6

เกือบลืมไปแล้ว

๖ 

เกือบลืมไปแล้ว

            

แดนเหนือพลิกกายลงจากเตียงหลังใหญ่ หลังจากที่เขาพยายามข่มตาหลับมาตลอดทั้งคืน แต่ทำไม่ได้ ต้นเหตุก็มาจากเกื้อกูลที่พลิกตัวไปมาไม่หยุด แม้ว่าเจ้าตัวจะหลับสนิทไปนานแล้วก็ตาม ไม่รู้แม้กระทั่งว่านิสัยการนอนดิ้นของเขาทำให้แดนเหนือที่ตื่นง่ายแต่หลับยากต้องถ่างตา มองเพดานห้องมาตลอดทั้งคืน จนสุดท้ายก็เป็นแดนเหนือที่ทนไม่ไหว ยอมแพ้และคว้ามือถือที่แบตเตอรี่กลับมาเต็มปรี่อีกครั้งเดินออกมาจากห้องนอน

ไฟที่สว่างจ้าด้านนอกทำให้แดนเหนือแปลกใจ จนต้องก้มดูนาฬิกาจากมือถือของตัวเองเผื่อว่าเมื่อกี้นี้เขาดูผิดไป เวลาตีสามกว่าก็ถูกแล้วนี่...แล้วใครกันที่ตื่นมากลางดึกแบบนี้ หรือว่าพี่จิ๊บออกมาเตรียมมื้อเช้า แต่มันก็เช้าเกินไปหรือเปล่า วันนี้เป็นวันเสาร์นะ ทั้งเด็กๆ และเพียงรักน่าจะตื่นสายกันไม่ใช่หรือ เขาเองถ้าหลับลงก็คงอยากจะตื่นสายเหมือนกัน

ขบคิดกับตัวเองได้ไม่นาน แดนเหนือก็มองเห็นว่าใครเป็นคนที่ตื่นมากลางดึก ไม่ใช่พี่จิ๊บ แต่เป็นเพียงรักนั่นเอง ฝ่ายนั้นก็สังเกตเห็นเขาเช่นเดียวกัน ทว่าเพียงรักทำแค่เหลือบมองเขาอยู่เสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจกับตาชั่งดิจิทัลตรงหน้าต่อ

“นอนไม่หลับเหรอเพียง” แดนเหนือเป็นคนทำลายความเงียบระหว่างทั้งคู่ น้ำเสียงที่เขาใช้ถามเพียงรักไม่มีความขุ่นข้องหมองใจจากเหตุการณ์ที่พวกเขาเพิ่งปะทะคารมกันไปแม้แต่นิด 

เพียงรักเองก็คงไม่อยากทะเลาะกับเขาตั้งแต่เช้ามืดเช่นกัน เพราะเธอไม่ได้ตีรวนหรือกวนประสาทแดนเหนืออีก แต่กลับตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติตามแบบฉบับเพียงรัก

“วันนี้วันเสาร์ เราต้องเป็นคนทำมื้อเช้า” เพียงรักตอบคำถาม ไม่ได้เล่าต่อว่านี่เป็นหน้าที่ประจำของเธอตั้งแต่ช่วงที่ยังอยู่อังกฤษ เนื่องจากในวันปกตินั้นเพียงรักทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ จึงต้องพึ่งพามารดาในการเตรียมมื้อเช้ายกเว้นช่วงวันหยุดที่เพียงรักจะอาสาทำมื้อเช้าให้ เพราะไม่อยากรบกวนแม่ของตัวเองจนเกินไป

พอย้ายกลับมาอยู่กันเอง เพียงรักก็ตั้งใจจะทำอาหารเช้าให้เด็กๆ ในวันหยุดเหมือนเดิม แม้ว่าพี่จิ๊บจะพยายามขัดด้วยการเข้ามาช่วยในหลายๆ ครั้งและกล่อมให้เพียงรักเอาเวลาไปพักผ่อนจะดีกว่า แต่เพียงรักก็ไม่ยอม ยังยืนยันคำเดิมจนจิ๊บต้องยอมแพ้ในที่สุด

“แล้ว...เพียงจะทำอะไรเหรอ” แดนเหนือไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำเมนูอะไร ทีแรกที่เขาเห็นเครื่องตีแป้งขนาดใหญ่ก็คิดว่าเธอจะอบขนมเสียอีก แดนเหนือจำได้ว่าเพียงรักชอบทำขนมมากถึงมากที่สุด สมัยเรียนอยู่ด้วยกันเขากับเพียงรักก็เคยเข้าคอร์สเรียนทำขนมกับเชฟชื่อดัง 

“ทำมิลก์เบรด ลูกชอบ เกื้อก็ชอบ” เพียงรักตอบสั้นๆ แล้วหมุนตัวกลับไปหยิบเนยออกมาจากตู้เย็น ตัดเนยใส่ถ้วยเล็กแล้วยกขึ้นชั่งจนกระทั่งตัวเลขตรงตามสูตรขนมที่เขียนไว้ 

“มันดูยากจัง...” แดนเหนือไม่สันทัดการทำอาหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือหวาน เขาก็ทำไม่ได้ทั้งนั้น...แต่เมื่อเพียงรักเป็นคนทำ แดนเหนือก็ไม่มีทางพลาดโอกาสที่จะได้อยู่กับหญิงสาวตามลำพัง รีบเสนอตัวเป็นผู้ช่วยทันที “เดี๋ยวเหนือช่วย จะได้เสร็จเร็วๆ”
        

“จะช่วยหรือจะมาพัง” เพียงรักเหลือบมองหน้าแดนเหนืออย่างไม่ไว้ใจนัก แดนเหนือน่ะหรือจะมาช่วยเธอ ลำพังแค่รินน้ำเปล่าให้ลงแก้วโดยไม่หก สำหรับเขายังนับว่ายากเลย พอมาเสนอตัวช่วยเธออบขนมปังแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะระแวง 

“ช่วยสิ ไหนๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว สู้มาช่วยเพียงเตรียมมื้อเช้าให้ลูกดีกว่า” แดนเหนือไม่โกรธเพียงรักที่ดูแคลนฝีมือการทำอาหารของเขา แต่กลับยิ้มแฉ่งเดินอ้อมเคาน์เตอร์ครัวไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม เรียบร้อยแล้วก็มาหยุดข้างเพียงรัก กะพริบตาปริบๆ รอคอยคำสั่งประหนึ่งลูกสุนัขเชื่องๆ ตัวหนึ่ง 

“ไหนมีอะไรให้เราช่วย”

“ไปล้างมือก่อนเลย” เพียงรักพยักพเยิดไปที่อ่างล้างมือ ส่ายศีรษะเบาๆ อย่างอ่อนใจกับผู้ช่วยจำเป็นของเธอ ขนาดต้องล้างมือก่อนทำอาหาร แดนเหนือยังไม่รู้เลย ตกลงว่าเธอคิดถูกหรือคิดผิดที่ยอมให้เขาช่วย คิดกับตัวเองได้แป๊บเดียว แดนเหนือก็กลับมายืนข้างเธอ 

“ล้างมือเสร็จละ” 

“เอาไปละลาย” 

เพียงรักว่าแล้วก็ยื่นถ้วยเนยที่เธอตวงเรียบร้อยแล้วให้แดนเหนือ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบนมสดออกมาอีกอย่าง แต่แดนเหนือก้มมองถ้วยเนยในมือแล้วเม้มปากแน่น ไม่แน่ใจว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับเนยที่เพียงรักให้มาดี

“ใช้ไมโครเวฟได้หรือเปล่า” แดนเหนือเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ ตอนที่ยังคบกัน เพียงรักเคยบอกว่าใช้ไมโครเวฟละลายพวกเนยหรือช็อกโกแลตได้ในบางครั้ง แต่หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรทำ เพราะมีข้อเสียบางอย่างด้วย แต่แดนเหนือจำไม่ได้ว่าข้อเสียที่ว่ามันคืออะไร

“ได้สิ” เพียงรักตอบโดยไม่เงยหน้ามองร่างสูงของลูกมือเฉพาะกิจของเธอ กลับไปตั้งใจตวงส่วนผสมอื่นๆ แล้วเทลงชามผสม ไม่นานแดนเหนือก็กลับมาพร้อมกับเนยที่ละลายเรียบร้อยแล้ว

“เทเลยไหม”

“เทเลย” เพียงรักผงกศีรษะพร้อมขยับออกห่างจากแดนเหนือ เมื่อเขาเทเนยลงชามผสมเรียบร้อย เพียงรักก็ค่อยๆ เทนมที่เธอตวงลงไปเป็นอย่างสุดท้าย “เหนือเปิดเครื่องแล้วค่อยๆ เพิ่มความแรงนะ”

“อื้อ” แดนเหนือรับคำในคอ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะไม่รู้ว่าเจ้าเครื่องผสมนี้ใช้อย่างไรกันแน่ แต่สุดท้ายเขาก็สามารถหาปุ่มเปิดเครื่องเจอในที่สุด มือหนาค่อยเพิ่มความแรงของตะกร้อตีจากเบาเป็นแรงสุดอย่างที่เพียงรักบอก แต่ก็มิวายมีคำถามอยู่ดี “ต้องเป็นแบบไหนถึงจะรู้ว่าใช้ได้แล้ว”

“ก็...จนกว่าจะเอาออกมานวดด้วยมือได้” เพียงรักชะโงกหน้าดูส่วนผสมในเครื่องที่เธอวางแผนให้มันกลายเป็นมิลก์เบรดในอีกสองชั่วโมงข้างหน้าด้วยความเป็นห่วง หลังอธิบายให้ลูกมือของเธอฟังคราวๆ ว่าแบบไหนจึงจะใช้ได้ 

พอเหลือบมองหน้าสับสนของผู้ช่วยที่ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับการทำอาหารเลย เพียงรักจึงต้องอธิบายเพิ่ม ด้วยเกรงว่าแดนเหนือจะทำให้มื้อเช้าของเด็กๆ พังไม่เป็นท่าเพราะความไม่รู้ของเขา 

“เหนือเคยเห็นที่เขาทำขนมปังบ้างหรือเปล่า ตอนที่แป้งมันเหนียวๆ แล้วเอามาพักให้ขึ้นฟูน่ะ แบบนั้นแหละ”

“เหนือไม่เคยเห็นคนทำขนมปัง” แดนเหนือไม่สันทัดกับการทำอาหารทุกชนิดอย่างที่เคยบอก ถึงเพียงรักจะอธิบาย ก็ใช่ว่าเขาจะจินตนาการภาพได้ “ที่จริงนี่เป็นครั้งแรกเลยที่จะได้เห็น”

“เดี๋ยวเราบอกแล้วกันว่าแป้งมันจะใช้ได้ตอนไหน” เพียงรักพยักหน้ารับเบาๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะหันไปเตรียมชามขนาดใหญ่สำหรับพักแป้งให้ขึ้นฟู่ ก่อนจะนำเข้าพิมพ์และเข้าเตาอบในขั้นสุดท้าย 

ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่เมื่อต่างฝ่ายต่างมีงานในมือ ทว่าแดนเหนือก็มิวายคอยเหลือบมองคนข้างๆ อยู่เป็นระยะ คล้ายกับว่าเขามีบางอย่างในใจ แต่กำลังลังเลว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่ อีกอย่างตอนนี้บรรยากาศระหว่างเขาและเพียงรักใช่ว่าจะเลวร้าย ออกจะดีเกินที่คาดไว้ด้วยซ้ำ เกิดพูดออกไปแล้วทำให้เพียงรักโกรธเขาขึ้นมาอีก คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่

“มีอะไรจะถามเราก็ถามมาเถอะ” เป็นเพียงรักที่พูดขึ้นมาก่อน เพราะทนรำคาญดวงตาที่ชำเลืองมองตนอยู่ตลอดเวลาไม่ไหว 

“อันที่จริงเหนืออยากจะถามว่าเพียงตื่นมาทำมื้อเช้าเองตลอดเลยเหรอ” แดนเหนืออ้อมแอ้มถามเสียงเบา ในใจก็อดค่อนแคะตัวเองด้วยความเซ็งและแปลกใจไม่ได้ว่า สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงรักที่พูดสิ่งที่อยู่ในใจเขาขึ้นมาก่อน เหมือนเธอนั่งอยู่ในใจเขา ขณะที่เขามัวแต่ขี้ขลาด 

“แค่วันหยุด” หญิงสาวตอบสั้นๆ เงยหน้ามองคนถามแวบหนึ่ง แล้วก้าวเข้ามาดูแป้งที่เริ่มจับตัวเป็นก้อนในชามผสม “ถ้าวันธรรมดาให้ตื่นเช้าแบบนี้คงไม่ไหวหรอก”

“นั่นสินะ เหนือนี่ถามอะไรโง่ๆ”

“แล้วนี่ทำไมถึงนอนไม่หลับ...เพราะต้องนอนกับคนอื่นเหรอ” เพียงรักถอนหายใจ ไม่แย้งความจริงที่ว่าแดนเหนือไม่ใช่คนฉลาดนัก แต่ชวนเขาคุยเรื่องอื่นแทน คิดว่าการพูดจาให้ร้ายแดนเหนือและลงเอยด้วยการทะเลาะกันเหมือนเมื่อคืนนี้ไม่ใช่สิ่งแรกที่เพียงรักอยากทำในตอนเช้า

“อื้อ เกื้อมันนอนดิ้นด้วย...” แดนเหนือเป็นคนตื่นง่ายและหลับยาก หากต้องนอนร่วมห้องกับคนอื่นแล้วอีกฝ่ายพลิกตัวเขาก็จะตื่นทันที ทำให้แดนเหนือมักเลี่ยงการนอนกับคนอื่น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ “แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวคืนนี้ออกมานอนข้างนอกเอา”

เพียงรักฟังแล้วแทนที่จะโล่งใจ กลับรู้สึกเอะใจขึ้นมาทันทีกับคำพูดเมื่อครู่นี้ของแดนเหนือ...

“นี่จะไม่กลับบ้านเหรอ”

“กลับสิ” 

เพียงรักถึงกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่ง เธอหรือก็คิดว่าแดนเหนือจะฉวยโอกาสย้ายเข้ามาอยู่บ้านเธอจริงๆ แล้ว 

ทว่าหญิงสาวโล่งใจได้เพียงเสี้ยววินาที แดนเหนือก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้เพียงรักตกใจจนเกือบเผลอปล่อยถุงแป้งในมือร่วง ยังดีที่ความรู้สึกไวและคว้ามันไว้ได้ก่อน ทำให้แป้งกระฉอกลงบนเคาน์เตอร์ครัวเล็กน้อยเท่านั้น

“กลับไปเอาเอกสารกับพวกเสื้อผ้าไง นี่ว่าจะเข้าไปช่วงบ่ายๆ”

“เหนือจะย้ายออกมาจริงๆ หรือ” เพียงรักถามย้ำ รู้ว่าแดนเหนือไม่ใช่คนที่ว่าง่ายเท่าไหร่นัก แต่ไม่คิดว่าเขาจะย้ายออกจากบ้านเกียรติวิริยะหลังจากทะเลาะกับแม่ทันทีทันควันเลยแบบนี้ หรือว่าเรื่องที่ทะเลาะกับคุณสุกดารานั้นรุนแรงกว่าที่เธอคิด 

“ใช่สิ” 

แดนเหนือพยักหน้ารับ สีหน้าชายหนุ่มไม่มีความลังเลเหมือนคนที่ไตร่ตรองเรื่องนี้ดีแล้ว เพียงรักจึงคิดว่า ต่อให้เธอไม่ให้เขาย้ายเข้ามา แดนเหนือก็คงหาที่อยู่อื่นแทนอยู่ดี 

“เหนือจะย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ” 

หญิงสาวเอ่ยเสียงเครียด ทำให้แดนเหนือชะงักไปก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้ม แล้วพยักหน้ารับเบาๆ อย่างเข้าใจ 

“พยักหน้านี่เข้าใจใช่ไหม”

“เข้าใจสิเพียง” แม้จะเสียดายที่เพียงรักรู้ทัน แต่ก็ใช่ว่าเรื่องที่เพียงรักบอกจะเกินความคาดหมายของเขา ก็เขาทำเรื่องไว้ตั้งมากมาย หากเธอให้เขาย้ายมาอยู่ด้วยง่ายๆ สิแปลก “ถึงเพียงไม่ให้เรามาอยู่ที่นี่ด้วย แต่เราก็จะย้ายออกมาจากบ้านอยู่ดีนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าเราย้ายออกเพราะอยากมาอยู่กับเพียงรักหน่อย”

“ทะเลาะกับคุณป้าแรงขนาดนั้นเลยเหรอ” เพียงรักชักเป็นห่วงขึ้นมา คิดไม่ออกว่าเรื่องแบบไหนที่ทำให้แดนเหนือกล้าตัดสินใจย้ายออกมาอยู่เอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่เขาก็รับมือกับแม่ของเขาได้

“ก็...ถึงขั้นแม่ขู่จะตัดเราออกจากกองมรดกอะ แรงขนาดนั้นแหละ” 

แดนเหนือว่ายิ้มๆ แม้จะไม่ได้ระบุชัดว่าเรื่องที่ทะเลาะกับผู้เป็นแม่คือเรื่องอะไร แต่เพียงรักก็มองภาพความรุนแรงของการทะเลาะครั้งนี้ออกแล้ว

“อ้อ โอเค” เพียงรักทำได้แค่พยักหน้าเบาๆ ไม่รู้จะว่าการที่เธอรู้เรื่องปัญหาที่ว่านี้จะดีหรือร้ายกว่ากัน จึงไม่กล้าซักแดนเหนือมากกว่านี้ อีกอย่างหากแดนเหนืออยากให้เธอรู้ก็คงบอกเธอเองนั่นแหละ เขาไม่ใช่คนที่ชอบเก็บความลับอะไรอยู่แล้ว 

“ปิดเครื่องเลยก็ได้ แป้งน่าจะใช้ได้แล้วแหละ”

เท่านั้นแดนเหนือก็จัดการปิดเครื่องตามคำสั่งของเพียงรักทันที เรียบร้อยแล้วก็ถอยออกมาอยู่ห่างๆ ดูหญิงสาวเทก้อนแป้งที่ผสมเป็นเนื้อเดียวกันเรียบร้อยแล้วลงบนเคาน์เตอร์ที่โรยแป้งรอท่าอยู่แล้วเพื่อนวดแป้งโด

มือเล็กของเพียงรักนวดแป้งโดด้วยความเชี่ยวชาญ แดนเหนือมองคนตรงหน้าทำงานอย่างเพลิดเพลิน ผ่านไปอึดใจใหญ่ เพียงรักก็ปั้นแป้งโดของแดนเหนือเป็นก้อนกลม วางใส่ชามใบใหญ่แล้วปิดด้วยพลาสติกแรป เสร็จงานแล้วก็เงยหน้ามองผู้ช่วยของเธอก่อนบอก

“เสร็จแล้ว รอให้มันขึ้นฟูสักชั่วโมงก็เข้าเตาอบได้แล้ว”

แดนเหนือยังไม่อยากแยกจากเพียงรักนัก เพิ่งคุยดีๆ กันไปแป๊บเดียวก็ต้องแยกกันแล้ว แต่ก็จนปัญญาจะหาเหตุผลมารั้งเพียงรักไว้ได้ 

“อื้อ เดี๋ยวเหนือเฝ้าเอง”

“ไม่ต้องเฝ้าหรอก” เฝ้าไปก็ใช่ว่าแดนเหนือจะรู้นี่ว่าแป้งมันต้องขึ้นฟูขนาดไหน จึงจะสามารถเอาออกมาตัดแบ่งนำเข้าพิมพ์ได้ 

“...เรามีเรื่องที่จะพูดกับเหนือ”

“ได้สิ” ก้อนเนื้อในอกของแดนเหนือพลันเต้นแรงขึ้นมาฉับพลันกับคำพูดของเพียงรัก ทั้งๆ ที่น้ำเสียงที่เธอใช้ไม่ได้เย็นชาหรือโกรธ แต่แดนเหนือก็ห้ามตัวเองไม่ให้เหงื่อตกไม่ได้

“เอากาแฟไหม หรือว่าจะกลับไปนอนต่อ”
 

“เอาสิ” แดนเหนือไม่คิดจะกลับไปนอนต่ออยู่แล้ว ยิ่งเพียงรักจะคุยกับเขาก่อนแบบนี้ ต่อให้กลับไปแล้ว พยายามข่มตาหลับ เขาก็ไม่มีทางหลับลงอยู่ดี “แล้วเพียง...จะคุยเรื่องอะไรเหรอ”

“เรื่องลูกนี่แหละ” 

เพียงรักตอบสั้นๆ แล้วเริ่มลงมือชงกาแฟให้ตัวเองและแดนเหนือ จึงไม่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคนฟังที่เกิดจากความกลัว กลัวว่าเพียงรักจะไล่ไม่ให้เขามายุ่งกับลูกอีก 

“เหนือเคยได้ยินเคสลูกฟ้องพ่อแม่เรื่องที่โพสต์เรื่องส่วนตัวในสื่อโซเชียลโดยไม่ยินยอมหรือเปล่า”

“ไม่” แดนเหนือไม่เคยคิดที่จะมีลูก ยิ่งหลังจากเพียงรักทิ้งเขาไป เรื่องนี้ก็แทบจะไม่อยู่ในสมองเลย “ทำไมหรือ”

“เราอยากขอร้องให้เหนือพยายามไม่ลงเรื่องของลูกมากเกินจำเป็น...” 

คำขอนั้นทำให้แดนเหนือฉุนกึกขึ้นมาทันที เพียงรักพูดอย่างนี้หมายความว่า เธอจะห้ามไม่ให้เขาบอกคนอื่นว่ารฉัตรกับดวินเป็นลูกของเขาอย่างนั้นหรือ 

“ทำไม” เจ้าของเสียงห้าวยังข่มอารมณ์ของตนเองได้บางส่วน แต่หากเพียงรักไม่มีเหตุผลดีๆ แดนเหนือคิดว่าเขาคงจะอดทนได้อีกไม่นาน

“เพราะลูกยังเล็ก พวกแกยังไม่เข้าใจว่าที่เราโพสต์รูปมันคืออะไร วันหนึ่งเรื่องที่พวกเราโพสต์อาจจะทำให้ลูกเสียหาย หรือว่าลูกโตมาแล้วพวกเขาอาจจะไม่ชอบ อีกอย่างพวกโรคจิตก็เยอะ เรื่องความปลอดภัยลูกก็สำคัญ” เพียงรักอธิบาย เรื่องนี้เธอเคยโดนตำหนิมาจากเพื่อนที่เรียนด้วยกันอยู่หลายครั้ง ตอนที่โพสต์รูปของลูกวัยเตาะแตะในสื่อออนไลน์ โดยไม่ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ 

“เพียงหมายถึงพวกใคร่เด็กเหรอ” แดนเหนือพอจะเข้าใจสิ่งที่เพียงรักต้องการจะสื่อแล้ว ความน้อยใจก่อนหน้าจึงคลายลงไปพอสมควร “เพียงคิดมากไปหรือเปล่า...ก็มีแต่เพื่อนๆ เราทั้งนั้นแหละ”

“แล้วเหนือจะมั่นใจได้ยังไงว่าเพื่อนของเหนือไม่ใช่พวกเปโดฯ” 

คำถามนั้นทำให้แดนเหนืออึ้งไป...ที่เพียงรักถามถูกต้องแล้ว เขาจะรู้และมั่นใจได้ยังไงว่าเพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นโรคใคร่เด็ก โรคพวกนี้ต่อให้เป็นก็ใช่ว่าจะสังเกตกันได้ง่ายๆ

“แต่เหนืออยากลงรูปลูกบ้าง ทีไอ้เกื้อยังลงเลย” ในฐานะพ่อ แดนเหนือย่อมต้องอยากอวดความน่ารักของลูกตัวเองบ้าง ลูกเขาน่ารักขนาดนั้น จะให้เก็บไว้คนเดียวได้อย่างไร เขาอกแตกตายกันพอดี

เพียงรักเดินเข้ามาหาแดนเหนือพร้อมกับแก้วกาแฟ วกกลับไปหยิบนมจากตู้เย็นอีกอย่างก่อนทรุดนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับร่างสูง แล้วว่าต่อ 

“ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามลงเลยนี่ แต่พวกรูปที่ไม่เหมาะก็ไม่อยากให้ลง แล้วไม่ต้องลงทุกเรื่องของลูกก็ได้ ตอนที่ร้องไห้หรือไม่น่ารัก เราไม่อยากให้เหนือลง เกิดวันหนึ่งลูกรู้ความมากกว่านี้ เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรมากกว่านี้แล้วมาเห็น ต่อให้เราจะลบตอนนั้นก็ไม่ทันแล้วนะ”

แดนเหนือเองก็ห่วงดวินและรฉัตรไม่ต่างจากเพียงรักเท่าไหร่ ทีแรกเขาอาจจะไม่เข้าใจคำขอของเพียงรัก แต่พอเธออธิบาย เขาก็พอจะเห็นภาพขึ้นมา 

“เหนือเข้าใจ เหนือจะมาถามเพียงก่อนจะลงอะไรแล้วกัน”

“เหนือต้องถามลูกด้วยนะ” เพียงรักบอก เรื่องนี้เป็นสิทธิ์ของรฉัตรกับดวินด้วยเหมือนกัน ถ้าทั้งคู่ไม่ต้องการให้มีรูปของตัวเองในโซเชียลมีเดีย เพียงรักก็บังคับไม่ได้ และแต่ละรูปที่ลงไปล้วนแต่ผ่านความเห็นชอบจากเด็กๆ แล้วทั้งสิ้น “แต่รูปตอนอาบน้ำหรือตอนลูกไม่ใส่เสื้อผ้านี่ห้ามลงเด็ดขาดเลยนะ”

“ได้ เหนือไม่ลงรูปแบบนั้นหรอก” แดนเหนือไม่มีความคิดที่จะลงรูปอะไรแบบนั้นของลูกอยู่แล้ว 

“ขอบคุณนะ” เพียงรักโล่งใจที่อีกฝ่ายยอมเข้าใจและยินดีที่จะทำตามคำขอของเธอโดยที่ไม่ต้องเถียงกัน ไม่เหมือนตอนที่เธอคุยกับแม่ของเธอเรื่องนี้ นอกจากท่านไม่เข้าใจแล้วยังต่อว่าเธอ หาว่าเธอโรคจิต ขี้ระแวงเกินเหตุและคิดอกุศลอีกต่างหาก

“เหนือเต็มใจ เรื่องลูกถ้าเพียงมีอะไร ก็บอกเหนือมาได้เลย” แดนเหนือพร้อมที่จะช่วยเพียงรักทุกอย่างอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของลูกด้วย เขาหรือจะเกี่ยง “อันที่จริงเหนือตั้งใจจะบอกเพียงอยู่แล้ว แต่เพียงต้องบอกเหนือด้วยว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้...เหนืออยากเป็นพ่อที่ดี แต่เหนือไม่รู้ว่าต้องทำยังไง...ถ้าเพียงไม่บอกเหนือว่า...”

“เราจะบอกเหนือเอง” เพียงรักเข้าใจดีว่าแดนเหนือกำลังรู้สึกอย่างไร ตอนแรกเธอก็รู้สึกอย่างนี้แหละ การเป็นพ่อแม่มันไม่ได้ง่ายและไม่มีคู่มือ หรือบรรทัดฐานใดมาชี้หรือวัดว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นพ่อแม่ที่ดี “เราตั้งใจเลี้ยงเด็กๆ ให้เป็นเด็กมีความสุข เราจะไม่กดดันเด็กๆ  เหนือก็ไม่ต้องบังคับพวกแกมากหรอก ให้ลูกเป็นเด็กไปนั่นแหละ พวกเรามีพี่จิ๊บคอยช่วยอยู่ ไม่ต้องห่วงมาก”

“โอเค” ชายหนุ่มจำทุกคำพูดของเพียงรัก เขาเองก็คิดว่าการทำให้สองแฝดมีความสุขเป็นสิ่งที่ต้องมาอันดับหนึ่งเหมือนกัน เขาอยากให้เด็กๆ เติบโตมาอย่างดีแบบเดียวกับที่แม่ของทั้งคู่เป็น อย่าให้เป็นเหมือนเขา...

“แล้วมีอะไรที่ห้ามทำไหม หรือเรื่องไหนที่ห้ามปล่อยหรือเปล่า” 

แดนเหนือไม่แน่ใจเรื่องกฎในบ้านหลังนี้นัก แม้หญิงสาวจะบอกให้เขาปล่อยลูกให้เป็นไปตามวัย แต่ภาพที่เพียงรักตำหนิรฉัตรเมื่อคืนทำให้อดที่จะระแวงไม่ได้ 

“เราเหมารวมง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก เลี้ยงเด็กไม่มีคู่มือนะเหนือ” เพียงรักถอนหายใจ เธอเลี้ยงลูกมาสี่ปี จนตอนนี้เพียงรักก็ยังบอกหรือระบุไม่ได้ชัดเลยว่า เรื่องไหนปล่อยไปได้หรือเรื่องไหนต้องห้ามปรามสองแฝด “เอาเป็นว่าถ้าเหนือรู้สึกว่าลูกทำอะไรไม่น่ารัก ก็ปรามได้...แต่เราขอร้อง เหนืออย่าใช้อารมณ์กับลูกนะ”

“เหนือไม่ทำหรอก”

“มันไม่ง่ายแบบที่เหนือคิดหรอก อย่าเพิ่งรีบรับปาก” 

เพียงรักกดเสียงต่ำ ย้ำเตือนแดนเหนือถึงความจริงในการเลี้ยงเด็ก 

“พวกแกอาจจะทำให้เหนือหงุดหงิด ลองของกับเหนือ...แต่เราขอร้อง ขอร้องจริงๆ นะเหนือ...อย่าใช้อารมณ์ ถ้าตอนไหนเหนือไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เดินหนี หรือไม่ก็เรียกเรา เราไม่อยากให้เด็กๆ กลัวคนในบ้าน” เพียงรักอ้อนวอนชายหนุ่มเป็นครั้งแรก

“ได้ เหนือจะเรียกเพียง เหนือก็ไม่อยากให้ลูกกลัวเหนือ” แดนเหนือรู้ว่าตัวเองเป็นพวกอารมณ์ร้อน แต่เขาก็ไม่คิดว่ารฉัตรกับดวินจะทำให้เขาถึงขั้นโมโหร้ายได้ แต่ก็อย่างที่เพียงรักพูดนั่นแหละ เลี้ยงเด็กมันไม่ใช่เรื่องง่าย และเขาควรจะฟังเพียงรักเอาไว้ 

“แต่ก็อย่าตามใจลูกมากนะ เดี๋ยวลูกจะเสียคน”

ฟังคำนี้แล้วร่างสูงก็นิ่งไป เมื่อทบทวนทุกอย่างที่เพียงรักพูดมา...ต้องให้เด็กเป็นเด็ก ปล่อยให้แกเติบโตโดยไม่ต้องกดดันมาก แต่ก็ห้ามตามใจจนเสียคน 

ฟังดูเหมือนง่าย แต่หากคิดดูดีๆ แล้วไม่ง่ายเลย แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่า ไอ้คำว่าตามใจเกินไปคือเท่าไหนจึงจะนับว่า ‘เกินไป’ สุดท้ายเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด แดนเหนือจึงต้องถามเพียงรัก ขอให้เธอไขความกระจ่างให้เขา

“ตกลงว่าตามใจลูกได้เท่าไหน”

            

เวลาเกือบตีห้าจิ๊บก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย พร้อมออกมาเตรียมอาหารเช้าให้เจ้านายของเธอตามปกติ แม้ว่าทุกวันหยุดเพียงรักจะบอกว่าจะเป็นคนทำอาหารเช้าเอง แต่การที่มีแขกเพิ่มมาก็ทำให้จิ๊บไม่สามารถวางใจให้เพียงรักจัดการมื้อเช้าเองได้ สู้เตรียมไว้หลายๆ อย่างน่าจะดีกว่า อย่างไรเหลือก็ดีกว่าขาด

แต่ผู้ที่เป็นทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยงคนเก่งก็ห้ามตัวเองไม่ให้แปลกใจไม่ได้ เมื่อเดินไปยังส่วนที่เป็นห้องครัว แล้วเห็นร่างสูงของแขกที่เธอกังวลเกี่ยวกับมื้อเช้าของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเพียงลำพัง

“ตื่นเช้าจังค่ะคุณเหนือ มาช่วยคุณเพียงทำขนมหรือคะ” 

เสียงจิ๊บที่ทักแดนเหนือทำให้ร่างสูงผงกหัวจากหน้าจอมือถือขึ้นมามอง ก่อนจะคลี่ยิ้มทักทายตามมารยาท ซึ่งจิ๊บไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะกำลังพะวงและคิดว่าจะทำอะไรเป็นมื้อเช้าดี แต่ก่อนอื่นเธอคงต้องนำอุปกรณ์ทำขนมที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดในซิงก์ล้างจานลงเครื่องล้างจานเสียก่อน 

“อ้อ ครับ” แดนเหนือคิดว่าการที่จิ๊บรู้เรื่องที่เพียงรักตื่นขึ้นมาเตรียมขนมนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าไม่รู้สิถึงจะแปลก “ผมบังเอิญตื่นขึ้นมา ได้ยินเพียงเขาทำขนมอยู่เลยขอเป็นลูกมือน่ะครับ”

“แล้วคุณเพียงไปไหนแล้วล่ะคะ”

“เห็นว่าจะเข้าไปอาบน้ำนะครับ” ชายหนุ่มบอกเหตุผลที่เพียงรักบอกเขา ก่อนจะหายกลับเข้าไปในห้องนอน เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อว่า ที่เพียงรักหายไปร่วมชั่วโมงนั้นเป็นเพราะเธอกำลังอาบน้ำ ไม่ใช่เพราะต้องการหลบหน้าเขา 

“แล้วพี่จิ๊บล่ะครับ ทำไมถึงตื่นเช้า”

“พี่ตื่นเวลานี้ปกติอยู่แล้วค่ะ” จิ๊บเล่าระหว่างลงมือทำความสะอาดครัวเป็นอย่างแรก แล้วเอ่ยถามแขกคนใหม่ของบ้าน “คุณเหนือแพ้หรือว่าไม่ทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

“ครับ?”

“อาหารน่ะค่ะ มีอะไรที่แพ้บ้างหรือเปล่า” เรื่องนี้จิ๊บให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะครั้งหนึ่งเธอไม่รอบคอบจนลงเอยด้วยการหามรฉัตรไปโรงพยาบาลกลางดึก “ถ้าไม่ชอบอะไรก็บอกพี่ได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ”

“ผมไม่มีแพ้อาหารอะไรเลยครับ พี่จิ๊บเคยเตรียมอาหารยังไงก็ตามสบายเลยครับ ไม่ต้องห่วงผม” แดนเหนือครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอก ตั้งแต่จำความได้ชายหนุ่มก็ไม่ได้แพ้อะไรกับใครเขาหรอก เพียงแต่เลือกกินมากหน่อยเท่านั้นเอง 

“แน่ใจนะคะ” จิ๊บสมกับเป็นพี่เลี้ยงขวัญใจเด็กๆ เรื่องเตรียมอาหารและเรื่องความสะอาดนั้น เธอไม่เคยบกพร่องในหน้าที่เลย ขนาดเกื้อกูลเองก็ยังติดใจชอบอาหารที่จิ๊บทำที่สุด “แล้วชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ บอกพี่ได้นะ พี่จะได้เตรียมไว้ให้”

“ไม่เป็นไรเลยครับ ขอบคุณมากครับพี่” แดนเหนือรู้ตัวดีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาสั่งให้พี่เลี้ยงของลูกเตรียมอาหารที่เขาชอบเอาไว้ ฐานะของเขาในตอนนี้แค่เพียงรักยอมให้ค้างคืนที่บ้าน แถมยังให้คนเตรียมอาหารให้ ก็นับว่าหญิงสาวใจดีแล้ว 

“ค่ะ” 

เมื่อแขกของเจ้านายยังยืนยันเช่นนั้น จิ๊บก็ไม่ตื๊อต่อแล้วหันกลับมาตั้งใจกับงานตรงหน้า พอดีกับประตูห้องนอนของเพียงรักเปิด ก่อนที่ร่างบอบบางในชุดใหม่จะเดินออกมา โดยเบื้องหลังมีลูกสมุนอีกสองคนที่ยังอยู่ในอาการงัวเงียเดินตามมาติดๆ เหมือนแม่หมีและลูกหมีตัวน้อยๆ ทยอยเดินออกมาจากถ้ำหลังฤดูจำศีลจบ

แดนเหนือรีบวางมือถือลง เมื่อร่างเล็กๆ ของลูกหมีนั้นตรงดิ่งมาหาเขา โดยที่ดวินเป็นคนถึงตัวเขาก่อนจะเป็นรฉัตร ทั้งคู่ใช้มือขยี้ตาสองสามครั้งเพื่อไล่ความง่วงแล้วเริ่มดึงกางเกงของแดนเหนือ เป็นสัญญาณให้ชายหนุ่มลดตัวลงมาหาพวกเขา

“มอร์นิงครับลุงแดน” ดวินบอกเสียงง่วงหลังจุมพิตที่โหนกแก้มสากของแดนเหนือเสร็จ

“มอร์นิงครับวิน” 

แดนเหนือกะพริบตาปริบๆ ตั้งตัวไม่ติดเท่าไหร่ที่โดนดวินจู่โจมด้วยจุมพิตตั้งแต่เช้า ทว่ายังไม่ทันคิดอะไรรฉัตรก็ยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มอีกข้างเขา ตามด้วยการพูดประโยคเดียวกับผู้เป็นพี่

“มอร์นิงค่ะลุงแดน”

“มอร์นิงครับฉัตร” 

แดนเหนือกระชับอ้อมแขนรอบร่างเล็กของเด็กๆ แน่น แต่ไม่นานเขาก็ต้องจำใจปล่อย เมื่อดวินและรฉัตรดิ้นออกจากอ้อมแขนเขา แล้วเดินไปหาพี่เลี้ยงคนเก่งของทั้งคู่ แล้วทำกับจิ๊บเหมือนที่ทำกับเขาเมื่อครู่นี้ทุกอย่าง จุ๊บแก้มของจิ๊บทั้งซ้ายขวาแล้วเอ่ยอรุณสวัสดิ์

“มอร์นิงครับป้าจิ๊บ”

“มอร์นิงค่ะป้าจิ๊บ”

คนที่รับหอมอรุณสวัสดิ์จากสองแฝดทุกวันนั้นยิ้มกว้าง ก้มลงไปหอมแก้มสีชมพูจัดของดวินและรฉัตรเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว ก่อนบอก “มอร์นิงค่ะวิน ฉัตร”

“อาเกื้อยังหลับอยู่เลย ให้ลุงแดนพาไปปลุกอาเกื้อดีไหมคะ” เพียงรักที่สังเกตเห็นว่าสายตาของรฉัตรที่จ้องแป้งโดของเธอตาเป็นมันรีบเข้าไปต้อนสองแฝด รุนหลังลูกๆ ต่อให้แดนเหนือพลางหลอกล่อ “วันนี้วันเสาร์ อาเกื้อสัญญาอะไรเอาไว้น้า”

เท่านั้นทั้งดวินและรฉัตรก็ตื่นเต็มตา ประหนึ่งโดนเพียงรักโยนลงไปในอ่างน้ำเย็นๆ รีบสอดมือเข้าไปในอุ้งมือหนาของแดนเหนือ เร่งเร้าให้ชายหนุ่มพาพวกเขาไปหาเกื้อกูลทันที

“ลุงแดนไปเร็ว ไปหาอาเกื้อกัน” รฉัตรกระตุกแขนชายหนุ่มพร้อมเร่งอีกฝ่ายยิกๆ 

“ไปปลุกอาเกื้อกันครับลุงแดน” 

ดวินเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าน้องสาว เด็กชายกระตือรือร้นมากกว่าปกติจนแดนเหนือแปลกใจ อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าเกื้อกูลสัญญาอะไรกับเด็กๆ เอาไว้ ทำไมลูกเขาจึงได้ตื่นเต้นกันนัก

“ไปสิครับ ไปปลุกอาเกื้อกันนะ” แดนเหนือเดินตามแรงฉุดน้อยๆ ของสองแฝด เหลือบมองหน้าเพียงรักอย่างถามความเห็น แล้วก็ได้รับการพยักหน้าจากหญิงสาวเป็นคำตอบ โดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นแผนการฝากเขาเลี้ยงลูกชั่วคราวของเธอ เพื่อที่จะได้เตรียมอาหารเช้าโดยไม่มีเจ้าพวกตัวป่วนมาก่อกวน 

            

แดนเหนือปล่อยมือเล็กของลูกๆ ออก เพราะต้องผลักบานประตูห้องนอนเปิดทางให้ดวินและรฉัตร โดยไม่รอให้บานประตูเปิดกว้างพอ รฉัตรและดวินก็ดันบานประตูอีกแรง และแทรกตัวเข้าไปห้องนอนของเกื้อกูลทั้งที่ไม่ขออนุญาต ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้อีกฝ่ายหลับอยู่ 

“อาเกื้อ!” สองแฝดแผดเสียงเรียกชื่อร่างสูงที่หลับพริ้มอยู่บนเตียง ก่อนจะพากันปีนป่ายขึ้นไปเขย่าตัวคุณอาหนุ่ม “อาเกื้อตื่นเร็ว! วันนี้วันเสาร์แล้วนะ”

“หืม” เกื้อกูลที่ตื่นเพราะเสียงแปดหลอดของรฉัตรลืมตาข้างหนึ่งขึ้น มองที่มาของแรงกระตุกผ้าห่ม เมื่อเห็นว่าเป็นหลานตัวแสบของเขาก็ถึงกับครางออกมาด้วยความอัดอั้น ก่อนคำรามเรียกชื่อของแม่เจ้าแสบลั่น 

“พี่เพียง!”

“อาเกื้อๆ ตื่นเร็วซี่ สายแล้ว” ดวินขยุ้มผ้าห่มของผู้เป็นอาแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากมันออกจากร่างสูง หวังปลุกผู้เป็นอาให้ตื่นขึ้นมาเสียที “อาเกื้อ!”

“ยังเช้าอยู่เลยวิน ให้อานอนก่อนเถอะ...อาเสียใจอยู่นะครับ” เกื้อกูลโอดครวญ รู้ว่าตอนนี้เพียงรักคงยังเตรียมอาหารเช้าอยู่เหมือนทุกวันเสาร์ที่เขามาค้าง เพราะอย่างนั้นจึงได้ส่งเจ้าสองแฝดมาก่อกวนเขาอย่างนี้ไง 

รฉัตรสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่าเกื้อกูลเสียใจ ดวงตากลมของเด็กสาววาววับอย่างคนที่พร้อมจะทำร้ายใครก็ตามที่ทำให้อาเกื้อของเธอเสียใจ ร่างเล็กๆ ที่ยังอยู่ในชุดนอนลายไดโนเสาร์ทิ้งตัวลงทับอกเกื้อกูล จนร่างสูงผวาเฮือกขึ้นมา ตามด้วยความจุกที่เล่นงานเขา 

“ใครทำอะไรอาเกื้อคะ บอกฉัตรมาเร็วๆ ใครเป็นทำอาเกื้อเสียใจคะ”

“แฟนอาเกื้อหรือเปล่า อาเกื้อเสียใจอีกแล้ว” ดวินเห็นน้องสาวนอนทับเกื้อกูลแล้วดึงความสนใจของผู้เป็นอาได้ เขาจึงลองทำบ้าง และได้ผลเกินคาด เพราะเกื้อกูลตลบผ้าห่มขึ้นมาพูดกับพวกเขาทันที 

“เขาไม่ใช่แฟนอาหรอก” เกื้อกูลยอมแพ้ หากมีเจ้าสองแสบอยู่ในห้องแบบนี้ ไม่มีทางที่เขาจะกลับไปหลับได้ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงยืดคอเรียกร้องจุมพิตอรุณสวัสดิ์จากหลานๆ “ไหน ลืมอะไรหรือเปล่า...”

“มอร์นิงค่ะอาเกื้อ”

“มอร์นิงครับอาเกื้อ” 

สองแฝดไม่ว่าเปล่า ยังโถมกายเข้าหาเกื้อกูลพร้อมระดมจูบหน้าคมของผู้เป็นอา จนแดนเหนือได้ยินเสียงจุ๊บๆ ติดกันหลายครั้ง และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ ทำให้คนที่ได้รับมอร์นิงคิสจากลูกๆ เพียงสองครั้งถึงกับขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด 

เขาหรือก็คิดว่าเด็กๆ ปฏิบัติกับเขาเหมือนที่ทำกับคนในครอบครัว ที่ไหนได้...เขาได้จูบน้อยกว่าเกื้อกูลเสียอีก แบบนี้จะไม่ให้น้อยใจอย่างไรไหว...  

“มอร์นิงครับคนดีของอา” เกื้อกูลประคองดวงหน้าเล็กของหลานๆ เข้ามาใกล้ แล้วกดหอมหนักๆ ไปที่แก้มนุ่มของดวินและรฉัตร สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเด็กๆ จนชุ่มปอด ก็เป็นเสียแบบนี้ จะให้เขาโกรธลงได้ยังไง “ปลอบใจอาหน่อย อาเสียใจสุดๆ เลย”

“ไม่เป็นไรนะครับ” ดวินไม่ใช่คนช่างพูดแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เด็กชายทำได้ดีก็คือ การอ้าแขนกอดคุณอาเอาไว้ ฝ่ามือเล็กๆ ตบลงบนไหล่กว้างเบาๆ ใช้ความเงียบเข้าปลอบใจเกื้อกูลเหมือนเวลาที่เพียงรักปลอบใจเขา 

ผิดกับผู้เป็นน้องอย่างรฉัตรที่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด พร้อมกับยกกำปั้นเล็กๆ เท้าเอว แยกเขี้ยวใส่ลมใส่ฟ้า จินตนาการว่าเป็นใบหน้าของคนที่ทำให้อาเกื้อของเธอเสียใจ

“ใครเป็นคนทำอาเกื้อ บอกฉัตรมาเดี๋ยวนี้เลย!”

“จุ๊ๆ” เกื้อกูลรีบยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปาก รู้นานแล้วว่าหลานคนนี้เลือดร้อนได้พ่อ ชายหนุ่มจึงแสร้งทำหน้ามีลับลมคมใน ก่อนกวักมือเรียกรฉัตร กระซิบเสียงเบาให้เด็กหญิงขยับตัวเข้ามาใกล้ “ฉัตรมาใกล้ๆ อาก่อน อย่าเสียงดัง”

รฉัตรรีบคลานเข้าไปซบอกเกื้อกูลอย่างว่าง่ายทันที พร้อมกับเอียงหน้าเข้าหาริมฝีปากหนาของผู้เป็นอา คาดหวังว่าจะได้ยินชื่อคนที่ทำร้ายเกื้อกูลสักที แต่แล้วเด็กหญิงก็ต้องหวีดร้องเมื่อโดนคุณอาจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

“อาเกื้อ!”

“อย่าไปทำท่าแบบนี้ให้แม่เพียงเขาเห็นนะรู้หรือเปล่า เดี๋ยวอาจะซวยไปด้วย” 

เกื้อกูลกระซิบบอกหลานสาวหลังจากระดมจูบหน้าเล็กๆ ของรฉัตรจนพอใจ ทำให้ใบหน้าเด็กหญิงง้ำงอจนดูเหมือนจะลามไปแทบจดคอ จ้องเกื้อกูลสลับกับดวินตาขวาง สุดท้ายรฉัตรก็ค่อยๆ เอนกายนอนทับเกื้อกูลเหมือนดวินทำ

“อาเกื้อก็อย่าบอกคุณแม่ซี่” รฉัตรบอกทางออก คิดว่าหากเธอไม่พูด เกื้อกูลไม่พูด แล้วเพียงรักจะรู้ได้อย่างไร “แต่อาเกื้อจะยอมให้เขาทำร้ายอาเกื้ออีกไม่ได้นะคะ”

“ใช่” ดวินพยักหน้าแรงๆ แสดงออกว่าเห็นด้วยกับคำพูดน้องสาว ก่อนจะหยัดกายขึ้นมานั่งขัดสมาธิ จ้องหน้าเกื้อกูลเขม็ง “เขาทำให้อาเกื้อเสียใจ อาเกื้อก็ต้องบอกให้เขาหยุดนะ”

เป็นคำแนะนำประสาเด็กที่ไม่เข้าใจความซับซ้อนของความสัมพันธ์ของพวกผู้ใหญ่ เกื้อกูลจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ อย่างอับจน ถ้าเขาทำตามคำแนะนำเมื่อครู่ได้ง่ายๆ คงไม่มานอนช้ำใจ ร้องขอให้หลานๆ มาปลอบเขาแบบนี้หรอก

“คุณแม่บอกว่าเวลาใครรังแกฉัตร ฉัตรห้ามทำเขาคืน” เด็กหญิงยังพยายามช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างสุดความสามารถ โดยยกเรื่องที่เพียงรักเคยสอนมาสอนเกื้อกูลอีกต่อหนึ่ง “เวลาฉัตรไม่ชอบอะไร คุณแม่บอกให้ฉัตรบอกเพื่อนไปว่าอย่าทำ...แต่ฉัตรว่าฉัตรต่อยมันเลยดีกว่า ตั้งแต่นั้นมามันก็ไม่ดึงผมฉัตรอีกเลย”

“อาต่อยเขาไม่ได้หรอก เขาเป็นผู้หญิง” ตอนนี้เกื้อกูลไม่รู้จะร้องไห้หรือขำก่อนดี

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ห้ามต่อยเขานะครับอาเกื้อ” ดวินนิ่วหน้า จำได้ว่าการใช้กำลังนั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา “ตอนฉัตรต่อยเพื่อน ฉัตรก็โดนคุณแม่โกรธ โดนลงโทษตั้งหลายวัน ถ้าอาเกื้อต่อยเขา อาเกื้อก็จะโดนโกรธเหมือนฉัตร”

“แล้วอาต้องทำยังไง” เกื้อกูลนอนฟังคำแนะนำจากหลานๆ จากตั้งอกตั้งใจ แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่ แต่ความเป็นห่วงจากดวงตากลมโตของสองแฝดก็ทำให้เขาไปไหนไม่รอดจริงๆ

“อาเกื้อมาซ่อนอยู่ที่นี่ดีไหมคะ” รฉัตรแนะ ทำหน้าจริงจังเมื่อคิดว่านี่คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกื้อกูลโดนคนอื่นทำร้าย “ฉัตรจะปกป้องอาเกื้อเอง!”

“อาไปโรงเรียนอาก็ต้องเจอเขาอยู่ดี” 

“เขาตีอาเกื้อต่อหน้าครูหรือครับ” ดวินเริ่มไม่พอใจคนที่ทำร้ายอาเกื้อของเขาขึ้นมาทันที “ทำไมอาเกื้อไม่ไปฟ้องครูครับ”

“เขาไม่ได้ตีอาหรอก แค่เห็นหน้าเขา อาก็เจ็บจะตายแล้ว”

“อาเกื้อก็ไม่ต้องมองเขาสิ” รฉัตรกระซิบ ไม่เข้าใจหรอกว่าแค่มองเห็นหน้าจะทำร้ายกันได้อย่างไร แต่เมื่อเกื้อกูลเป็นคนบอก เธอก็จะเชื่อ “ตอนอยู่โรงเรียนอาเกื้อก็ไปอยู่กับเพื่อน เลิกเรียนแล้วอาเกื้อก็มาหาฉัตรที่นี่ ไม่ต้องไปอยู่ใกล้คนใจร้ายพวกนั้น ดีไหมคะ”

“ดีครับ” เกื้อกูลแทบจะร้องไห้ เด็กหนอเด็ก...คิดว่าปัญหาของเขามันจะแก้ไขได้ง่ายดายขาดนั้นเลยหรือ แต่เขาก็ไม่อยากทำลายความรู้สึกหลาน ชายหนุ่มจึงรีบพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย “อาจะไม่เข้าใกล้คนใจร้ายอีก เลิกเรียนปุ๊บก็จะรีบกลับมาหาวินกับฉัตรเลย”

“อาเกื้อบอกเขาดีไหมครับว่าเขาทำให้อาเกื้อเสียใจ” ดวินคิดว่าทางที่ดีเกื้อกูลควรจะบอกคนคนนั้นไป “บางทีเขาอาจจะไม่ได้ตั้งทำให้อาเกื้อเสียใจก็ได้ ถ้าเขารู้เขาจะได้ระวัง”

“ไม่ดีหรอก” เกื้อกูลหันมองหน้าหลานชาย ยิ้มขำเมื่อดวินจ้องเขาด้วยสายตาเป็นกังวล “ถ้าอาบอกเขาก็หลบหน้าอาน่ะสิ”

“แบบนั้นก็ดีไม่ใช่เหรอคะ อาเกื้อจะไม่ได้เสียใจไง”

“แต่แบบนั้นอาก็เสียใจเหมือนเดิมน่ะสิ” คุณอาผู้มีปัญหาหนักอกย่นจมูก ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วพูดต่อ “ถ้าอาไม่เจอหน้าเขา อาคงคิดถึงเขาแย่เลย”

“เจอก็เสียใจ ไม่เจอก็เสียใจเหรอครับ” คราวนี้ดวินถึงกับมึน ไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ด้วย บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องแตกต่างระหว่างปัญหาของผู้ใหญ่กับเด็กก็ได้ “แล้วแบบไหนดีกว่ากัน”

“หืม ว่ายังไงนะครับ” เกื้อกูลเลิกคิ้ว ไม่แน่ใจกับคำถามเมื่อครู่ของหลานชายเท่าไหร่นัก “วินหมายความว่ายังไงครับเมื่อกี้”

“เจอคนนั้นกับไม่ได้เจอคนนั้น แบบไหนดีกว่ากันเหรอครับ” เด็กชายเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดของตัวเองออกมาให้ดีที่สุด

คำถามนั้นทำให้ทุกคนในห้องพร้อมใจกันเงียบลงด้วยความจนปัญญา แม้แต่รฉัตรที่เก่งมากในการใช้กำลังแก้ไขปัญหาก็ยังมิวายขมวดคิ้วกันแน่น ครุ่นคิดหาทางออกช่วยผู้เป็นอาสุดกำลัง ทว่าสุดท้ายเธอก็ไม่มีวิธีดีๆ ที่พอจะช่วยเหลือเกื้อกูลได้เลยสักทาง

คราวนี้รอยยิ้มของเกื้อกูลนั้นฝืนเต็มที เขาไม่เคยถามตัวเองเลยว่า ความเจ็บปวดที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองชอบรักคนอื่นกับการหนีออกมาจากตรงนั้น แบบไหนมันเจ็บกว่ากัน 

“นั่นสิ...อาก็ไม่รู้เหมือนกัน...หรือว่าอาจะลองหนีออกมาดูนะวิน”

“อาเกื้อมาหลบที่นี่ก็ได้” ดวินพยักหน้าแรงๆ เห็นด้วยกับผู้เป็นอาทุกอย่าง การมีอาเกื้ออยู่ด้วยย่อมดีกว่าอยู่แล้ว ก็อาเกื้อน่ะตามใจพวกเขาทุกอย่างเลยนี่นา “ไม่ต้องรอวันเสาร์ก็ได้ ผมจะไปขอคุณแม่ให้อาเกื้อค้างที่นี่เอง”

“หลานอาเกื้อแสนดีจังเลย” เกื้อกูลไม่รู้หรอกว่า ที่บอกกันว่าเด็กผู้หญิงช่างอ้อนกว่าเด็กผู้ชายนั้นใครเป็นคนพูด แต่สิ่งหนึ่งที่เขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำก็คือ หลานชายของเขาคนนี้ออดอ้อนได้น่ารักที่สุด อ้อนเก่งไม่เป็นรองน้องสาวแม้แต่นิด “กอดอาเกื้อแน่นๆ หน่อย อาเกื้อจะได้หายเสียใจเร็วๆ” 

ไม่ต้องรอให้เกื้อกูลพูดซ้ำ ทั้งดวินและรฉัตรก็รีบซบหน้า โอบแขนรอบตัวอาเกื้อของพวกเขา กลายเป็นว่าทั้งสามกอดกันกลมดิกบนเตียง เป็นภาพชวนอบอุ่นหัวใจสำหรับคนเห็น แต่ไม่ใช่สำหรับแดนเหนือ...

ภาพตรงหน้านั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล และอีกครั้งที่คำถามเดิมผุดขึ้นมาในหัวสมองของแดนเหนือ คำถามที่ว่า ถ้าตอนนั้นเขาไม่ทำผิดกับเพียงรัก คนที่เด็กๆ กอดและหอมอยู่ตอนนี้ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเขาก็ได้ แต่การที่ลูกสนิทกับน้องชายก็นับว่าเป็นเรื่องดี และเขาก็ควรจะมีความสุขมากกว่าเศร้าใจแบบนี้สิ

“อาเกื้อคงหายเศร้าแล้วละครับ” แดนเหนือตัดสินใจก้าวเข้าไปดึงลูกชายออกจากอกของเกื้อกูล ทำให้รฉัตรที่เห็นอย่างนั้นต้องผละออกจากอาเกื้อของเธอเช่นเดียวกัน “เราไปรอคุณแม่เขาทำอาหารเช้าข้างนอกดีกว่า อาเกื้อยังไม่ได้แปรงฟันเลย ให้อาเกื้อเขาแปรงฟันเสร็จแล้วค่อยตามพวกเราออกไปทีหลังดีกว่านะ”

“แต่วันนี้วันเสาร์ วันเสาร์ต้องอยู่กับอาเกื้อ” รฉัตรแย้งแดนเหนือที่ทำท่าจะดึงพี่ชายของเธอลงจากเตียง 

“เดี๋ยวมื้อเช้าเสร็จพี่จิ๊บก็มาเรียกเองเฮีย ขืนออกไปกวนพี่เพียงคงโกรธเราแน่” เกื้อกูลรั้งหลานชายกลับมาซบอกตามเดิม ขณะบอกแขกคนใหม่ของบ้านถึงหน้าที่ของเขาในทุกเช้าวันหยุด ถ้าวันไหนที่เกื้อกูลมาค้างที่นี่ เขาก็ต้องรับหน้าที่พี่เลี้ยงจำเป็นของเด็กๆ ช่วงที่เพียงรักเตรียมอาหารเช้า 

“แต่ตอนนี้ไม่ได้มีแต่อาเกื้อแล้ว มีลุงแดนอีกคน ไม่ต้องหลบอยู่ในนี้ตลอดก็ได้ ไม่ต้องกลัวแม่เขาดุหรอก เดี๋ยวลุงจัดการให้เอง” 

แดนเหนือบอกเด็กๆ แน่นอนว่าทั้งรฉัตรและดวินล้วนต้องอยากออกไปเล่นด้านนอกที่กว้างขวางและมีของเล่นมากกว่าอุดอู้อยู่ในห้องนอนของเกื้อกูลอยู่แล้ว พอชายหนุ่มพูดอย่างนี้ทั้งคู่ก็แทบจะกระโดดลงจากเตียงทันที 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น