7

ตอนที่ 6...คนขี้แกล้ง


ขวัญชีวาเปิดประตูห้องรับรองจนกว้างก่อนจะเข็นรถเข็นเสิร์ฟของว่างเข้าไป เห็นทุกคนนั่งคุยกันอยู่บนโซฟาชุดใหญ่ทางมุมซ้ายของห้อง ด้วยความอยากรู้ว่าคนที่บิดาและพี่ชายพูดถึงอย่างชื่นชม รวมทั้งผู้เป็นเพื่อนพูดถึงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร หญิงสาวจึงกวาดตามองไปยังคนที่นั่งอยู่ ทว่าเห็นเพียงด้านหลังของแขกคนสำคัญบนโซฟาที่พนักพิงหันมาทางประตูเท่านั้น ดูจากสายตาแล้ว อีกฝ่ายจัดเป็นคนสูงมากทีเดียว ทำให้นึกอยากเห็นหน้าขึ้นมาในทันใด

“กาแฟมาพอดี เชิญคุณฌอนคุณเดฟตามสบายเลยนะครับ”

เสียงพูดของปกรณ์ไม่ได้ทำให้ขวัญชีวารู้สึกอะไรอีกแล้ว ทว่าชื่อเดฟที่ได้ยินนี่สิรู้สึกคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน แต่รีบปัดความรู้สึกดังกล่าวออกไป จัดการยกถ้วยกาแฟที่รินน้ำร้อนใส่เรียบร้อยแล้วไปวางตรงหน้าของปกรณ์กับกนกลดาเป็นลำดับแรก

ทว่าเมื่อหมุนตัวกลับเพื่อไปเอาถ้วยใหม่ที่รถเข็น ขาทั้งคู่ก็แทบจะก้าวต่อไม่ออกเมื่อพบคนที่เธอเห็นเพียงด้านหลังได้อย่างชัดเจน หญิงสาวก็แทบอยากมุดพื้นห้องตรงหน้าหายตัวไปในบัดดล

ขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้ที่บอกว่าอยากเห็นหน้า เพราะตัวแทนบริษัทผู้ผลิตจากไต้หวันที่กำลังใช้สายตาคมกล้าจับจ้องมายังเธอเขม็งคือคนในคลิปซึ่งเป็นคนที่เธอนินทาในระยะเผาขนเมื่อวานนี้ และเป็นคนที่บิดากับพี่ชายพูดถึงนั่นเอง ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่ผู้เป็นเพื่อนพูดเล่นจะเป็นจริงขึ้นมา โลกหนอโลก ทำไมถึงช่างกลมแบบนี้ กลมจนเธออยากเดินตกโลกให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย นี่คงเป็นคำตอบถึงสิ่งที่เธอนึกตงิดๆ อยู่ในใจ และเมื่อกี้ที่รู้สึกคุ้นหูกับชื่อเดฟก็มาจากเหตุการณ์เมื่อวานนั่นเอง

ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าจะมาเจอเขา เธอจะไม่ทำตามที่ผู้เป็นเพื่อนขอร้องเลย ให้ตายเถอะขวัญชีวา!

แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรได้นอกจากตามน้ำไป เมื่อคิดได้ดังนั้นขวัญชีวาก็จัดการเอาถ้วยกาแฟไปวางตรงหน้าคนที่จ้องเธออยู่ ทั้งยังปั้นหน้าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน

“คุณใส่กาแฟกี่ช้อน”

คำถามด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ของคนตรงหน้าทำเอาแม่บ้านจำเป็นสะดุ้ง “ช้อนเดียวค่ะ”

“ผมชอบดื่มกาแฟดำสองช้อน และน้ำต้องร้อนกว่านี้ น้ำตาลซองแบบนี้ผมไม่กิน ต้องเป็นน้ำตาลกรวด และผมไม่ชอบดื่มน้ำเปล่าขอเป็นน้ำแร่เท่านั้น”

ขวัญชีวาอึ้งไปเสี้ยววินาทีก่อนจะถามเสียงสูงอย่างไม่เชื่อหู “คุณว่าอะไรนะคะ”

สีหน้าของคนถูกถามเรียบสนิทไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น “ผมชอบพูดอะไรครั้งเดียว ไม่ชอบพูดมาก”

พูดจบก็ผลักถ้วยกาแฟตรงหน้าออกห่างราวกับรังเกียจ ทำให้คนรับหน้าที่เป็นแม่บ้านชั่วคราวมองแล้วต้องพยายามสะกดกลั้นความโกรธที่กำลังปะทุขึ้นมา ก่อนจะพูดเสียงสั่นออกไป

“ฉันแค่ถามถึงสิ่งที่คุณ...บอกเมื่อกี้เท่านั้น ไม่ได้อยากรู้หรอกว่าคุณชอบพูด...มาก หรือพูด...น้อย”

กรวรรณที่กำลังจะขยับปากบอกเพื่อนทว่าไม่ทันมลทิพย์ที่ชิงพูดออกมาเสียก่อน

“อะไรกันหนูวา ความจำเธอนี่แย่มากเลยนะแค่นี้จำไม่ได้หรือไง คุณฌอนบอกว่าขอกาแฟเป็นสองช้อนและน้ำต้องร้อนกว่านี้ ส่วนน้ำตาลซองขอเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกรวดแทน น้ำเปล่าขอเป็นน้ำแร่ แล้วของว่างเธอไม่มีให้กินกับกาแฟบ้างเลยหรือไง”

คนถูกหาว่าความจำเสื่อมหันไปมองคนว่าตาลุกวาวจนคนถูกมองต้องหลบวูบ “ค่ะ แล้วของว่างไม่ทราบจะรับประทานอะไรกันคะ”

มลทิพย์ที่ความตั้งใจแรกจะพูดให้อีกฝ่ายขายหน้า ครั้นเห็นสายตาที่มองมาก็ได้แต่พูดอ้อมแอ้มออกไป “อะไรก็ได้”

ขวัญชีวามองถ้วยกาแฟตรงหน้าของแขกเรื่องมากที่ถูกเลื่อนออกห่างจากตัวก่อนจะฉวยมาวางตรงหน้าของมลทิพย์แทนจะได้ไม่ต้องชงใหม่ แล้วหันไปถามชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แขกเรื่องมาก

“แล้วของคุณล่ะคะ ต้องชงใหม่ไหม”

เดฟกำลังจะบอกว่าไม่ต้อง ทว่าช้ากว่าคนเป็นนายเพียงเสี้ยววินาที

“คนของผมย่อมดื่มเหมือนผม ชงมาใหม่ อ้อ...แล้วกาแฟผมชอบรสชาติของแม็กซิม เอสเปรสโซ ยี่ห้ออื่นดื่มแล้วปวดหัว แล้วของว่างผมขอเป็นเค้กมะพร้าวอ่อนโรยหน้าด้วยผงโกโก้ แต่ของเดฟขอเป็นเค้กชาเขียว ขอนมข้นจืดแทนครีมเทียมด้วย”

“ค่ะ” ขวัญชีวารับคำน้ำเสียงลอดไรฟัน เวลานี้เธอโกรธจนลมแทบจะออกหู หน็อย...เพิ่งพูดออกมาหยกๆ ว่าไม่ชอบพูดมาก แล้วที่พูดออกมาเมื่อกี้มันน้อยหรือไง

“คุณขวัญชีวา รบกวนหน่อยนะครับ แล้วค่อยทำเรื่องเบิกค่าใช้จ่ายกับผม” ปกรณ์ที่กำลังอึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้าพูดกับหญิงสาว น้ำเสียงเจือความเกรงใจไม่น้อย

“กาแฟยี่ห้อแม็กซิมมีขายที่วิลล่ามาร์เกตน่ะ แล้วไหนๆ จะเปลี่ยนให้คุณฌอน ก็เปลี่ยนของลดากับคุณปกรณ์ด้วยแล้วกัน” กนกลดาบอกพลางจับจ้องหญิงสาวที่เธอเคยรับรู้เข้าหูว่าแอบชอบผู้เป็นสามี ซึ่งเมื่อก่อนเธอไม่เคยสนใจ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เมื่อเห็นในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ ความรู้สึกหวาดระแวงก็บังเกิดขึ้นมาทันที ด้วยไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหน้าตาสะสวยอย่างนี้ จะว่าไปแล้วสวยกว่าเธอด้วยซ้ำ

“ค่ะ” หลังจัดการเสิร์ฟกาแฟจนครบคนขวัญชีวาก็เข็นรถออกจากห้องไปทันที

“ผมต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ผมอาจเรื่องมากไปหน่อย แต่เรื่องกาแฟสำหรับผมเป็นเรื่องสำคัญ” ฌอนพูดออกตัว แต่ถ้าคนใกล้ชิดจะรู้ว่าน้ำเสียงที่พูดนั้นเจือความรื่นรมย์ไว้อย่างเต็มเปี่ยม

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับ” ปกรณ์บอกน้ำเสียงเจื่อนๆ

เดฟมองไปทางเจ้านายแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ นัก นายเขาเป็นคนเรื่องมากอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กาแฟแม็กซิมอะไรนั่นอีก เค้กมะพร้าวอ่อนโรยหน้าด้วยโกโก้นั่นเขาก็เพิ่งจะได้ยิน แล้วเขาชอบกินเค้กชาเขียวนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เขาเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นชาเขียวที่สุด

ขวัญชีวาเข็นรถกลับมายังห้องแพนทรีด้วยความโมโห เมื่อเห็นกาแฟของตัวเองที่ชงไว้ยังไม่ได้ดื่มสักอึกก็ยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดถ้วยเพื่อดับอารมณ์

แหม...ผมชอบดื่มกาแฟดำสองช้อน และน้ำก็ต้องร้อนกว่านี้ น้ำตาลซองแบบนี้ผมไม่กินต้องเป็นน้ำตาลกรวดเท่านั้น และผมไม่ดื่มน้ำเปล่า ขอเป็นน้ำแร่ กาแฟต้องยี่ห้อแม็กซิม เอสเปรสโซ ไม่งั้นปวดหัว ขอนมข้นจืดแทนครีมเทียมด้วย

คนเรื่องเยอะ คนเรื่องมาก ขอให้น้ำร้อนๆ ลวกปากให้พองทีเหอะ ขอให้เป็นเบาหวาน ขอให้ตาค้างจนนอนไม่หลับตลอดคืน ขอให้ปวดหัว...หญิงสาวทั้งก่นด่าทั้งสาปแช่งคนที่กำลังนึกถึงเป็นพัลวัน โอย...ไม่เคยโมโหใครเท่านี้มาก่อน นี่ขนาดบอกมาเองนะว่าไม่ชอบพูดมาก

หรือเป็นเพราะเขาเจ็บใจเธอที่นินทาเขาต่อหน้าต่อตา แต่คนอย่างเขาที่เป็นถึงลูกชายเจ้าของบริษัทจะแกล้งเธอทำไมกันกับเรื่องขี้ปะติ๋วนั่น

นั่นสิ เธอลืมนึกไปว่าคนเพศนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนกันคือรักแรงเกลียดแรง อาฆาตแรง หญิงสาวคิดเองเออเองไปสารพัดจนต้องปัดความคิดทั้งหลายทั้งมวลออกไปจากสมอง และกาแฟที่ดื่มจนหมดถ้วยก็ช่วยให้อารมณ์หงุดหงิดที่เกิดขึ้นค่อยๆ คลี่คลายลง จึงเริ่มคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไป เพราะไหนๆ ก็หลวมตัวทำมาจนถึงขั้นนี้แล้ว

สำหรับกาแฟแม็กซิม เอสเปรสโซ เธอรู้จักดีเพราะพี่ชายทั้งสามชอบยี่ห้อนี้เหมือนกัน เรียกว่าเป็นกาแฟยี่ห้อโปรดของทุกคนเลยก็ว่าได้ ส่วนเค้กมะพร้าวอ่อนโรยด้วยผงโกโก้เนี่ยจะไปหาซื้อที่ไหนเธอไม่ยักเคยได้ยินมาก่อน เคยเห็นแต่เค้กชนิดอื่นโรยด้วยผงโอวัลติน

แต่แล้วสมองก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้างอง้ำจึงกลายเป็นยิ้มกว้างอย่างชอบอกชอบใจขึ้นมาทันที

อยากกินนักก็จะจัดให้ เค้กมะพร้าวอ่อนโรยด้วยผงโกโก้ รับรองว่าอร่อยแน่นอน ไม่ต้องมีเชลล์มาคอยชวนชิม ขวัญชีวารับประกันคุณภาพ! เธอไม่สนหรอกว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เพราะอีกไม่นานเธอก็ไปแล้วเนื่องจากยื่นใบลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขวัญชีวาคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องแล้วจดสิ่งของที่ต้องการใส่กระดาษ ไหว้วานสมชายซึ่งเป็นพนักงานรับส่งเอกสารของบริษัทให้ไปซื้อที่วิลล่าซูเปอร์มาร์เกตที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัทนัก หญิงสาวสั่งซื้อเค้กไปหลายชิ้นหลายชนิดรวมทั้งคุกกี้ เตรียมพร้อมไว้จะได้ไม่ต้องมีปัญหาภายหลัง

ไม่นานสิ่งที่ต้องการก็มาอยู่ในมือทั้งหมด ขวัญชีวาตระเตรียมทุกอย่างเผื่อไว้จนครบ รวมทั้งเค้กมะพร้าวอ่อนที่เธอเอาเกลือป่นโรยลงไปก่อน แล้วตามด้วยผงโกโก้ที่มีอยู่ในตู้ครัวโรยตามลงไปเป็นอันเสร็จ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแม่บ้านจำเป็นก็เข็นรถตรงไปยังห้องรับรองอีกครั้ง คราวนี้ดวงหน้าสะสวยประดับไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากยืนชั่งใจอยู่หน้าห้องครู่หนึ่งก็เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป

“กาแฟกับของว่างมาแล้วค่ะ”

หญิงสาวบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะรินกาแฟใส่ถ้วยพร้อมของว่างเป็นเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม ให้ปกรณ์และกนกลดา รวมทั้งคนอื่นด้วย ยกเว้นของกรวรรณที่เป็นเค้กฝอยทอง จากนั้นจึงหยิบถ้วยกาแฟที่เตรียมไว้สำหรับแขกเรื่องเยอะ จัดการรินน้ำร้อนใส่ลงไป ก่อนจะหันไปถามด้วยสีหน้าซื่อตาใส แต่ภายในใจนั้นตื่นเต้นเหลือจะกล่าว

“ไม่ทราบว่าน้ำร้อนพอหรือเปล่า ลองจิบดูก่อนดีไหมคะ เพราะถ้าไม่ร้อนจะได้ไปต้มให้ใหม่”

ฌอนปรายตามองใบหน้าสะสวยของคนถามแล้วลอบอมยิ้มอย่างขันๆ คนอย่างเขาถ้ามองสีหน้าคนไม่ออกคงไม่ขึ้นมาอยู่ถึงระดับนี้หรอก ทำตาใสแบบนี้ต้องมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่เป็นแน่ แต่เขาก็พร้อมจะรับ นักธุรกิจหนุ่มคิดอย่างอารมณ์ดีภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย จัดการเติมน้ำตาลกรวดกับนมข้นจืดลงไปแล้วยกขึ้นจิบหน้าตาเฉยโดยไม่เป่า “ร้อนพอใช้ได้”

คนที่รอดูผลรู้สึกผิดหวังที่ไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแสดงอาการอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา แม้จะจิบกาแฟร้อนๆ ที่ยังส่งควันฉุย แถมยังพูดว่าร้อนพอใช้ได้อีก ปากด้านหรือไงนะถึงทนได้เพียงนี้ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวรอดูเค้กแล้วกัน คิดแล้วก็เดินไปหยิบจานเค้กสองจานยื่นไปวางให้ตรงหน้า

“เค้กมะพร้าวอ่อนโรยด้วยผงโกโก้ค่ะ” ก่อนจะหันไปทางชายหนุ่มอีกคน “นี่เค้กชาเขียวของคุณ”

เดฟทำท่าจะพูดอะไร แต่ไม่ทันคนเป็นนายอีกเช่นเคย

“ผมนึกได้ว่าบอกผิด ความจริงเค้กที่จะสั่งให้เดฟคือเค้กกาแฟโรยหน้าด้วยฝอยทองต่างหากไม่ใช่เค้กชาเขียว”

“บอกผิด?” ขวัญชีวาทวนคำพูดก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแต่ดูคล้ายแยกเขี้ยวมากกว่า เค้กชาเขียวกับเค้กกาแฟคล้ายกันตรงไหนมิทราบถึงได้พูดผิด ถ้าเป็นชาเขียวกับชาไทยยังน่าเชื่อกว่า แล้วเธอก็เลือกเค้กฝอยทองของโปรดยายนกมาเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

‘นับหนึ่งให้ถึงสิบไปหนูวา’

“เอาเค้กฝอยทองของฉันไปให้แทนก็ได้หนูวา” กรวรรณพูดเสียงอ่อย ด้วยรู้สึกผิดที่ไหว้วานให้เพื่อนมาช่วยเหลือจนต้องพบกับเรื่องยุ่งยากอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

“ใช่ครับนาย ผมกินเค้กฝอยทองอย่างเดียวก็ได้” เดฟรีบบอกเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงไม่ต้องทนกินของที่เจ้านายอ้างว่าเขาชอบ อย่างน้อยเค้กฝอยทองยังดีกว่าเค้กชาเขียวหลายเท่า

“อืม อย่างนั้นก็ได้ถ้าแกต้องการ”

คนเป็นนายตกลง ทำเอาลูกน้องคนสนิทเกือบเผลอค้อน เพราะอีกฝ่ายตัดสินใจแทนไปตั้งแต่แรกแล้วโดยที่เขาไม่ได้ต้องการสักหน่อย

ขวัญชีวาถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เรื่องเค้กฝอยทองจบลงด้วยดี

“อืม...อร่อยดีนะ เค้กมะพร้าวอ่อนโรยหน้าโกโก้”

ฌอนเอ่ยชมเมื่อตักเค้กตรงหน้าเข้าปากกินด้วยท่าทางปกติธรรมดา สร้างความผิดหวังซ้ำสองให้เกิดกับคนรอดูผลเป็นที่สุด ขณะกำลังจะเข็นรถกลับก็ต้องชะงัก

“ผมขอกาแฟเหมือนถ้วยนี้อีกถ้วย น้ำต้องร้อนจัดและต้องใส่ให้ได้ระดับเท่าถ้วยนี้ อย่าให้มากหรือน้อยกว่านี้นะครับ”

“ค่ะ” แม่บ้านจำเป็นกัดฟันพูด อยากจะร้องกรี๊ดออกมานัก ก่อนจะหันไปถามคนอื่นในห้องตามมารยาท “มีใครอยากได้อะไรเพิ่มอีกไหมคะ”

ทุกคนเงียบ มีเพียงกนกลดาที่ส่งยิ้มให้ตามด้วยคำพูดน้ำเสียงอ่อนหวาน

“ลดามีเรื่องอยากจะรบกวนคุณขวัญชีวาอีกเรื่องค่ะ”

ขวัญชีวาคิดในใจ ‘ที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ได้รบกวนเลยหรือไง’ แต่ก็ต้องฝืนยิ้มเอ่ยถามออกไป “เรื่องอะไรหรือคะ”

กนกลดาไม่ตอบในทันทีแต่หันไปทางแขกคนสำคัญ “ไม่ทราบว่าตอนเย็นคุณฌอนมีธุระที่ไหนอีกหรือเปล่าคะ”

“ทำไมหรือครับ”

“ลดาจะชวนรับประทานอาหารค่ำด้วยกันก่อนค่ะ แถวทองหล่อมีร้านอาหารไทยอร่อยๆ อยู่หลายร้าน ลดาอยากเลี้ยงตอบแทนที่ได้บริษัทของคุณฌอนมาเป็นคู่ค้าสำคัญน่ะค่ะ”

คนที่รอฟังอยู่แอบเบ้ปาก ความจริงคนที่ควรจะเลี้ยงขอบคุณน่าจะเป็นตาฌอนนั่น

“ผมเองที่ต้องเป็นฝ่ายเลี้ยงขอบคุณ ดังนั้นมื้อเย็นผมขอเป็นเจ้ามือดีกว่านะครับ ผมขอเชิญทุกคนในที่นี้”

อ้อ...ยังรู้ตัวว่าควรเป็นฝ่ายเลี้ยง แล้วตกลงจะให้เธอรอเพื่อ...

“ผมขอเป็นฝ่ายเลี้ยงดีกว่าครับ” ปกรณ์พูดขึ้นน้ำเสียงเกรงใจ

“ไม่เป็นไรครับ โอกาสหน้ายังมี” นักธุรกิจคนดังแห่งเกาะไต้หวันพูดพลางปรายตามองไปยังคนที่ยืนหน้าง้ำอยู่ “ขอเชิญด้วยนะคุณแม่บ้าน”

คนถูกเรียกคุณแม่บ้านชี้ที่ตัวเอง “เชิญฉัน”

“ใช่” ฌอนตอบ นัยน์ตาคมสวยเกินหญิงมีร่องรอยความขบขันเจืออยู่ทว่าก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“ไปด้วยกันเถอะครับคุณขวัญชีวา วันนี้ถ้าไม่ได้คุณคงแย่แน่ๆ เลย” ปกรณ์พูดคะยั้นคะยอ

ตอนแรกขวัญชีวาจะเอ่ยปฏิเสธแต่ครั้นไตร่ตรองดูแล้ว บ่ายนี้เธอพบกับความเรื่องมากและวุ่นวายจากผู้ชายคนนี้ ในเมื่ออยากจะเลี้ยงนัก จะสั่งให้กระเป๋าฉีกเลย “ตกลงค่ะ” แล้วจึงหันไปทางกนกลดา “แล้วเรื่องรบกวนที่คุณลดาพูดเมื่อกี้คืออะไรหรือคะ”

“คือลดาจะขอรบกวนให้คุณขวัญชีวาช่วยไปจองร้านอาหารครัวต้นตำรับให้หน่อยได้ไหมคะ”

ขวัญชีวามองคนพูดอย่างฉุนๆ นึกว่าเธอไม่รู้หรือไงว่าร้านอาหารที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมานั้นไม่รับจองทางโทรศัพท์ ต้องจองด้วยตัวเองเท่านั้น แล้วใช้เธอไปจองเนี่ยนะ เกินไปหรือเปล่า วันนี้เธอยังยุ่งไม่พอใช่ไหม

ซึ่งอาการนิ่งดังกล่าวทำให้มลทิพย์ที่รอจังหวะและโอกาสอยู่ตีความหมายผิด จึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแกมหัวเราะ “หนูวาคงไม่เคยเข้าไปกินอาหารที่ร้านนี้มั้งจ๊ะ ถึงไม่รู้ว่าที่นี่ไม่รับจองทางโทรศัพท์ ต้องไปจองด้วยตัวเอง”

“ค่ะพี่มลทิพย์ หนูวาไม่เคยเข้าหรอกค่ะ ไม่มีปัญญา” คนตอบตอบเสียงหวานทว่าดวงตาวาววับ

“นี่ไงคะ ลดาถึงพูดว่ารบกวน” กนกลดายังคงพูดน้ำเสียงอ่อนหวานเช่นเดิม

“ผมว่าให้สมชายไปจัดการดีกว่ามั้งลดา แค่เราไหว้วานคุณขวัญชีวาวันนี้ก็เกรงใจแย่แล้ว”

ปกรณ์พูดขัดขึ้น ทำให้คนเป็นภรรยาหมาดๆ หันไปมองแวบหนึ่ง แต่ยังไม่ทันพูดอะไรออกไปกรวรรณก็พูดอาสาขึ้นมา

“เดี๋ยวนกไปจองให้ดีกว่าค่ะคุณลดา”

“ไม่ต้องหรอกนก เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ขวัญชีวาพูดตัดบท ขณะเตรียมตัวจะออกจากห้องก็ต้องชะงักจากเสียงของมลทิพย์

“พี่ขอกาแฟเพิ่มด้วยนะจ๊ะหนูวา ขอเป็นกาแฟแม็กซิมนะจ๊ะ ใส่น้ำตาลสองครีมเทียมสาม”

“ค่ะ เดี๋ยวจะจัดให้นะคะ”

เมื่อกลับไปถึงห้องแพนทรี ขวัญชีวาดับอารมณ์โกรธด้วยการดื่มน้ำเย็นๆ ซึ่งก็ช่วยคลายอาการที่เป็นอยู่ เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตานั่นถึงไม่มีอาการอะไรให้เห็นเลย อาจเป็นไปได้ว่าเรื่องน้ำร้อน บางคนอาจชอบจึงทนดื่มได้ทั้งที่ร้อนจัด แต่เกลือบนเค้กนั่นเธอโรยลงไปมิใช่น้อย ทำไมเจ้าตัวยังกินได้หน้าตาเฉยราวกับเป็นน้ำตาลก็ไม่ปาน

คนบ้า...ไม่เค็มเลยหรือไง ขอให้เป็นโรคไตทีเหอะเจ้าประคู้น!

คนผิดหวังสาปแช่งไปตามเรื่อง แล้วดูสิกาแฟถ้วยเก่ายังดื่มไม่หมดสั่งใหม่อีกแล้ว ยายมลทิพย์นั่นอีก ผสมโรงสั่งราวกับเธอเป็นแม่บ้านจริงๆ น่าเอาเกลือใส่แทนน้ำตาลให้ดื่มแทนนัก ที่เธอถามออกไปนั่นฟังไม่ออกหรือไงว่าเป็นการประชด

แล้วยังเรื่องที่กนกลดาใช้เธอไปจองร้านครัวต้นตำรับ เรื่องอะไรเธอต้องไปด้วยตัวเองเล่าในเมื่อเจ้าของร้านเป็นเพื่อนกับผู้เป็นแม่!

ภายในห้องรับรองของบริษัทที่เวลานี้ไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากแขกคนสำคัญที่นั่งเอนกายด้วยท่วงท่าสบายๆ อยู่บนโซฟาตัวนุ่ม เสื้อสูทสีดำถูกถอดพาดไว้บนพนัก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีชมพูอ่อนริ้วขาวเท่านั้น บนตักมีแลปทอปเครื่องบางซึ่งหน้าจอเปิดเว็บไซต์ของบริษัทที่นักธุรกิจหนุ่มเปิดดูยอดสั่งซื้อซึ่งมีการอัปเดตตลอดเวลา ดวงหน้าหล่อเหลาเจือรอยยิ้มกว้างอย่างสมใจจากยอดสั่งสินค้าจำนวนมากที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากการประชุมผู้ประกอบการเมื่อตอนช่วงเช้านั่นเอง

“นายแกล้งเธอทำไมหรือครับ” เดฟที่เดินกลับเข้ามาภายในห้องหลังออกไปคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงเอ่ยถามขึ้น

“แกล้ง! ฉันแกล้งใครไม่ทราบ” คนเป็นนายทำไขสือทั้งที่นัยน์ตาคมไหวระริกกับคำถามของคนสนิท ฉับพลันดวงหน้าของหญิงสาวเจ้าของนามอันแสนไพเราะว่าขวัญชีวาก็ปรากฏขึ้นมาในมโนภาพ แม้จะมีลางสังหรณ์ว่าต้องพบกันอยู่แล้วหลังจากเห็นเพื่อนของเธอ แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบในชุดสวมผ้ากันเปื้อนเข็นรถเครื่องดื่มเข้ามาในห้อง

ช่างเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าการเข้ามาเยี่ยมบริษัทคู่ค้าที่เพิ่งจะติดต่อสั่งสินค้าลอตใหญ่เข้ามาเป็นครั้งแรกจะทำให้เจอผู้หญิงที่เขาหมายมาดว่าต้องหาเธอให้พบให้ได้

ผู้หญิงที่เจอครั้งแรกก็สะดุดตาและความรู้สึก อาจรวมถึงสะดุดใจด้วย เจอครั้งที่สองก็สะดุดหูกับการนินทาเขาต่อหน้าต่อตาอย่างที่ไม่เคยถูกใครกระทำเช่นนี้มาก่อน แถมเจ้าหล่อนยังคิดเองเออเองว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศอีก

‘อย่างนี้ต้องถูกจูบสักครั้งแล้วจะรู้ซึ้ง’

ฌอนรู้สึกตกใจกับความคิดของตัวเองไม่น้อย ตัวเขาไม่เคยนึกอยากจูบผู้หญิงคนไหน ใช่ว่าจะไม่เคยยุ่งกับผู้หญิง แต่...ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่เคยมีใครถูกเขาจูบเลยสักครั้ง

และจากที่ได้เห็นสีหน้าทำเป็นไม่รู้ชี้ราวกับไม่เคยพบเจอเขามาก่อน นำพาความคิดอยากแกล้งให้ขึ้นมาในทันทีในแบบที่ไม่เคยเกิดความคิดเช่นนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เธอคงคิดอยากจะเอาคืนที่เขาแกล้งทำตัวเรื่องมากใส่ ดังนั้นสีหน้าตอนยื่นถ้วยกาแฟร้อนๆ มาให้แล้วถามว่าร้อนพอไหม นั่นจึงฉายแววเจ้าเล่ห์ให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งเดาว่าเจ้าตัวคงอยากเห็นเขาแสดงท่าทีร้อนปากให้เห็น

ถ้าถามว่าร้อนไหม ร้อนสิ! ใครจะไม่ร้อนบ้าง ปากเขาแทบพอง แต่เรื่องอะไรจะแสดงอาการออกไปล่ะ

แล้วยิ่งตอนกินเค้กมะพร้าวอ่อนโรยด้วยผงโกโก้ที่เขาคิดสูตรขึ้นมาเองสดๆ ร้อนๆ เขาเดาออกตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องมีบางสิ่งซุกซ่อนแอบแฝงอยู่ แล้วก็เป็นไปตามคาด เธอโรยเกลือให้เขากิน จากสีหน้าของเธออีกนั่นแหละที่แสดงความรู้สึกออกมา คงรอดูว่าเขาจะมีสีหน้าผิดปกติไหม เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกมั้งว่าสีหน้าและแววตาของตัวเองน่ะอ่านง่ายยิ่งกว่าหนังสือเสียอีก

คิดอยากจะเอาคืนเขาเหรอ ฝีมือยังห่างชั้นนัก ยังต้องฝึกปรืออีกหลายร้อยขุม

“ทำไมนายเงียบไปล่ะครับ หรือจะเถียงว่าไม่ได้แกล้ง”

คนตกอยู่ในความคิดอันสุนทรีย์ยิ้มจาง “ฉันต่างหากที่โดนแกล้ง รู้ไหมว่าคนที่แกคิดว่าฉันแกล้งน่ะโรยเกลือใส่เค้กมาให้ฉันกิน รู้อย่างนี้แล้วยังคิดว่าฉันแกล้งอีกหรือเดฟ”

น้ำเสียงของคนที่บอกว่าโดนแกล้งฉายแววรื่นรมย์ ไม่มีความโกรธเคืองอยู่ในน้ำเสียงแม้แต่น้อย

“คนอย่างนาย...” เดฟพูดแค่นั้นแล้วก็หยุดไปเสียอย่างนั้นพลางหรี่ตามองคนเป็นนายอย่างค้นคว้า

“คนอย่างฉันเป็นยังไง” คนถูกมองถามเสียงขุ่น

คนสนิทที่ปกติหน้าตายอยู่เป็นนิตย์เผยรอยยิ้มยังมุมปาก “คนอย่างนายหรือจะโดนแกล้งถ้าใจไม่ยินยอมหรือเต็มใจเอง นายไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดบ้างหรือครับที่จู่ๆ มาเจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง ผู้คนมีตั้งเยอะแยะให้เจอแต่ดันมาเจอกับคนที่เมื่อวานเพิ่งจะพบเจอกันหยกๆ”

“เมื่อวานตอนซื้อเสื้อแกก็ถามฉันครั้งนึงแล้วนะเดฟว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือเปล่าที่เจอผู้หญิงคนนี้สองครั้งภายในวันเดียวกัน นี่เปลี่ยนมาบอกว่าเป็นเรื่องประหลาดอีก”

คราวนี้ดวงหน้าขาวตี๋ของคนสนิทยิ้มมากขึ้น “ใช่ครับ ถ้าเมื่อวานยังถือว่าเป็นเหตุบังเอิญได้ เพราะคนเราเดินอยู่ห้างเดียวกันย่อมเจอกันได้อยู่แล้ว แต่วันนี้ล่ะครับ”

“รู้สึกว่าแกพูดมากขึ้นคิดมากขึ้นนะเดฟ”

คนถูกว่าพูดมากหัวเราะหึๆ “ผมพูดหรือคิดมากขึ้นคงไม่แปลกเท่ากับนายที่ไม่เคยคิดอยากเข้าใกล้หรือตอแยผู้หญิงคนไหนมาก่อนหรอกครับ ที่ผมพูดนายเก็บเอาไปคิดก็ได้นะครับว่าผมพูดถูกหรือเปล่า”

คนถูกย้อนมองคนสนิทอย่างเข่นเขี้ยว ยกมือทั้งคู่กำเข้าหากันแล้วขยับเบาๆ ไม่เคยคิดอยากจะตะบันหน้ายิ้มๆ ของอีกฝ่ายเท่าตอนนี้มาก่อน ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปในเมื่ออีกฝ่ายบอกให้เขาเก็บไปคิด...ก็จะลองเก็บไปคิดสักหน่อยจะเป็นไรไป!

“อย่าเพิ่งคิดตะบันหน้าผมตอนนี้เลยครับ ตกลงนายจะไปเยี่ยมคุณยายเมื่อไหร่ครับ” เพราะตามแผนที่กำหนดเอาไว้หลังจากเข้าเยี่ยมบริษัททีเค อิเล็กทรอนิกส์เรียบร้อยแล้วคือจะแวะไปเยี่ยมและพักกับผู้เป็นยายที่บ้านสวนเมืองนนท์สักสองสามวัน

“ไปเหมือนเดิมนั่นแหละแต่เลื่อนเวลาออกไปเท่านั้น เดี๋ยวฉันโทร. ไปบอกคุณยายเอง” ปากบอกคนสนิทไปอย่างนั้น แต่ภายในใจนักธุรกิจคนเก่งกำลังคิดถึงเหตุการณ์ระหว่างเขากับขวัญชีวาว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร เขาเชื่อแน่ว่าเจ้าตัวต้องคิดเล่นงานเขาอีกแน่

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้และก้มลงมองนาฬิกาข้อมือซึ่งใกล้เวลานัดหมายแล้ว ดวงหน้าหล่อเหลาก็พลันยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยยิ้มเช่นนี้บ่อยนัก

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น