวจะเกิดอาการเช่นนี้ “ความจริงแกจะไปโกรธเขาก็ไม่ถูกนะหนูวา”

“แกไม่ต้องมาพูดเข้าข้างตานั่นเลยนะยายนก ตอนฉันถามว่าขอลายเซ็นคนในคลิปได้ไหม ทำไมแกไม่ตอบ เอาแต่ส่ายหน้า ฉันก็นึกว่าขอไม่ได้น่ะสิ” ขวัญชีวาทำเสียงเข่นเขี้ยวกับเพื่อน

คนถูกต่อว่าหัวเราะคิกอีกครั้งเมื่อนึกถึงตอนนั้น “ที่ฉันไม่ตอบเพราะตกใจที่เห็นคนในคลิปยืนอยู่ข้างหลังแกต่างหากล่ะ ตอนนั้นพูดก็ไม่ออกได้แต่ส่ายหน้าส่งสัญญาณบอก แต่แกก็ดันไม่รับสัญญาณของฉันเลย แถมพูดนินทาออกมาเต็มปากเต็มคำเชียว เท่านั้นไม่พอยังจะเดินมาพูดซุบซิบถึงเขาอีก เจ้าตัวต้องรู้แน่เลยว่าแกพูดถึงเขา แล้วถ้าฉันเจอเขาอีกจะทำหน้ายังไงล่ะเนี่ย”

คำพูดโอดครวญของผู้เป็นเพื่อนยิ่งทำให้ขวัญชีวาเกิดความรู้สึกหมั่นไส้คนที่กำลังพูดถึงมากขึ้นเป็นทวีคูณ

“นี่แกยังหวังจะเจอเขาอีกเหรอยายนกกระเต็น”

คนถูกถามยิ้มกว้างพลางทำหน้าเคลิบเคลิ้ม “หวังสิ...เพราะคนเราต้องอยู่ด้วยความหวัง แกรู้ไหมตอนฉันได้ยินเขาพูดภาษาไทยนะฉันดีใจมาก เอ...แต่มองใกล้ๆ แล้วไม่น่าใช่คนไทยแท้นะ น่าจะเป็นลูกครึ่งหรือไม่ก็เป็นลูกครึ่งไต้หวัน แต่อีกคนที่ชื่อเดฟนั่นน่าจะเป็นคนไต้หวันแท้ๆ หน้าตาก็หล่อนะแต่แพ้คนตัวสูง”

ขวัญชีวาสบโอกาสที่จะพูดใส่ไข่ทันที “นั่นละเข้าเค้าเลย เรื่องที่ฉันกระซิบบอกแกนั่นน่ะเรื่องจริงนะยายนก”

“เรื่องจริงอะไรของแก”

คราวนี้ขวัญชีวายิ้มแป้น “ก็ก่อนที่แกจะมาฉันเห็นสองคนนั่นพูดจาหัวร่อต่อกระซิกกันด้วยท่าทีสนิทสนมเชียวละ เดี๋ยวนี้ผู้ชายที่เป็นพวกรักร่วมเพศน่ะมักแสดงออกกันอย่างชัดเจนเพราะสังคมเปิดกว้างยอมรับแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน”

สิ่งที่พูดให้เพื่อนฟังใช่ว่าเจ้าตัวจะไม่รู้ว่าพูดเกินความจริงไปโข แต่เป็นเพราะอาการโกรธระคนหมั่นไส้คนที่กำลังพูดถึง แต่ดูเหมือนผู้เป็นเพื่อนของเธอจะไม่ยอมฟังสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด เพราะเถียงคอเป็นเอ็นสวนกลับมาทันที

“ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ แถมล้านก็ไม่เชื่อด้วยนังหนูวา แกอย่ามาพูดให้ฉันไขว้เขวเลย ใจแกน่ะคอยแต่คิดอคติ ผู้ชายชื่อเดฟนั่นหน้าตาดุ ไม่ได้มีเค้าของชายรักชายเลยสักนิด”

“แหม...เดี๋ยวนี้ผู้ชายดูหน้าได้อย่างเดียวที่ไหนกันเล่า แกไม่เห็นหรือไงบางคนหน้าเหี้ยมๆ มีหนวดเคราไม่น่าจะเป็นก็เป็น อย่างนักร้องคนนั้นไง แมนจะตายไม่เคยมีใครรู้ระแคะระคายมาก่อน แต่จู่ๆ ก็มีข่าวว่าแต่งงาน แถมเจ้าสาวเป็นผู้ชายอีกต่างหาก คนอกหักกันทั่วบ้านทั่วเมือง”

คำพูดของผู้เป็นเพื่อนทำเอากรวรรณหน้าเสีย ความคิดเริ่มสั่นคลอน ซึ่งขวัญชีวาเห็นแล้วลอบยิ้ม

“ฉันเคยอ่านจากในกูเกิล ตามโพลที่มีคนเคยทำไว้ซึ่งเชื่อถือได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ บอกไว้ว่าประเทศที่มีสถิติรักร่วมเพศมากที่สุดคือไต้หวันนะแก แล้วเดี๋ยวนี้หนุ่มๆ ประเทศนี้ก็หน้าตาดีกันทั้งนั้น”

“ฉันไม่...”

เมื่อเห็นเพื่อนทำท่าจะเถียงแทนอีกขวัญชีวาก็พูดตัดบททันที “เราเลิกพูดถึงตาคนในคลิปนั่นเสียทีเหอะ ฉันเบื่อเต็มทีแล้ว ตอนนี้ยังเลือกเสื้อให้พี่กฤตไม่ได้เลย มาช่วยฉันเลือกดีกว่า”

“ก็ได้” กรวรรณพยักหน้าเนือยๆ แต่ก็อดพูดถึงเรื่องเดิมอีกไม่ได้ “แล้วแกคิดว่าฉันจะเจอคนในคลิปอีกไหมเนี่ย ฉันอยากได้ลายเซ็นเขามากแกรู้ไหม ไม่งั้นจะคาค้างใจฉันอยู่อย่างนี้แหละ”

“ยายนก ฉันไม่ใช่หมอดู”

เมื่อได้ยินเพื่อนถึงหมอดูกรวรรณก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “หมอดูเหรอ! แกจำคำอาจารย์จันทร์ทิพย์ได้ไหมหนูวา”

ขวัญชีวาส่ายหน้าทั้งที่จำได้แม่นยำ

“ก็ที่อาจารย์พูดว่าโชคชะตาหรือจะเรียกว่าพรหมลิขิตก็ได้กำลังจะเกิดขึ้นกับหนูในไม่ช้านี้” กรวรรณหยิบยกเอาคำพูดของอาจารย์จันทร์ทิพย์มาพูด “ไม่แน่นะถ้าเราเจอคนในคลิปอีกครั้ง เรื่องที่อาจารย์พูดและเรื่องที่ฉันเคยอธิษฐานขออาจเป็นจริงก็ได้ใครจะรู้”

คนฟังส่ายหน้าอย่างระอาใจ “แกนี่เพ้อเจ้อจริงๆ ไปกันเถอะ เดี๋ยวเลือกเสื้อเสร็จแล้วจะได้กลับบ้าน”

 

ท่าทางกลั้นหัวเราะจนแก้มกระตุกรวมทั้งเสียงหัวเราะในลำคอของเดฟนับตั้งแต่ขึ้นมานั่งอยู่หลังพวงมาลัยทำให้ฌอนมองคนสนิทตาขุ่นขวาง

“แกกลายเป็นคนเส้นตื้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เดฟ รู้สึกว่ามาเมืองไทยครั้งนี้นอกจากจะพูดเก่งแล้วยังยิ้มเก่งหัวเราะเก่งขึ้นนะ”

คนถูกค่อนว่าพยายามกลั้นอาการที่กำลังเป็นอยู่ลงอย่างยากลำบาก แต่ครั้นนึกถึงท่าทางของหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมา อาการกลั้นที่ทำอยู่ก็หลุดกลายเป็นเสียงหัวเราะลั่นขึ้นมาแทน “ผมนึกถึงหน้าตาของผู้หญิงคนนั้นตอนที่นายพูดภาษาไทยออกไปแล้วยังขำไม่หาย นายคิดว่าเธอพูดซุบซิบอะไรกับยายเตี้ยหรือครับ”

คำถามดังกล่าวทำเอาดวงหน้าของคนถูกถามฉายแววหงุดหงิด “คนฉลาดอย่างแกน่าจะเดาออกนะเดฟ” พูดพลางฌอนก็นึกภาพของหญิงสาวที่ถูกพูดถึงตาม ฉับพลันใบหน้าเหวอๆ อ้าปากค้างของเธอก็ผุดวาบขึ้นมา ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ก็ทำให้เขานึกถึงคำพูดของเธอขึ้นมาอีกครั้ง

‘ผู้ชายหน้าตาหล่อๆ เดี๋ยวนี้ไว้ใจได้ที่ไหนกันเล่า’

บวกกับสายตาแปลกๆ ที่มองมาก่อนหน้านั้น จะให้เขาคิดอะไรได้นอกจากเธอต้องมองเขากับเดฟเป็นพวกรักร่วมเพศอย่างแน่นอน นอกจากหน้าตาจะสวยบาดตา ปากคอยังคมบาดใจ แล้วยังคิดอะไรได้เลยเถิดอีกนะแม่คุณ! มันน่า...นัก

“แสดงว่าเธอคิดว่าผมกับนายเป็นพวกรักร่วมเพศหรือครับ” คราวนี้น้ำเสียงของคนที่ปกติไม่ค่อยพูดนักกลั้วหัวเราะเต็มที่

“แกจะพูดตอกย้ำเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมาเดฟ” คนเป็นนายต่อว่าเสียงเข้ม “แล้วปากคอแกเนี่ยไม่เบาเหมือนกันนะ”

“ไม่เบาเรื่องอะไรหรือครับ” คนถูกว่าเลิกคิ้วถาม

ฌอนหรี่ตามองคนสนิท “แกไปเรียกผู้หญิงอีกคนว่ายายเตี้ย”

“ก็เตี้ยจริงๆ นี่ครับถ้าเทียบกับอีกคน” คนสนิทเถียงแล้วก็นึกถึงใบหน้าตลกๆ ของคนที่เขาเรียกว่ายายเตี้ย เขาเดาว่า ณ ตอนนั้นเจ้าตัวคงอยากจะบอกเพื่อนแต่คงอยู่ในอาการตกใจเลยทำอะไรไม่ถูก

“อีกคนที่แกพูดถึงต้องบอกว่าสูงเกินกว่ามาตรฐานผู้หญิงไทยต่างหากล่ะ ส่วนคนที่แกว่าเตี้ยน่ะได้มาตรฐานแล้ว” ฌอนอธิบายพลางก็นึกถึงภาพตามไปด้วยอีกครั้งก่อนจะพูดตัดบท “ไปที่โรงแรมกันเถอะ ฉันอยากนอนแช่น้ำเต็มทนแล้ว”

ครั้นเห็นเดฟยังนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ ซ้ำใบหน้ายังระบายยิ้มก็ถามอย่างสงสัย

“ทำไมยังไม่ไปอีก”

“นายคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าครับ” คนถามถามน้ำเสียงแฝงนัย

คนถูกถามเลิกคิ้วเข้มขึ้นสูง “เรื่องบังเอิญอะไร”

“ก็ที่เจอผู้หญิงคนนั้นเป็นครั้งที่สองภายในวันเดียวกันไงครับ”

“ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วแกคิดว่าเป็นความจงใจหรือไง” ฌอนถามเสียงขุ่นทั้งที่ในใจเริ่มรู้สึกแปลกตงิดๆ

“ความจงใจน่ะคงไม่ใช่แน่นอน ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายคือคนในคลิป ไม่งั้นคงไม่มองเราด้วยสายตาแปลกๆ ตั้งแต่แรกหรอกครับ”

“แกเห็นด้วย?”

เดฟหัวเราะหึ “ถ้าเรื่องแค่นี้ผมยังไม่เห็น อยู่ข้างนายก็คงเปล่าประโยชน์”

“แล้วตกลงที่แกพูดเรื่องบังเอิญขึ้นมาเนี่ย ต้องการสื่ออะไรกับฉัน” คนเป็นนายถามแล้วก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “แกคงไม่คิดเอาเรื่องที่ซินแสทำนายมาโยงกับเรื่องนี้นะ”

ดวงหน้าตี๋อินเทรนด์ของจางซี่โม่วเผยรอยยิ้มจาง “เรื่องของซินแสเป็นเรื่องในอนาคต แต่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหยกๆ นายไม่คิดว่าเป็นเรื่องแปลกบ้างหรือครับ ผู้หญิงกลุ่มที่เดินสวนกับนายทำท่าจะเข้ามาหา แต่นายตีสีหน้าดุๆ ใส่เลยไม่กล้า แต่ผู้หญิงคนนี้เจอนาย นอกจากจะไม่เข้ามาหาแต่กลับมองมาด้วยสายตาแปลกๆ แล้วยังพูดนินทาต่อหน้าต่อตาอีก แสดงว่าเธอไม่ได้ให้ความสนใจคนในคลิปนั่นเลย”

คำพูดของคนสนิททำเอาสีหน้าของคนเป็นนายตึงขึ้นมาทันที ความรู้สึกที่ตามมาคือเสียหน้า

“คนเราเจอกันในสถานการณ์แบบนี้นายยังคิดว่าเป็นเหตุบังเอิญอีกหรือครับ” คนพูดพูดจบก็พารถเคลื่อนออกจากห้างสรรพสินค้าดังตรงไปยังโรงแรมที่พักทันที

เจ้าของร่างสูงที่ตอนแรกนั่งตัวตรงเปลี่ยนเป็นปรับเบาะลงต่ำแล้วเอนกายนอนหลับตาราวกับคิดอะไรอยู่ จากรอยย่นเล็กๆ ตรงหน้าผาก

ใช่...เขากำลังเก็บคำพูดของคนสนิทมาคิดจริงๆ

ฉับพลันความคิดของเขาที่ว่า ‘เขาจะเอาคืนให้สาสมใจเชียวละ กรุงเทพฯ ไม่ได้กว้างสำหรับเขานักหรอก ต่อให้ทั้งเมืองไทยด้วยก็ได้’ ก็แล่นวาบเข้ามา ถ้าเขาคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริง แล้วความคิดที่ว่านั่นหมายความว่าอะไร?

หรือเพราะลึกๆ เขามั่นใจว่าจะได้เจอเธออีก คิดพลางชายหนุ่มก็สะบัดหัวไปพลาง เพราะภาพดวงหน้าของคนที่กำลังนึกถึงดันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดโดยไม่ได้เชื้อเชิญ

หนูวาเหรอ...ชื่อน่าเอ็นดู

 

“บ้านคุณดางามมากเลยนะคะ น่าเสียดายจัง ไม่ยอมใจอ่อนให้กองถ่ายของโฉมยืมสถานที่ถ่ายละคร เสียดายจริงๆ”

เฉิดโฉมหรือที่ใครต่อใครในวงการบันเทิงรู้จักกันดีในยามเจ๊โฉม ผู้จัดละครคนดังแห่งช่องสิบพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย เธอแวะเวียนเข้ามาที่นี่หลายต่อหลายครั้งเพื่อขอยืมสถานที่ถ่ายทำละคร ซึ่งก็ได้รับการปฏิเสธทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยละทิ้งความพยายาม

“โถ...ถ้าให้คุณโฉมยืมดิฉันก็ต้องให้คนอื่นยืมด้วยสิคะ” ลลดา อริยะสัตย์ ตอบน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าจริงจัง “เลยต้องปฏิเสธทุกคนเพื่อความสบายใจ”

คนถูกปฏิเสธซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกมองบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ตรงหน้าด้วยสายตาฉายแววเสียดาย ถ้าละครของตัวเองได้ถ่ายทำที่บ้านหลังนี้รับรองว่าใครต่อใครต้องเอ่ยปากชมเป็นแน่

“บ้านทรงไทยประยุกต์แท้ๆ ในกรุงเทพฯ หายากมากค่ะ ที่โฉมเคยเห็นมีแต่บ้านสำเร็จรูปที่หน้าตาเหมือนๆ กันทุกหลัง แต่บ้านของคุณดาสร้างผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเชียวค่ะ”

คนชมยังพูดชมไม่ขาดปากด้วยความเสียดายอย่างแท้จริง เผื่อเจ้าของจะใจอ่อนลงบ้าง พลางจับจ้องตึกสองชั้นสีเบจแบบไทยประยุกต์หลังใหญ่ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างบ้านทรงไทย จากหลังคาเป็นจั่วโบราณมีคิ้วไม้รอบบ้าน บัวที่หัวเสาถูกแกะสลักเป็นลายไทยอย่างสวยงาม การย่อมุม อีกทั้งหน้าต่างบานเกล็ด เสาค้ำยัน และแบบตะวันตกจากตัวตึกที่เป็นปูนทั้งหลังอีกทั้งมีระเบียงล้อมรอบได้อย่างลงตัวและกลมกลืน

และสิ่งที่เธอชอบสุดคงเป็นเฉลียงที่ยื่นออกมาจากตัวบ้านซึ่งทำเป็นศาลากว้างขวางราวกับบ้านทรงไทยหลังย่อมๆ ที่เธอและเจ้าของบ้านกำลังนั่งสนทนากันอยู่ในขณะนี้

“ขอบคุณมากค่ะคุณโฉม” เจ้าของบ้านมองตามสายตาของแขกผู้มาเยือน ดวงตาฉายแววภาคภูมิใจ “บ้านหลังนี้ตากฤตเป็นคนออกแบบ ส่วนคนควบคุมการก่อสร้างคือตาวิชญ์ค่ะ และที่คุณโฉมบอกว่าบ้านทรงไทยประยุกต์แท้ๆ ในกรุงเทพฯ หายากนั้นเป็นเพราะพื้นที่ไม่อำนวยมากกว่าค่ะ ดิฉันเคยเห็นตามต่างจังหวัดสร้างกันสวยๆ ทั้งนั้น โชคดีที่เรามีพื้นที่กว้างขวางเลยสร้างบ้านได้อย่างถูกอกถูกใจ”

เฉิดโฉมมองไปรอบๆ บ้านอันร่มรื่นไปด้วยร่มเงาของไม้ใหญ่ และคาดเดาจากสายตาตัวเองคิดว่าพื้นที่ทั้งหมดของที่นี่ต้องไม่น้อยกว่าห้าไร่แน่นอน ไม่อยากคิดประเมินถึงราคา ด้วยใครๆ ก็รู้ว่าที่ดินในแถบซอยทองหล่อราคาแพงยิ่งกว่าทองคำ แค่รั้วกำแพงทั้งหมดที่ทำจากไม้นั่นก็มากมูลค่าแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย

เสียงรถที่แล่นเข้ามาในรั้วบ้านทำให้คู่สนทนาพากันหันไปมอง พลันดวงหน้างดงามอ่อนกว่าวัยของเจ้าของบ้านก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น

“ลูกสาวกลับมาแล้วค่ะ”

“ลูกสาวหรือคะ โฉมนึกว่าคุณดามีลูกชายแค่สามคน เวลาเห็นในงานต่างๆ เห็นแต่สามหนุ่มตลอด”

เฉิดโฉมถามเพราะสงสัย ด้วยตามที่รู้มาอีกฝ่ายมีบุตรชายสามคนซึ่งใครที่มีบุตรสาวต่างพากันจับจ้องมองตาเป็นมัน ใครบ้างล่ะจะไม่อยากได้ลูกเขยที่พร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ รูปสมบัติและสุดท้ายทรัพย์สมบัติ

“อ๋อ ลูกสาวคนเล็กค่ะชื่อหนูวา รายนี้ไม่ชอบออกงาน ทำงานยังไปทำที่อื่นเลยนะคะ ไม่ยอมทำกับครอบครัว บอกว่าไม่อยากถูกควบคุม นั่นเดินมาโน่นแล้ว” น้ำเสียงของคนที่พูดถึงบุตรสาวเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูอย่างเปี่ยมล้น

เสียงฝีเท้าที่เดินมาทำให้เฉิดโฉมหันไปมอง แล้วก็ต้องจับจ้องเจ้าของฝีเท้าด้วยสายตาตื่นตะลึง

“กลับมาแล้วหรือลูก ท่าทางเหนื่อยเชียว มารู้จักแขกของแม่ก่อน คุณโฉมเป็นผู้จัดละครที่ตอนนี้กำลังดังเชียวนะ”

ขวัญชีวาเดินเข้ามาทรุดนั่งลงข้างๆ มารดาบนเก้าอี้ยาวบุผ้า ก่อนจะยกมือไหว้สตรีสาวใหญ่ที่ถูกแนะนำว่ากำลังดัง ก่อนจะส่งยิ้มแหยๆ ให้ ดังขนาดไหนเธอก็ไม่รู้จัก แต่ถ้าเป็นยายนกเพื่อนเธอน่ะไม่แน่ “สวัสดีค่ะคุณโฉม”

อาการตื่นตะลึงยังคงฉายชัดในแววตาของผู้จัดละครคนดัง พลางจ้องหญิงสาวซึ่งแต่งกายเรียบง่ายในชุดกางเกงยีนสี่ส่วน เสื้อคอจีนสีดำลายจุดขาวตัวยาวคลุมสะโพก แต่ออราที่เปล่งออกมานั้นเจิดจ้าจนรู้สึกได้ “นี่หรือคะลูกสาวคุณดา สวย...อย่างบอกไม่ถูก ชื่ออะไรนะคะ”

“ชื่อขวัญชีวาหรือหนูวาค่ะคุณโฉม” ลลดาตอบแทนบุตรสาวยิ้มๆ

“สนใจอยากจะเป็นนางเอกละครของน้าโฉมไหมคะหนูวา”

คำถามดังกล่าวเรียกเสียงหัวเราะให้เกิดกับคนเป็นมารดา ส่วนคนถูกชวนนั้นส่ายหน้าจนผมกระจาย

“ไม่หรอกค่ะ หนูไม่ชอบ” คนถูกชวนเป็นดาราตอบแล้วก็อดขำไม่ได้ ก่อนหน้านี้เจ้าของร้านเสริมสวยก็ชวนเธอไปประกวดนางงาม ตอนนี้ผู้จัดละครก็ชวนเธอไปเป็นนางเอก หรือเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเองของเธอทำให้คนเห็นแวว ถ้ามีใจรักทางด้านนี้สักหน่อยเธอคงทำไปนานแล้ว ไม่รอให้เวลาผ่านมาจนกระทั่งอายุยี่สิบสามหรอก

“ลูกสาวดิฉันไม่ชอบทางนี้หรอกค่ะ มีคนชวนตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว”

เฉิดโฉมมองหญิงสาวอย่างแสนเสียดายมากยิ่งกว่าบ้านที่อยากได้เป็นฉากประกอบละคร “แหม...น่าเสียดาย ตอนนี้น้าโฉมกำลังเฟ้นหานางเอกหน้าใหม่เพื่อแสดงละครย้อนยุคอยู่ทีเดียว ถ้าได้หนูวาไปเป็นนางเอกรับรองต้องดังเป็นพลุแตกแน่”

“ต้องขอโทษจริงๆ คุณโฉม แค่ออกงานสังคมลูกสาวดิฉันยังไม่ชอบเลยค่ะ”

เฉิดโฉมถอนหายใจอย่างผิดหวัง ต้องเรียกว่าเป็นการผิดหวังซ้ำสองจริงๆ “น่าอิจฉาคุณดาจังเลยนะคะ มีลูกชายก็หล่อมีลูกสาวก็สวย คุณดาเองถ้าไม่รู้มาก่อนว่าอายุเท่าไหร่ก็เดาอายุไม่ถูกเหมือนกัน”

คนถูกชมที่มีอายุเหยียบห้าสิบยิ้มรับคำชมซึ่งไม่เกินความเป็นจริงไปนัก ด้วยใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยจริง ทำให้หลายคนที่ไม่เคยรู้ความเป็นมามักจะเดาผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง

“ขอบคุณที่ชมค่ะแต่ดิฉันไม่ยอมใจอ่อนหรอกนะคะ”

คนชมฝืนยิ้มเจื่อนๆ แล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “ถ้าอย่างนั้นโฉมขอตัวกลับก่อนนะคะ” แล้วหันไปทางขวัญชีวา “ถ้าหนูวาเปลี่ยนใจก็โทร. หาน้าโฉมได้ตลอดเวลานะคะ”

เมื่อเห็นรถของผู้จัดละครออกจากรั้วบ้านไปแล้ว ขวัญชีวาก็หันไปทางมารดาพลางทำตาโต เมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ในชุดคาฟตานสีชมพูประดับลายปักดอกไม้ทั้งตัว

“วันนี้แม่แต่งตัวสวยจัง ยังกับสาวยิปซีแน่ะค่ะ”

ลลดายิ้มกว้าง “อ๋อ น้าแขซื้อมาฝากจ้ะ”

“อ๋อ ค่ะ...เดี๋ยวนี้แม่มีเพื่อนเป็นผู้จัดละครเชียวหรือคะ”

คนเป็นมารดาหัวเราะเสียงระรื่น “อ๋อ...ก็รู้จักผ่านทางน้าแขนั่นแหละลูก แล้วน้าแขดันไปคุยอวดว่าบ้านเราสวย คุณโฉมเลยจะมาขอยืมเพื่อถ่ายละครเรื่องล่าสุด พูดขอหลายครั้งจนแม่เกือบรับปากแล้ว”

น้าแขหรือแขไขที่พูดถึงเป็นเพื่อนสนิทของมารดา ทั้งยังเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยชื่อดัง

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แม่อย่าเผลอไปรับปากเชียว เดี๋ยวความวุ่นวายจะตามมาภายหลัง ตอนนี้เราเข้าบ้านกันเถอะค่ะ วันนี้หนูเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว”

ครั้นขวัญชีวาผุดลุกขึ้นยืนคนเป็นแม่ก็เพ่งมองอย่างแปลกใจ “เอ๊ะ แม่ว่าหนูวาดูแปลกไปนะ ลูกไปทำอะไรกับผมมาหรือเปล่า ดูสวยขึ้นผิดหูผิดตาเชียว”

“หนูแค่ตัดผมกับนวดหน้าขัดหน้าแค่นั้นเองค่ะแม่”

คนเป็นบุตรสาวตอบน้ำเสียงสดใส ไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกว่าเธอถูกกรวรรณลากไปดูหมอ ไม่อย่างนั้นคงได้คุยกันเรื่องนั้นอีกยาว เพราะมารดาของเธอนั้นเชื่อเรื่องหมอดูพอๆ กับผู้เป็นเพื่อนเลยทีเดียว

หลังเดินเข้าไปในบ้านหญิง สาวล้มลงนอนพังพาบหลับตาบนโซฟาตรงมุมรับแขกทันที โดยผู้เป็นมารดาเดินตามมาทรุดลงนั่งข้างๆ แล้วคล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“หนูวา เห็นกระเป๋าใบใหญ่ๆ ของแม่ที่น้าแขซื้อมาฝากจากฝรั่งเศสไหมลูก แม่หามาสองสามวันแล้ว”

“ไม่เห็นเลยค่ะ” บุตรสาวตอบทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“เอ...แล้วไปอยู่ไหนนะ ใบโปรดของแม่ด้วยสิเพราะจุของได้เยอะดี” ลลดาบ่นอุบ ครั้นเห็นสาวใช้ชาวพม่าที่ใบหน้าทาแป้งจนลายพร้อยเดินถือไม้กวาดผ่านเข้ามาจึงเรียกให้หยุด “หนูนา เธอเห็นกระเป๋าสีน้ำตาลใบใหญ่ของฉันไหม”

นาจาสาวใช้ชาวพม่าที่คลั่งไคล้ละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งเข้าขั้นงอมแงม จนกระทั่งเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นหนูนาตามชื่อนางเอกของเรื่องยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบจะครบสามสิบสองซี่

“อ๋อ...อยู่ในห้องเก็บของค่ะ”

“ห้องเก็บของ!” ลลดาอุทานเสียงสูง ตาเขียวปั้ด

“ใช่ค่ะ ก็คุณดาบอกให้เอาไปเก็บนี่คะ หนูนาก็เลยเอาไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บของ ไม่ถูกหรือคะ” สาวใช้ตอบเสียงซื่อตาใส

“ตายแล้วยายหนูนา เธอเอากระเป๋าของฉันไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ รู้ไหมว่ากระเป๋านั่นราคาเท่าไหร่” เจ้าของกระเป๋าพูดน้ำเสียงลอดไรฟัน

“รู้สิคะ ราคาไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ เพื่อนๆ หนูนามีใช้กันทุกคน”

คนตอบยังตอบเสียงซื่อ ทำเอาขวัญชีวาที่นั่งฟังอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะคิกออกมาอย่างขบขัน

“เพื่อนๆ มีใช้กันทุกคนเนี่ยนะ” ลลดาทวนคำพูดอย่างไม่เชื่อหู

“ค่ะคุณดา เพื่อนๆ หนูนาซื้อมาใช้กันทุกคนจริงๆ แค่ร้อยเก้าสิบเก้าบาทเท่านั้นเอง แต่หนูนาไม่ได้ซื้อมาใช้หรอก มันโหล เดินไปที่ไหนก็เห็นแต่คนสะพาย”

คราวนี้ขวัญชีวานอนหัวเราะกลิ้งอยู่บนโซฟาจนน้ำตาไหล ส่วนลลดานิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกได้แต่ถลึงตามองสาวใช้อย่างขุ่นเคือง

“แม่อย่าไปโกรธหนูนาเลยค่ะ” ขวัญชีวาพูดไกล่เกลี่ย กว่าเธอจะหยุดหัวเราะได้ก็ใช้เวลานานโข ก่อนจะหันไปทางนาจา “ไปเอากระเป๋าใบนั้นมาให้ฉันเดี๋ยวนี้”

“ค่ะคุณหนูวา”

คุณหนูวาทำหน้าย่น “บอกแล้วไงว่าให้เรียกว่าหนูเฉยๆ ไม่ต้องเรียกว่าหนูวา ฉันกลัวชื่อฉันจะสับสนกับชื่อของเธอน่ะหนูนา”

“ค่ะคุณหนู”

 

หลังเคลียร์เรื่องชวนปวดหัวระหว่างมารดากับสาวใช้ชาวพม่าจอมซื่อบื้อจนเรียบร้อย ขวัญชีวาก็ขึ้นไปบนห้อง คิดว่าจะนอนพักสายตาสักครู่ แต่ที่ไหนได้เผลอหลับกระทั่งมาสะดุ้งตื่นเอาเกือบหกโมงเย็น จึงรีบอาบน้ำไล่ความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นให้หายไปเพื่อเรียกความสดชื่นซึ่งมาพร้อมกับความหิว จึงหยิบกางเกงผ้ายืดสีชมพูอ่อนกับเสื้อแขนยาวสีเดียวกันมาสวมโดยเร็ว ก่อนจะเดินลงบันไดตรงไปยังห้องอาหาร ที่ป่านนี้สมาชิกในบ้านคงนั่งกันอยู่พร้อมหน้าแล้ว

เพราะมารดาตั้งกฎเหล็กไว้ในบ้านว่าถ้าไม่ติดงานจำเป็นจริงๆ ทุกคนต้องกินข้าวเช้ากับเย็นด้วยกัน

ห้องอาหารของบ้านอริยะสัตย์ยึดตามหลักของฮวงจุ้ยทุกประการเพื่อส่งเสริมพลังและโชคลาภ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทิศที่ต้องอยู่ตรงทิศตะวันออก หรือแม้แต่สีก็เป็นเอิร์ทโทน เน้นความเป็นธรรมชาติ ประตูเข้าออกมีสองประตูอยู่ในแนวระนาบเดียวกัน

ผนังด้านหนึ่งถูกเพนต์ลวดลายเป็นรูปดอกไม้อย่างสวยงามด้วยฝีมือของขวัญชีวาเองที่มีพรสวรรค์ทางด้านการวาดภาพ ส่วนด้านตรงข้ามมีภาพของคนในครอบครัวในอิริยาบถแตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพของขวัญชีวา

“หนูขอโทษที่มาช้า”

คนเป็นศูนย์รวมความรักของครอบครัวเอ่ยขอโทษเสียงอ่อยเมื่อเห็นว่าทุกคนในครอบครัวนั่งกันพร้อมหน้ากันอย่างที่คิดไว้จริงๆ ครั้นมองไปยังอาหารแต่ละอย่างที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ พยาธิในท้องก็เริ่มร้องก่อกวนขึ้นอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรหรอกลูก มานั่งใกล้ๆ พ่อนี่มา”

เอกดนัยผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้นยิ้มๆ พลางพยักหน้าให้บุตรสาวคนเดียวมานั่งข้างตัวเอง

“น้องหนู เมื่อกี้พี่กฤตแวะไปที่ห้องเห็นนอนหลับอยู่เลยไม่ได้เรียก” กฤตนัยพี่ชายคนโตเอ่ยทักน้องสาวเสียงอ่อนโยน

“วันนี้ไปไหนมาบ้างจ๊ะน้องหนู ยังไม่ได้รายงานให้พี่วิชญ์รู้เลยนะ” นราวิชญ์พี่ชายคนรองพูดยิ้มๆ

“พี่กรว่าน้องหนูดูแปลกไปนะ สวยขึ้นกว่าเก่า” พี่ชายคนสุดท้ายจอมสังเกตอย่างทักษกรทักพลางมองน้องสาวคนสุดท้องอย่างเพ่งพินิจ

ชายหนุ่มผู้เอ่ยทักทั้งสามคนล้วนมีเค้าหน้าประพิมพ์ประพายคล้ายขวัญชีวา จนมองปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน

“พ่อว่าให้น้องกินข้าวก่อนดีไหมแล้วค่อยซักไซ้” ผู้เป็นบิดาพูดพลางหัวเราะเสียงดังเมื่อเหลือบเห็นสีหน้าแหยๆ ของบุตรสาว

“นั่นสิ ท่าทางน้องสาวของเราจะเพลียจัด บอกแม่ว่าจะขึ้นไปนอนเล่นแป๊บเดียว นี่เผลอหลับเลยใช่ไหมลูก” ลลดาหันไปถามบุตรสาวพลางลุกขึ้นตักข้าวแจกจ่ายให้ทุกคน

“ใช่ค่ะแม่ ตอนนี้หนูขอกินข้าวก่อนได้ไหมคะ หิวจะแย่อยู่แล้ว” หญิงสาวพูดโอดครวญเสียงอ่อยพลางลูบท้องตัวเองป้อยๆ ซึ่งกิริยาดังกล่าวเรียกรอยยิ้มเอื้อเอ็นดูให้เกิดกับใบหน้าของทุกคนที่มองอยู่

“ลองชิมแกงจืดมะระยัดไส้นี่สิ พี่กฤตช่วยแม่ทำกับมือเชียวนะ” พูดพลางคนเป็นพี่ชายคนโตก็ตักกับข้าวที่ว่าใส่จานให้น้องสาว

“น้องหนูลองกินไข่ยัดไส้นี่สิ พี่วิชญ์ก็ช่วยแม่ตีไข่” พี่ชายคนรองตักไข่ยัดไส้ใส่ให้อีก

“ช่วงนี้น้องหนูดูผอมไปนะ เพราะฉะนั้นต้องกินเยอะๆ ลองกินแกงเหลืองนี่สิ รสชาติดีทีเดียว ถึงไม่ได้ช่วยแม่ทำแบบพี่กฤตกับพี่วิชญ์ แต่พี่กรก็เป็นคนซื้อมา”

ขวัญชีวามองจานข้าวตัวเองที่เต็มไปด้วยกับข้าวจากบรรดาพี่ชายทั้งสามแล้วยิ้มแหยๆ ขึ้นอีกครั้ง และจะทำอะไรได้นอกจากตักอาหารทุกอย่างในจานเข้าปาก ท่ามกลางเสียงหัวเราะของบิดามารดา ที่มองบรรดาพี่ชายเอาอกเอาใจน้องสาวคนเดียวอย่างขบขัน

“โอย...อิ่มจะแย่แล้ว” คนบ่นบ่นพลางลูบท้องตัวเองไปมา ก่อนจะมองไปยังพี่ชายทั้งสามแล้วพูดตัดพ้อ “ถ้าหนูอ้วนนะ ต้องโทษพวกพี่ๆ นี่แหละ”

“ถึงหนูวาจะอ้วนกว่านี้ก็ดูไม่น่าเกลียดหรอกลูก อ้วนมากๆ สิดี ไม่มีใครมอง จะได้อยู่กับพวกพ่อแม่และพี่ๆ ไปนานๆ” คนเป็นบิดาพูดยิ้มๆ

ยามอยู่ภายในบ้านกับครอบครัว นักธุรกิจวัยกลางคนผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการก่อสร้างอย่างเอกดนัยจะมีบุคลิกแตกต่างกับยามอยู่ภายนอกบ้านโดยสิ้นเชิง ซึ่งในแวดวงธุรกิจที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ไม่มีใครไม่รู้จัก เอกดนัย อริยะสัตย์ ซึ่งถูกจัดเป็นเจ้าพ่อวงการก่อสร้างที่เน้นหนักไปทางสิ่งก่อสร้างระดับยักษ์ใหญ่เช่นโรงพยาบาล โรงงานอุตสาหกรรม ไม่ได้เน้นที่พักอาศัย

“แหม หมั่นไส้นัก คิดอะไรกันมายุให้น้องกินเยอะๆ จะได้อ้วน มีพี่ชายที่ไหนคิดแบบนี้บ้างนอกจากที่นี่” คนเป็นมารดาพูดพลางส่งค้อนให้บุตรชายทั้งสาม

“แหม แม่เองก็อยากให้น้องอยู่ด้วยนานๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

กฤตนัยบุตรชายคนโตผู้สุขุมรอบคอบทั้งยังละเอียดถี่ถ้วนกับทุกสิ่งอย่างที่ผ่านตา ผู้รับหน้าดูแลด้านออกแบบก่อสร้างทั้งหมดของ บริษัทอริยะสัตย์ คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) หรือเออาร์กรุ๊ป พูดกระเซ้ามารดา

“ก็แน่ละ แต่เรื่องแบบนี้ใครจะไปกำหนดกฎเกณฑ์ได้ล่ะจ๊ะ แล้วนี่ไม่มีใครคิดจะทักผ้าปูโต๊ะผืนใหม่ของแม่กันเลยหรือ”

คำพูดดังกล่าวทำให้สายตาทุกคู่ต่างหันไปมองผ้าปูโต๊ะสีเขียวกับสีฟ้าเป็นตาเดียว

“ที่แม่ใช้สีนี้ต้องมาจากเรื่องฮวงจุ้ยแน่เลยใช่ไหมครับ” นราวิชญ์คาดเดายิ้มๆ ซึ่งก็ได้รับการพยักพเยิดเห็นด้วยจากน้องชาย “ผมก็คิดเหมือนพี่วิชญ์ครับแม่”

“ถูกต้องจ้ะ แม่เพิ่งไปอ่านเจอจากในกูเกิลว่าผ้าปูโต๊ะอาหารควรต้องเน้นสีเขียวกับฟ้าเป็นหลัก โดยต้องให้สีเขียวอยู่ทางทิศตะวันออก ส่วนสีฟ้าอยู่ทางทิศเหนือ”

“ทำไมหรือคะแม่” บุตรสาวคนเดียวเท้าคางถามอย่างสนใจ

“ที่ต้องปูแบบนี้เพื่อช่วยเสริมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้สนิทแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไงจ๊ะหนูวา”

“อย่างนี้นี่เอง แต่ความสัมพันธ์ของครอบครัวเราน่ะหนูว่าเกินพอดีเสียด้วยซ้ำ”

ขวัญชีวาพูดด้วยท่าทางขำๆ เพราะคงไม่มีครอบครัวไหนเหมือนของเธออีกแล้ว เธอไม่รู้หรอกว่าครอบครัวอื่นเป็นอย่างไร แต่สำหรับที่นี่เวลาบนโต๊ะอาหารคือการพูดคุยและถามไถ่เรื่องโน้นเรื่องนี้ระหว่างกัน

“อ้าวกฤต ทำไมนั่งเงียบเชียว” เอกดนัยถามบุตรชายคนโตซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ของครอบครัว

คนถูกถามยิ้มจางๆ “แม่พูดเรื่องฮวงจุ้ยขึ้นมาทำให้ผมนึกถึงตอนไปประชุมที่ไต้หวันเมื่อหลายเดือนก่อน คนที่นั่นนอกจากจะเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยแล้วยังเชื่อซินแสกันมากเลยนะครับ”

ขวัญชีวาที่นั่งฟังคนนั้นคนนี้พูดอย่างเพลิดเพลินสะดุ้งเล็กน้อยกับคำว่าไต้หวันที่ได้ยิน จึงเงี่ยหูฟังเรื่องที่บิดากับพี่ชายคุยกันอย่างสนอกสนใจ

“เป็นเรื่องปกติของคนจีนที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้วลูก จำเรื่องที่มิสเตอร์หลี่เล่าให้ฟังได้ไหมลูก”

“อ๋อ...เรื่องเพื่อนของมิสเตอร์หลี่ที่ชื่อมิสเตอร์เผิงเจ้าของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของไต้หวันน่ะหรือครับ”

“ใช่แล้วลูก มิสเตอร์หลี่บอกว่าเพื่อนเขาเชื่อถือเรื่องฮวงจุ้ยกับซินแสมาก และผลจากการเชื่อถือทำให้ธุรกิจที่อยู่ในมือพุ่งพรวดติดเพดานบินเชียวละ กลายเป็นนักธุรกิจที่ถูกจัดอันดับว่ามีทรัพย์สินมากติดอันดับต้นๆ เบียดกับนักธุรกิจระดับโลกได้อย่างไม่อาย”

“ผมว่าเป็นเพราะตัวมิสเตอร์เผิงคนนี้เก่งด้วยครับ ตอนนี้ลูกชายเขากำลังดัง ผมเคยอ่านเรื่องสิบนักธุรกิจดาวรุ่งของไต้หวันที่กำลังถูกจับตามอง มีชื่อของลูกชายมิสเตอร์เผิงติดอันดับต้นๆ ด้วยครับ ดูเหมือนจะชื่อ ฌอน เผิง...อะไรนี่แหละครับ คนในวงการเรียกเขาว่ายิ้มพิฆาต ได้ข่าวว่าถูกส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็กเพิ่งกลับมา และพาตัวเองลงไปคลุกคลีกับงานตั้งแต่ระดับล่างขึ้นมา”

“นั่นเป็นความคิดที่ถูกต้อง คนเราจะเป็นเจ้านายใครก็ต้องเรียนรู้การเป็นลูกน้องมาก่อน” เอกดนัยพูดน้ำเสียงขรึมเพราะเขาก็ทำอย่างนี้กับลูกชายทั้งสามเช่นกัน

“แล้วทำไมถึงเรียกว่ายิ้มพิฆาตล่ะครับพี่กฤต” น้องชายคนรองที่นั่งฟังเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจ ไม่ต่างจากทักษกรเช่นกัน

“เท่าที่พี่รู้มานะ มีคนบอกว่าถ้าคนคนนี้ยิ้มแล้ว รับรองว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นต้องไม่ใช่เรื่องดีๆ อย่างแน่นอน”

“อ้อ อย่างนี้นี่เองถึงถูกเรียกว่ายิ้มพิฆาต ผมชักอยากเห็นหน้าแล้วสิว่าเจ้าของฉายาหน้าตาจะเป็นยังไง คงเป็นพวกเจ้าพ่อมาเฟียละมากกว่า” น้องชายคนเล็กออกความเห็นไปในทางลบ

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ขวัญชีวาที่นั่งฟังอยู่เอาเรื่องที่ได้ยินบรรดาพี่ชายพูดไปผูกกับผู้ชายในคลิปนั่นเฉยเลย จนต้องนึกก่นด่าตัวเองที่คิดอะไรบ้าๆ ไม่เข้าท่า

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น