2

อดีตเคยแรง

อดีตเคยแรง


เมื่อแยกกับแดนเหนือแล้ว
 กว่าที่เพียงรักจะกลับมาหายใจเต็มปอดได้อีกครั้งก็เป็นหลังจากที่เธอไปส่งรฉัตรที่โรงเรียนสอนบัลเล่ต์เรียบร้อย จนตอนนี้กำลังพาดวินมาเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับการเรียนวาดรูปในวันพรุ่งนี้ อันเป็นช่วงเวลาที่เด็กชายจะทำทุกอย่างได้ตามใจตัวเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความต้องการของน้องสาว แน่นอนว่ารฉัตรเองก็จะมี ‘เวลาของรฉัตร’ เช่นเดียวกันในวันถัดไป นั่นก็คือช่วงเวลาที่ดวินไปเรียนวาดรูปนั่นเอง

“คุณแม่ครับ...”

“ว่าไงจ๊ะ” เพียงรักหลุดออกจากภวังค์ได้เพราะแรงกระตุกที่ชายเสื้อ ซึ่งก็เป็นฝีมือของลูกชายสุดหล่อของเธอนั่นแหละ “แม่ขอโทษจ้ะ แม่คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“เราต้องซื้อกระดาษด้วยไหมครับ” ดวินถาม ดวงตาคมซึ่งได้มาจากฝั่งพ่อนั้นจ้องเป๋งที่กระดาษวาดรูปซึ่งเรียงอยู่เป็นตั้งตรงหน้าเขา

“ที่โรงเรียนเขาเตรียมเอาไว้ให้เราแล้วจ้ะ ซื้อแค่พวกดินสอไปก่อนดีไหม” เพียงรักย่อตัวลงมาช่วยลูกชายเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับเรียนวาดรูปที่ได้รับคำแนะนำจากหมอของเด็กๆ มาอีกทีหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่ามันจะช่วยฝึกสมาธิของดวินได้ “เรียนวันแรกแม่ไม่รู้ว่าคุณครูของดวินเขาจะสอนอะไร เดี๋ยวถ้าขาดอะไรเราค่อยกลับมาซื้อเพิ่ม”

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ” ดวินหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง นิสัยชอบคิดไตร่ตรองนานๆ ของเด็กชายนั้นนับว่าต่างกับรฉัตร “แล้วเราไปทานไอศกรีมต่อกันได้ไหมครับคุณแม่”

“ได้อยู่แล้ว...วันนี้เป็นวันของวินนี่นา” 

เพียงรักยิ้มกว้าง ก้มมองอุปกรณ์วาดรูปที่บุตรชายเลือกใส่ตะกร้าแล้วคนเป็นแม่อย่างเธอก็ได้แต่ยิ้มกว้าง ดีใจที่การย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ไม่ได้กระทบกับเด็กๆ นัก โรงเรียนของฝาแฝดล้วนใช้ภาษาอังกฤษผสมกับภาษาไทย โรงเรียนสอนเปียโนก็นับว่าไม่ด้อยไปกว่าตอนที่อยู่อังกฤษ แถมทั้งรฉัตรและดวินยังไม่ต้องทิ้งกิจกรรมที่ตัวเองชอบอย่างบัลเลต์และวาดรูปอีก ซึ่งถือว่าเธอยังโชคดีบ้าง ไม่อย่างนั้นเด็กๆ คงลำบากเรื่องการปรับตัวมากกว่านี้ 

“อย่างนั้นเราไปจ่ายเงินกันดีไหม จะได้มีเวลานั่งที่ร้านไอศกรีมกัน”

“ครับ” 

เพียงรักจูงมือลูกชายของเธอมาจ่ายชำระเงิน พนักงานร้านเครื่องเขียนซึ่งน่าจะยังเป็นนักศึกษาอยู่นั้นต่างลอบมองหญิงสาวด้วยความชื่นชม เพียงรักเป็นผู้หญิงสวยจัดแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน...หญิงสาวสวยจนตาพร่า กระทั่งมือไม้ที่กำลังจับของแต่ละชิ้นออกจากตะกร้าก็สั่นงันงกจนน่าขัน

“เพื่อนของคุณแม่ที่มาวันนี้...”

“ทำไมจ๊ะ” เพียงรักละสายตาจากมืออันสั่นเทาของพนักงานลงมามองหน้าลูกชายของเธอ คิ้วงามเลิกสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะปกติดวินไม่ค่อยสนใจใครเท่าไหร่ หรือว่าตอนที่แดนเหนือกอดลูก เขาทำอะไรเด็กๆ อย่างนั้นหรือ “เขาทำอะไรวินหรือเปล่า”

“ตอนที่กอด...ผมเห็นเขาร้องไห้”

“อะไรนะ” เพียงรักเผลอขมวดคิ้วใส่ดวิน มั่นใจว่าเธอคงได้ยินผิดไปแน่ๆ คนอย่างแดนเหนือน่ะหรือจะร้องไห้... “เขาร้องไห้อย่างนั้นหรือจ๊ะ วินแน่ใจหรือ”

“ครับ” เด็กชายพยักหน้า มั่นใจว่ารอยหยาดน้ำตาที่เสื้อเขานั้นต้องเป็นน้ำตาของเพื่อนแม่อย่างแน่นอน ก็เขาเห็นเต็มตานี่นาว่าเพื่อนของคุณแม่ร้องไห้ “ทำไมคุณลุงเขาต้องร้องไห้ด้วยครับ”

“ไม่รู้สิจ๊ะ...” เพียงรักไม่ได้โกหกลูก เธอไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรที่ทำให้แดนเหนือต้องร้องไห้ต่อหน้าลูกอย่างนั้น ทว่าเธอกลับไม่คิดจะหาคำตอบ เพียงสูดลมหายใจแล้วหันไปส่งบัตรเครดิตให้พนักงานแทน 

“ผมนึกว่าเขาสนิทกับคุณแม่ ตกลงแล้วไม่ได้สนิทกันหรือครับ” แน่นอนว่าดวินเป็นเด็กช่างสังเกต แม้ว่าจะอายุเพียงเท่านี้ ทว่าการที่จะโกหกเขานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 

“เขาเป็นเพื่อนของแม่จ้ะ แต่เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว” เรื่องนี้เพียงรักไม่ได้โกหก เธอไม่ได้เจอแดนเหนือร่วมห้าปีแล้วจริงๆ “จะเรียกสนิทกันได้ไหม แม่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”

“ผมว่าเขาน่าสงสาร”

“หืม” เพียงรักต้องยอมว่าเธอแปลกใจจริงๆ แต่ก็พอจะเข้าใจเพราะลูกเธอเป็นพวกขี้สงสารอยู่แล้ว ยิ่งรฉัตรนั้นเป็นหนักกว่าพี่ชายอีก “ทำไมวินถึงคิดว่าเขาน่าสงสารละลูก”

“ก็...ผมคิดว่าเพื่อนคุณแม่คงไม่ค่อยมีความสุข คนมีความสุขไม่ร้องไห้กัน” ดวินพูดไปตามประสา สอดมือเข้าไปในอุ้งมือนุ่มนิ่มของเพียงรัก ขณะที่ปากก็พูดเจื้อยแจ้วไปด้วย เด็กชายกลายเป็นคนพูดมากไปโดยปริยายเมื่ออยู่กับเพียงรักลำพัง 

“ขนาดนั้นเลย” เพียงรักหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูลูกชาย “เรานี่โตใหญ่แล้วน้า...พูดจาเหมือนผู้ใหญ่เข้าไปทุกวัน”

“คุณยายเคยบอกว่า...” เด็กชายเท้าความขณะที่แกว่งแขนข้างที่จับกับมือของแม่ไปมา “เราต้องใจดีกับคนทุกคน ไม่ควรทำให้ใครร้องไห้ ต้องมีความสุขเยอะๆ”

“อย่างนี้นี่เอง...”

“แล้วมีความสุขก็ให้หัวเราะมากๆ...ผมเลยรู้ว่าคนที่ไม่มีความสุขก็จะร้องไห้”

“ยายเขาสอนอะไรเราบ้างเนี่ยตอนที่แม่ไม่อยู่” เพียงรักเหมือนบ่นกับตัวเองมากกว่าจะต้องการคำตอบจริงจังจากลูกชาย จริงอยู่ที่เธอเลี้ยงลูกเองตั้งแต่เด็กๆ คลอดออกมา ทว่าเมื่อเธอต้องกลับไปเรียนมหาลัย ก็มีบางช่วงที่ต้องทิ้งดวินและรฉัตรไว้กับผู้เป็นมารดา และจ้างพี่เลี้ยงบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อจวนตัวหรือไม่มีใครในบ้านว่างดูแลเด็กๆ 

“ก็สอนหลายอย่าง...คุณยายชอบให้พูดภาษาไทย” 

เท่านั้นเพียงรักก็หลุดขำลูก เรื่องความเข้มงวดกับเด็กๆ ในการพูดภาษาไทยนั้น เห็นจะมีแต่มารดาของเพียงรักนี่แหละที่เข้มงวด ส่วนตัวเพียงรักนั้นอยากให้ลูกใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า เพราะมันจะดีต่อตัวของพวกแกที่จะใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกมากกว่า แต่แล้วเธอก็ต้องนึกขอบคุณความเข้มงวดของมารดา เมื่อมีคำสั่งจากพี่ชายให้เธอกลับมาดูแลบริษัทที่เมืองไทย และต้องหิ้วเด็กๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาด้วย 

“เหมือนคุณยายจะรู้เลยว่าเราต้องกลับมาอยู่ที่นี่”

“ผมชอบนะครับ...หมายถึงชอบที่นี่” 

เพียงรักฟังแล้วก็ทำได้แค่ยิ้ม เพราะความตั้งใจแรกของเธอนั้นคือ ให้ลูกเกิดและโตอยู่ที่โน่นไปตลอด ไม่ได้มีแผนที่จะหวนกลับมาที่นี่อีก ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผนที่คอยวางไว้เลยสักนิด และตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าความแปรปรวนนี้มันจะนับว่าเป็นผลดีหรือผลร้ายกับครอบครัวของเธอกันแน่

แต่ที่แน่ๆ แดนเหนือในภาคร้ายกาจที่เธอเพิ่งเผชิญหน้ามาวันนี้ ไม่น่าจะนับว่าเป็นเรื่องดีได้

“เดี๋ยวเรามีแขกมาทานข้าวเย็นด้วยนะ” เพียงรักกระซิบบอกลูก

“ใครอีกครับ วินอยากอยู่กับคุณแม่กับฉัตร” ดวินไม่ชอบเจอเพื่อนๆ ของเพียงรัก ตั้งแต่กลับมาอยู่เมืองไทยพวกเขาแทบจะไม่มีเวลาส่วนตัวแม่ลูกเลย เดี๋ยวเพื่อนคนโน้นก็มา เดี๋ยวเพื่อนคนนี้ก็มา 

“ความลับจ้ะ แต่แม่รับรองว่าคนนี้ไม่วุ่นวายแน่นอน”

“ผมนึกว่าเราจะได้ทานข้าวกันสามคน...”

“เอาไว้วันไหนที่วินเลือกร้าน...เราจะทานกันแค่สามคนดีไหม วันนี้ฉัตรเป็นคนเลือกร้าน น้องอยากเจอเพื่อนของแม่” เพียงรักประนีประนอม แขกที่จะมาร่วมโต๊ะดินเนอร์กับพวกเขาเป็นแขกคนโปรดของรฉัตร ดังนั้นความเห็นของดวินจึงต้องนับว่าเป็นรองน้องสาวในครั้งนี้ 

“ก็ได้ครับ ถ้าฉัตรอยากเจอก็ได้” ดวินพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก 

“ลูกชายของแม่น่ารักที่สุดเลย...”

 

เป็นช่วงเย็นมากแล้วที่คลาสเรียนบัลเลต์ของรฉัตรจบลง เพียงรักและดวินกลับไปรับสาวน้อยที่วันนี้อยู่ในชุดบัลเลต์สีชมพูก่อนเวลาเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสามจะขึ้นรถแล้วตรงมาที่ร้านอาหารซึ่งเพียงรักลงขันกับเพื่อนสนิทสมัยเรียน หรือพูดให้ถูกก็คือเพียงรักช่วยออกเงินทุน ส่วนเพื่อนของเธออย่างปัทมาจัดการทุกอย่างตั้งแต่เช่าร้านจนตกแต่งภายใน ขนาดวันเปิดก็มีเพียงปัทมาเท่านั้นอยู่เฝ้าร้าน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าเพียงรักเป็นเจ้าของร้านครึ่งหนึ่ง

“ไหนดูสิใครมา...” 

“คุณแม่ปัท! รฉัตรมาหาค่ะ” รฉัตรพุ่งเข้าไปหาหญิงสาวที่คุณแม่บอกว่าเป็นเพื่อนสนิท ก่อนจะสวมกอดปัทมาแล้วหอมแก้มกันซ้ายขวาราวกับไม่ได้เจอกันมาแรมปี ทั้งที่ความจริงเพิ่งเจอกันไปไม่กี่วันก่อนนี่เอง

“ฉัตรอย่าเสียงดังค่ะ เราอยู่ข้างนอก ห้ามรบกวนคนอื่นนะลูก” เพียงรักปรามลูกสาว เรื่องมารยาทในร้านอาหารนั้นเธอเข้มงวดกับลูกมาก...แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ 

“ค่ะคุณแม่...” รฉัตรพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อต้องสะกดเสียงแหลมๆ ประจำตัว ทว่ารอยยิ้มบนหน้ากลับยากเหลือเกินที่จะเก็บซ่อน จนปัทมากวักมือเรียกดวินนั่นแหละ รฉัตรจึงต้องหันหน้าไปมองพี่ชายและรอยยิ้มที่ว่าจึงค่อยๆ หุบลง 

“สวัสดีครับแม่ปัท”

“โธ่...ลูกแม่” ปัทมานั้นทั้งรักทั้งหลงสองแฝดยิ่งกว่าอะไรดี หญิงสาวรวบเด็กทั้งสองเข้ามากอดแน่นแล้วหอมแก้มซ้ายขวาเอาให้สมกับความคิดถึง “เป็นไงบ้างคะ วันนี้เรียนสนุกไหม”

“ไม่ค่ะ”

“ก็ดีครับ”

คำตอบช่างสมเป็นสองแฝด ทั้งเพียงรักและปัทมาจึงได้แต่มองหน้ากันและกันก่อนจะหลุดขำออกมา ด้านคนเป็นแม่จริงนั้นถึงกับสั่นศีรษะด้วยความอ่อนใจ เธอเองก็ไม่ได้ชอบโรงเรียนมากมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกลียดเหมือนอย่างรฉัตร ดูท่าลูกเธอคนนี้น่าจะรุ่งเรื่องทำกิจกรรมมากกว่าเรื่องเรียน

“แต่ว่าวันนี้พวกเรามาร้านแม่ปัท...แม่ปัทเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้เราเยอะเลยนะ ไข่เจียวปูใช่ไหม” หญิงสาวเข้าใจพูดเอาใจเด็กทั้งสองที่ติดรสมือของแม่ปัทกันเหลือเกิน คุณแม่ที่ทำอาหารไม่เก่งอย่างเพียงรักจึงตกกระป๋องไปอย่างน่าสงสาร 

“อือฮึ ฉัตรรอทานข้าวที่ร้านแม่ปัทมาตั้งนาน” รฉัตรรีบพยักหน้าแรงๆ เพื่อยืนยันคำพูดของปัทมาเรื่องอาหารจานโปรดของเธอ 

“ไม่เห็นต้องรอเลย แค่ให้แม่เพียงเขาโทร. มา แม่ปัทก็จะเตรียมกับข้าวให้พวกเราทุกอย่างเลย” ปัทมานั้นปากหวานสมกับเป็นคนโปรดของสองแฝด “หรือจะให้คนเอาไปส่งที่บ้านแม่ปัทก็จัดให้ได้...”

“แหม...ใจป้ำจังครับแม่ปัท” 

เสียงกระแหนะกระแหนนั้นเป็นของชายหนุ่มผู้มาใหม่ที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา ร่างสูงยิ้มทะเล้นส่งให้เพียงรักและคุณแม่ไม่จริงอย่างปัทมา ก่อนจะยกมือไหว้ 

“หวัดดีครับพี่เพียง...”

“อาเกื้อ!” เสียงดังลั่นนั้นเป็นของสองแฝดที่ผละจากปัทมาแล้ววิ่งขาขวิดเข้าไปหาเกื้อกูลทันที “อาเกื้อๆ”

“ว่าไงครับคนเก่ง” เกื้อกูลอุ้มสองแฝดขึ้นมาแนบเอวทั้งสองข้างอย่างที่เพียงรักทำไม่ได้ โดยที่สีหน้ายังคงประดับยิ้มไม่สะเทือนกับน้ำหนักของดวินและรฉัตรแม้แต่นิด “คิดถึงอาบ้างหรือเปล่า ไม่เจอกันตั้งหลายวัน”

“คิดถึงสิครับ” ดวินตอบพลางยื่นหน้าไปหอมแก้มอาเกื้อของเขา 

“ฉัตรก็คิดถึงอาเกื้อ...ฉัตรนึกว่าวันนี้อาเกื้อจะไม่มา” รฉัตรเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ใช้มือทั้งสองข้างนั้นจับใบหน้าเกื้อกูลให้หันมาหาเธอก่อนจะหอมแก้มเขาบ้าง “คุณแม่บอกว่าอาเกื้อไม่ว่าง”

“ทำไมอาจะไม่ว่างล่ะ ถ้ามาหาพวกเราอาว่างตลอดอยู่แล้ว” 

เกื้อกูลรีบประจบหลานรักของเขา ขณะที่เพียงรักกับปัทมานั้นมองพวกเขาด้วยสีหน้าระอา ใช่ว่าพวกเธอจะไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เกื้อกูลแจ้นมาหาสองแฝดทันทีที่เพียงรักโทร. ไปชวน ทว่ามีเพียงปัทมาคนเดียวที่กล้าเอ่ยมันออกมา

“ไม่ใช่ว่าอยากมาทานข้าวฟรีหรือยะ” ปัทมาและเกื้อกูลนั้นไม่ลงรอยกันแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่พบกันครั้งแรกตอนบินไปเยี่ยมสองแฝดที่อังกฤษจนตอนนี้ ทั้งคู่ก็ยังสรรหาเรื่องมาทะเลาะกันได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“ทำไมแม่ปัทพูดแบบนี้ล่ะครับ...ต่อหน้าลูกๆ เลยนะ” เกื้อกูลถามด้วยสีหน้ายียวน 

แม่ปัทขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เด็กหนุ่มจอมกวน น่าเตะเหมือนพี่ชายเลยไอ้เด็กนี่...

“ดีนะที่หลานผมฟังภาษาไทยไม่ค่อยเก่ง ไม่อย่างนั้นคงเสียคนเพราะมีแม่แบบป้า” 

“ใครป้าแกยะ!” ปัทมาแยกเขี้ยว เกือบจะเข้าไปบีบคอเกื้อกูลแล้ว หากเพียงรักไม่คว้าต้นแขนของเธอเอาไว้เสียก่อน จึงได้แต่ฟึดฟัดพอเป็นพิธีก่อนคาดโทษเกื้อกูลอย่างหมายหัว “ฝากไว้ก่อนเถอะ”

“จะมาเอาตอนไหนก็โทร. มาบอกด้วยแล้วกัน จะได้รีบอาบน้ำเตรียมตัวรอ” เกื้อกูลว่าแล้วยักคิ้วกวนประสาทปัทมาอีกคำรบ

“หน็อย...”
        “พอได้แล้วเกื้อ...เรานี่ยังไง กวนปัทเขาอยู่ได้” เพียงรักเป็นคนออกปากห้ามทัพ นิ่วหน้ามองทั้งคู่สลับกันด้วยความเหนื่อยใจผสมระอา ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งสองจึงจงเกลียดจงชังกันนัก...ทะเลาะกันตั้งแต่สองแฝดยังเดินไม่ได้จนตอนนี้ลูกของเธอเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วยังไม่มีท่าทีว่าจะญาติดีกันเลย ไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง 

“แล้วนี่เกื้อมาคนเดียวหรือ”

เกื้อกูลหน้าเหลอ ปล่อยหลานๆ ของเขาลงกับพื้นหลังจากหอมแก้มกันจนชื่นปอดแล้ว “อ้าว ผมนึกว่าป๊ามาถึงก่อนแล้ว ปกติป๊าไม่เคยสายนะครับพี่เพียง”

“คุณลุงท่านมาแล้ว” คราวนี้เป็นปัทมาที่แทรกขึ้น เพราะเธอเป็นคนต้อนรับแขกคนสำคัญด้วยตัวเอง “ตอนนี้คุณลุงท่านนั่งรออยู่ข้างใน จะไปกันหรือยังล่ะ”

“อ้าว แล้วก็ไม่บอกแต่แรก” 

เกื้อกูลแสร้งตำหนิเจ้าของร้านคนสวยและแน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ ยกมือขึ้นเท้าเอวแล้วเงยมองหน้าคมของเด็กหนุ่มด้วยสายตาเอาเรื่องตอบ จนร่างสูงต้องหัวเราะแหะๆ แล้วอ้อมแก้มแก้ไขสถานการณ์ 

“ขอโทษพี่ ไม่ได้ตั้งใจกวน...เด็กๆ เข้าไปหาคุณปู่พร้อมอาเกื้อดีกว่าเนาะ”

“อาเกื้อๆ อาเกื้อรู้ไหมคะว่าพรุ่งนี้วินจะไปเรียนวาดรูปแล้ว” รฉัตรจูงมือเกื้อกูลข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างของคุณอายังหนุ่มนั้น ปล่อยพี่ชายอย่างดวินซึ่งยังเงียบแม้ว่าจะตกเป็นหัวข้อสนทนาจับจูงไป “วันนี้ฉัตรก็ไปเรียนบัลเลต์ โรงเรียนใหม่ด้วย”
             “ฉัตรเก็บไว้เล่าตอนกินข้าวกับคุณปู่ดีไหมคะ” ใช่ว่าเกื้อกูลจะไม่อยากฟังความเป็นไปของหลานๆ แต่เขาก็รู้ว่าในที่นี้ยังมีคนอื่นที่อยากรู้ และมีเรื่องที่อยากพูดกับหลานมากกว่าเขาเยอะอยู่อีกคน “ถ้าอาเกื้อรู้ก่อนเดี๋ยวคุณปู่เราก็งอนอาเกื้ออีก”

“คุณปู่ไม่งอนอาเกื้อหรอก คุณปู่แค่ยึดบัตรอาเกื้อ” 

เสียงโต้ตอบแจ้วๆ นั้นเป็นของรฉัตรเพียงคนเดียว เพราะพี่ชายอย่างดวินเดินตามแรงจูงของเกื้อกูลไปเงียบๆ เต็มที่ก็เพียงหันมองมารดาที่เดินตามมาด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเพียงรักไม่ได้หยุดเดินหรือแวะคุยกับปัทมา เด็กชายก็หันหน้ากลับไปสนใจสิ่งที่เกื้อกูลและรฉัตรคุยกันต่อ

กระทั่งมาถึงห้องรับประทานอาหาร ดวินกับรฉัตรก็พร้อมใจบิดมือออกจากการเกาะกุมของคุณอาคนโปรด เพื่อที่พวกเขาจะได้วิ่งเข้าไปหาร่างท้วมที่นั่งรอพวกเขาอยู่ด้านในได้ทันที

“คุณปู่!” เมื่ออยู่ในห้องส่วนตัว เด็กๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าเพียงรักจะดุหากพวกเขาเสียงดัง ยิ่งมีคุณปู่อยู่ด้วยแล้วใครก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ 

“ฉัตรคิดถึงคุณปู่ที่สุดเลยค่ะ”

“คนสวยของปู่ ไหนๆ มาให้ปู่กอดให้หายคิดถึงหน่อยสิคนเก่ง” ผดุงธรรมเรียกหลานสาวคนเดียวของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดกับตอนที่พูดคุยกับลูก 

เกื้อกูลอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเซ็ง คิดว่านี่มันสองมาตรฐานชัดๆ เลย เวลาพ่ออยู่กับเขาไม่มีหรอกที่จะยิ้มกว้าง อ้าแขนรอรับแบบนี้ 

ผดุงธรรมโอบแขนรอบร่างเล็กของรฉัตรแน่น สมกับที่เอ่ยว่าต้องการกอดเด็กหญิงให้หายคิดถึง แถมด้วยการหอมแก้มรฉัตรอีกหลายฟอด โดยที่ดวินนั้นยืนต่อคิวอยู่ข้างๆ พอน้องสาวถอนกายออกจากอ้อมกอดของผู้เป็นปู่ เด็กชายจึงได้รับความสนใจจากผดุงธรรม

“วินของปู่ มาๆ มาให้ปู่กอดหน่อย”

“ผมคิดถึงคุณปู่” ดวินเอ่ยเรียบๆ ตามวิสัย แต่อ้อมกอดของเด็กชายกลับรัดรอบต้นคอของผดุงธรรมอย่างแนบแน่นราวกับจะยืนยันคำพูดเมื่อครู่ หนุ่มต่างวัยกอดกันเนิ่นนานราวกับว่า ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่พวกเขาไม่ได้พบกันนั้นเนิ่นนานเป็นแรมปี จึงต้องกอดกันนานเป็นพิเศษ

“เด็กดีๆ” มืออันหยาบกร้านของคุณปู่ผดุงธรรมลูบศีรษะเล็ก ยิ้มกว้างอย่างคนที่มีความสุขเมื่อดึงกายออกมาเพื่อมองหน้าหลานชายคนโต คิดอยู่แล้วว่ามีเด็กๆ ล้อมหน้าล้มหลังแบบนี้ย่อมต้องมีความสุข แต่หลานทั้งสองของเขานั้นทำให้คนแก่มีความสุขกว่าที่เคยจินตนาการไว้ ส่วนหนึ่งคงเพราะการอบรมสั่งสอนจากเพียงรักด้วย หลานของเขาจึงเติบโตมาดีเช่นนี้ 

“เป็นยังไงกันบ้าง...โรงเรียนใหม่”

“น่าเบื่อมากค่ะ แต่ว่าเพื่อนๆ ฉัตรชอบ...” รฉัตรบอกด้วยใบหน้าง้ำงอ แสดงออกถึงความรู้สึกที่เด็กหญิงมีต่อโรงเรียนใหม่ได้อย่างดี ขณะขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ขวามือของผดุงธรรมด้วยความช่วยเหลือของเพียงรัก 

ดวินนั้นได้คุณปู่ช่วยอุ้มขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ซ้ายมือ ตอนนี้จึงเรียกได้ว่า ผดุงธรรมมีหลานรักของเขานั่งขนาบข้าง ก่อนจะเป็นเพียงรักที่นั่งถัดจากรฉัตร แล้วจึงเป็นเกื้อกูลทรุดนั่งฝั่งเดียวกับหลานชาย โต๊ะกลมในห้องอาหารจึงเหลือที่นั่งว่างอยู่หนึ่งที่เหมือนทุกครั้ง 

“ที่โรงเรียนสนุกดีครับ วันนี้เลิกเรียนแล้วฉัตรไปเรียนบัลเลต์ต่อ”

“วินอย่าแย่งเล่าเรื่องของฉัตรสิ” รฉัตรประท้วงพี่ชาย ดวงหน้าเล็กๆ ง้ำงอกระทั่งเสียงหัวเราะทุ้มลึกของคุณปู่ดังขึ้น เด็กหญิงจึงต้องดึงสายตาขึ้นมองใบหน้าของท่าน แล้วบ่นอุบอิบอย่างแง่งอน “ฉัตรอยากเป็นคนเล่าให้คุณปู่ฟังเอง”

“ให้ใครเล่าก็เหมือนกัน” 

ดวินพึมพำโต้น้องสาว ก่อนฝ่ามือใหญ่ของปู่จะวางลงบนกระหม่อมของเขาและรฉัตร สองพี่น้องจึงจำต้องยุติการทะเลาะกันลงอย่างไม่มีทางเลือก

“ไม่เอาๆ ได้อยู่กับปู่ทั้งที อย่าทะเลาะกันนะลูกนะ” 

แม้ว่าจะเป็นคนที่มีเชื้อสายจีน ทว่าผดุงธรรมกลับไม่ลำเอียงรักหลานชายมากกว่าหลานสาว อาจจะเพราะว่าเขาเคยมีบทเรียนครั้งที่ให้ท้ายบุตรชายคนโตอย่างแดนเหนือ จนเสียผู้เสียคนมาจนทุกวันนี้แล้ว จึงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย อีกอย่างรฉัตรก็ขยันออดอ้อนขยันฉอเลาะ ตาชั่งคะแนนเมตตาจึงเอียงไปทางหลานสาวคนเล็ก มากกว่าหลานชายผู้เคร่งขรึมอย่างดวิน 

“หิวกันแล้วหรือยังล่ะ สั่งอาหารกันเลยไหม”

“เอาค่ะๆ” 

“ครับ” 

แม้ว่าจะมีแววเคร่งขรึมกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ หากเป็นเรื่องของกินละก็ ไม่มีทางเสียหรอกที่ลูกของเพียงรักจะปฏิเสธ 

พอเด็กๆ มัวแต่แข่งกันยกมือสั่งอาหาร คนแม่อย่างเพียงรักจึงมีโอกาสได้รับความสนใจจากผดุงธรรมบ้าง ใบหน้างามของเพียงรักแต้มรอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อหันไปสบตากับปู่ของลูกโดยบังเอิญ ก่อนผดุงธรรมจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน 

“เป็นไงบ้าง วันนี้ไอ้เหนือมันบอกว่าจะไปหาเรา”

“เจอกันแล้วค่ะ เขาก็...หงุดหงิดนิดหน่อยตามประสา แต่หนูรับมือได้ค่ะ” เพียงรักตอบผดุงธรรมเป็นภาษาไทย เรื่องที่แดนเหนือเป็นใครนั้นเธอยังไม่ได้บอกเด็กๆ แต่ถึงอยากจะบอกก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรอยู่ดี 

“พี่เพียงสุดยอดเลย ผมนึกว่าป๊าต้องให้คนไปประกันตัวเฮียแล้ว” เป็นเกื้อกูลที่เอ่ยแทรกด้วยสีหน้าและน้ำเสียงชื่นชมเพียงรัก ใจจริงอยากจะยกมือซูฮกหญิงสาวด้วยซ้ำไปหากไม่ติดว่าต้องแข่งหลานสั่งอาหาร 

“ไม่เห็นมีอะไรนะ โดนจิกกัดนิดหน่อย แล้วก็คงเพราะอยู่ที่โรงเรียนเด็กๆ ด้วยแหละ เหนือเลยไม่กล้าทำอะไรมาก” 

เพียงรักเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบขณะคนที่อยู่บ้านเดียวกับแดนเหนือนั้นต่างพร้อมใจกันเบ้หน้า มั่นใจว่าหากคนที่แดนเหนือไปเจอวันนี้ไม่ใช่เพียงรัก ตอนนี้พวกเขาคงไม่พ้นต้องปวดหัวเพราะแดนเหนือก่อปัญหาอีก ใครๆ ก็รู้ว่าแดนเหนือน่ะบ้าบิ่นขนาดไหน ลองโมโหขึ้นมาทีหนึ่ง หากไม่ได้เข้าคุกก็ไม่ต้องเรียกว่าแดนเหนือแล้ว 

“ปกติเฮียสนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนล่ะพี่ ผมว่าเฮียคงกลัวพี่มากกว่า” 

ผดุงธรรมเห็นด้วยกับคำพูดนี้ของเกื้อกูล ลูกชายคนโตของเขามันบ้าเกินเยียวยาจริงๆ แต่ที่ไม่กล้าก่อเรื่องวันนี้คงเป็นเพราะเพียงรักมากกว่า ไม่ใช่เพราะพวกเขาอยู่ที่โรงเรียนของเด็กๆ หรอก 

“เราก็พูดไปเรื่อย...” เพียงรักถอนหายใจแรง ก่อนจะสั่นศีรษะเชิงไม่เห็นด้วยกับเกื้อกูล “เหนือเขาจะมากลัวอะไรกับพี่ พี่เคยทำอะไรเขาได้ที่ไหน”

“โห...น้อยไปสิครับ” เกื้อกูลสั่นศีรษะแรงๆ ก่อนแย้งเพียงรักด้วยเสียงแหลมปรี๊ด “พี่เพียงไม่รู้อะไรว่าตั้งแต่ที่พี่เพียงทิ้งเฮียไป เฮียเมาเป็นหมากลับบ้านทุกคืน”

“เว่อร์แล้วเกื้อ”

“ไม่เว่อร์พี่ ความจริงล้วนๆ หมาที่ร้องหงิงๆ น่ะพี่เคยเห็นหรือเปล่า” 

เกื้อกูลแย้งเสียงหลง สั่นศีรษะแรงๆ เพื่อย้ำความจริงให้เพียงรักเชื่อ อันที่จริงหากเพียงรักเห็นสภาพของแดนเหนือกับตาตัวเอง คำพูดเมื่อกี้ของเขายังนับว่าน้อยไปด้วยซ้ำ 

“แต่คิดอีกที ผมว่าน่าจะร้องเอ๋งๆ มากกว่า เพราะว่าเป็นหมาโดนทิ้ง”

 

พัง! พังไม่เป็นท่าเลยสักอย่าง!”

แดนเหนือที่อยู่ในสภาพเมาหยำเปนั้นนอกเกลือกกลิ้งอยู่บนโซฟาในร้านเหล้าร้านประจำ หลังจากกลับมาจากโรงเรียนของเด็กๆ แดนเหนือก็โทร. บอกภานุ เจ้าของร้านให้เปิดร้านก่อนเวลาปกติ แล้วจัดการมอมเหล้าตัวเองจนเมามายก่อนตะวันจะตกดิน

ตลอดชีวิตของแดนเหนือไม่มีอะไรเลยที่เขาจะอยากได้แล้วไม่ได้ ไม่มีเลย...กระทั่งเขาเจอกับเพียงรัก ผู้หญิงเย็นชาที่มีรอยยิ้มเหมือนดวงตะวัน และเธอก็เป็นเพียงคนเดียวในชีวิตของแดนเหนือ...เป็นสิ่งเดียวในชีวิตของเขาที่ใครๆ ต่างพูดว่าแสนน่าอิจฉา 

ทว่าแดนเหนือไม่สามารถครอบครองและเก็บไว้กับตัวเองได้

จริงอยู่ที่เขาเคยเข้าใกล้ดวงตะวันที่ชื่อว่าเพียงรักได้มากกว่าคนอื่น แต่แล้วมันก็มีวันที่พระอาทิตย์แสนสวยนั้นหายไปจากชีวิตของเขา ทิ้งแดนเหนือเอาไว้กับความหนาวเหน็บ...

แต่เขาจะโทษใครได้ ก็คนที่ทำให้ดวงตะวันหนีหายไปมันก็ตัวเองเองนั่นแหละ

ถามว่าเขาโกรธไหมที่เพียงรักจากไป แดนเหนือก็ต้องบอกว่าโกรธ แต่เขาโกรธที่เธอไม่บอกเขาเรื่องลูกมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า...นั่นมันลูกของเขา เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาตั้งสองคน ทำไมเพียงรักถึงไม่ยอมให้เขารู้เรื่องลูก ปล่อยให้เขาเป็นไอ้หน้าโง่อยู่ตั้งหลายปี ทำไมเพียงรักถึงใจร้ายกับเขาได้ขนาดนี้...คนที่รักเขามากมายในวันนั้น ทำไมถึงเลือดเย็นได้ขนาดนี้...

ดวินกับรฉัตร...เด็กน้อยแสนดีทั้งสองคนนั้นเป็นลูกของเขากับผู้หญิงที่เขารักสุดใจ ทว่าสุดท้ายเขากลับไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นพ่อของเด็กทั้งสอง 

แต่ไม่ต้องคิดหรือหวังว่าใครจะได้เป็นพ่อของลูกเขา ในเมื่อตอนนี้เขารู้แล้ว...จับเพียงรักได้คาหนังคาเขาแล้วว่า เธอซ่อนลูกของเขาเอาไว้ ก็อย่าคิดว่าเขาจะปล่อยให้ไอ้หน้าไหนสาระแนมาทำหน้าที่พ่อแทนเขาเลย นอกจากเขาที่ชื่อแดนเหนือแล้ว...ลองไอ้ผู้ชายหน้าไหนเข้าใกล้ลูกเมียของเขาดูสิ เขาจะซัดมันให้หงายเก๋งจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกไปเลย เวรเอ๊ย!

เพียงจินตนาการว่ามีผู้ชายคนอื่นเข้ามาในชีวิตของเพียงรักกับลูก เลือดในกายของแดนเหนือก็เดือดพล่านด้วยความหึงหวง มือหนากำแน่นจนสั่นระริก ก่อนชายหนุ่มจะยันตัวลุกขึ้นจากโซฟายาวด้วยความทุลักทุเล ร่างกำยำโงนเงนเพราะเหล้าที่ซัดเข้าไปปริมาณมาก และคงเพราะสติสัมปชัญญะที่เริ่มถดถอยหลังดื่มไปเยอะ ความกล้าจึงกลับเข้ามาสถิตในกายของแดนเหนืออีกครั้ง 

หลังจากหนีกระเจิงเพียงเพราะสบตากับเพียงรัก ตอนนี้ต่อให้จะเป็นร้อยเพียงรัก แดนเหนือก็ไม่กลัวหรอก...มาสิ ลองมาเจอกันอีกสักตั้งจะเป็นไร แล้วจะได้รู้ว่าใครจะหมู่จะจ่า เหอะ!

“มึงจะเมาอะไรตั้งแต่หัววันเนี่ยไอ้เหนือ...แล้วนั่นจะไปไหน” น้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจนั้นเป็นของภานุ เจ้าของร้านที่สนิทสนมกับลูกค้าวีไอพีซึ่งจะแวะมาที่ร้านของเขาแทบทุกวันตลอดเวลาห้าปีนี้ จากลูกค้าจึงกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย 

“ไอ้นุ มึงอย่าห้าม คนอย่างกู...ไม่เคยกลัวใคร” แดนเหนือคิดว่าตัวเองเอ่ยด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว ทั้งที่ความจริงนั้นเขาพูดเสียงอ้อแอ้อย่างคนเมาที่เพียงแค่ยืนให้ตรง ก็ยังทำไม่ได้ 

“แล้วมึงจะไปไหนครับ” ภานุถามย้ำด้วยคำถามเดิม แต่ครั้งนี้ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ กับอีแค่คำถามง่ายๆ แดนเหนือยังตอบไม่ได้ ลืมเรื่องที่เขาจะปล่อยให้มันขับรถออกไปจากร้านได้เลย ขืนปล่อยแดนเหนือออกไป มีหวังมันได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านชาวช่องเขาเสียเปล่าๆ

“กู...กู...” แดนเหนืออ้าปากพะงาบๆ กะพริบตาปริบๆ ขณะพยายามคิดหาคำตอบว่าเขาจะไปที่ไหน จึงจะได้เจอเพียงรักแล้วเคลียร์ปัญหากันให้จบๆ ไป แต่เมื่อคิดอยู่นานก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า เขาจะไปหาเพียงรักที่ไหนดี ใบหน้าที่มีแต่ความกราดเกรี้ยวอยู่เมื่อครู่จึงม่อยลงด้วยความผิดหวัง 

“กูก็ไม่รู้...”

“นี่มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ยไอ้เหนือ ทำตัวเหมือนเด็กอกหักไปได้” ภานุก้าวไปจับไหล่เพื่อน ดันไหล่กว้างของแดนเหนือกึ่งบังคับให้ชายหนุ่มต้องนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม ปากก็บ่นเบาๆ ตามประสา 

“คงใช่มั้ง...”

“ใช่อะไรวะ”

“อกหักไง” แดนเหนือกระตุกยิ้ม พิงศีรษะไปกับพนักพิงด้านหลังแล้วจึงพูดต่อด้วยเสียงอ้อแอ้ “กูน่ะ อกหักอีกแล้วว่ะนุ”

“มึงไม่น่าจะไหวแล้วนะ ให้กูโทร. ตามธนาให้ไหมเหนือ ตอนนี้เกื้อมันน่าจะไม่ว่าง” ภานุเสนอความช่วยเหลือ นอกจากแดนเหนือแล้วก็มีธนาและเกื้อกูลนี่แหละที่ภานุต้องสนิทสนมอย่างไม่มีทางเลือก กระทั่งจำเป็นต้องมีเบอร์ติดต่อเอาไว้สำหรับโทร. ตามพวกเขาให้มารับแดนเหนือกลับบ้าน ตอนที่อีกฝ่ายเมาจนหมดสภาพเหมือนอย่างเช่นเวลานี้เป็นต้น 

“มันจะทำอะไร ดีแต่เล่นเกมไปวันๆ เท่านั้นแหละคนอย่างมัน” แดนเหนือตวัดสายตามองหน้าเพื่อน น้ำเสียงที่เขาใช้นั้นหงุดหงิดมากเหลือเกิน หลังได้ยินชื่อไอ้น้องจอมกวนประสาทที่ทิ้งระเบิดใส่หัวเขาไว้ก่อนที่เขาจะออกจากบ้าน 

“เห็นถ่ายรูปลงว่าไปทานข้าวนะ” ภานุพึมพำ ขณะที่คนฟังอย่างแดนเหนือนั้นได้แต่เหยียดยิ้มมุมปาก “แต่ไปกับเด็กที่ไหนไม่รู้...เออ นี่มาก็ว่าจะมาถามมึงด้วย...”

“เด็ก?” แดนเหนือหันขวับมามองเพื่อน ขมวดคิ้วแน่นก่อนถามย้ำเผื่อว่าเขาฟังผิดไป “ไอ้เกื้อน่ะนะจะไปทานข้าวกับเด็ก มันเกลียดเด็กจะตาย” 

เกื้อกูลเกลียดเด็กถึงขั้นที่ว่า เวลาเจอลูกของญาติๆ ทีไรก็จะขังตัวเองเอาไว้บนห้องเลยทีเดียว

“ก็กูเห็นว่ามันไปกับเด็กจริงๆ นะมึง เด็กแบบเด็กอนุบาลน่ะ มึงก็เปิดไอจีมันดูดิ...” 

แดนเหนือไม่รอให้เพื่อนของเขาพูดจบ เพราะเขาควานหามือถือซึ่งตกอยู่แถวนั้นขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันที่มีไว้สำหรับตามดูชีวิตของเพื่อนๆ ที่รู้จัก รวมถึงเกื้อกูลด้วย ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดหน้าแอปพลิเคชันขึ้นมา มันก็ปรากฏใบหน้าของน้องชายเด่นหราเต็มหน้าจอ แต่นั่นไม่สำคัญเลยสักนิดหากในรูปนั้นไม่มีลูกของเขาอยู่ด้วย 

ทั้งดวินและรฉัตรต่างพร้อมใจกันหอมแก้มเกื้อกูลคนละข้าง บอกถึงความสนิทสนม โดยที่คนโดนหอมแก้มยิ้มแฉ่งให้กล้อง รูปนี้เหมือนว่าเกื้อกูลกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น และสิ่งที่ทำให้แดนเหนือโกรธจนเผลอตัวขบกรามจนได้ยินเสียงกรอดก็คือคำพูดที่บรรยายเอาไว้ใต้ภาพ ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ต่อให้เป็นคนที่ไม่ค่อยฉลาดนักอย่างแดนเหนือ ก็พอจะเข้าใจว่าคนเขียนต้องการจะสื่ออะไร 

มาทานข้าวกับเพื่อน

เพื่อนที่หน้ามันสิ...นี่มันลูกเขาชัดๆ ไอ้เกื้อมันเอาเวลาที่ไหนไปสนิทสนมกับลูกเขาจนสามารถออกไปทานข้าวเย็นกับเด็กๆ ได้

“มึงอยู่ไหนเกื้อ” แดนเหนือกระแทกเสียงถามน้องชาย หลังจากต่อสายหาเกื้อกูลได้สำเร็จ “มึงไปอยู่กับลูกกูได้ไง”

“ผมกำลังจะกลับหอเฮีย” 

เสียงที่ตอบมานั้นร่าเริงจนแดนเหนือคิ้วกระตุกปัดๆ ชายหนุ่มเงียบรอฟังคำตอบของคำถามที่สอง ทว่าเกื้อกูลกลับเมินเฉย และเป็นฝ่ายถามเขาแทนเสียอย่างนั้น 

“เฮียโทร. มามีไรเปล่า ผมไม่ค่อยว่างเลย”

“มึงอยู่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะมึง ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่เตือน” แดนเหนือเอ่ยถามลอดไรฟัน ลองให้เกื้อกูลพยายามตัดบทเขาอย่างนี้ คงไม่พ้นว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขารู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแน่ๆ 

“ผมแยกกับพี่เพียงแล้ว เด็กๆ ต้องรีบกลับบ้าน” 

เกื้อกูลตอบมาอย่างไม่ยี่หระ ทำให้แดนเหนือแปลกใจนิดๆ กับความกล้าของน้องชายที่ริอ่านเอ่ยชื่อผู้หญิงของเขาออกมาหน้าตาเฉย ยิ่งฟังจากน้ำเสียงที่มันใช้ตอนนี้ แดนเหนือกล้าพนันได้เลยว่า ไอ้น้องเวรมันกำลังหัวเราะเขาอยู่แน่ๆ 

“บอกมาว่ามึงอยู่ไหน!” แดนเหนือหลุดเสียงตวาดน้องชายออกไปอย่างหมดความอดทน หากเกื้อกูลอยู่ตรงหน้าตอนนี้ เขาจะฟาดมันให้หมอบเลย

“ถ้าไม่บอกแล้วเฮียจะทำไม จะต่อยผมเหรอ”

“มึงท้าทายกูเหรอเกื้อ...”

“แล้วเฮียกล้าต่อยผมเหรอ รู้ไหมเพื่อนผมเป็นใคร” เกื้อกูลยังท้าทายพี่ชายไม่เลิก ตามมาด้วยเสียงหัวเราะฮิๆ อย่างคนที่กำลังสนุก คนเป็นน้องอย่างเกื้อกูลตกเป็นเบี้ยล่างแดนเหนือมาตลอดชีวิต กระทั่งวันนี้ที่เขามีโอกาสถือไพ่เหนือกว่าพี่ชายเป็นครั้งแรก “ไม่อยากจะร้ายหรอกนะ แต่ลูกๆของพี่น่ะรักผมม้าก...”

“มึงจะกวนตีนกูใช่ไหมไอ้เกื้อ”

“ถ้าเฮียต่อยผม ผมจะฟ้องพี่เพียง” เกื้อกูลปล่อยหมัดฮุก ชื่อเพียงรักถือว่าเป็นยันต์ป้องกันอันตรายจากแดนเหนือที่ศักดิ์สิทธิ์กว่ายันต์จากเกจิอาจารย์ชื่อดังเสียอีก “ผมจะฟ้องพี่เพียงว่าเฮียต่อยผม เพราะหลานหอมแก้มผม เพราะลูกเฮียรักผมมากกว่าเฮีย”

“มึงจะเอาอะไร อยากได้อะไรว่ามา” แดนเหนือหลับตาแน่นอย่างสงบสติอารมณ์ ก่อนจะยอมลงให้น้องชายก่อนเป็นครั้งแรก 

“อยากได้รถใหม่” นักศึกษาปีสองบอกความต้องการของตัวเอง ก่อนจะหัวเราะฮิๆ อีกรอบ “รถคันเก่าขับเบื่อแล้ว อยากได้รถใหม่ อยากได้แบบเท่ๆ น่ะเฮีย ให้น้องได้เปล่าครับ”

“ได้ มึงส่งรูปมา” แดนเหนือตอบรับคำอย่างใจป้ำ 

“รูปรถเหรอเฮีย”

“รูปลูกกูสิวะ หน้าโง่” เจ้าของเสียงห้าวตอบกลับมาแทบจะในวินาทีเดียวกัน

“โห...ใจร้ายกับน้องจังครับเฮีย” แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนโอดครวญนิดๆ แต่เสียงหัวเราะฮิๆ ของเกื้อกูลกลับไม่หายไป ยังคงอยู่ปั่นประสาทแดนเหนือไม่หยุดหย่อน “เดี๋ยวส่งรูปไปให้ครับผม ทั้งรูปรถและรูปหลานเลยค้าบเฮีย”

 

สถานการณ์กลับมาอยู่ในภาวะปกติอีกครั้ง หลังจากที่เกื้อกูลส่งรูปถ่ายของดวินและรฉัตรให้พี่ชายของเขา แลกกับรถยุโรปคันงามที่มาจอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าคอนโดที่นักศึกษาหนุ่มตั้งใจใช้เป็นที่พำนักตลอดชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเขา และทำให้เพียงรักพลอยได้ชีวิตปกติของเธอก่อนเจอแดนเหนือกลับคืนมาตลอดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาด้วยเหมือนกัน

แม้จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้แดนเหนือหายหน้าไป แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าเพียงรักสบายใจขึ้นมาก เมื่อไม่มีแดนเหนือคอยทำตัวเป็นลูกคนที่สามของเธอ คิดแล้วหญิงสาวก็รู้สึกสงสารตัวเองนิดๆ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน หากเป็นเรื่องของแดนเหนือแล้ว เธอก็ไม่เคยใจร้ายพอที่จะตัดเขาออกไปจากชีวิตได้เด็ดขาดเสียที...ดูสิ มัวแต่ใจดีสงสารคนอื่นจนตัวเองต้องลำบากใจอีกจนได้

“คุณเพียงคะ องุ่นนี่ถ้าไม่รีบกินเดี๋ยวจะเสียนะคะ”  

“อ้อ ค่ะพี่จิ๊บ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนไปโรงเรียนพี่จิ๊บก็แบ่งใส่กล่องให้เจ้าแสบเลยก็ได้ค่ะ เพียงจะให้เขาทานกันบนรถ” เพียงรักเงยหน้าจากการลำเลียงจานที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดใส่เครื่องล้าง ผงกหัวให้จิ๊บผู้ซึ่งเป็นทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยงของสองแฝดแล้วจึงหันกลับมาสนใจงานในมือต่อ 

จิ๊บเป็นคนสนิทของมารดาเพียงรัก ทำงานเป็นแม่บ้านให้ตระกูลของหญิงสาวมานาน กระทั่งวันที่เพียงรักตัดสินใจย้ายไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของมารดาตอนที่รู้ว่าท้องสองแฝด จิ๊บจึงว่างงานก่อนจะถูกเรียกตัวกลับมาทำงานอีกครั้ง หลังจากที่เพียงรักได้รับมอบหมายให้มาดูแลบริษัทสาขาย่อยที่เมืองไทย

“คุณเพียงเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พี่เห็นทำหน้าเครียดพักใหญ่แล้ว”  

“เปล่าค่ะ ก็แค่คิดอะไรเพลินๆ” เพียงรักบอกทั้งที่ก้มหน้าก้มตาเรียงจาน เมื่อวางจานใบสุดท้ายลงในเครื่องเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็โยนแคปซูลน้ำยาล้างจานเข้าไปเป็นอย่างสุดท้าย จากนั้นก็ปิดฝาเครื่องล้างจานแล้วกดปุ่มทำงาน “พี่จิ๊บเตรียมของเสร็จแล้วจะไปพักเลยก็ได้นะคะ สองแฝดหลับไปนานแล้ว เพียงเองก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน”

“ได้ค่ะคุณเพียง” จิ๊บยิ้มรับ ทำงานกับเพียงรักนั้นไม่มีอะไรมาก งานบ้านส่วนใหญ่เธอจัดการได้อยู่แล้ว งานหนักที่เห็นจะเหนื่อยหน่อยก็คือ การรับมือกับสองแฝดในยามตื่นเท่านั้น ซึ่งเธอก็มีเพียงรักคอยช่วยอีกแรงจึงยังพอถูพอไถกันไปได้ 

“พี่เห็นข่าวว่าเขาจะหยุดโรงเรียนเพราะฝุ่น...”

“ที่โรงเรียนยังไม่แจ้งอะไรมาเลยค่ะ” เพียงรักถอนหายใจ เรื่องนี้เธอเป็นกังวลมากจนต้องงดกิจกรรมหลายอย่างของลูกไปชั่วคราว “คุณปู่ของเด็กๆ ก็โทร. มา ห้ามไม่ให้เพียงพาเจ้าสองแฝดออกไปเล่นข้างนอกนานๆ เด็ดขาด”

“พี่ได้ยินคนในคอนโดเขาคุยกัน นี่น้องน้ำลูกคุณโชคก็เพิ่งเข้าโรงพยาบาล เห็นว่าอาการภูมิแพ้ของแกกำเริบเพราะฝุ่น พี่ได้ยินแล้วก็เป็นห่วงเด็กๆ” จิ๊บเองก็มีสีหน้าลำบากใจไม่แพ้ผู้เป็นนาย 

“รอดูค่ะ พรุ่งนี้ไปโรงเรียนคงได้เรื่องอะไรบ้าง” เพียงรักมั่นใจว่าโรงเรียนที่เธอเลือกให้ลูกๆ คงจะมีมาตรการสักอย่างออกมาเพื่อแก้ปัญหาแน่ๆ “พี่จิ๊บเองเวลาออกไปซื้อของก็อย่าลืมใส่มาสก์นะคะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน”

“โธ่ คุณเพียงขา...พี่น่ะหนังหนาค่ะ ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” 

ผู้ที่เป็นทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยงจำเป็นหัวเราะเบาๆ กับคำเตือนของเพียงรัก สายตาที่จิ๊บมองร่างระหงของหญิงสาวที่เธอดูแลมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนั้นเต็มไปด้วยความอาทร เธอรักเพียงรักไม่ต่างจากลูกหลานแท้ๆ 

“พี่ห่วงแต่เด็กๆ นั่นแหละค่ะ ยิ่งน้องฉัตรนะคะ กลับมาบ้านทีไรตัวแดงตลอดเลย พี่ละใจหายใจคว่ำหมด”

“เพียงก็เคยพาไปหาหมอแล้วนี่คะ คุณหมอก็บอกเองว่าไม่เป็นอะไร”

“ก็นั่นแหละค่ะ” จิ๊บค้อนปะหลับปะเหลือก ก่อนจะออกแรงหั่นเนื้อหมูสำหรับทำอาหารเช้าของวันพรุ่งนี้แรงขึ้นอีกนิด ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “แล้วพรุ่งนี้คุณเกื้อจะแวะมาทานอาหารเช้าด้วยไหมคะ พี่จะได้เตรียมเผื่อ” 

เนื่องจากคอนโดของเกื้อกูลอยู่ห่างจากคอนโดของเพียงรักไปเพียงสองสถานีรถไฟฟ้า ดังนั้นชายหนุ่มซึ่งกินยากแต่ขี้เกียจทำอาหารเองจึงมักแวบมากินอาหารเช้าพร้อมหลานๆ อยู่เป็นประจำ หากวันไหนเรียนสายหน่อยเกื้อกูลก็จะเข้ามาที่นี่เลย แม้เพียงรักและสองแฝดจะไม่อยู่บ้านก็ตาม คนที่อยู่บ้านแทบจะตลอดเวลาอย่างจิ๊บจึงสนิทสนมกับเด็กหนุ่มไปโดยปริยาย ไม่กี่วันก่อนถึงกับซื้อขนมมาฝากกันและกันแล้วด้วย แถมตอนนี้ยังถามหากันอีก ไม่รู้ว่าในสายตาของจิ๊บ คะแนนความนิยมของสองแฝดอาจจะกำลังถูกเกื้อกูลแซงหน้าไปแล้วก็ได้

“คุณเกื้อไม่ชอบทานหมู...”

“สนิทกันขนาดนั้นแล้วนะคะ เกื้อเขาซื้ออะไรมาเอาใจอีกหรือเปล่าเนี่ย” เพียงรักเอ่ยขันๆ พร้อมส่ายศีรษะเบาๆ ด้วยความอ่อนใจ ดูเหมือนว่าไม่ว่าเกื้อกูลจะย่างเท้าไปที่ไหนก็มีแต่คนเอ็นดู ผิดกับพี่ชายอย่างแดนเหนือที่ไม่ว่าจะโผล่หัวไปที่ไหน ก็จะมีคนคอยบริภาษตามหลังไม่ขาดสาย เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทำไมถึงได้ต่างกันขนาดนี้ 

“ซื้ออะไรล่ะคะ มาทานข้าวก็มานั่งบ่นให้พี่ฟังว่าเรียนเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้ พี่เห็นแล้วสงสาร” แม้จะเอ่ยอย่างนั้น แต่สีหน้าของจิ๊บกลับอ่อนโยน เมื่อเล่าเรื่องที่เกื้อกูลมาร้องโอดครวญเรื่องความเหน็ดเหนื่อยของเขาให้เธอฟัง 

“เขาคงพูดกับที่บ้านเขาไม่ได้นั่นแหละค่ะ พี่จิ๊บไม่ลองส่งข้อความไปถามเกื้อเขาดูล่ะคะว่าเขาจะมาไหม” เพียงรักรู้ เพราะตอนที่เธอคบหากับแดนเหนือ เขาก็มีอาการไม่ต่างจากที่เกื้อกูลเป็นอยู่ตอนนี้เท่าไหร่นัก 

“ไม่ละคะ ถ้าคุณเกื้อจะมาเธอก็คงโทร. มาเอง” เพราะว่าชายหนุ่มชอบเข้ามาที่บ้านนี้ตอนที่เพียงรักไม่อยู่บ่อยๆ เขาจึงต้องแลกไลน์กับจิ๊บเอาไว้ อาจจะเป็นด้วยเหตุผลนี้ที่ทำให้เกื้อกูลเลือกแวะมากินนอนที่นี่ มากกว่าที่จะขับรถกลับบ้านของเขา “ว่าแต่คุณเพียงอยากทานอะไรไหมคะพรุ่งนี้”

“เพียงทานกับเด็กๆ เอาก็ได้ค่ะ พี่จิ๊บจะได้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก เพียงออกไปทานข้างนอกเอาก็ได้” เพียงรักไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องอาหาร ยิ่งหลังจากมีลูกแล้วหญิงสาวก็แทบจะกินทุกอย่างเหมือนกับลูก นานไปจนกลายเป็นนิสัย จะมีตอนที่แวบออกไปกินอาหารกับเพื่อนๆ เธอจะเลือกเมนูพิเศษเช่นส้มตำและอาหารอีสานของโปรด 

“น้องเพียงก็เป็นแบบนี้ทุกที พี่เลยไม่ได้โชว์ฝีมือเลย”

“เอาไว้โชว์ให้เกื้อก็ได้ค่ะพี่จิ๊บ รายนั้นเขาคงตั้งตารอให้พี่จิ๊บอวดฝีมือจะแย่” 

เพียงรักขำคนที่บ่นอุบว่าไม่ได้อวดฝีมือการทำอาหารไทยของตัวเองเลย ตั้งแต่ที่เพียงรักกลับมาอยู่ไทย เพราะส่วนใหญ่เพียงรักและเด็กๆ จะกินอาหารที่บ้านแค่มื้อเช้ามื้อเดียว มื้อเย็นก็ออกไปกินข้างนอก วันหยุดก็มักจะหิ้วพี่เลี้ยงอย่างจิ๊บออกไปข้างนอก และกินอาหารกันก่อนกลับบ้านพร้อมกัน คนที่คิดว่าตัวเองมีฝีมือการทำอาหารไม่เป็นรองใครจึงอดที่จะรู้สึกน้อยใจนิดๆ ไม่ได้ 

“คุณเกื้อน่ะลิ้นจระเข้ ทานอะไรเข้าไปก็ไม่เคยบ่นสักอย่าง”

“งั้นเราคงไม่ได้พูดถึงเกื้อเดียวกันแล้วละคะพี่ ลูกชายบ้านนี้น่ะเขาทานยากจะตายไป นั่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่กิน” เพียงรักเอ่ยยิ้มๆ

“เหมือนน้องวินเลย ต้องลุ้นทุกวันว่าจะยอมทานกับข้าวที่พี่ทำหรือเปล่า”

จิ๊บเอ่ยออกไปอย่างไม่คิดอะไร ทว่าเพียงรักกลับนิ่งขึงไปเมื่อระลึกได้ว่า หากนับจริงจังแล้วดวินก็นับว่าเป็นคนบ้านเดียวกับแดนเหนือและเกื้อกูล เพราะลูกชายเธอคนนี้กินยากไม่ต่างจากชายหนุ่มทั้งคู่เลย ผิดกับรฉัตรที่พร้อมจะสวาปามทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นที่มาของพวงแก้มสีชมพูเปล่งปลั่งทั้งสองข้าง 

“อย่าเพิ่งน้อยใจสิคะ วินไม่ยอมทาน แต่ฉัตรทานไม่เหลือเลยนะคะ” เพียงรักยกชื่อลูกสาวคนสวยของเธอขึ้นมาอ้างถึงความสามารถในการยัดอาหารลงท้องได้มากกว่าพี่ชาย และเยอะกว่าเด็กในวัยเดียวกันหลายๆ คนที่เพียงรักเคยเจอด้วย

“น้องฉัตรก็กินจนอ้วก...” 

คนพี่ก็ปัญหาหนึ่ง คนน้องก็มีอีกปัญหา นั่นคือการกินทุกอย่างไม่รู้อิ่มจนน่ากลัวว่าจะเป็นโรคร้าย มีหลายครั้งทีเดียวที่รฉัตรสวาปามทุกอย่างไม่หยุดจนอาเจียนออกมา ร้อนถึงเพียงรักและพี่เลี้ยงต้องรีบพาไปหาหมอ เกรงว่าจะเป็นอะไรไป และพอได้รับผลตรวจกลับมา ผู้ใหญ่ทั้งสองก็อับอายจนหน้าร้อนผ่าว เพราะรฉัตรกินเยอะเกินไปจนต้องอาเจียนออกมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไรอย่างที่เพียงรักกังวล 

“พี่ไม่รู้จะทำยังไงดี...ห้ามก็ไม่ได้ ชอบทำตาแดงๆ ใส่เห็นแล้วพี่ก็ใจอ่อนทุกที”

“ไม่ใช่แค่พี่จิ๊บหรอกค่ะที่แพ้ทางรฉัตร” ความจริงทุกคนล้วนแพ้ทางลูกอ้อนเด็กหญิงทั้งนั้น เพียงรักเองก็ไม่รอด “เพียงไปนอนแล้วนะคะ”

“ค่ะ คุณเพียง”

เพียงรักยิ้มรับก่อนจะเดินเข้ามาในห้องนอนของเธอ หรือจะพูดให้ถูกก็คือห้องนอนของเธอและลูกๆ เตียงหลังใหญ่ในห้องนอนของเพียงรักนั้นมีสองแสบนอนหลับใหลอยู่ หัวใจของเพียงรักฟูฟ่องด้วยความสุขใจ หญิงสาวปีนขึ้นไปนอนแทรกกลางระหว่างสองแฝดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความเปี่ยมสุข เมื่อร่างน้อยๆ ของดวินและรฉัตรขยับเข้าหาความอบอุ่น ใช้แขนและขากอดก่ายเธอตามสัญชาตญาณ 

เพียงรักก้มมองดวงหน้าเล็กๆ ทั้งสองแล้วลดใบหน้าไปหอมหน้าผากมนของดวินกับรฉัตรคนละครั้ง ก่อนกดรีโมตหรี่ไฟในห้องนอนแล้วหลับตาพริ้ม เข้าสู่ห้วงนิทราไปอีกคน

            

เช้านี้เพียงรักได้รับทั้งจูบและหอมจากลูกๆ ของเธอก่อนมาทำงาน ดังนั้นใบหน้างามของหญิงสาวจึงประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีขณะเดินเข้ามาในออฟฟิศ วันนี้เพียงรักยังคงแต่งตัวด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนเข้ารูป สวมทับด้วยเสื้อคลุมยี่ห้อหรูและกระเป๋าถือที่หรูพอกัน ดังนั้นแม้ว่าจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ก็สมกับเป็นผู้บริการระดับสูงของบริษัท

“มาแล้วเหรอเพียง”

รอยยิ้มของเพียงรักขยายกว้างยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงดุๆ ที่ทักทายเธอเป็นคนแรกของวัน ร่างบอบบางจะโถมตัวเข้าหาร่างสูง กอดทักทายเขาอย่างสนิทสนม

“พี่จอร์น ทำไมมาแต่เช้าคะวันนี้” 

จอร์นเป็นชาวอังกฤษ บุตรชายคนโตของพ่อเลี้ยงเพียงรัก เขาเป็นคนที่ช่วยเหลือเพียงรักในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดในชีวิตเธอจนหญิงสาวมีทุกอย่างในวันนี้ 

“ทีมเสียงนัดประชุม เลขาฯ เรายังไม่ได้แจ้งเหรอ”

“ยังค่ะ” เพียงรักสั่นศีรษะขณะผละออกจากอ้อมกอดของผู้ที่เธอรักและเคารพประหนึ่งพี่ชายที่คลานตามกันมา “ทีมเสียงแก้งานเสร็จแล้วหรือคะ เพิ่งประชุมไปเมื่ออาทิตย์ก่อนเองไม่ใช่หรือ” 

บริษัทที่เพียงรักร่วมทุนกับพี่ชายนั้นเป็นบริษัทเกมขนาดใหญ่ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียงห้าปีตั้งแต่วันที่จดทะเบียน จอร์นเขียนและพัฒนาโปรแกรมของเกมด้วยตัวเองมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน ก่อนจะตัดสินใจตั้งบริษัทจริงจังเมื่อผ่านการพูดคุยกับเพียงรัก และประสบความสำเร็จเกินคาดในหนึ่งปีต่อมาหลังก่อตั้งบริษัท 

ตอนนี้เกมที่ว่าก็สร้างกำไรมหาศาล เพียงรักและจอร์นจึงตัดสินใจเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ หลังจากบริษัทสาขาที่ญี่ปุ่นและอเมริกาใต้อยู่ตัวแล้ว จึงตัดสินใจเปิดบริษัทลูกที่เมืองไทยอีกที่ เมื่อเพียงรักเล็งเห็นว่าตอนนี้ตลาดเกมออนไลน์ในเมืองไทยกำลังเติบโต แถมมีคู่แข่งเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้น เมื่อเทียบกับการแข่งขันในยุโรปและอเมริกา

ผู้ก่อตั้งทั้งสองเดินควงแขนกันเข้ามาในออฟฟิศพร้อมกับพูดคุยกันกะหนุงกะหนิง ด้วยอายุที่ห่างกันไม่กี่ปี เพียงรักและจอร์นจึงมีความเป็นเพื่อนมากกว่าพี่น้อง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ทำให้จอร์นไม่ถือตัวกับคนอายุน้อยกว่า เขาถึงปฏิบัติกับเพียงรักเหมือนเป็นเพื่อนและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจที่เขาเชื่อใจมากที่สุด

ทุกการตัดสินใจเกี่ยวกับบริษัทขึ้นอยู่กับจอร์นที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารก็จริง แต่คนที่ทำงานกับทั้งคู่มานานต่างรู้ดีว่า การตัดสินใจของซีอีโอหนุ่มล้วนเป็นการตัดสินใจที่ผ่านความเห็นชอบของเพียงรักแล้ว และการตัดสินใจส่วนใหญ่ก็ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นบริษัทเล็กๆ เมื่อห้าปีก่อนคงไม่กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในตลาดเกมได้เหมือนเช่นตอนนี้

“พี่ต้องบินกลับอังกฤษคืนนี้ หวังว่างานที่ให้ทีมเสียงไปแก้จะใช้ได้ เราต้องเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ปลายปีนี้แล้ว” จอร์นถอนหายใจ ความจริงเขาควรกลับไปทำงานตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ก่อนแล้ว หากไม่ติดว่างานของทีมเสียงมีปัญหา 

“ครั้งที่แล้วให้ไปปรับแก้ไม่เยอะไม่ใช่เหรอคะ” เพียงรักถามเพื่อความแน่ใจ หลังจากทำงานกับจอร์นมาห้าปี เธอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนค่อนข้างเนี้ยบ ทุกอย่างในงานของเขานั้นชายหนุ่มจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มาก ก่อนจะยอมปล่อยเกมเวอร์ชันใหม่ออกสู่ตลาด “เพียงก็เพิ่งไปคุยกับตัวแทนแอปพลิเคชันที่เราใช้ล็อกอินมาเมื่อวันก่อน” 

“เขาว่ายังไงบ้าง”

“ขอแก้ข้อตกลงนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่น่าเป็นห่วง ข้อเสนอของพวกเขายังพอรับได้อยู่”

“แบบนั้นก็ดีแล้ว...” 

พอน้องสาวเล่าถึงการเจรจาเรื่องข้อตกลงระหว่างแอปพลิเคชันยอดฮิตของหลายบริษัทที่ยื่นข้อเสนอขอร่วมงานกับบริษัทเกมของเขา สีหน้าอึมครึมของจอร์นจึงเปลี่ยนมาดีขึ้น 

เพียงรักไหวไหล่ ปกติเธอเป็นคนที่ต้องไปคุยกับลูกค้าเองอยู่แล้ว เนื่องด้วยจอร์นนั้นเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ติดลบมากถึงมากที่สุด เขาจะยอมคุยแค่กับเพียงรักและคนที่ทำงานร่วมกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น จึงเป็นหญิงสาวที่ต้องสั่งงานลงไป หากจอร์นต้องการให้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในองค์กรขนาดใหญ่ของพวกเขา 

“ว้าย!” เสียงอุทานด้วยอารามตกใจหลุดจากปากเพียงรัก เนื่องจากโดนมือปริศนากระชากเอวจากข้างหลังจนร่างระหงของเธอปลิวไปกระแทกกับแผงอกอันคุ้นเคย ดวงตากลมโตเบิกกว้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนหญิงสาวจะตั้งสติได้ จึงหันไปสบถใส่ตัวการด้วยความหงุดหงิด 

“ทำบ้าอะไรเนี่ย!”

แดนเหนือจ้องหน้าชาวต่างชาติด้วยสายตาแข็งกร้าว เขาทนเห็นมันออเซาะกับเพียงรักเป็นนานสองนาน หากไม่ติดว่าตัวเองไม่อยู่ในสถานะที่จะหึงหวงเพียงรักจนพุ่งเข้าไปต่อยไอ้หมอนี่ได้ แดนเหนือรับรองเลยว่า ไม่เขาก็มันได้เละเป็นโจ๊กกันไปข้างหนึ่งแน่ 

“ไอ้หมอนี่ใครวะเพียง ทำไมเพียงต้องกอดมันด้วย”

“สาระแน!” 

เพียงรักโกรธแดนเหนือจนเลือดในกายของเธอพุ่งพล่าน ริมฝีปากงามเม้มแน่นอย่างคนที่พยายามสะกดอารมณ์ ขณะที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์อย่างจอร์นนั้นยิ้มกริ่ม มองน้องสาวของตนที่กำลังแยกเขี้ยวใส่ชายปริศนาอย่างนึกสนุก 

“แล้วก็ปล่อยเราได้แล้ว เหนือไม่มีสิทธิ์มาทำตัวรุ่มร่ามกับเราแบบนี้นะ”

“เราบอกแล้วว่าเราต้องคุยกันเรื่องลูก วันนี้เรามาคุยกับเพียงเรื่องลูก” แดนเหนือไม่ยอมปล่อยมือจากเอวคอดของเพียงรัก ชายหนุ่มเพียงละสายตาจากไอ้ตัวดีที่เกาะแกะเมียเขาอย่างไม่กลัวตาย มามองหน้างามของเพียงรักแล้วพูดต่อ “ขืนปล่อยเพียงก็หนีเราอีก”

“คิดว่าเราโง่หรือไง” เพียงรักถามลอดไรฟัน เช้านี้เธออุตส่าห์อารมณ์ดีแล้วแท้ๆ แต่แดนเหนือก็ยังทำให้เธอหงุดหงิดเสียได้ “คิดว่าเราไม่ดูไม่ออกเหรอว่าเหนือไม่ได้จะมาคุยแค่เรื่องลูก”

คนที่โดนรู้ทันเม้มปากแน่น เป็นความจริงที่เขาไม่ได้ไปเค้นคอไอ้เกื้อให้บอกที่ทำงานของเพียงรัก เพียงเพราะต้องการพูดคุยกับหญิงสาวเรื่องลูก...เขาเสียเงินเสียทองให้ไอ้น้องจอมฉวยโอกาสไปมาก หากเพียงรักจะให้เขาเป็นแค่พ่อของลูกเธอเขาคงขาดทุนตาย 

“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันจะทำไมล่ะ หรือว่าเพราะไอ้หมอนี่”

“ถ้ายังไม่หยุดลามปามก็อย่าฝันว่าเหนือจะได้เข้าใกล้เราอีก” เพียงรักสบถลอดไรฟันอย่างเหลืออดอีกครั้ง 

ตอนนี้เองที่แดนเหนือเข้าใจว่า เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะบังคับขู่เข็ญเธอให้ทำตามทุกอย่างที่เขาต้องการได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อบอดีการ์ดร่างยักษ์สามคนซึ่งโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาล็อกแขนทั้งสองข้างของแดนเหนือ แล้วหิ้วปีกเขาออกห่างจากเพียงรักราวกับว่าชายหนุ่มเป็นตุ๊กตาตัวเล็กๆ ไม่ใช่ตัวอันตรายที่มีฤทธิ์ทำลายล้างสูงอย่างที่คนอื่นกลัว

“เพียง! ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ!” 

แดนเหนือดิ้นพราดๆ เท้าของเขาลอยขึ้นจากพื้น ทำให้ตอนนี้สภาพของชายหนุ่มไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจคนหนึ่ง 

“เพียง..ปล่อยเราเถอะ ให้คนของเพียงปล่อยเราเถอะนะ” 

คราวนี้เสียงกร้าวก่อนหน้าอ่อนลงจนกลายเป็นเสียงออดอ้อนน่าสงสาร ทว่าเพียงรักก็รู้ทันลูกไม้นี้ของแดนเหนืออีกนั่นแหละ หญิงสาวไม่ใจอ่อน แต่กลับกอดอกมองร่างสูงถูกหิ้วไปโยนทิ้งด้านนอกบริษัทด้วยสายตาว่างเปล่า ฟังเสียงร้องโหยหวนของแดนเหนือด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายและระอาผสมกัน 

“เพียงครับ เพียง...เหนือยอมแล้ว...ยอมเพียงทุกอย่างเลย เพียง! เพียงคุยกับเหนือเถอะ! เพียงครับ!”

“นี่เหรอพ่อของเจ้าแฝด” พี่ชายของเพียงรักเอ่ยขึ้นหลังจากที่แดนเหนือโดนบอดีการ์ดของเขากันออกไปด้านนอกตัวอาคาร ใบหน้าคมยิ้มขันๆ เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าซังกะตายของน้องสาว “ตลกดี เขาเหมือนรฉัตรเลย”

“หมายถึงที่เป็นตัวหายนะน่ะเหรอคะ” เพียงรักสบตากับพี่ชาย ยิ้มออกมาอย่างสมเพชตัวเอง 

จอร์นสูดลมหายใจ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพียงรักและพ่อของหลานนั้น จอร์นไม่ได้ซักไซ้อะไร รู้เพียงว่าทั้งคู่แยกทางกันก่อนเพียงรักบินไปอยู่กับแม่เลี้ยงของเขาที่อังกฤษ 

“หมายถึง...เป็นตัวปัญหาละก็คงใช่...แต่ไม่น่าจะเป็นตัวหายนะได้”

“เพราะว่าโง่เกินใช่ไหมคะ” เพียงรักยิ้มหยัน พูดต่อในสิ่งที่พี่ชายของเธอไม่กล้าเอ่ยออกมา

“ก็ถูก เขาดูโง่จริงๆ แหละ” จอร์นยักไหล่ มองร่างสูงที่พยายามยื้อยุดกับบอดีการ์ดเพื่อกลับเข้ามาแล้วชายหนุ่มก็ถอนหายใจ 

“ไม่ได้แค่ดูโง่ค่ะ ความจริงคือเขาโง่” เพียงรักว่าด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “แบบว่าโง่มาก...โง่สุดๆ ในโลกนี้เพียงไม่เคยเจอใครโง่เท่าเขาแล้ว”

“ปากร้ายนะเราน่ะ”

“พูดความจริงต่างหากล่ะค่ะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น