กลีบปากงามเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อหญิงสาวก้มมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือบางของตัวเองแล้วพบว่าใกล้ถึงเวลาสำคัญ และเธอควรจะเตรียมตัวไปรับลูกที่โรงเรียนได้แล้ว ไม่ควรมานั่งฟังลูกค้าพูดวกไปวนมาอย่างนี้
ดวงตาคมของเพียงรักเหลือบมองสีหน้าไม่สู้ดีของเลขาฯ สาวซึ่งกำลังลอบมองหน้าเธอราวกับจะขอลุแก่โทษ
“คุณเพียงคิดยังไงครับ...”
“เอาตรงๆ นะคะ...” เพียงรักละสายตาจากหน้าซีดเซียวของเลขาฯ ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนหวานอย่างรักษามารยาท ในฐานะผู้บริหารจะให้เธอหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้าก็ใช่เรื่อง แม้ว่าชายหนุ่มจะน่ารำคาญและทำให้เธอเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ อยู่นานสองนานก็เถอะ “ฉันว่าทางเราคงต้องขอประชุมเรื่องรายละเอียดอีกที แต่ข้อเสนอของคุณวินดีมากทีเดียว”
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมอยากร่วมงานกับเจวีมากๆ หวังว่าคุณเพียงจะไม่ทำให้ผมรอเก้อ” วีระยิ้มรับคำตอบแบ่งรับแบ่งสู้ของเพียงรัก หญิงสาวยังถือว่าอายุน้อยนักหากเทียบกับซีอีโอคนอื่นที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันเธอ ทว่าจากเท่าที่พบกันมาสองสามครั้งวีระก็พอดูออกว่า แม้จะอายุยังน้อย แต่เพียงรักก็มีเขี้ยวเล็บไม่ธรรมดา และเขี้ยวที่ว่าก็คงยาวพอที่ลากดินเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นบริษัทแม่ที่อังกฤษคงไม่ส่งเธอมาคุมตลาดฝั่งเอเชีย ทั้งที่เธออายุเพียงยี่สิบเจ็ดปี
“ฉันก็หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันค่ะ” ซีอีโอแห่งเจวีได้แต่ยิ้มพราย เหลือบมองหน้าคมคายของวีระก่อนจะเอ่ยขอตัว เมื่อตระหนักได้ว่าเธอกำลังจะไปสาย “ฉันคงต้องขออนุญาตนะคะคุณวิน นี่ใกล้เวลาเด็กๆ เลิกเรียนแล้ว ฉันต้องไปรับลูก”
“อ้อ...” รอยยิ้มของวีระชะงักค้าง จากนั้นชายหนุ่มก็กะพริบตาปริบๆ กับข้อมูลใหม่ที่ตนได้รับ นั่นคือเรื่องที่หญิงสาวนั้นมีลูกแล้ว ก่อนจะพยายามซ่อนความผิดหวังเอาไว้อย่างสุดความสามารถแล้วพยักหน้ารับ “เชิญครับคุณเพียง”
“ฝนดูแลคุณวินด้วยนะ” หญิงสาวขยับตัวลุกก่อนจะหันไปกำชับกับเลขาฯ ของตัวเอง ซึ่งเจ้าของชื่อก็พยักหน้ารับคำสั่งอย่างรู้หน้าที่
“ถ้าคุณวินมีอะไรเพิ่มเติมก็บอกเลขาฯ ของฉันได้เลยนะคะ”
“ครับคุณเพียง”
เพียงรักยิ้มเล็กน้อย ผงกหัวให้ชายหนุ่มเป็นการอำลา ก่อนจะคว้ากระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองติดมือมาแล้วเดินออกจากห้องรับประทานอาหาร
เมื่อแผ่นหลังพ้นประตู ร่างบอบบางก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปที่รถของตัวเอง จากนั้นขับออกไปด้วยความรีบร้อนเพราะเกรงว่าเธอจะทำให้เด็กๆ ตกใจที่จนป่านนี้แล้ว คุณแม่ของพวกเขายังไม่มายืนรอที่หน้าประตูโรงเรียนอย่างที่รับปากไว้ก่อนจากกันเมื่อเช้า โชคดีที่โรงเรียนของลูกอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารซึ่งเพียงรักนัดคุยงานกับลูกค้า หญิงสาวจึงมาถึงหน้าโรงเรียนได้ทันเวลา แม้จะสายกว่าทุกวันเล็กน้อย แต่ก็นับว่าไปทันเวลาเลิกเรียน
ร่างบอบบางของหญิงสาวก้าวลงจากรถ ยิ้มทักทายผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ ระหว่างทางเดินไปยังชั้นเรียนของลูกๆ อย่างเป็นมิตร แม้ว่าเธอจะเพิ่งรู้จักพวกเขาได้ไม่นานเลยก็ตาม
ทันทีที่เพียงรักมายืนรวมกับผู้ปกครองท่านอื่นที่หน้าชั้นเรียนของเด็กๆ เธอก็ต้องยิ้มกว้าง เมื่อเสียงเล็กๆ ดังมาจากด้านในด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าเจ้าของเสียงนั้นเพียรมองหาเธออยู่พักใหญ่แล้ว
“คุณแม่!”
“ดวิน รฉัตรคะ คุณแม่มารับแล้วค่ะ”
เสียงครูประจำชั้นซึ่งร้องเตือนนักเรียนเหมือนทุกครั้งทำให้เพียงรักชะเง้อคอมองหาลูกๆ ของเธอทันที แล้วหญิงสาวก็ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมเมื่อเห็นเด็กๆ รีบคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย พลางเดินมาสวมรองเท้าหน้าห้องอย่างรีบร้อน ก่อนที่คุณครูจะจูงมือพวกเขาตรงมาหาเธอ
“คุณแม่ๆ”
ลูกแฝดของเพียงรักสลัดมือครูประจำชั้นออกแล้วพร้อมใจกันวิ่งเข้ามาหาคุณแม่คนสวยด้วยความเร็ว พร้อมใจกันโถมตัวเข้าหาร่างระหงของเพียงรักที่นั่งคุกเข่าอ้าแขนรอรับอยู่แล้วด้วยความคิดถึงจนได้ยินเสียงอักตามมา
“คุณแม่มาช้า...”
“แม่ขอโทษค่ะ” เพียงรักขอโทษรฉัตร ระหว่างเพียรหอมแก้มเด็กหญิงหนักๆ ก่อนจะหันหน้าไปหาลูกชายที่กอดเธอแน่นไม่แพ้น้องสาว แล้วหอมแก้มดวินฟอดใหญ่ไม่ต่างกัน “แม่ขอโทษที่มาช้านะครับดวิน”
“ไม่เป็นไรครับ” เด็กชายดวินนิ่งกว่าน้องสาวฝาแฝด เขาเพียงสั่นศีรษะขณะบอกมารดาว่าการมาสายของเธอนั้นได้รับการให้อภัยแล้ว ทว่าแม่ที่เลี้ยงลูกมากับมืออย่างเพียงรักกลับยิ้มพราย ดูออกว่าลูกชายกำลังน้อยใจที่เธอมารับช้า แต่ไม่ทันพูดอะไร ลูกสาวจอมโวยวายของเธอก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“คุณแม่ทำไมมารับเราช้าคะ คุณแม่ไปไหนมา” รฉัตรนั้นเจ้าอารมณ์กว่าผู้เป็นพี่ และเด็กหญิงก็ไม่เหนียมอายที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาแต่ไหนแต่ไร บางครั้งจึงทำให้รฉัตรดูเป็นเด็กอารมณ์ร้าย “คุณแม่รู้ไหมคะว่าหนูรอคุณแม่นานม้าก...”
เพียงรักยกมือลูบศีรษะของลูกทั้งสอง ยิ้มอ่อนโยนออกมาเพราะไม่อาจะห้ามตัวเองได้ก่อนจะพยายามอธิบายให้เด็กๆเข้าใจด้วยเหตุผล “คุณแม่ทำงานค่ะ ขอโทษนะคะ ครั้งนี้คุณแม่ผิดเองคนเดียว”
“หนูคิดว่าคุณแม่คงทำดีที่สุดแล้ว ครั้งนี้หนูจะยกโทษให้” เมื่อคุณแม่ยอมรับผิดรฉัตรก็ผงกหัวแรงๆ รับคำอย่างเป็นการเป็นงาน ยอมยกโทษในการมาสายให้เพียงรักอย่างไม่มีทางเลือกนัก
“ขอบคุณนะคะ”
เพียงรักยิ้มขันบุตรสาว แล้วรั้งเด็กน้อยทั้งสองเข้ามาหอมแก้มหนักๆ อีกหลายครั้ง จนดวินที่ทำขรึมเพราะยังน้อยใจมารดาอยู่นั้นต้องซ่อนยิ้ม เขินคุณแม่คนสวยของเขาที่สุด
“ดวินไม่โกรธคุณแม่ใช่ไหม”
“ไม่โกรธ” ดวินสั่นศีรษะ ผละห่างจากอกของมารดาอย่างไม่มีทางเลือกเมื่อเห็นคุณครูประจำชั้นยังยืนรออยู่ไม่ไกล ซึ่งคงเป็นหน้าที่ของเธอในการรายงานพัฒนาการของเด็กน้อยทั้งคู่ให้ผู้ปกครองฟัง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กๆ จะยอมปล่อยมือจากคุณแม่
ทั้งดวินและรฉัตรยังคงจับมือเพียงรักแน่นแล้วจ้องหน้าครูประจำชั้นอย่างกดดันให้อีกฝ่ายรีบๆ พูด เพื่อที่พวกเขาจะได้รีบกลับบ้านเสียที โดยเฉพาะรฉัตรที่หน้าง้ำดูไม่สบอารมณ์มากกว่าพี่ชาย
“วันนี้น้องมีเพื่อนใหม่แล้วนะคะคุณแม่ เด็กๆ เริ่มปรับตัวได้พอสมควรและดูจะชอบคลาสเรียนดนตรีเป็นพิเศษค่ะ” ครูประจำชั้นอธิบายให้เพียงรักฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ปกติแล้วการที่เด็กย้ายโรงเรียนใหม่นั้นต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการปรับตัว แต่สำหรับสองแฝดนั้นถือว่าปรับตัวกันได้เร็วมาก
“ค่ะ พวกเขาไม่ได้ก่อเรื่องอะไรใช่ไหมคะ” เพียงรักพยักหน้าขณะจับเจ้าสองลิงที่เริ่มประท้วงด้วยการทำตัวไร้ศูนย์ถ่วง ทิ้งร่างลงไปกับแรงดึงดูดของโลกแล้วให้ผู้เป็นแม่รับผิดชอบโดยการออกแรงรั้งพวกเขาให้ยืนตรงจนร่างบอบบางเซไปมา
“ไม่มีค่ะ” คุณครูประจำชั้นหัวเราะน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู สองแฝดนั้นแสบพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าจะควบคุมไม่ได้เลย “ดวินค่อนข้างใจเย็นและมีเหตุผลมาก ส่วนรฉัตรแสดงออกเก่งกว่าพี่ แต่ต้องเอาใจสักหน่อย วิธีที่คุณแม่เคยบอกไว้ใช้ได้ผลทีเดียวค่ะ”
“อย่างนั้นค่อยสบายใจหน่อยค่ะ” เพียงรักผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะต้องก้มหน้าเมื่อรู้สึกว่าแรงดึงที่แขนทั้งสองข้างเริ่มถี่และมากขึ้นจนเธอต้องเอ่ยปราม “แม่คุยกับครูอยู่ลูก”
“แต่เราจะไปเรียนเปียโนสายนะคะ” เป็นรฉัตรที่หาเหตุผลมาอ้างเพราะไม่อยากอยู่ที่โรงเรียนต่อ ขณะที่พี่ชายเพียงแหงนหน้าคอตั้งบ่า จ้องหน้างามของมารดาเป็นการช่วยน้องกดดันแม่ในแบบของเขา “คุณแม่สัญญาว่าเราจะไปกินชานมไข่มุกก่อนด้วยนะคะ ไม่รีบไปเราจะสาย”
“ชานมไข่มุกไม่ดีนะจ๊ะรฉัตร ทานเยอะๆ จะเสียสุขภาพเอานะ” คุณครูประจำชั้นนิ่วหน้า บอกเด็กในชั้นเรียนของตนเป็นเชิงตักเตือน เพราะเท่าที่สังเกตเด็กหญิงดูจะติดกินหวานมากกว่าพี่ชายและเพื่อนๆ ร่วมชั้นคนอื่น
“หนูชอบ หนูจะกิน” รฉัตรก็คือรฉัตร เด็กน้อยขมวดคิ้วใส่ครูประจำชั้นและตอบกลับอย่างไม่เกรงกลัว ด้วยคิดว่าเรื่องนี้คุณแม่สัญญากับเธอเอาไว้แล้ว ก่อนจะหันไปทวงคำตอบจากเพียงรักอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ก็เราสัญญากันแล้ว ใช่ไหมคะคุณแม่”
เพียงรักปวดหัวกับลูกสาว ตอนที่ทำข้อตกลงกันเธออยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รู้อยู่ว่าชานมไข่มุกไม่ดีต่อเด็กๆ แต่ก็รับปากแล้วว่าจะพาพวกเขาไปกินก่อนไปเรียนเปียโน “จ้ะๆ อย่างนั้นลูกต้องสวัสดีคุณครูก่อน โอเคไหม”
แน่นอนว่าสองแฝดรีบปล่อยมือแม่แล้วยกมือไหว้ครูประจำชั้นแทบจะทันที เพราะอยากกินชานมไข่มุกเจ้าปัญหาเต็มแก่ แม้ดวินจะไม่พูดอะไร แต่ก็พอจะดูออกว่าสิ่งนี้เป็นไฮไลต์ที่เขาเฝ้ารอมาตลอดทั้งวันรองจากการเจอเพียงรักในตอนเลิกเรียน
เพียงรักจูงมือสองแฝดเดินออกมาจากโรงเรียนพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่น ระหว่างทางก็ต้องคอยตอบคำถามดวินและรฉัตรไปด้วย โดยเฉพาะรายหลังที่มีเรื่องสงสัยเยอะแยะไปหมด
รฉัตรพูดเป็นต่อยหอยจนดวินต้องเงยหน้าขึ้นมองมารดาราวกับจะขอร้องให้ทำอะไรสักอย่าง เผื่อว่ารฉัตรจะหยุดพูดสักนาที เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่ยังนิ่งเขาจึงต้องลงมือเอง
“ฉัตร เงียบ”
“ไม่! ไม่เงียบ วินนั่นแหละเงียบ”
แฝดน้องแผดเสียงโต้แทบจะทันที เพียงรักได้แต่กลอกตาทำหน้าเมื่อยด้วยความอ่อนใจ
“เงียบเดี๋ยวนี้”
ดวินหน้าบึ้ง เบื่อเสียงแหลมๆ ของน้องสาวที่เกิดหลังเขาเพียงไม่กี่นาที รฉัตรจึงทำเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“ไม่! ไม่! ไม่! ฉัตรไม่เงียบหรอก!!”
“ถ้าลูกยังทะเลาะกันแบบนี้ แม่จะไม่พาไปกินชาไข่มุกแล้วนะ ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ”
“ครับคุณแม่”
เท่านั้นการทะเลาะกันของสองแสบก็ยุติลงราวกับไม่เคยเกิดขึ้น ดวินยังคงมีสีหน้ารำคาญใจ ขณะที่รฉัตรได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ไม่กล้าโวยวายด้วยรู้ถึงความเด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้นของผู้เป็นมารดาดี
เปลือกตาที่ปิดแน่นเพื่อคลายความอ่อนล้าจากการใช้งานอย่างหนักตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมานั้น ค่อยๆ ขยับ พร้อมกับเสียงเรียกเข้าของมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน เจ้าของมือหนาเอื้อมไปคว้ามาแล้วกดรับก่อนลืมตามองดูชื่อผู้โทร. เข้ามาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วหลับลงตามเดิม ขณะยังยกมือถือแนบหูพลางกรอกเสียงห้วนๆ ลงไป
“ถ้ามึงโทร. มาก่อกวนกู มึงก็รีบวางไปเลย วันนี้กูอารมณ์ไม่ดี”
“ไอ้เหนือมึงใจเย็นก่อน กูโทร. มาเพราะมีเรื่องสำคัญ” ปลายสายเองก็ดูจะหงุดหงิดไม่น้อยที่เพื่อนสนิทชิงดักทางทั้งที่เขายังไม่ได้ปริปากพูดสักคำ
“เรื่องอะไร” แดนเหนือถามไปอย่างนั้น ความจริงแล้วแม้ว่าเพื่อนสนิทจะโทร. มาเพื่อพูดเรื่องอะไร เขาก็ไม่แคร์ เพราะตอนนี้แค่ลำพังตัวเองเขายังจะเอาไม่รอดเลย คงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือใครไม่ได้ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทอย่างธนาก็ตาม
“มึงจำได้ไหมว่ากูมีหลาน”
“แล้วมึงจะมาเท้าความเรื่องสำมะโนครัวมึงให้กูฟังทำไมวะ” แดนเหนือถามเสียงห้วน เตรียมตัดสายเพื่อนสนิทด้วยความรำคาญ
“ฟังก่อนสิไอ้เวร มันก็ต้องเท้าความก่อนไหมล่ะ” ธนาอยากจะหักคอเพื่อนสนิท ก่อนเขาจะรีบสะกดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ก่อน เพราะมีเรื่องสำคัญกว่าต้องทำ “คือวันนี้พี่สาวกูไปรับลูกที่โรงเรียน...”
“แล้วไงวะ”
“ไอ้ควาย! มึงฟังกูก่อน” ธนาสบถ เกลียดที่เพื่อนของเขาโง่และมักจะทำพลาดเพราะความหุนหันพลันแล่นอยู่บ่อยครั้ง นิสัยนี้แดนเหนือเป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนจนตอนนี้ทำงานแล้วก็ยังแก้ไม่หาย ไม่รู้ว่าจากนิสัยจะกลายเป็นสันดานไปแล้วหรือเปล่า
“พี่กูไปรับหลานที่โรงเรียนใช่ไหม...”
“เออ แล้วไงวะ”
“แล้วเขาจำได้ว่าเขาเจอเพื่อนกู...”
“ไม่ใช่กู กูทำงานอยู่ ยังไม่ได้ไปไหนเลย” แดนเหนือชิงบอก มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไปโผล่ที่โรงเรียนอนุบาลตอนที่งานกองเป็นภูเขาบนโต๊ะกัน
“ไม่ใช่มึงไอ้ควาย!” ธนาบริภาษเพื่อนอีกคำรบ เบื่อที่ต้องพูดกับคนโง่อย่างแดนเหนือ “พี่สาวกูเขาเห็นเพียง...เพียงกลับมาแล้วเหรอวะ”
“แล้วมึงจะมาถามอะไรกู” น้ำเสียงของแดนเหนือเปลี่ยนไปชัดเจน ดวงตาคมเปิดขึ้นพร้อมกับมือแกร่งที่จับมือถือเครื่องบางสั่นระริก ก่อนชายหนุ่มจะเอ่ยลอดไรฟัน “มึงคิดว่ากูจะรู้เหรอว่าเขาไปไหน จะกลับมาเมื่อไหร่”
ธนาถอนหายใจ เรื่องการเลิกราของแดนเหนือและเพียงรักเมื่อหลายปีก่อนนั้นเขารู้ดี เพราะเขาเป็นคนไปหิ้วมันจากร้านเหล้ากลับหอเองทุกคืน
“เออ กูรู้ว่ามึงไม่รู้หรอก แต่ว่า...กูมีเรื่องสำคัญกว่านั้นว่ะ”
“กูไม่ได้อยากรู้” แดนเหนือตัดบท ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นเขาไม่อยากรู้ ไม่อยากได้ยินเลยสักนิด “มึงไม่ต้องมาบอกกู กูกับเขาตายจากกันไปแล้ว”
“แต่เรื่องนี้มึงต้องรู้ว่ะ” ธนาไม่สนใจว่าเพื่อนของเขาต้องการอะไร ชายหนุ่มตัดสินใจส่งรูปที่พี่สาวส่งมาถามเขาเพื่อความแน่ใจให้แดนเหนือ ก่อนบอกด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “มึงดูรูปก่อน...กูคิดว่ากูจำเพียงไม่ผิด”
แดนเหนือเปิดรูปที่ธนาส่งมาให้ทันทีก่อนจะต้องแข็งค้าง มือไม้เย็นเฉียบ หูอื้อเหมือนทหารที่เพิ่งเผชิญกับระเบิด เมื่อเห็นรูปของหญิงสาวที่ดูไม่กี่วินาที แดนเหนือก็รู้ว่าเป็นเพียงรักแน่
ผู้หญิงที่หายไปจากชีวิตเขาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา...ในรูปนั้นหญิงสาวกำลังกอดกับเด็กสองคนอย่างสนิทสนม
“นี่มันเหี้ยอะไร หมายความว่าไงวะ!” แดนเหนือกลับมาในสาย พร้อมกับความโกรธที่ปะทุขึ้นมาจนเห็นทุกอย่างเป็นสีแดง
“กูก็ไม่รู้ว่ะเหนือ” ธนาพึมพำเสียงเบาอย่างหนักใจไม่แพ้เพื่อน ก่อนจะปล่อยหมัดฮุกที่ทำให้แดนเหนือแทบจะร่วงจากเก้าอี้ “แต่มึงแน่ใจนะว่ามึงไม่มีลูก...เด็กสองคนนั้นหน้าเหมือนมึงมากเลยนะเว้ย ไม่ใช่ลูกมึงแน่เหรอ”
ความคิดเห็น |
---|