๔
ไม่มีที่มา
การเรียนมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องน่าเบื่อเหลือเกินสำหรับแดนเหนือ เขาไม่เคยอยากเข้าเรียนที่นี่เลย เพียงแต่ขัดใจบิดาไม่ได้ อีกอย่างเขาก็สร้างเรื่องไว้ไม่น้อยสมัยเรียน ม. ปลาย หากยังจะขัดใจพ่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนอย่างที่ตัวเองต้องการ แดนเหนือมั่นใจว่าเขาคงโดนพ่อตัดหางปล่อยวัดแน่ๆ
แต่แล้วแดนเหนือก็นึกขอบคุณพ่อของตัวเองที่บังคับให้เขาเข้าเรียนที่นี่ เมื่อเขาได้เจอเพียงรัก...สาวสวยจากคณะบริหาร คนที่เปลี่ยนความรู้สึกแดนเหนือให้อยากตื่นมาเรียนทุกวัน
เพียงรักเป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร เว้นแต่เพื่อนของเธอ ทำให้แดนเหนือหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะเธอไม่รับของขวัญราคาแพงที่เขาส่งไปให้เลย แดนเหนือจึงต้องเปลี่ยนวิธีมาเป็นการส่งขนมไปให้แทน เพียงรักจึงยอมรับไว้ แต่เธอก็ไม่ได้รับแค่ขนมของเขาหรอก เธอรับขนมของผู้ชายคนอื่นอีกเหมือนกัน และนั่นทำให้แดนเหนือหงุดหงิดมาก อยากจะเข้าไปตั๊นหน้าผู้ชายพวกนั้น โทษฐานที่กล้าเสนอหน้ามาเป็นคู่แข่งในการขายขนมจีบเพียงรักคนสวยของเขา
ยิ่งเพียงรักไม่สนใจ แดนเหนือก็ยิ่งอยากเอาชนะ ยิ่งมีคู่แข่งมากมาย แดนเหนือยิ่งพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะนั้นมา รู้ตัวอีกทีระยะเวลาที่เขาตามส่งน้ำส่งขนมให้เพียงรักก็ผ่านไปร่วมปี...คู่แข่งที่มีมากมายก่อนหน้าก็เริ่มลดจำนวนลง จนสุดท้ายก็เหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังปักหลักไม่หนีหายไปไหน และพยายามจีบหญิงสาวอยู่
สุดท้าย ผลของความพยายามของแดนเหนือก็ได้รับการตอบแทนอย่างคุ้มค่า ชายหนุ่มได้มีแฟนสาวที่ขึ้นชื่อว่าสวยและจีบยากที่สุดอย่างเพียงรัก ผู้หญิงที่ทำให้แดนเหนือหลงใหลจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน ชายหนุ่มไม่กลัวที่จะใช้อภิสิทธิ์ของแฟนหนุ่ม เผยความขี้หึงที่แสดงออกไม่ได้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้ผู้ชายหน้าไหนก็ตามอยู่ห่างๆ จากเพียงรักของเขา แน่นอนว่านอกจากความเหมาะสมของทั้งคู่ เรื่องความขี้หึงของฝ่ายชายก็เป็นที่เลื่องลือจนรู้กันไปทั่ว
ทว่าความหอมหวานของคู่รักนั้นอยู่ได้เพียงไม่นาน...อย่างน้อยก็ไม่นานในสายตาของคนรอบตัวเพียงรักและแดนเหนือ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มกลับกลายเป็นห่างเหินและเย็นชาต่อกัน ชวนให้คนทั้งคู่เหน็ดเหนื่อยหัวใจมากกว่าจะมีความสุข แบบเดียวกับที่แดนเหนือรู้สึกตอนนี้...ที่เขายืนอยู่หน้าประตูห้องพัก
ชายหนุ่มเป็นแฟนกับเพียงรักมาเกือบปีแล้ว แต่เขาไม่อยากกลับคอนโดของเขาที่ใช้อาศัยอยู่กับหญิงสาว เพราะรู้ว่าวันนี้กลับไปพวกเขาคงไม่พ้นทะเลาะกันอีก คิดแล้วเขาไม่น่าบังคับให้เพียงรักย้ายมาอยู่ด้วยกันเลย หากแยกกันอยู่ บางทีความรู้สึกของพวกเขาในวันนี้อาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้
แดนเหนือสูดลมหายใจ พยายามปั้นหน้าให้มีความสุขก่อนจะกดรหัสหน้าประตู ทว่าเพียงผลักบานประตูเข้าไป รอยยิ้มจอมปลอมของแดนเหนือก็มลายหายไปในพริบตา เมื่อเห็นว่าเพียงรักรอเขาอยู่ในห้องก่อนแล้ว หญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบเขื่องของเธอ
“นั่นเพียงจะไปไหน” แดนเหนือหาเสียงตัวเองเจอหลังจากมองหน้าเพียงรักด้วยความสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
ทว่าเพียงรักกลับนิ่งไม่ตอบ เหมือนไม่ได้ยินคำถามของเขา จนแดนเหนือต้องถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น
“เหนือถามว่าเพียงกำลังจะไปไหน!”
“ไปจากที่นี่”
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมา” แดนเหนือสบถลอดไรฟัน รู้สึกเหมือนว่าตัวเขาอยู่ถูกปล่อยไว้กลางทางแยก เมื่อกวาดตามองรอบห้องก็พบว่าข้าวของทุกอย่างของเพียงรักหายไปเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว “ไหนบอกว่าไม่โกรธ แล้วทำไมถึงทำแบบนี้”
“เราไม่โกรธเหนือหรอก”
เพียงรักสูดลมหายใจ ขอบตาของเธอแดงก่ำอย่างคนที่กำลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ มือเล็กกระชับที่ลากกระเป๋าแน่น ใช้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเมื่อร่างสูงตรงหน้าไม่ใช่ที่พึ่งของเธออีกต่อไป
“แต่เราไม่อยากเหนื่อยแล้ว เราไม่อยากให้เหนือต้องคอยหาเรื่องมาทะเลาะกับเราอีกแล้ว เราจะยอมเลิกให้เหนือเอง”
คำพูดสุดท้ายของเพียงรักเปรียบเสมือนฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะของแดนเหนือ ร่างสูงนิ่งไปเพราะตั้งตัวไม่ติดอยู่เสี้ยววินาที ก่อนใบหน้าคมคร้ามจะดุดันขึ้นเพราะความโกรธ แดนเหนือปราดเข้าไปจับข้อมือเล็กของเพียงรัก บีบมันแน่นหวังปลดมือของแฟนสาวออกจากกระเป๋าเดินทาง
“พูดงี้หมายความว่าไงวะ”
“หมายความว่าจะเลิกไง”
เพียงรักเงยหน้าจ้องตากับแดนเหนือไม่มีหลบ คนหนึ่งมีแต่ความโกรธและสับสนในดวงตา ขณะอีกคนมีแต่ความเจ็บปวดและเย็นชาอย่างคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้เด็ดขาดแล้ว
“อย่าทำเหมือนเหนือตกใจจะได้ไหม เหนือจะตกใจทำไม...ในเมื่อคนที่อยากจะเลิกมาตลอดมันคือเหนือ”
“เหนือไม่ได้พูดว่าอยากเลิก เหนือขอให้เราห่างกัน...”
“จะห่างกันเพื่ออะไร” เพียงรักเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปากนิดๆ อย่างเย้ยหยันคำว่า ‘ห่างกันสักพัก’ ของคนที่กำลังจะเป็นแฟนเก่าของเธอ “เพื่อที่เหนือจะได้ไปคุยกับเด็กนั่นได้ โดยที่ไม่ต้องโดนคนอื่นเขาหาว่านอกใจเรางั้นหรือ เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้สายไปป้ะ”
“นั่นมันน้อง!”
เรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอดของแดนเหนือกับเพียงรักพังทลายลง ก็คือลูกสาวของเพื่อนแม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนในคณะเดียวกันกับแดนเหนือ ความสนิทสนมของเขากับผู้หญิงคนนั้นทำให้เพียงรักถึงขั้นเอ่ยปากถามเพื่อขอความมั่นใจ แต่คำตอบของแดนเหนือก็เหมือนคำที่เขาเพิ่งพูดออกมานั่นแหละ...
ไอ้คำว่า ‘น้อง’ ที่ทำให้เพียงรักกลายเป็นแฟนสาวใจแคบ ขี้หึง ไร้เหตุผล
“เลิกโกหกเราสักที!”
ความอดทนของเพียงรักมาถึงจุดสิ้นสุด เพราะคำโกหกที่สิ้นคิดของแดนเหนือ เธอสะบัดข้อมือให้หลุดจากมืออีกฝ่าย ผลักเขาออกห่างด้วยความรู้สึกขยะแขยง
“เราไม่พูดก็ไม่ใช่ว่าเราโง่นะ เลิกกันไปแบบนี้น่ะดีแล้ว อย่าทำให้คนอื่นเขาเรียกว่าเราอีโง่ ปล่อยให้แฟนไปไหนต่อไหนกับผู้หญิงอื่นนานกว่านี้เลย เราเหนื่อยแล้ว...เหนือเลิกเลวไม่ได้หรอก”
เพียงรักสูดลมหายใจ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตา ก่อนหญิงสาวจะรีบยกมือเช็ดมันอย่างรวดเร็ว เธอร้องไห้มามากพอแล้วกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ เธอจะไม่เสียน้ำตาให้แดนเหนือหรือคนของเขาอีก
“เราจะเป็นคนทิ้งเหนือเอง เราจะเป็นคนผิดเอง...ถ้าใครถามเหนือก็บอกไปแบบนี้ เหนือกับเด็กนั่นจะได้ไม่ต้องโดนด่า เราทำให้เหนือได้เท่านี้แหละ ขอโทษแล้วกันที่อยู่กับเหนือตลอดไปตามที่สัญญาไม่ได้”
พูดจบเพียงรักก็ลากกระเป๋าออกไป จึงไม่ทันเห็นว่าร่างสูงของแดนเหนือทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ชายหนุ่มยกมือขึ้นบีบขมับอย่างไปต่อไม่เป็น รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ห้องที่ไม่มีเพียงรักไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ...ชีวิตที่ไม่มีเพียงรักนั้นยิ่งไม่ใช่
เขาไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ เขาไม่ได้อยากให้เพียงรักเดินจากเขาไปง่ายๆ แบบนี้!
คิดได้ดังนั้นแดนเหนือก็รีบปาดน้ำตา พุ่งตัวออกไปจากห้องตามหลังเพียงรักออกไปติดๆ แต่คนรักของเขากลับหายไปแล้ว...แดนเหนือกดลิฟต์ คิดว่าอย่างไรเพียงรักก็คงยังไปไหนไม่ได้ไกล แต่เมื่อเขาวิ่งลงมาถึงชั้นล่าง รถของหญิงสาวก็เคลื่อนตัวออกไปจากคอนโดของเขาเรียบร้อยแล้ว
“เพียง!”
“จะเอาแบบนี้จริงๆ เหรอวะเพียง”
ปัทมาเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้โดยสาร ก่อนจะกลับมามองถนนตรงหน้า แต่คนฟังกลับเพียงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกึ่งระอา สีหน้าของเพียงรักราบเรียบจนคนอื่นเดาไม่ออกว่าตอนนี้หญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
“อย่าว่าฉันอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะเพียง แต่นี่แม่งเรื่องใหญ่นะเว้ย”
“รู้” เพียงรักตอบเพียงสั้นๆ เธอคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนและวางแผนทุกอย่างมาอย่างรอบคอบแล้ว และไม่คิดจะเปลี่ยนใจเพียงเพราะน้ำเสียงเป็นห่วงของเพื่อนสนิทอย่างปัทมาด้วย “ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงมันก็คงไม่แย่ไปกว่านี้หรอกน่า”
“พี่เหนือโทร. มาไม่หยุดเลยค่ะ” นริน น้องรหัสของเพียงรักยื่นหน้ามาจากตอนหลังของรถ สีหน้าของสาวน้อยลำบากใจเกินจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด โชคร้ายจริงๆ ที่พี่รหัสและปัทมาชิงปิดมือถือไปตั้งแต่ตอนที่พวกเธอย้ายข้าวของล็อตสุดท้ายจากห้องของแดนเหนือไปเก็บไว้ที่คอนโดของเพียงรัก เหลือแค่เธอคนเดียวที่ยังต้องรอรับสายของแม่ที่ย้ำว่า หากโอนเงินค่าเช่าหอมาแล้วจะโทร. มาบอก แต่รอทั้งวันแม่ก็ยังไม่โทร. มา มีแต่แฟนเก่าของเพียงรักนี่แหละที่โทร. มาหาเธอจนสายแทบไหม้
“บล็อกเบอร์มันไปสิ ถ้ามันเอาเบอร์คนอื่นโทร. มาก็บล็อกให้หมดเลย” ปัทมาบอก แม้จะไม่เห็นด้วยที่เพียงรักกวาดข้าวของหนีแดนเหนือมาอย่างปุบปับเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่สนับสนุนให้เพื่อนกลับไปหาคนไม่รักดีอย่างแดนเหนือ
“หนูบล็อกไปหมดแล้ว แต่พี่เหนือก็เอาเบอร์ใหม่โทร. มาไม่หยุด” นรินหน้าง้ำ คำแนะนำที่รุ่นพี่บอกนั้นเธอทำไปตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่คอนโดของเพียงรักแล้ว แต่แดนเหนือเองก็ดูจะไม่ล้มเลิกความพยายามในการตามหาเพียงรักไปง่ายๆ เหมือนกัน
“พี่เหนือคงกำลังโกรธมากแน่เลย” ว่าแล้วนรินก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นลูบแขนตัวเอง แค่จินตนาการถึงความโกรธของแดนเหนือตอนนี้ เธอก็ขนลุกขนพอง ดีที่เพียงรักวางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว พวกเธอจึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวของชายหนุ่ม
“ก็คงโกรธแหละ” เพียงรักยิ้มเศร้าๆ ขณะเอ่ยเป็นเชิงเห็นด้วยกับน้องรหัส “ขอโทษนะริน เพราะพี่เองรินเลยต้องมาลำบากแบบนี้”
“ลำบากอะไรล่ะคะ” นรินรีบแย้งเพียงรักพร้อมสั่นศีรษะจนผมยาวสะบัดไปมา “รินไม่ลำบากเลยสักนิด...พี่เพียงช่วยรินไว้ตั้งหลายอย่าง แค่นี้รินไม่ทิ้งพี่เพียงหรอกค่ะ”
“ใช่ แกอย่าคิดแบบนั้นนะเพียง เท่านี้พวกฉันไม่ลำบากหรอก ที่พูดอยู่เนี่ยก็เพราะเป็นห่วงแกทั้งนั้น” ปัทมารีบบอกด้วยกลัวว่าเพียงรักจะคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
“ไม่เป็นไร ฉันโอเค ไม่ร้องไห้ด้วย เห็นไหม” เพียงรักรีบบอกเพื่อนที่เธอไว้ใจที่สุด หญิงสาวเสียใจกับเรื่องนี้มาพอสมควร...และเธอก็คิดมาดีแล้วว่าจะเลิกกับแดนเหนือ เพราะเพียงรักรู้ดีว่าหากเธอและเขายังฝืนคบกันต่อ ก็คงจะทำร้ายกันและกันจนต่างคนต่างไม่เหลือความรู้สึกดีๆ ให้กันแน่ ดีไม่ดีอาจจะเกลียดกันจนอยากให้อีกฝ่ายตายตกไปเลยก็ได้
“ไม่เอาๆ อย่าคุยเรื่องนี้เลยนะคะ เดี๋ยวพี่เพียงจะเครียดเปล่าๆ”
นรินรีบตัดบท แล้วจึงเห็นว่าสายตาของเพียงรักที่จ้องมองมานั้นมีแต่ความซึ้งใจและขอบคุณ รอยยิ้มอ่อนล้าบอกให้สาวรุ่นน้องรู้ว่ารุ่นพี่ของเธอรู้สึกเหนื่อยล้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด ทำให้นรินอดคิดไม่ได้ว่าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเธอบ้าง เธอจะรู้สึกอย่างไร...จะยังสามารถมีสติและเข้มแข็งได้ถึงครึ่งเพียงรักหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แต่มีอย่างหนึ่งที่นรินมั่นใจนั่นก็คือ หากแฟนของเธอนอกใจ เธอไม่มีทางปล่อยให้หมอนั่นได้เสวยสุขกับผู้หญิงอื่น โดยไม่ให้บทเรียนเขาก่อนแน่
“ไฟลต์แกกี่โมงนะ” ปัทมาถามเพียงรัก เรียกความสนใจของหญิงสาวไปจากนรินที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ ปลายทางของพวกเธอคือสนามบิน เพื่อส่งเพียงรักไปหาแม่ที่แต่งงานและอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“ห้าทุ่ม” เพียงรักตอบ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความกล้าให้ตัวเอง เดิมทีเธอกลับไปเยี่ยมแม่ทุกเทศกาลคริสต์มาส แต่คราวนี้เหตุผลที่ทำให้เพียงรักต้องบินลัดฟ้าไปหามารดานั้นต่างออกไป ไม่ใช่ความรื่นรมณ์ยินดีเหมือนครั้งก่อนๆ... “มีเวลาแวะกินข้าวเย็นอยู่นะ”
“จะกินในสนามบินเหรอ” ปัทมาขมวดคิ้ว เธอไม่ชอบอาหารที่สนามบินเท่าไหร่ เพราะนอกจากราคาจะแพงเกินคุณภาพแล้ว เธอก็ไม่เห็นว่ามันจะพิเศษกว่าอาหารร้านอื่นตรงไหน
“รินเลือกสิ” เพียงรักหันไปบอกรุ่นน้องคนสนิท ยิ้มกว้างให้นรินเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ออกจากคอนโดใจกลางเมืองของเพียงรัก
“ร้านไหนก็ได้ค่ะ” นรินไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งคิดหาร้านอาหารแล้ว ตอนนี้เธอกำลังรอสายจากมารดาอย่างใจจดใจจ่อ คิดว่าเมื่อคุยกับท่านเรื่องค่าเช่าเรียบร้อยแล้วจะปิดมือถือทันที จะได้ไม่ระแวงว่า อดีตแฟนของเพียงรักจะใช้เบอร์ไหนโทร. มาหาเธอเหมือนคนบ้าอย่างนี้
“ฉันว่าแกน่าจะเป็นคนเลือกร้านนะ”
คำพูดของปัทมาทำให้เพียงรักลืมความคิดที่ตีกันยุ่งอยู่ในหัว หันมาเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม แม้ปราศจากคำพูดเพื่อนสนิทอย่างปัทมาก็เข้าใจได้ทันที ก่อนเพื่อนสนิทจะอธิบายเหตุผลว่า ทำไมเพียงรักจึงสมควรเป็นคนเลือกร้านอาหาร
“หลังจากนี้ไม่รู้ว่าจะได้ทานอาหารไทยอีกไหมนี่นา”
“ที่ลอนดอนร้านอาหารไทยเยอะแยะ” เพียงรักยิ้มขัน อันที่จริงตอนเธออยู่ที่โน่นกับแม่ เธอกินอาหารไทยบ่อยจนเบื่อ
“อาจจะไม่เหมือนกินที่นี่ไง” ปัทมายังพยายามหาเหตุผลที่เพียงรักสมควรเป็นผู้เลือกร้านอาหารที่สุด สารถีคนสวยหันมามองหน้าเพื่อนสนิทเต็มตาเป็นครั้งแรก ก่อนถอนหายใจออกมายาวเหยียด เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเองก็คงจะใจหายไม่น้อยในการเดินทางของเพียงรักคราวนี้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะได้กลับมาตอนไหน...หรือว่าอาจจะไม่ได้กลับมาเลย
“อย่างนั้นก็กินที่สนามบินแล้วกัน จะได้มีเวลาคุยกันนานๆ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง...ค่าช่วยขนของ” เพียงรักตัดสินใจ และนั่นทำให้ทุกคนในห้องโดยสารพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
สาวๆ ที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาทั้งสามมาถึงสนามบินนานาชาติหลังจากตกลงกันได้แล้ว ลากกระเป๋าเดินทางของเพียงรักไปที่ร้านอาหารด้วยเพื่อที่จะไม่ต้องเดินไปเดินกลับ ใช้เวลาอยู่ร่วมกันพักใหญ่ก็ถึงเวลาที่ต้องบอกลา ทุกคนเว้นเพียงรักนั้นมีสีหน้าย่ำแย่...ดวงตาแดงก่ำ พร้อมสูดจมูกฟืดฟาดเพื่อสะกดน้ำตา
เพียงรักเอียงใบหน้ามองคนสองคนที่เธอเชื่อใจที่สุด ก่อนยิ้มอ่อนโยนแล้วโผเข้ากอดปัทมาและนรินพร้อมกัน อ้อมแขนเรียวของหญิงสาวไม่กว้างพอที่จะโอบกอดเพื่อน จึงกลายเป็นเจ้าตัวที่ถูกดึงเข้าไปกอดแน่นเสียเอง
“ดูแลตัวเองดีๆ นะเพียง...พร้อมเมื่อไหร่ก็ติดต่อมา” ปัทมาบอกเพียงรัก ก่อนจะผละออกมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ “ไม่ต้องรีบ...ให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อนแล้วค่อยติดต่อมาก็ได้ คอนโดแกก็ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะไปดูให้”
“อื้ม ขอบใจนะ แกเองก็ดูแลตัวเองด้วย...” เพียงรักผงกศีรษะรับ เธอทิ้งกุญแจชุดหนึ่งไว้กับปัทมา เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะได้มีโอกาสกลับมาเมื่อไหร่ จึงต้องวานให้เพื่อนคอยดูแลห้องให้ไปพลางๆ ระหว่างนี้ “รินเองก็เหมือนกัน ตั้งใจเรียนล่ะ”
“พี่เพียงไม่ต้องห่วงรินนะคะ รินจะดูแลตัวเองอย่างดี ส่งพี่เพียงแล้วจะกลับไปเลิกกับไอ้พี่โจ้ด้วย...” ตอนนี้นรินร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งต้องลาขาดจากเพียงรักตลอดกาล ทำให้เพียงรักและปัทมามองรุ่นน้องด้วยสายตาอ่อนใจปนเอ็นดู
“ไม่เอาๆ” เพียงรักโอบไหล่สาวน้อย โจ้ที่นรินเอ่ยถึงเป็นแฟนหนุ่มของเจ้าตัวนั่นแหละ และที่ประกาศว่าจะไปบอกเลิกแฟน ก็คงไม่พ้นเหตุที่ว่า โจ้นั้นเป็นหนึ่งในเพื่อนของแดนเหนือ อดีตคนรักของเพียงรัก “โจ้ไม่รู้อะไรด้วยเสียหน่อย อย่าเลิกกันเพราะพี่เลย”
“พวกมันทำกับพี่เพียงขนาดนี้ พี่เพียงจะให้รินอยู่เฉยหรือคะ” คิดแล้วนรินก็มีน้ำโหขึ้นมา มั่นใจว่าแฟนหนุ่มของเธอต้องรู้เห็นเรื่องที่แดนเหนือนอกใจเพียงรักแน่นอน
จะไม่รู้ได้อย่างไร ขนาดเธอที่เจอแดนเหนือแทบนับครั้งได้ยังรู้เลย มีหรือที่โจ้ซึ่งตัวติดแดนเหนือยิ่งกว่าฝาแฝดจะไม่รู้ไม่เห็น
“เราทำแบบนี้พี่รู้สึกผิดนะ”
เพียงรักเป็นคนใจเย็น เธอรู้ตัวดี แต่เพียงรักเพิ่งรู้จริงๆ ว่า เธอยังใจเย็นได้แม้จะรู้ความลับที่แดนเหนือซ่อนเอาไว้จากเธอ ความลับที่ว่าชายหนุ่มแอบคบหากับรุ่นน้องที่เป็นลูกสาวของเพื่อนแม่เขา
เพียงรักไม่โกรธแดนเหนือ ลึกๆ แล้วเธอเองก็แอบสงสัยอยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ที่แดนเหนือพร่ำบอกเธอว่าระหว่างเขากับเด็กคนนั้นเป็นแค่ ‘พี่น้อง’ นั้นมีอะไรมากกว่าที่เขาบอก เพียงแต่เธอไม่มีหลักฐานมามัดตัวเขาก็เท่านั้น แต่ก็อย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละว่าความลับไม่มีในโลก...เรื่องความสัมพันธ์ของแดนเหนือกับรุ่นน้องคนนั้นเองก็ไม่ได้รับการยกเว้น
สุดท้ายนรินก็หาหลักฐานมายืนยันข้อสันนิษฐานของเพียงรักจนได้ และผลก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นก็คือ เพียงรักตัดสินใจเป็นฝ่ายเดินออกมาจากความสัมพันธ์ที่อีนุงตุงนังเอง
แม้จะแอบทำใจคนเดียวเงียบๆ มาแล้วพักใหญ่ แต่พอถึงเวลาที่ต้องตัดขาดกับแดนเหนือจริงๆ ก็ใช่ว่าเพียงรักจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย อันที่จริงเธอเจ็บ...เจ็บมากทีเดียว แต่เมื่อตัดสินใจที่จะเดินออกมาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ จะหวนกลับไปแล้วทำตัวน่าสมเพช อ้อนวอนขอความรักจากคนที่หมดรักในตัวเธอแล้วนั้นไม่มีประโยชน์ และเพียงรักก็หยิ่งทระนงเกินกว่าจะทำเช่นนั้น รู้ว่าถ้าเธอยังรั้งอยู่ในความสัมพันธ์นี้ ทุกคนจะยิ่งเสียใจกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ โดยเฉพาะเธอ และที่สำคัญคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็จะพานถูกทำร้ายไปด้วย
คิดดังนั้นมือเรียวของเพียงรักก็เคลื่อนไปวางบนหน้าท้องแบนราบของตัวเองโดยสัญชาตญาณ ตอนนี้คงเร็วไปที่จะรับรู้ถึงเลือดเนื้อเชื้อไขที่กำลังเติบโตของเธอและแดนเหนือได้ แต่กระนั้นเพียงรักก็ไม่มีความคิดที่จะให้ลูกของเธอคลอดออกมาท่ามกลางความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงระหว่างเธอ แดนเหนือ และผู้หญิงอีกคน เธอจะพาลูกเธอหนีไปให้ไกล...ไปยังที่ที่มีแต่คนที่รักและปรารถนาดีกับแกจากใจจริง
“อย่าให้ปัญหาของพี่ทำให้เราต้องทะเลาะกับโจ้เลยนะริน...พี่ไปหาแม่เพราะไม่อยากให้คนทางนี้มีปัญหา เราเข้าใจใช่ไหม”
“พี่เพียงไม่น่าปล่อยพวกมันไปง่ายๆ” นรินหมายถึงแดนเหนือและผู้หญิงที่ทำให้เขานอกใจเพียงรักด้วย หากเป็นเธอ เธอจะประจานพวกมันจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเลย
“เราไม่ต้องเสียแรงทำอะไรเขาหรอกริน เชื่อพี่เถอะ ยังไงพวกนั้นก็ไปกันไม่รอดหรอก คอยดูสิ”
เพียงรักยิ้มพราย เธอรู้จักแดนเหนือมาเกือบสองปี ทำไมจะไม่รู้นิสัยของเขา อีกไม่นานหรอก...ผู้หญิงคนนั้นก็จะรู้ถึงฤทธิ์เดชของแดนเหนือเหมือนอย่างที่เพียงรักเจอ
“คิดแล้วก็แค้นว่ะ” ปัทมาเข่นเขี้ยว ใจจริงอยากจะด่าแดนเหนือยิ่งกว่านี้ หากไม่ติดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้เวลากับเพื่อนสนิทอย่างเพียงรัก โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอกันอีกเมื่อไหร่
“อย่างนั้นก็อย่าคิดเลย เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ นะ” เพียงรักสมกับที่ได้ฉายาแม่พระ แม้จะโดนทำร้ายจิตใจมาอย่างหนักหน่วงในสัปดาห์ที่ผ่านมา หญิงสาวก็ยังยิ้มพรายและปลอบปัทมาให้ใจเย็นลงได้
“ไปละ...”
“เดินทางปลอดภัยนะคะพี่เพียง” นรินน้ำตาคลอเมื่อเพียงรักตั้งท่าจะผละไปจริงๆ “เดี๋ยวรินจะไปเยี่ยมนะคะ ดูแลตัวเองดีๆ นะพี่”
“ขอบใจๆ” เพียงรักพยายามยิ้ม แม้สีหน้าของเธอจะดูย่ำแย่ ก่อนจะหักใจไม่วกกลับมากอดลาเพื่อนทั้งสองของตน รู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นแล้วคงไม่ได้ไปไหนกันพอดี “ไปจริงๆ แล้วนะ อย่าร้องไห้”
“อื้อ ไม่ร้องหรอก” ปัทมาเอ่ยแล้วเม้มปากแน่น กลั้นน้ำตาเอาไว้สุดความสามารถ ขณะที่มองเพียงรักก้าวขึ้นบันไดเลื่อนซึ่งจะนำหญิงสาวไปยังด่านตรวจคนออกนอกเมือง
ร่างบอบบางในชุดนักศึกษาโบกมือลาปัทมาและนรินที่ยืนอยู่เบื้องล่างพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวาน แม้จะเสียใจที่ต้องบอกลากัน แต่ในความเสียใจก็ยังมีความโล่งอกอยู่...ที่สุดท้ายพวกเธอทั้งคู่ก็พาเพียงรักมาส่งได้โดยปลอดภัย หลังจากนี้คงทำได้เพียงเอาใจช่วยเพียงรักให้เริ่มต้นใหม่อย่างราบรื่น ปราศจากมารผจญที่ชื่อว่าแดนเหนือตามรังควาน
ดวงหน้าแป้นแล้นของรฉัตรทำให้คนเป็นแม่เผลอยิ้มออกมา หลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวครู่ใหญ่ ก่อนเพียงรักจะผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด เมื่อลูกสาวหัวเราะคิกคักพร้อมโยกตัวไปมา ไม่ให้ความร่วมมือในการเช็ดผมกับเพียงรักแม้แต่นิด จนเธอต้องแสร้งตีหน้าดุ จ้องเด็กหญิงด้วยแววตาคมกริบก่อนเอ่ย
“ฉัตรคะ อยู่นิ่งๆ หน่อยสิลูก ให้คุณแม่เช็ดผมแล้วค่อยเล่น”
“คุณแม่ก็เช็ดเร็วๆ สิคะ” รฉัตรบอกวิธีแก้ปัญหาในความคิดของเธอ แล้วก็คิดว่าผมยาวก็ดีอยู่หรอก แต่ต้องเสียเวลาเช็ดนานกว่าพี่ชายที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าต่อของเล่นอยู่มุมห้อง แล้วเด็กหญิงก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
“ฉัตรอยากผมสั้นค่ะ”
“ผมยาวสวยกว่า”
ดวินที่กำลังง่วนอยู่กับการประกอบของเล่นนั้นเงยหน้าขวับ พร้อมกับแย้งน้องสาวที่บอกว่าอยากตัดผมสั้น ทำให้รฉัตรหน้างออย่างขัดใจ ก่อนเงยหน้ามองเพียงรัก เป็นเชิงเรียกร้องให้มารดาออกปากช่วยเธอ
“แต่นี่ผมฉัตร...ฉัตรอยากผมสั้น!”
“อย่างนั้นไว้เราไปตัดผมกัน” เพียงรักยิ้ม ขณะซับผมของลูกสาวอย่างเบามือ
แม้รฉัตรจะยังเด็ก แต่เพียงรักก็จะไม่เอ่ยห้าม เธอให้สิทธิ์ลูกๆ ตัดสินใจด้วยตัวเองว่า พวกเขาอยากจะตัดผมสั้นหรือไว้ผมยาว จะแต่งตัวแบบไหนก็ได้ แล้วแต่พวกเขา เพราะเพียงรักเชื่อว่าการที่เธอเคารพการตัดสินใจของลูกๆ จะช่วยทำให้เด็กๆ เติบโตมาพร้อมกับความกล้าที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเองในอนาคต
“เดี๋ยวแม่จะตัดเป็นเพื่อนฉัตรดีไหมคะ”
“คุณแม่อยากผมสั้นเหมือนฉัตรหรือคะ”
ฉัตรสบตาเพียงรักผ่านแว่นตาหนาเตอะของมารดา แว่นตาของเพียงรักนั้นเด็กๆ เห็นจนชินยามที่พวกเขาอยู่ที่บ้าน รู้ว่าหากไม่สวมเจ้านี่ แม่ของพวกเธอจะอ่านหนังสือหรือเห็นอะไรจากระยะไกลไม่ได้
เด็กน้อยฉอเลาะเอาใจผู้เป็นแม่บ้าง “ฉัตรก็อยากใส่แว่นเหมือนคุณแม่ค่ะ”
“ผมก็อยาก” ดวินยกมือขึ้น เรื่องการไว้ผมสั้นของน้องสาวนั้นเขาไม่เห็นด้วย แต่เมื่อแม่สนับสนุนน้อง ดวินก็คงไม่มีทางเลือกอื่น เว้นแต่ยอมให้รฉัตรได้มีผมสั้นอย่างใจอยาก “ผมอยากมีแว่นตาเหมือนคุณแม่...เหมือนคุณปู่”
“ไม่ได้จ้ะ แม่ต้องใส่แว่นตาเพราะอะไร แม่เคยบอกแล้วนี่” เพียงรักส่ายศีรษะ เธอไม่มีทางตามใจเด็กๆ ในเรื่องนี้ เธอต้องสวมแว่นตาเพราะความจำเป็น แต่หากจะอธิบายเหตุผลให้เด็กๆ ฟังอีกรอบตอนนี้ พวกเธอคงไม่ต้องนอนกันพอดี
“เพราะคุณแม่จะมองไม่เห็นของที่อยู่ไกลๆ”
รฉัตรบอกเสียงดังฟังชัด แม้ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ก็ตอบเพียงรักได้ เพราะจำคำพูดที่คุณแม่เคยบอกเธอมาพูดอีกที เหตุผลนี้ดวินเองก็จำได้ แต่ด้วยวัยของพวกเขาทำให้เด็กทั้งสองยากจะเข้าใจอยู่ดี
เพียงรักวางผ้าจนหนูลงแล้วหยิบหวีมาสางผมยาวของรฉัตร ใช้ไดร์เป่าจนผมของเด็กหญิงแห้งสนิทแล้ว เพียงรักจึงหมุนตัวของรฉัตรกลับมาหาเธอ
“เสร็จแล้วหรือคะ”
“จ้ะ” เพียงรักผงกศีรษะรับ เอียงใบหน้ารับจูบขอบคุณจากลูกสาว แล้วปล่อยให้เด็กหญิงวิ่งไปสมทบกับพี่ชาย เพื่อช่วยกันต่อของเล่นที่พยายามมาหลายคืนแล้วยังไม่สำเร็จ
เพียงรักเองก็หมดปัญญา มีหลายอย่างที่เธอเรียนรู้และทำได้หลังจากมีลูก แต่การประกอบของเล่นนี่ไม่ว่าเพียงรักจะพยายามมากแค่ไหนหญิงสาวก็ไม่สามารถทำได้จริงๆ สุดท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้และปลอบใจตัวเองว่า ปล่อยวางเรื่องบางเรื่องบ้างก็ได้ พยายามไปก็เสียเวลาเปล่า
ร่างบอบบางของคุณแม่ลูกสองที่ตอนนี้อยู่ในชุดนอนรวบผ้าเช็ดตัวของลูกๆ ไปโยนใส่ตะกร้าในห้องน้ำ เหลือบมองนาฬิกาจากหน้าจอมือถือเสี้ยววินาที แล้วตัดสินใจปล่อยเด็กๆ เล่นกันต่ออีกสักพัก เพราะนี่เป็นคืนวันศุกร์ เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องรีบเข้านอนก็ได้ ทว่ายังไม่ทันที่เพียงรักจะได้เดินออกมาจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็กๆ พากันวิ่งออกไปจากห้องนอน
แล้วด้านนอกก็มีเสียงหวีดร้องด้วยความดีใจของสองแฝด ทั้งคู่พร้อมใจกันเรียกอาเกื้อๆ ไม่หยุดปาก ทำให้เพียงรักอดที่จะรู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ที่ลูกของเธอดีใจกับการมาเกื้อกูลในครั้งนี้มากเป็นพิเศษ คงเพราะหวังให้เกื้อกูลช่วยต่อของเล่นแน่ๆ นี่ถ้าฝีมือการต่อของเล่นของเธอไม่เลวร้าย ลูกของเธอคงไม่ดีอกดีใจกับการมาของเกื้อกูลขนาดนี้
เพียงรักส่ายศีรษะกับตัวเองระหว่างตามเสียงของลูกไปยังห้องนั่งเล่น แต่แล้วใบหน้าอ่อนโยนที่ประดับด้วยรอยยิ้มของเพียงรักก็หายไป พร้อมกับเท้าที่ปักแน่นบนพื้น ตรึงร่างเล็กให้หยุดอยู่กับที่ เมื่อในห้องนั่งเล่นนั้นไม่ได้มีเพียงเกื้อกูลเหมือนทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้ยังมีแดนเหนือรวมอยู่ด้วย
ดวงตาของคนทั้งสองผสานกันอยู่อึดใจหนึ่ง ทำให้บรรยากาศในห้องนั่งเล่นของเพียงรักพลันกลายเป็นเย็นเยียบ อึดอัดคล้ายไม่มีอากาศให้คนในห้องได้หายใจ
แดนเหนือสบตาเพียงรักก่อนจะเป็นฝ่ายละสายตาก่อน ร่างสูงที่อยู่ในชุดทำงานชุดเดียวกับตอนกลางวันทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่า จนสายตาคมกริบของเขาระดับเดียวกับสองแฝด ชายหนุ่มเอ่ยทักทายเด็กๆ ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องของเล่นในมือของดวินมาพลิกดู พลางถามด้วยความสนิทสนมเหมือนเขารู้จักและคุ้นเคยกับเด็กๆ เป็นอย่างดี
“ไหนต่ออะไรกันอยู่ครับ”
“ของวินเป็นโปเกมอน” รฉัตรเป็นคนบอก เด็กหญิงมองแดนเหนืออย่างไม่ไว้ใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแฉ่ง เมื่อมือหนาของแดนเหนือวางกล่องของเล่นลง แล้วเริ่มลงมือประกอบมันอย่างคล่องแคล่ว จนเด็กหญิงตาโตแล้วอดร้องว้าวออกมาเบาๆ ไม่ได้
“ลิซาร์ดอน เป็นมังกรไฟ” ดวินเม้มปากหลังบอกชื่อโปเกมอนของเขาให้เพื่อนของแม่ฟัง ดวงตาของเด็กชายฉายประกายตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าชิ้นส่วนในมือของแดนเหนือเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว
“อย่างนั้นหรือ...วินชอบมังกรหรือครับ” แดนเหนือเหลือบมองหน้าดวิน ก่อนจะรีบหันกลับไปประกอบเจ้ามังกรไฟให้ลูกชายต่อ “ไม่ชอบพิคาจูเหรอ มันเก่งนะ”
“ไม่จริงๆ” รฉัตรรีบโบกมือ แย้งคำพูดของแดนเหนือพร้อมทำสีหน้าเคร่งเครียด วางกล่องของเล่นของตัวเองลงตรงหน้าแดนเหนือ เป็นเชิงบอกให้เขาต่อของเล่นของเธอหลังจากพี่ชาย แล้วพูดแจ้วๆ อธิบายความเข้าใจผิดของแดนเหนือ
“พิคาจูไม่เก่ง คนอื่นเก่งกว่าพิคาจู...”
เพียงรักขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทางแดนเหนือที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับพวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โตตอนกลางวัน ทั้งที่เพียงรักคิดว่าเมื่อกลางวันนั้นเธอพูดกับแดนเหนือชัดเจน และเขาคงไม่กล้าบากหน้ากลับมาหาเธอแล้วแน่ๆ แต่ทำไมแดนเหนือถึงได้ใจกล้าบุกมาที่นี่ แล้วทำเหมือนเจ้าของบ้านอย่างเธอไม่มีตัวตน ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย สรุปแล้วเขากินของแสลงอะไรเข้าไป ความหน้าด้านจึงพุ่งสูงขึ้นไม่หยุดอย่างนี้
แต่จะเรียกว่าบุกมาก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก เนื่องจากมีคนช่วยเหลือแดนเหนือจนผ่านระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโด แล้วเข้ามาในบ้านของเธอได้โดยไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ที่สำคัญตัวการที่ว่าก็กำลังยกมือไหว้เธอปลกๆ ไม่ไกลนี่เอง
เกื้อกูลมีสีหน้าและแววตารู้สึกผิด เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มเองก็ถูกพี่ชายของเขาบังคับเหมือนกัน แต่เพียงรักก็ไม่แน่ใจหรอก ว่าท่าทางรู้สึกผิดของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่เกื้อกูลรู้สึกจริงๆ หรือเสแสร้งทำเพราะกลัวเธอด่ากันแน่
เพียงรักมองเกื้อกูลสลับกับแดนเหนือ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเพราะความหงุดหงิดที่ปะทุขึ้นในอก เพียงรักไม่รู้ว่าเธอควรจะโกรธใครก่อนดี ระหว่างแดนเหนือที่ไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหน จึงได้ถือดีเสนอหน้ามาที่บ้านของเธอกลางดึก แถมยังทำตัวประหนึ่งว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง กับเกื้อกูลคนที่เธอเชื่อใจให้รหัสเข้าบ้าน ด้วยไม่นึกว่าเขาจะเสียสติ พาพี่ชายตัวเองที่เพียงรักห้ามไม่ให้พามาที่บ้านของเธอเข้ามาโดยไม่ขออนุญาตเธอก่อน
“นี่มันอะไรกันเกื้อ เกิดอะไรขึ้น” เพียงรักต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ กว่าจะเรียบเรียงคำถามออกมาถามเกื้อกูลได้ หญิงสาวพยายามสะกดความไม่พอใจของตนเอาไว้สุดความสามารถ ด้วยไม่อยากให้เด็กๆ เห็น หรือกระทั่งสัมผัสความไม่พอใจของเธอ
“ขอโทษครับพี่เพียง” เกื้อกูลรู้สึกว่าตัวเล็กลงเหมือนโดนไฟฉายย่อส่วนของโดราเอมอน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาวาววับของเพียงรัก “มันสุดวิสัยจริงๆ ผมไม่มีทางเลือก”
“แล้วทำไมถึงได้พาเขามาบ้านของพี่ พี่บอกแล้วไงว่าพี่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาที่บ้าน” เพียงรักถลึงตามองหน้าเกื้อกูลที่เหลืออยู่ไม่กี่นิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาเห็นว่าบ้านของเธอเป็นโรงแรมที่คิดจะพาใครมาก็ทำได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องขออนุญาตเธอหรือบอกให้เธอรู้ก่อนหรือยังไง
“ก็ผมไม่รู้ว่าจะพาเฮียไปไว้ที่ไหนนี่” เกื้อกูลก้มหน้า ใช้มือถูกันไปมาหลังจากถูกเพียงรักต้อนจนจนมุม “ผมให้เฮียอยู่หอผมไม่ได้หรอก เพื่อนผมอยู่...”
เพียงรักนิ่วหน้า กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าดวงตาที่มีแววเกรี้ยวกราดอยู่เมื่อครู่พลันก็เผยประกายวาววับ เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ก่อนเธอจะร้อง ‘อ้อ...’ พร้อมกับแววตาที่ใช้มองเกื้อกูลนั้นเปลี่ยนเป็นขบขันกึ่งล้อเลียน
“เพื่อนหรือ คงเป็นเพื่อนรักมากสิท่า ถึงได้ผลักพี่ตัวเองมาเป็นภาระคนอื่นอย่างนี้”
“โธ่...พี่เพียงก็...” อันที่จริงเกื้อกูลอยากจะโพล่งออกไป เพื่อเอาชนะเพียงรักที่กำลังล้อเขาทางสายตา ว่าสำหรับเขาและแดนเหนือ เพียงรักไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย แต่ก็ทำอย่างใจนึกไม่ได้ เพราะหากทำอย่างนั้น ทั้งเขาและแดนเหนือคงไม่พ้นถูกเตะโด่งออกจากบ้านของเพียงรักแน่
“ก็ผมรับปากเพื่อนไปแล้วว่าเขาอยู่ห้องผมได้ จู่ๆ จะให้เขาออกไปเพราะเฮีย ใครมันจะไปกล้า”
“ก้าวหน้าขนาดนั้นเลย?” ตอนนี้เพียงรักลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว หากเธอเดาไม่ผิด เพื่อนที่ทำให้เกื้อกูลสละคอนโดของตัวเอง แถมอนุญาตให้เพื่อนคนนั้นย้ายเข้ามาอยู่ได้คงไม่พ้นเป็นผู้หญิง แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เกื้อกูลยอมทุ่มสุดตัว ขนาดกล้าไสส่งแดนเหนือให้มาเป็นภาระของเธอแบบไม่กลัวเธอโกรธ
พี่น้องบ้านนี้เหมือนกันตรงนี้แหละ หากเป็นเรื่องผู้หญิงแล้วจะเป็นจะตาย จะเสียอะไรเท่าไหร่ พวกเขาก็ยอมทั้งนั้น
“ถ้าเขารู้ว่าเราไล่พี่ชายไปนอนบ้านคนอื่นเพื่อเขา เขาคงดีใจแย่”
“ขอร้องเถอะพี่เพียง” เกื้อกูลทำหน้าเมื่อย เรื่องความสัมพันธ์ของเขาและ ‘เพื่อน’ คนที่ว่านั้นไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงคำว่าดีเลยสักอย่าง “อย่าให้ความหวังผมเลย คนโดนเฟรนด์โซนแม่งเจ็บว่ะ”
ว่าแล้วเกื้อกูลก็ทิ้งร่างลงบนโซฟายาว หลับตาแน่นด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง
“แล้วตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมจู่ๆ ถึงได้พากันมาบ้านพี่ ไม่พาพี่เรากลับบ้านล่ะ วันนี้วันศุกร์นี่” เพียงรักกระซิบถามเกื้อกูล ขณะยังคอยพะวงมองแดนเหนือที่ตอนนี้กำลังถูกลูกๆ ของเธอใช้แรงงานอยู่อีกฟากของห้อง หากจำไม่ผิด เกื้อกูลต้องกลับไปค้างที่บ้านนี่
“ผมไม่อยากเล่า” เกื้อกูลงอแงเสียยิ่งกว่าหลาน เขากอดเข่าตัวเองแนบอก ขดตัวเป็นก้นหอยแล้วหลับตาแน่นกว่าเดิม ไม่อธิบายอะไรให้เพียงรักฟังทั้งนั้น เขาเอาชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าบุญแล้ว
หายหงุดหงิดเกื้อกูลไปได้ไม่นาน เพียงรักก็ต้องกลับมาชักสีหน้าใส่ชายหนุ่มอีกหนจนได้ ไอ้ท่าทางสิ้นเรี่ยวแรงเหมือนคนที่เพิ่งผ่านสงครามมานั่นมันคืออะไรกัน คนที่มีสิทธิ์หมดเรี่ยวแรงและรู้สึกเอือมระอาควรเป็นเธอที่ต้องรับแขกที่ตัวเองไม่เชิญกลางดึกไม่ใช่หรือ
นึกหงุดหงิดกับตัวเองได้ไม่นานเพียงรักก็ต้องผงะ เมื่อจู่ๆ เกื้อกูลก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนตะโกนลั่นบ้านเธออย่างถืออภิสิทธิ์
“พี่จิ๊บครับ! ผมหิวครับพี่จิ๊บ!”
เพียงรักมองภาพตรงหน้าด้วยความอ่อนใจและระอาเกินจะพูดคำใดๆ ออกมา เกื้อกูลเกินลิ่วไปยังประตูเชื่อมระหว่างห้องครัวแบบฝรั่งกับแบบไทยด้านหลัง เพื่อตามหาจิ๊บที่หลบไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องนอน ซึ่งอยู่ด้านหลังส่วนที่เป็นห้องครัวไทย
ห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงรัก แดนเหนือ และสองแฝดที่กำลังกระดี๊กระด๊ากับฝีมือการประกอบของเล่นของแดนเหนือ ภาพนั้นทำให้เพียงรักต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อสะกดความไม่พอใจของตนเองเอาไว้ แล้วเดินไปทรุดนั่งบนโซฟายาวที่เกื้อกูลเพิ่งลุกจากไป ตอนนั้นเองที่เพียงรักมีโอกาสได้เห็นแววตาเป็นประกายของดวิน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีโอกาสได้เห็น ขนาดเธอที่คลอดเขาออกมาเองแท้ๆ ก็เห็นนับครั้งได้ ไม่บ่อยที่เด็กชายจะมีแววตาเช่นนี้ ไม่เหมือนรฉัตรที่สดใสและมักจะมีแววตาเช่นนี้ให้เห็นบ่อยๆ ยามได้กินของอร่อย และนั่นเป็นสิ่งทำให้เพียงรักปล่อยวางความโกรธของตัวเองลงได้ แค่เห็นว่าเป็นความสุขของลูก เพียงรักก็สามารถกล้ำกลืนความรู้สึกของตัวเอง อดทนกับแดนเหนือได้มากขึ้นกว่าเดิม
“เหนือทะเลาะกับม้ามาน่ะ”
แดนเหนือชิงบอกก่อนผงกศีรษะขึ้นสบตากับเพียงรัก รับรู้ถึงสายตาระแวงของหญิงสาวได้พักใหญ่แล้ว เขาเองก็ใช้ความพยายามไม่น้อยเหมือนกัน กว่าจะกล้าบากหน้ามาที่นี่ได้ แม้ใจอยากมาที่นี่ แต่แดนเหนือก็ยังมีความละอายใจอยู่ ใช้เวลาคิดอยู่นานทีเดียว กว่าจะตัดสินใจยอมเชื่อเกื้อกูลแล้วพากันมาที่นี่
“ไปค้างหอไอ้เกื้อไม่ได้ ธนาก็ไปคุยงานอยู่หาดใหญ่...วันอังคารถึงจะกลับ”
เจ้าของบ้านฟังแดนเหนืออธิบายยาวเหยียดด้วยน้ำเสียงเครียดจัด ราวกับอีกฝ่ายกลัวจริงว่าเธอจะโยนเขาออกไปจากบ้าน...ซึ่งทีแรกเพียงรักก็เกือบจะทำอย่างนั้นแล้วจริงๆ หากแดนเหนือไม่ไหวตัวทัน รีบเสนอตัวประกอบของเล่นให้ลูกของเธอก่อน ดูเหมือนว่าเวลาที่ผ่านมานั้น แดนเหนือก็ฉลาดขึ้นนิดหนึ่งเหมือนกัน
เพียงรักฟังคำอธิบายแล้วก็เงียบไปอึดใจหนึ่งเพราะความลังเล พอหันไปเห็นดวินและรฉัตรที่มองแดนเหนือด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแล้ว หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่กินอะไรกันมาหรือยัง”
“ยังเลย...” แดนเหนือส่ายศีรษะเบาๆ ด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมพลางตอบ
คำถามและน้ำเสียงที่เพียงรักใช้ถามเขานั้นทำให้หัวใจแห้งแล้งของแดนเหนือชุ่มฉ่ำขึ้น เหมือนทุ่งหน้าแห่งความหวังที่ถูกปล่อยให้ขาดน้ำเป็นระยะเวลานานได้รับฝนแรก...ต้นกล้าแห่งความหวังค่อยๆ ผลิใบขึ้นมาและพร้อมจะเจริญงอกงาม หากได้หยาดฝนแห่งไมตรีจากหญิงสาวสม่ำเสมอ ทว่าพอคิดถึงคดีที่ตัวเองเคยก่อไว้แล้ว ไอ้ต้นกล้าความหวังที่ว่าก็แห้งเหี่ยวลงทันตา
แดนเหนือเคยถามตัวเองว่าหากเขาเป็นเพียงรัก เขาจะกลับไปหาไอ้สารเลวที่นอกใจเขาหรือเปล่า และคำตอบที่แดนเหนือได้กับตัวเองคือ ไม่มีทาง ให้ตายก็ไม่กลับไป...และนั่นทำให้แดนเหนือต้องก้มหน้างุด กลับไปตั้งใจประกอบของเล่นให้เด็กๆ ต่อ
“ที่จริงเหนือไม่ค่อยหิวเท่าไหร่...เพียงไม่ต้องห่วง”
เพียงรักอยากจะบอกว่าเธอไม่ได้ห่วงเขาสักนิด ที่ถามก็ถามไปตามมารยาทเท่านั้น จะปล่อยให้ห้องเงียบเดี๋ยวก็พานทำให้บรรยากาศในบ้านอึดอัดเสียเปล่าๆ แม้ดวินและรฉัตรยังเด็กและคงจะยังไม่เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะหลอกพวกเขาได้ง่ายๆ ทั้งคู่แยกแยะบางอย่างได้ และรับรู้ถึงความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับแดนเหนือได้แน่ๆ เพียงรักมั่นใจ แล้วคงไม่พ้นเป็นเธอที่ต้องรับหน้าที่ตอบคำถามของเด็กๆ อีกเช่นเคย
“เหนือทะเลาะกับแม่เพราะเราหรือเปล่า” เพียงรักตัดสินใจถามออกไป แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องที่ทำให้คุณสุกดารามีปากเสียงกับบุตรชายสุดที่รักอย่างแดนเหนือได้นั้นคงไม่พ้นเป็นเรื่องของเธอ แต่ความจริงที่ว่าเธอกับแดนเหนือได้เลิกราไปนานหลายปีแล้วก็เป็นเหตุผลที่ค้านกันอยู่ หากมองอีกมุมหนึ่งเพียงรักก็คิดว่า เธอไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้แดนเหนือทะเลาะกับแม่ได้
แดนเหนือฟังคำถามแล้วนิ่งไป เหมือนเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเพียงรักจะถามคำถามนี้กับเขา จนหญิงสาวต้องถามซ้ำอย่างไม่มีทางเลือก
“เรื่องที่ทำให้เหนือทะเลาะกับแม่ของเหนือคือเราใช่ไหม”
“เพราะเหนือเองแหละ ไม่เกี่ยวกับเพียงหรอก” แดนเหนือตอบก่อนถอนหายใจออกมายาวเหยียด
จริงอยู่ที่เพียงรักเป็นประเด็นที่ทำให้เขาและแม่ต้องมีปากเสียงกัน แต่เหตุผลที่แท้จริงไม่เกี่ยวกับเพียงรักเลยสักนิด หญิงสาวเป็นเพียงหนึ่งในข้ออ้างที่แม่ใช้บังคับให้เขาทำตามใจแม่เท่านั้น แดนเหนือเองก็เพิ่งรู้เบื้องหลังการบังคับที่ไร้เหตุผลของแม่เมื่อไม่นานมานี้เอง
เหตุผลจริงๆ ก็คือ แม่ต้องการควบคุมทุกอย่างในชีวิตของเขา ท่านต้องการทำให้แดนเหนือเป็นตุ๊กตาที่ต้องเติบโตและใช้ชีวิตแบบที่ท่านต้องการทุกอย่าง หากเขาดื้อดึงหรือต่อต้าน สุกดาราก็จะยกคำว่าเนรคุณและลูกไม่รักดีมาตราหน้าเขา ทำให้แดนเหนือรู้สึกผิด เหมือนตอนที่ท่านรู้ว่าคบกับเพียงรักนั่นแหละ
แล้วผลสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น...ชีวิตของเขาไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง ขนาดมีลูกสองคน แดนเหนือยังบอกใครไม่ได้เลย ก็จะให้บอกใครได้ยังไง ขนาดลูกยังไม่รู้เลยว่ามีเขาเป็นพ่อ
“เพียงก็รู้นี่ว่าม้าเป็นยังไง”
“แม่ของเหนือยังเหมือนเดิมสินะ” เพียงรักรู้ซึ้งถึงความเจ้าบงการของคุณสุกดาราดี เพราะเธอเองก็เคยเจอนิสัยที่ว่ามาไม่น้อยเลยตอนที่ยังคบกับแดนเหนือ แต่โชคดีเธอที่หลุดพ้นมาได้แล้ว จึงไม่ต้องทนลำบากใจเหมือนแต่ก่อน
“เหมือนเดิมแหละ เขาไม่เปลี่ยนหรอก”
แดนเหนือยิ้มมุมปาก เขาเองก็เคยคิดว่าหากเขาโตขึ้นกว่าแต่ก่อน แม่จะยอมถอยห่างและเลิกบงการชีวิตเขา ทว่าแดนเหนือกลับคิดผิด เพราะนอกจากแม่จะไม่ยอมเลิกนิสัยเดิมๆ แล้ว นิสัยที่ว่ายังมีแนวโน้มจะหนักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก แต่เขาจะโทษแม่ที่ประคบประหงมเขามาแต่เล็กๆ ได้อย่างไร เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยบอกท่านว่า เขาอึดอัดกับการที่ท่านเข้ามาบงการชีวิตเขา ดังนั้นพอเอ่ยปากเตือนและห้ามสุกดาราเอาตอนนี้ เรื่องจึงบานปลายอย่างที่เห็น
“เหนือไม่อยากเล่าแล้ว เหนือไม่อยากเอาปัญหามาโยนใส่เพียง”
เพียงรักอยากจะบอกว่า การที่เขาและน้องชายพากันย้ายสำมะโนครัวมาที่บ้านเธอกลางดึกก็ไม่ต่างกับการโยนปัญหาของเขามาให้เธอหรอก แต่พอเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของแดนเหนือแล้ว เพียงรักก็ตัดสินใจที่จะไม่ซักไซ้อะไรเขาอีก
เธอเป็นคนใจอ่อนจนชอบทำให้ตัวเองลำบากอยู่บ่อยๆ เพียงรักรู้ตัวดี
“ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องทำหรอก ของเล่นพวกนี้ไว้วันหลังค่อยทำก็ได้” เพียงรักเหลือบมองของเล่นในมือแดนเหนือก่อนออกปาก เกรงว่าการเอาใจเด็กๆ จะทำให้แดนเหนือหงุดหงิดกว่าเดิม
“ไม่ได้นะคะ” รฉัตรผุดลุกขึ้นมาฉับพลัน เมื่อได้ยินมารดาเสนอให้แดนเหนือหยุดมือ ใกล้จะถึงคราวของเธออยู่แล้ว จู่ๆ จะมาเลิกได้อย่างไร “ลุงแดนจะหยุดไม่ได้ ของฉัตรยังไม่ได้ต่อเลย”
“ฉัตรคะ” เพียงรักเอ่ยเสียงเข้ม หลับตาลงด้วยความอับอาย จึงไม่ทันได้เห็นแววตาขบขันที่แดนเหนือทอดมองหน้าเด็กหญิง
“แต่มันไม่แฟร์นะคะ” รฉัตรแย้งด้วยน้ำเสียงกร้าวขึ้น “ทำไมลุงแดนถึงต่อของเล่นให้วินแล้วไม่ยอมต่อให้ฉัตร ฉัตรไม่ยอม”
แล้วเด็กหญิงก็หันมามองหน้าแดนเหนือด้วยแววตาเอาเรื่อง นิ้วเล็กชี้ไปยังกล่องของเล่นของเธอที่วางอยู่ตรงหน้าแดนเหนือ ทำให้ชวนคิดถึงภาพของลูกแมวยามแยกเขี้ยวขู่ศัตรู
“ลุงแดนต้องต่อของฉัตรด้วย”
“ลุงยังไม่ได้พูดว่าลุงจะไม่ต่อให้ฉัตรเลย”
แดนเหนือเอ่ยยิ้มๆ ทำให้รฉัตรอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ทว่าเด็กหญิงยังไม่วายมองค้อนเพียงรักอย่างงอนๆ เท่านั้นก็บอกแทนคำพูดของเด็กหญิงได้ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องพูดด้วยซ้ำ
ภาพอันน่าขบขันของรฉัตรทำให้เพียงรักขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจกิริยาอาการเอาแต่ใจของบุตรสาว จนต้องเรียกเด็กหญิงเข้ามาหา เพียงรักจับแขนเล็กของรฉัตร บอกเหตุผลของตัวเองว่าทำไมเธอถึงบอกให้แดนเหนือหยุดประกอบของเล่น พร้อมกับจ้องตากลมโตเหมือนลูกกวางแสนดื้อรั้นของรฉัตร
เพียงรักในโหมดคุณแม่ที่เด็ดขาดและไม่อ่อนโยนนั้นทำให้แดนเหนืออดที่จะขนลุกเกรียวขึ้นมาไม่ได้ พอจะเดาได้หรอกว่าเพียงรักเป็นคนเอาจริงเอาจริงมาก แต่เขาก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเพียงรักตอนอบรมลูกจะดุและเด็ดขาดขนาดนี้
“ลุงแดนช่วยฉัตรกับวินต่อของเล่นเพราะลุงแดนใจดี ทั้งที่ลุงแดนไม่จำเป็นต้องทำด้วยซ้ำ ฉัตรคิดว่าคำพูดเมื่อกี้ของฉัตรมันน่ารักไหมคะ”
“ไม่ค่ะ...” เด็กหญิงก้มหน้างุดทันที รู้ตัวว่าเธอทำตัวเองเดือดร้อนเสียแล้ว
“ไม่น่ารักแล้วต้องทำยังไงคะ”
“ฉัตรขอโทษค่ะลุงแดน...ฉัตรแค่...แค่...” รฉัตรอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลใดมาอ้างเพื่อเอาตัวรอดดี
“ไม่เป็นไรครับ” แดนเหนือยิ้มกว้าง รีบช่วยรฉัตรเมื่อเห็นแววตาคมกริบของเพียงรัก ขนาดเขาที่เป็นผู้ใหญ่ยังไม่กล้าสู้สายตาแบบนี้ของเพียงรักเลย ดังนั้นไม่ต้องคิดว่าเด็กสี่ขวบจะกลัวแค่ไหน อีกอย่างเขาไม่โกรธรฉัตรสักนิดที่สั่งให้เขาต่อของเล่นของเธอให้เสร็จ ห้ามล้มเลิกกลางคันเด็ดขาด ต่อให้แกจะเกเรกว่านี้แดนเหนือก็มั่นใจว่าเขาไม่มีทางโกรธลูกลง
“ไหนดูซิ...ของเล่นของฉัตรเป็นตัวอะไรคะ”
“เป็นมังกรเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ใช่โปเกมอน” รฉัตรโผเข้าหาอ้อมแขนของแดนเหนือทันที โอบแขนรอบลำคอแกร่งแล้วนั่งซบอกกว้างเพื่อเอาตัวรอด
“เขี้ยวกุด” ดวินกระซิบบอกชื่อของเล่นของรฉัตรหลังเงียบมานาน กลัวว่าหากเอ่ยอะไรออกไปตอนที่เพียงรักกำลังอบรมน้องสาวแล้ว ตนจะพลอยโดยลูกหลงไปด้วย เด็กชายลอบมองหน้ามารดาเพื่อดูทิศทางของอารมณ์เพียงรักด้วยความระแวง เมื่อไม่เห็นวี่แววความโกรธบนหน้าของมารดา ดวินจึงผ่อนคลายลง “ที่จริงแล้วมันมีสองตัว แต่คุณแม่บอกว่าถ้าฉัตรต่อเขี้ยวกุดเสร็จถึงจะได้ซื้ออีกตัว”
แดนเหนือจับรฉัตรให้มานั่งอยู่บนท่อนขาข้างซ้ายของเขา เพื่อที่จะต่อของเล่นให้เด็กหญิงได้อย่างสะดวก มือทำงานไป หูก็ฟังดวินที่ถือของเล่นซึ่งประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้วไปพร้อมกัน
“คุณแม่ดูสิ ลุงแดนต่อเก่งมากเลย” ดวินประคองมังกรสีส้มในมือไว้อย่างหวงแหน เป็นครั้งแรกที่เขาต่อของเล่นได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง จึงเห่อมันเป็นพิเศษ
“ถือดีๆ นะครับวิน เดี๋ยวจะร่วง” เพียงรักแสร้งไม่ได้ยินที่ลูกชมแดนเหนือว่าเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นเด็กหญิงแทน “ฉัตรคะ ลงมาจากตักลุงแดนก่อนลูก ให้ลุงแดนเขาต่อของเล่นเสร็จก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอก ให้ฉัตรนั่งเถอะ ไม่ได้กวนอะไร” แดนเหนือรีบแย้งเพียงรักก่อนที่รฉัตรจะลงจากตักเขา พร้อมกับท่อนแขนข้างหนึ่งวาดมาโอบร่างเล็กของเด็กหญิงตามสัญชาตญาณการปกป้อง แม้จะรู้ว่าเขาไม่มีทางกล้าขัดคำสั่งเพียงรักได้ แต่การที่มีลูกมานั่งตัก คอยอ้อนเขาไม่ห่างอย่างนี้ ก็เป็นสิ่งที่เย้ายวนใจเหลือเกินสำหรับแดนเหนือ รู้หรอกว่าเสี่ยงที่จะโดนเพียงรักฟาด แต่ก็ขอลองหน่อย เผื่อฟลุกแล้วได้มีรฉัตรนั่งตักนานกว่านี้อีกนิด
เมื่อมีคนให้ท้าย รฉัตรจึงอดไม่ได้ที่จะมองเพียงรักด้วยสายตาของผู้ชนะ ทำให้คิ้วของเพียงรักกระตุกถี่ๆ คล้ายเห็นแดนเหนือขนาดย่อส่วนขึ้นมารำไร ตอนนั้นเองที่เพียงรักตระหนักถึงไอ้คำโบราณที่เขาพูดกันว่า ‘เลือดพ่อมันแรง’ มันคืออย่างนี้นี่เอง
แต่รฉัตรก็สมกับเป็นขวัญใจของหนุ่มๆ ในบ้าน เพราะยังไม่ทันที่เพียงรักจะได้โมโหยายตัวดี ดวินก็เรียกเพียงรัก เธอจึงต้องหันไปสนใจลูกชาย และจำต้องปล่อยรฉัตรไปอย่างไม่มีทางเลือก
“แม่ครับ ผมอยากพาลิซาร์ดอนไปวางบนชั้นให้อยู่กับเพื่อน”
“ได้สิจ๊ะ”
เพียงรักลุกขึ้น จูงมือลูกชายเตรียมพาไปยังห้องหนังสือที่เธอทำชั้นสำหรับวางของเล่นไว้ให้พวกเขา ดวินจะได้วางโปเกมอนของเขาไว้อย่างที่ต้องการ ทว่าก่อนที่จะไปห้องหนังสือ เพียงรักก็กระตุกมือเล็กของเด็กชาย ดวินเงยหน้ามองด้วยความสงสัยจนเพียงรักต้องเตือนเขาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลง
“ลุงแดนช่วยวินต่อของเล่นเสร็จแล้ว วินขอบคุณลุงแดนหรือยังครับ”
“ขอบคุณครับลุงแดน” ดวินสะดุ้ง เพราะมัวแต่ตื่นเต้นจึงลืมไปเลยว่าต้องขอบคุณแดนเหนือ คิดได้ดังนั้นเด็กชายก็ปลดมือออกจากมารดา แล้วเดินเข้ามาหอมแก้มแดนเหนือเบาๆ เหมือนที่ทำกับคนในครอบครัวด้วยอีกอย่าง ด้วยกลัวว่าเพียงรักจะดุตนที่เสียมารยาทเรื่องที่ลืมขอบคุณแดนเหนือไป
ทว่าการกระทำนั้นของเด็กชายกลับทำให้แดนเหนือนิ่งขึงไปก่อนจะยิ้มกว้าง พลันขอบตาก็ร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แดนเหนือต้องใช้ความสามารถอย่างมากทีเดียวที่จะไม่ร้องไห้ออกมาต่อหน้าเด็กๆ
“ไม่เป็นไรครับ” แดนเหนือพยายามยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะมองดวินกลับไปจูงมือเพียงรักแล้วเดินผละไป ตรงนั้นจึงเหลือเพียงเขาและรฉัตรที่นั่งอยู่บนตัก
แดนเหนือตีตัวเองเบาๆ ในใจแล้วหันกลับมาประกอบของเล่นต่อ ทว่าคำถามจากเด็กหญิงวัยสี่ขวบก็ทำให้แดนเหนือสะดุ้ง เผลอปล่อยของเล่นที่ต่อไปได้พอสมควรแล้วลงพื้นจนแตกกระจาย
“ลุงแดนชอบคุณแม่หรือคะ”
ความคิดเห็น |
---|