1

บทสวดที่ ๑

บทสวดที่ ๑

 

“ดวงตกนะเราน่ะ”

เสียงทักที่ดังมาจากทางด้านหลังเรียกพัดพารัดชาให้หันกลับไปหาเจ้าของเสียง เรียวคิ้วโก่งงามเลิกขึ้นนิดๆ อย่างประหลาดใจขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองใบหน้าหล่อเหลาปานสลักเสลาจากหยกของคนพูดด้วยความรู้สึกเหมือนตนเองหูฝาดไป

“คะ? คุณ...พูดกับฉันเหรอคะ”

หญิงสาวหันซ้ายหันขวาไปรอบๆ ร้านแล้วเริ่มคิดว่าตนเองเพิ่งถามเรื่องโง่ๆ ออกไป ในเมื่อมีเธอยืนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว เขาจะพูดกับใครอื่นได้กันเล่า

“อือฮึ ผมคงไม่พูดกับตัวเองหรอกมั้ง”

หลู่ลากเสียงยานคาง เขานั่งเท้าคางอยู่กับตู้กระจกที่มีเครื่องประดับจากหยกชั้นเลิศนับร้อยชิ้นวางเรียงรายอย่างสวยงามเป็นระเบียบอยู่เต็มพื้นที่ แต่น่าประหลาดนักที่ดวงตาสีฟ้าอมเทาราวท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆหมอกยามเช้าของเขากลับดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากกว่าหยกเนื้อดีพวกนั้นเป็นร้อยเท่า 

“เอ่อ...”

พัดพารัดชาพูดไม่ออก เธอรู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่ใช่เพราะผู้ชายผมยาวตรงหน้าเธอคนนี้หล่อมาก แต่เป็นเพราะเขาแผ่กลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้ขนอ่อนบนหลังคอของเธอลุกชันอย่างไม่มีเหตุผล

เยือกเย็น...ทว่ากดดันจนหายใจติดขัดไปหมด...

“มาใกล้ๆ หน่อยซิแม่หนู”

คำว่า ‘แม่หนู’ ที่หลุดออกมาจากปากเขานั้นฟังแปร่งหูพิกล จริงอยู่ที่เธอเพิ่งฉลองวันเกิดอายุ ๒๐ ปีไปเมื่อวานนี้ แต่เขาก็ดูอายุมากกว่าเธอไม่เท่าไหร่ อย่างมากก็ไม่น่าเกินสามสี่ปี ทำไมถึงได้เลือกใช้คำเหมือนตนเองแก่กว่าเธอมากแบบนั้นกันเล่า พูดจาเหมือนตาแก่อายุหกสิบอย่างไรอย่างนั้น พิลึกเสียจริง

“มาเถอะน่า ไม่กัดหรอก จะดูดวงให้” หลู่ยังคงเท้าคางอยู่ตามเดิม แต่นิ้วมืออีกข้างเริ่มเคาะก๊อกๆ กับกระจกตู้โชว์เป็นจังหวะเหมือนเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมานิดๆ แล้ว 

หญิงสาวยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจสาวเท้าตรงไปหยุดยืนเบื้องหน้าชายหนุ่มอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าร้าน ‘ธารหยก’ ชื่อดังของเชียงใหม่มีบริการดูดวงด้วย นึกว่าจะขายหยกเพียงอย่างเดียวเสียอีก

แต่จะว่าไป...เธอก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาซื้อหยกแต่แรกอยู่แล้วนี่

พัดพารัดชาถูกเพื่อนๆ ลากมาที่ร้านหยกที่ใหญ่ที่สุดในตัวจังหวัดแห่งนี้เพราะ ‘ข่าวลือ’ เรื่องที่ว่าเครื่องประดับหยกจากร้านนี้ ‘อาจ’ นำโชคดีมาให้ลูกค้าอย่างไม่คาดฝันได้หากซื้อจากพนักงานรูปหล่อผมยาวที่ไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นบ่อยนัก...คิดถึงตรงนี้หญิงสาวก็เหลือบมองเรือนผมยาวดำขลับที่รวบไว้ด้านหลังหลวมๆ ของคนตรงหน้าทันที

เอ๊ะ...หรือว่าจะเป็นเขาคนนี้ที่ใครต่อใครลือกัน

“เข้ามาใกล้อีก”

หลู่ยังคงนั่งท่าเดิม ริมฝีปากหยักลึกยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาจางๆ นั้นนิ่งสนิทจนไม่อาจอ่านอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ได้ แต่ไม่รู้ทำไมพัดพารัดชาถึงได้ยอมเชื่อฟังคำพูดของเขาและขยับเข้าไปจนชิดกับตู้กระจกอย่างว่าง่ายเสียอย่างนั้น

“อื้อหือ ไม่ใช่แค่ดวงตกแล้วมั้ง มีเคราะห์ใหญ่รออยู่เลยละ”

ขณะที่พูดนั้น สีหน้าท่าทางเกียจคร้านของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด มีแต่คนฟังที่เริ่มหน้าเสียขึ้นมาหน่อยๆ

“แค่มองหน้าก็รู้ไปถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ” พัดพารัดชายิ้มแหยๆ “โหงวเฮ้งฉันแย่ขนาดนั้นเชียว”

เธอเริ่มรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ชักไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว ดีไม่ดีอาจจะกำลังคิดหลอกขายของให้เธออยู่ก็เป็นได้

“หน้าฝรั่งขนาดนี้รู้จักโหงวเฮ้งด้วยหรือเรา”

สาวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีเลือดตะวันตกผสมอยู่อย่างเข้มข้น แม้จะเหมือนเพิ่งพ้นวัยเด็กมาสู่วัยสาวเต็มตัวได้ไม่นาน แต่การสวมเสื้อยืดและกางเกงยีนก็ไม่ได้ทำให้เธอดูเป็นเด็กกะโปโลเลยสักนิด เธอดูบอบบาง ทว่าอิ่มตาไปทุกส่วน โค้งในส่วนที่ควรโค้ง เว้าในส่วนที่ควรเว้า โดยเฉพาะสะโพกกลมกลึงที่รับกับท่อนขาเพรียวยาวนั้นเสริมให้เธอดูเหมือนนางแบบบนหน้าปกนิตยสารที่ ‘เมีย’ ของเขาชอบอ่านไม่มีผิด 

“ฉันโตในเมืองไทยมาตั้งแต่เด็กนะคะ ฉันว่าฉันพูดไทยชัดกว่าคุณอีก”

พัดพารัดชาหัวเราะแกนๆ ตั้งแต่บิดาชาวฝรั่งเศสเสียชีวิตไปเมื่อตอนที่เธออายุได้ ๑๓ ปี เธอกับมารดาก็ลงหลักปักฐานอยู่ที่ประเทศไทยมาตลอด แน่นอนว่าการเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนไร้ญาติขาดมิตรอย่างพวกเธอสองคนแม่ลูกเลย แต่ยังโชคดีที่บิดาของเธอพอมีเพื่อนเก่าอยู่บ้าง แม้ท่านจะเสียไปแล้ว พวกเขาก็ยังหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เธอกับแม่อย่างไม่รังเกียจรังงอน ทำให้สามารถตั้งหลักเริ่มต้นชีวิตได้ในเวลาไม่นาน 

“พูดไทยชัดกว่า ไม่ได้หมายความว่าดูดวงเก่งกว่านี่”

หลู่เลิกคิ้วซ้ายขึ้นข้างเดียวอย่างยียวน ที่จริงสำเนียงไทยของเขาจัดว่าชัดมากแล้ว มีเพียงการออกเสียงพยัญชนะบางตัวเท่านั้นที่ทำให้หญิงสาวพอจับได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนต่างชาติแน่ๆ เพียงแต่เดาไม่ออกว่าเป็นคนชาติไหน รูปโฉมของเขางดงามแปลกตา เหมือนผสมผสานส่วนที่ดีที่สุดของทุกเชื้อชาติเอาไว้ ไม่เจาะจงว่าสืบเชื้อสายมาจากผู้คนในทวีปใดทวีปหนึ่งทั้งสิ้น

รูปงามแต่ให้ความรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนอยู่จริงบนโลกนี้อย่างไรก็ไม่รู้...

“แบมือแล้ววางบนนี้ซิ”

เขาเคาะนิ้วบนกระจกใสเบื้องหน้า พัดพารัดชาลอบกลอกตา เธอเริ่มมองหาก๊วนเพื่อนตัวดีที่เป็นคนชักชวนกันมาที่นี่ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา จะว่าไป...บรรยากาศในส่วนนี้ของร้านก็ดูเงียบสงัดพิกลประหนึ่งว่ามีเธอกับผู้ชายคนนี้อยู่กันเพียงลำพังทั้งที่ตอนเดินเข้าร้านมาก็เห็นลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่กำลังยืนฟังคุณลุงเขมทัตบรรยายเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึกของหยกให้ฟังอยู่แท้ๆ 

ธารหยกนับเป็นร้านเครื่องประดับเก่าแก่แห่งหนึ่งในเชียงใหม่ เหมหรือคนที่ใครๆ ก็รู้จักกันในนาม ‘เหมเซียนหยก’ เป็นคนก่อตั้งร้านนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการหยกมาเกือบครึ่งชีวิต แม้คนในท้องถิ่นจะเคยได้ยินว่าการเริ่มต้นธุรกิจของเหมไม่ได้ใสสะอาดอะไรนัก มีเรื่องของการต่อสู้ฟาดฟันกันถึงเลือดถึงเนื้อเพื่อแย่งกันประมูลหยกเนื้อดีจากเหมืองพม่า หรือแม้แต่การลักลอบนำหยกข้ามชายแดนเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่มีหลักฐานใดๆ มารองรับ จึงไม่ต่างจากนิทานหลอกเด็กและไม่มีใครเชื่อถือจริงจัง

กิจการของธารหยกในยุคแรกเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เหมวางรากฐานให้ลูกหลานในรุ่นหลังไว้ได้อย่างมั่นคง เมื่อเขมทัตผู้เป็นบุตรชายมารับช่วงต่อ ร้านที่เคยเป็นเพียงคูหาเล็กๆ ใกล้กับกาดหลวงจึงขยับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็สามารถซื้อที่ทางแล้วย้ายมาตั้งอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน มิหนำซ้ำยังมีโรงงานเป็นของตนเอง จึงมีกำลังการผลิตส่งหยกที่แปรรูปเป็นเครื่องประดับหรือของประดับตกแต่งบ้านออกไปขายต่างประเทศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ต่อให้ในยุคต่อมาความนิยมหยกในไทยลดลงบ้างก็ยังประคับประคองกิจการผ่านช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมาได้อย่างไม่เจ็บตัวมากนัก

ทุกวันนี้เหมวางมือ ถอยไปคอยให้คำปรึกษาอยู่เบื้องหลัง และสนับสนุนให้เขมทัต เซียนหยกรุ่นใหม่ดูแลกิจการอย่างเต็มตัว ซึ่งเขาก็ทำได้ดีมาก รู้จักปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการโพรโมตจนร้านเป็นที่รู้จักในวงกว้าง รวมไปถึงออกแบบเครื่องประดับหยกในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้นออกมาวางขายเป็นการขยายฐานลูกค้าวัยรุ่นให้เพิ่มมากขึ้นอย่างชาญฉลาดที่สุด

ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนแนวทางการตลาดมาใช้ไสยศาสตร์เป็นตัวดึงดูดลูกค้าเสียนี่...

พัดพารัดชาลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนที่กำลังก้มมองลายมือของเธออยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ เท่าที่จำได้ เขมทัตมีลูกสาวคนเดียวชื่อญาตาวี เพิ่งเรียนจบระดับปริญญาตรีและกลับมาจากต่างประเทศเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้น...ผู้ชายคนนี้จึงไม่น่าจะเป็นลูกชายของเขมทัตแน่ แต่น่าจะเป็นญาติทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งกระมังถึงได้ออกมาขายของหน้าร้านโดยไม่ต้องใส่ยูนิฟอร์มเหมือนพนักงานคนอื่นๆ 

“ดวงกุดขนาดนี้ ถ้ารอดได้ก็เรียกว่าปาฏิหาริย์แล้ว”

หลู่ใช้แท่งหยกสีเขียวรูปทรงยาวเหมือนตะเกียบผอมๆ ลากไปตามเส้นชีวิตบนฝ่ามือของหญิงสาวเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแตะเนื้อต้องตัวของอีกฝ่ายตรงๆ 

เธอกะพริบตาปริบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เห็นภาพหลอน เมื่อครู่เธอเห็นเขาดึงแท่งหยกนี้ออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า 

นี่เขา...เป็นนักมายากลอย่างนั้นหรือ

“แหม ฟังแล้วเหมือนไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง นี่หมายความว่าฉันคงต้องซื้อหยกสักชิ้นสองชิ้นไปเสริมดวงใช่ไหมคะ”

พัดพารัดชาหรี่ตามองหลู่อย่างจ้องจับผิด พวกหมอดูลวงโลกก็ขึ้นต้นคำพูดแบบนี้กันทั้งนั้นนั่นละ เที่ยวพรรณนาว่าเหยื่อมีเคราะห์ร้ายต่างๆ นานา จากนั้นก็จะเริ่มรีดไถค่าสะเดาะเคราะห์หรือไม่ก็หลอกขายเครื่องรางราคาสูงลิบลิ่ว อีตาคนนี้ก็คงเหมือนกันนั่นละ!

“คิดว่าผมจะหลอกขายของเด็กตัวกะเปี๊ยกอย่างคุณเรอะ ดูถูกกันเกินไปหน่อยมั้ง รู้ไหมว่าระดับผมเนี่ย ต่อให้คนตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นบวงสรวง ทำพิธีอัญเชิญใหญ่โต ถ้าผมไม่มีอารมณ์ก็อย่าหวังว่าจะเหาะไปดูดวงให้เลย”

หลู่เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าจืดเจื่อนของสาวน้อยลูกครึ่งตรงหน้าแล้วแสยะยิ้ม นานแล้วที่ไม่ได้เจอเรื่อง ‘น่าสนุก’ จนอยากยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วยแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาใช้แท่งหยกเขี่ยดูเส้นด้ายสีแดงที่นิ้วนางของแม่เด็กคนนี้แล้ว เห็นในนิมิตทันทีว่าปลายอีกด้านนั้นผูกอยู่กับนิ้วนางของใคร

ไม่รู้ว่าสวรรค์กลั่นแกล้งหรือนรกส่งเสริมกันแน่ รู้แต่ครั้งนี้งานเข้า ‘ไอ้เด็กโอหัง’ เต็มๆ เชียวละ...

ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต!

“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

พัดพารัดชาไม่รู้ว่าควรขำหรือร้องไห้ก่อนดี นี่เธอกำลังคุยอยู่กับคนบ้าประเภทไหนกัน ตั้งโต๊ะบวงสรวง? ทำพิธีอัญเชิญ? นี่เขาคิดว่าตนเองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือไง...คิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวก็เริ่มเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้งเพื่อดูว่าเพื่อนๆ เดินมาแถวนี้บ้างหรือยังจะได้หาข้ออ้างไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ เสียที ขืนอยู่ตรงนี้อีกพัก เธอคงได้ประสาทกินเพราะเขาแน่ แต่เป็นอีกครั้งที่ต้องผิดหวัง ไม่มีใครเดินผ่านมาสักคน กระทั่งพนักงานร้านก็เหมือนไม่ใส่ใจห้องเล็กๆ ที่กั้นเป็นสัดส่วนแยกจากด้านหน้าร้านตรงนี้เลยสักนิด ทั้งที่เครื่องประดับหยกที่เรียงรายอยู่ในตู้โชว์ต่างๆ ในห้องนี้สวยงามจนน่าจะเรียกลูกค้ากระเป๋าหนักได้สบายๆ แท้ๆ

ทำไมถึงไม่มีลูกค้าคนไหนสนใจเข้ามาชมสินค้าชั้นเลิศพวกนี้เลย แปลกเสียจริง...

“ขนาดนั้นแหละ ระดับนี้แล้ว จะให้น้อยกว่านั้นได้อย่างไรกันเล่า” หลู่ยืดตัวตรง พยายามกลั้นเสียงหัวเราะสะใจเมื่อนึกถึงเรื่อง ‘โคตรสนุก’ ที่กำลังจะเกิดขึ้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ “วันนี้คุณทำให้ผมอารมณ์ดีมาก ฉะนั้นผมจะมอบของขวัญให้คุณหนึ่งชิ้นเป็นการตอบแทน”

เขาไขตู้กระจกตรงหน้าแล้วหยิบจี้หยกสีดำทรงรีออกมาหนึ่งชิ้น หยกชิ้นนี้มีขนาดเล็กกว่าผลมะยงชิดนิดหน่อย ทว่ามีรูปร่างแบนและหนาไม่เกินห้ามิลลิเมตร ด้านบนแกะสลักเป็นกิเลนที่กำลังบินทะยานอยู่บนก้อนเมฆอย่างสง่างาม ใบหน้าของสัตว์เทพนั้นดุดันและสมจริงมากอย่างเหลือเชื่อ ทุกเส้นสายที่ช่างสลักลงไปบนเนื้อหยกก่อร่างสร้างรูปขึ้นเป็นกิเลนจอมพยศนั้นอ่อนช้อยทว่าทรงพลัง ทำให้ดูราวกับว่ามันกำลังเหินอยู่บนท้องฟ้าปล่อยให้สายลมพัดแผงคอปลิวไสว 

พัดพารัดชามองงานฝีมือชั้นครูนั้นด้วยความรู้สึกประหนึ่งว่าเกล็ดเล็กๆ ที่อยู่บนลำตัวของกิเลนนั้นกำลังขยับตามจังหวะการหายใจของมันเสียด้วยซ้ำไป

หยกชิ้นนี้แกะสลักได้อย่างประณีตงดงามมาก ดูแล้วสนนราคาน่าจะสูงไม่ใช่เล่น...

“นี่เป็นหยกที่เรียกว่าหยกดำส่องเขียว”

หลู่หยิบไฟฉายเล็กๆ ที่อยู่ในตู้มาส่องด้านหลังของจี้หยก แสงนั้นส่องทะลุผ่านเนื้อหยกออกมาเผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมันเป็นหยกสีเขียวที่มีเม็ดสีเข้มมากจนมองด้วยแสงปกติเป็นสีดำ แต่เมื่อนำมาส่องแสงให้ทะลุผ่านเนื้อหินจะเห็นเนื้อสีเขียวมรกตคล้ายเรืองแสงได้ และยิ่งเห็นได้ชัดว่าฝีไม้ลายมือของช่างที่แกะสลักลวดลายบนจี้ชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ทั้งการลงน้ำหนัก ทั้งความแม่นยำในการสร้างลวดลายแบบนี้ต้องมาจากการสั่งสมประสบการณ์อย่างต่ำสิบปีขึ้นไปแน่ๆ 

“พกติดตัวเอาไว้ อย่าถอดถ้าไม่จำเป็น มันจะช่วยคุ้มครองคุณได้ อาบน้ำก็ไม่ต้องถอด”

“เอ๊ะ...แต่...แต่ของแพงขนาดนี้ฉันคงรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

พัดพารัดชารีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน ใครๆ ก็ชอบของฟรีกันทั้งนั้นละ แต่จู่ๆ จะให้รับของมีราคาแบบนี้จากคนแปลกหน้าได้อย่างไรกันเล่า มันผิดมารยาท  อีกประการหนึ่งคือเธอไม่รู้จักเขาเลยสักนิด หากเขามีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่เล่า เธอจะทำอย่างไร

“เรื่องเยอะนะเราน่ะ” หลู่หยิบเชือกไหมสีแดงมาสอดร้อยจี้แล้วส่งให้หญิงสาว เขาทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคออย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ “ผู้ใหญ่ให้ของขวัญก็รับไปเถอะน่า จะระแวงอะไรนักหนา”

คนฟังทำหน้าไม่ถูกหลังได้ยินเขาพูดคล้ายกับว่าอ่านความคิดของเธอออก แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากเถียงอะไรอีก เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วคล้องสร้อยใส่คอของเธอหน้าตาเฉย พัดพารัดชาอ้าปากค้าง เธอพอดูออกว่าเขาน่าจะตัวสูงอยู่ละ ทว่าไม่นึกเลยว่าพอลุกขึ้นยืนแล้วจะตัวโตผิดมนุษย์มนาเช่นนี้ ขนาดเธอไม่ใช่คนตัวเตี้ยอะไร ค่อนไปทางสูงกว่ามาตรฐานหญิงไทยทั่วไปด้วยซ้ำ ยังสูงไม่พ้นหัวไหล่ของเขาเลย

นี่มันยักษ์ชัดๆ!

“เชื่อเถอะ พอคุณย้อนกลับมานึกถึงวันนี้ คุณจะต้องขอบคุณผมเป็นล้านครั้ง”

“แต่...แต่ของมันคงแพงมากนะคะ ฉัน...ฉันคง...”

“รับไปเถอะค่ะ ถือว่าเป็นของขวัญจากทางร้านเราให้ลูกค้าผู้โชคดีก็ได้”

หญิงสาวร่างเล็กกะทัดรัดในชุดลำลองสบายๆ เดินโปรยยิ้มมาจากประตูเชื่อมทางด้านหลัง เธอมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักรับกับเรือนผมบ๊อบสั้นและหน้าม้ามาก พัดพารัดชาจำได้ในทันทีว่าผู้มาใหม่คือญาตาวี บุตรสาวคนเดียวของเขมทัต เซียนหยกรุ่นที่สองของร้านธารหยก 

“ละ...ลูกค้าผู้โชคดีเหรอคะ แต่...แต่ฉันยังไม่ได้ซื้ออะไรเลย จะนับเป็นลูกค้าได้ยังไงกัน”

เมื่อกี้ผู้ชายคนนี้ยังทักว่าเธอดวงกุดอยู่เลย นี่จะเรียกว่าโชคดีได้จริงๆ น่ะหรือ...เธอไม่รู้จักกับญาตาวีเป็นการส่วนตัว แค่เคยเห็นหน้าค่าตากันบ้างตอนที่พรประภาผู้เป็นมารดาพาเพื่อนมาซื้อหยกที่นี่แล้วหนีบเธอติดมาด้วย ว่ากันตามจริงแล้วคนที่คุ้นเคยกับครอบครัวเจ้าของร้านธารหยกเป็นอย่างดีคือมารดาของเธอมากกว่า ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกสาวเจ้าของร้านใหญ่โตเช่นนี้จะมอบของขวัญให้เธอโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้เลย

“ก็โชคดีที่ไม่ต้องจ่ายเงินไง” หลู่ยักคิ้วให้ “ถ้ารับไว้เดี๋ยวจะลดราคาสร้อยข้อมือที่เพื่อนๆ ของคุณอยากซื้อให้ด้วยอีกสิบเปอร์เซ็นต์ คุณเดินไปบอกเพื่อนๆ ได้เลยว่าผมจะไปช่วยเลือกเส้นสวยๆ ให้เป็นพิเศษ”

“คุณรู้ได้ยังไงว่าเพื่อนๆ ของฉันอยากได้สร้อยข้อมือ”

พัดพารัดชาแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ปริปากพูดเรื่องเพื่อนๆ ให้เขาฟังแน่ ไม่สิ...เธอไม่ได้เอ่ยด้วยซ้ำว่ามาที่นี่กับใคร

“เด็กๆ รุ่นคุณมาที่นี่ก็อยากได้สร้อยข้อมือกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง” หลู่พยักพเยิดให้หญิงสาวมองผ่านช่องกระจกของประตูไม้สักทองไปยังกลุ่มสาวๆ ที่กำลังมุงดูตู้โชว์สินค้าอยู่อีกห้องหนึ่ง “ตรงนั้นน่ะใช่เพื่อนของคุณหรือเปล่า”

“เอ่อ...ใช่ค่ะ”

ไม่ต้องเพ่งสายตามองให้ชัดๆ แค่ได้ยินเสียงพูดคุยกรี๊ดกร๊าดก็จำได้แล้วว่าเป็นเพื่อนๆ ของตนเอง น่าแปลก...ทำไมจู่ๆ ถึงมีประตูอยู่ตรงนี้ได้ เธอจำได้รางๆ ว่าห้องนี้มีประตูเข้า-ออกทางเดียวคือทางที่เธอเดินเข้ามา แถมยังมีแต่ตู้โชว์ไม้สักแกะสลักลวดลายงดงามเรียงรายจนเต็มพื้นที่ ไม่มีประตูบานนี้อยู่อย่างแน่นอน

“งั้นไปบอกเพื่อนให้เลือกกันตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวพี่จะดูตุ้งติ้งหยกสวยๆ แถมให้ด้วย” ญาตาวียิ้มหวาน

“อุ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่ลดราคาให้ก็มากเกินพอแล้ว” พัดพารัดชารู้สึกเกรงใจอย่างที่สุด มารดาของเธอก็เป็นคนค้าคนขาย เธอย่อมรู้ดีว่าทุกอย่างมีต้นทุนทั้งสิ้น ขืนลดแลกแจกแถมบ่อยๆ จะได้กำไรจากไหนกัน “แล้วสร้อยนี่...”

“รับไปเถอะค่ะ อย่าให้หลู่เสียน้ำใจเลย ถึงเขาจะชอบพูดจางงๆ ฟังยากอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงหรอกค่ะ” ญาตาวียืนยันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “น้องพลอยไปหาเพื่อนๆ เถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ตามไป”

“พี่รู้ชื่อของหนูด้วยเหรอคะ”

หญิงสาวมองคนตัวเล็กกว่าอย่างประหลาดใจ เมื่ออีกฝ่ายใช้สรรพนามแทนตัวเป็นกันเองกับเธอ เธอจึงใช้ตามบ้างโดยอัตโนมัติ

“รู้สิคะ คุณแม่ของน้องพลอยเป็นลูกค้าของร้านเรานี่คะ ชื่อของน้องพลอยแปลกแล้วก็เพราะมาก พี่ได้ยินที่คุณแม่ของน้องพลอยเรียกก็เลยจำได้แม่น”

พัดพารัดชา...อัญมณีแห่งแสงสนธยา ชาวสิงหล ณ ดินแดนศรีลังกาให้นิยามความงามของพลอยสีชมพูอมส้มชนิดนี้ว่างดงามประหนึ่งสีของดอกบัวยามต้องแสงอาทิตย์อัสดง และยกย่องให้เป็นตัวแทนของพระแม่ลักษมี เทพีแห่งความงามและมั่งคั่งตามคติความเชื่อแบบฮินดู 

นับเป็นชื่อที่สมกับสาวน้อยคนนี้อย่างที่สุด...

ก่อนหน้านี้ญาตาวีเคยเห็นพัดพารัดชามาที่ร้านพร้อมกับมารดาอยู่บ้าง ขนาดตอนนั้นอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลายยังดูโดดเด่นสะดุดตาเหมือนตุ๊กตาฝรั่งไม่มีผิด ดวงตากลมโต ขนตางอนเช้ง จมูกโด่ง แถมริมฝีปากอิ่มแดงจัดตัดกับผิวขาวเนียน ใครเห็นเป็นต้องหยุดมองกันทั้งนั้น ไม่นึกเลยว่าผ่านไปเพียงปีสองปี ตุ๊กตาตัวน้อยๆ กลายเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวเสียแล้ว ถึงจะยังดูไร้เดียงสาอยู่มาก แต่ดวงตาหวานหยาดเยิ้มที่มีขี้แมลงวันเม็ดเล็กๆ อยู่ใต้หางตาข้างซ้ายกลับมีเสน่ห์เย้ายวนและดึงดูดใจผู้คนในแบบที่หาคำอธิบายไม่ได้ เชื่อว่าอีกสักสองสามปีจะยิ่งสวยกว่านี้อีก

“ขอบคุณสำหรับจี้หยกนะคะ เดี๋ยวหนูจะยุเพื่อนๆ ให้ซื้อสร้อยข้อมือกันหลายๆ เส้นเลยค่ะ”

หลังจากลองปฏิเสธอยู่หลายครั้ง พัดพารัดชาก็รู้แล้วว่าเปล่าประโยชน์จึงจำต้องยอมรับของกำนัลไว้พร้อมทั้งตั้งใจว่าจะเจียดเงินเก็บของตนเองไปซื้อสร้อยข้อมือหยกเป็นการตอบแทน ถึงจะไม่ได้มีเงินถุงเงินถังซื้อของราคาแพงๆ ได้ แต่ก็ยังดีกว่าต้องรู้สึกผิดที่เป็นฝ่ายรับอยู่ฝ่ายเดียวละน่า

“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ ซื้อเฉพาะเส้นที่ชอบก็พอ”

ญาตาวีหัวเราะเสียงใส เธอน่ารักมาก พอได้ยิ้มหรือหัวเราะแล้วบรรยากาศรอบด้านก็พลอยสดใสไปด้วย พัดพารัดชาจึงรู้สึกผ่อนคลายกว่าตอนที่ต้องอยู่กับผู้ชายที่ชื่อหลู่ตามลำพังมาก เธอพูดคุยอยู่อีกสองสามคำก่อนจะขอตัวไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่อยู่อีกห้องหนึ่ง

“เพิ่งรู้ว่าเจ้าก็ใจป้ำน่าดูนะหยก ทั้งลดราคา ทั้งแถมของให้เด็กพวกนั้นด้วย”

หลู่ทิ้งวงแขนโอบไหล่บอบบางของสาวตัวเล็กข้างกายแล้วรั้งร่างของเธอเข้ามาชิด แต่อีกฝ่ายตอบรับด้วยการจิกเล็บหยิกเอวแล้วบิดเต็มแรง

“โอ๊ย ทำอะไรของเจ้าเนี่ย เจ็บนะ!”

“ไม่ต้องมาแกล้งสำออยเลย เกล็ดหนาไปทั้งตัวอย่างคุณน่ะ เจ็บเป็นเสียที่ไหน” ญาตาวีเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอย่างคาดโทษ “แล้วคนที่ใจป้ำกว่าฉันก็คุณนั่นละ รู้ไหมว่าจี้ที่ให้น้องเขาไปเมื่อกี้เนี่ย ราคาหมื่นหกนะยะ! หมื่นหก! ทำอะไรไม่ปรึกษากันก่อนเลย เห็นผู้หญิงสวยเข้าหน่อยไม่ได้ ใจบุญขึ้นมาเลยนะ”

หยกดำส่องเขียวเนื้อดีขนาดนี้ค่อนข้างหายาก แถมราคายังค่อนข้างสูง ยิ่งแกะจากช่างชั้นครูที่ทำงานกับร้านธารหยกมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งร้านด้วยแล้ว จะเรียกราคาเพิ่มอีกเท่าตัวก็ยังได้ ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่านอกจากจะไม่ได้กำไรแล้ว ญาตาวียังต้องเป็นคนควักเนื้อจ่ายเข้าบัญชีร้านเสียนี่ ไม่อย่างนั้นได้ถูกคุณพ่อดุหูชาแน่ๆ

แต่เธอก็รู้...ว่าการที่หลู่ให้หยกชิ้นนั้นแก่พัดพารัดชาไปย่อมมีเหตุผลสำคัญ

“ก็มันเป็นชิ้นเดียวที่แกะเป็นรูปกิเลนนี่ หรือเจ้าจะให้ข้ามอบ ‘เกล็ด’ ให้นางแทนกันเล่า”

หลู่ก้มลงจูบแก้มหญิงสาวอย่างเอาใจ เขารู้ว่าแม่ตัวน้อยของเขานั้นจริงๆ แล้วใจดีกว่าเขาไม่รู้กี่ร้อยเท่า เขาก็แค่ใจดีกับบางคนเท่านั้น แต่เธอน่ะแทบจะเรียกได้ว่ามีเมตตากับคนค่อนโลกเลยเชียว

“พอเลย ไม่ต้องคิดดึงเกล็ดยกให้ใครทั้งสิ้น เกล็ดของคุณน่ะตัวปัญหาเลย เดี๋ยวก็มีคนบ้าๆ บอๆ มาเปิดศึกแย่งชิงกันอีก วุ่นวาย น่าปวดหัว” ญาตาวีถอนใจอย่างหนักหน่วง “แล้วนี่น้องพลอยเขามีเคราะห์หนักมากหรือไง คุณถึงต้องให้หยกชิ้นนั้นแก่เขา”

“หนักเอาเรื่อง” หลู่ยักไหล่ ดวงตามองไปยังหญิงสาวที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่ม “หวังว่าหยกที่ข้าให้นางไปจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้างไม่มากก็น้อย”

“น้องเขาจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตใช่ไหมหลู่ เรามีทางช่วยอะไรได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า”

สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มแตะแต้มบนริมฝีปากหยักลึกของชายหนุ่ม เขาก้มลงจุมพิตกระหม่อมของเธอซ้ำๆ อย่างมันเขี้ยว

“ข้ารักเจ้าก็เพราะเจ้ามีจิตใจดีแบบนี้นี่ละ เด็กน้อย” หลู่กระชับวงแขนแน่นเข้า “ลิขิตฟ้าไม่อาจฝืน ที่พอช่วยได้ ข้าก็ช่วยไปแล้ว ที่เหลือก็ต้องดูว่าไอ้เด็กเวรคนนั้นมันจะมีน้ำยาสักแค่ไหน”

“เด็กเวรคนนั้น?” ญาตาวีเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ 

“ก็ไอ้เด็กชาแมนอกตัญญูที่กล้าเนรเทศบรรพบุรุษอย่างข้าออกมาจากอูลานบาตอร์อย่างไรเล่า”

เป้าเทียนหลาง!

 

เทียนหลางยืนพิงราวระเบียงอัลลอยที่ดัดโค้งเป็นลวดลายดอกไม้อย่างวิจิตรบรรจง มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่ไว้ ส่วนอีกมือเสยเรือนผมดำขลับที่ตัดสั้นตามสมัยนิยมไปด้านหลังอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีฟ้าอมม่วงจางๆ ราวดอกพยับหมอกมองเหม่อผ่านม่านควันบุหรี่สีเทาหม่นไปยังดวงจันทร์ที่แขวนกายทาบทับอยู่บนผืนฟ้ายามราตรีกาล แสงนวลตาของมันเป็นสิ่งเดียวที่สว่างกว่าแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องต่างๆ ในอูลานบาตอร์

เป็นสิ่งเดียวที่เขาบอกตนเองว่าจ้องมองมันได้ทั้งคืนโดยไม่เบื่อ...

“ขอไฟหน่อยสิคะ”

เสียงหวานกังวานดังมาจากเบื้องหลัง ชายหนุ่มผินหน้ากลับมามองเจ้าของเสียงนิดหนึ่งแล้วค่อยๆ หันกลับมาด้วยท่าทางเนือยๆ เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ถูกขัดจังหวะพลอดรักระหว่างเขากับดวงจันทร์

“นึกว่าหลับไปแล้ว”

เทียนหลางคาบบุหรี่ไว้ในปากขณะที่หญิงสาวในชุดเสื้อโคตเฟอร์ขนสัตว์เขย่งตัวขึ้นต่อไฟจากบุหรี่ของเขาให้แก่มวนที่คาบไว้หมิ่นเหม่ด้วยกลีบปากอวบอิ่มของตนเอง สายลมหนาวยะเยือกของเดือนตุลาคมช่วยกระพือให้ไฟนั้นลุกวาบติดเร็วขึ้น

“หลับแล้ว ตื่นแล้ว” เธอตอบด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำ ดวงตากวาดมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาค่อนไปทางสวยของคนตรงหน้าอย่างสื่อความนัย “คุณทำฉันหมดแรงจนแทบสลบ คนอย่างคุณไม่น่าจะอดอยากปากแห้งขนาดนี้ได้เลยนี่คะ หรือว่าช่วงนี้เครียด เลยใช้ฉันเป็นที่ระบาย?”

“ก็...นิดหน่อย”

ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ ดวงตาหลุบมองใบหน้าที่หลงเหลือเครื่องสำอางติดอยู่บางเบาแล้วกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน...ที่จริงก็ไม่นิดหน่อยหรอก หลังจากจบเรื่องวุ่นวายเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เขาก็แทบไม่ได้หยุดพักหายใจหายคอเลยสักนิด ปู่จอมเฮี้ยบใช้งานเขาอย่างหนักหน่วงประหนึ่งจะรีดพลังจิตทุกหยาดหยดออกจากร่างจนไม่เหลือหลออย่างน่าโมโหที่สุด คิดแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย พับผ่า!

“แล้ว...อยากระบายต่อไหมคะ”

หญิงสาวลากปลายนิ้วที่แต่งแต้มด้วยสีแดงเบอร์กันดีไปตามกรอบหน้าขาวจัดของชายหนุ่มอย่างยั่วเย้า...เทียนหลางเป็นชายหนุ่มรูปงามเหมือนภาพวาด ทุกองค์ประกอบบนใบหน้าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นงานศิลป์ชั้นเลิศ ทั้งริมฝีปากได้รูปสีสด ทั้งจมูกโด่งคมเป็นสัน และไหนจะปีกคิ้วเข้มพาดเฉียงขึ้นนิดๆ รับกับหางตาที่ตวัดขึ้นแบบตาหงส์ทรงเสน่ห์อีก แต่สิ่งที่ดึงดูดใจตั้งแต่แรกเห็นคือสีอันน่าอัศจรรย์ของดวงตาคู่นี้ เสียดายที่เขามักซ่อนความงามนี้ไว้ใต้คอนแทกต์เลนส์สีดำไร้ชีวิตชีวาจนน่าเบื่อ

“คุณไหวหรือเปล่าล่ะ ซาร์นาย”

เทียนหลางมองคนที่กำลังอัดควันเข้าปอดแล้วเหยียดยิ้มท้าทาย เขากับซาร์นายไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคู่รัก เพราะเป็นเพียงคู่นอนที่มีรสนิยมต้องกันเสียมากกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นหรือก็ฉาบฉวย อาจมากกว่าเพียงวันไนต์สแตนด์ ทว่า...ไม่ผูกมัด ไร้ความผูกพัน ร้อนแรงแค่บนเตียง เมื่อไฟสวาทมอดแล้วก็ต่างคนต่างแยกทางโดยไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด ใช่ว่าซาร์นายไม่สวย เธอสวยเซ็กซี่ในแบบที่ผู้ชายทุกคนปรารถนาให้นอนรออยู่บนเตียง เพียงแค่ไม่ใช่แบบที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษก็เท่านั้น

“คุณนั่นละ ไหวหรือเปล่า”

ซาร์นายหัวเราะตอบ เทียนหลางพ่นควันออกทางจมูก ดวงตาเป็นประกายวิบวับยามอีกฝ่ายค่อยๆ เปิดสาบเสื้อคลุมขนสัตว์ เผยให้เห็นเรือนกายเปลือยเปล่าขาวโพลนชัดถนัดตาเหมือนอุณหภูมิติดลบยามตีสามของอูลานบาตอร์ไม่มีผลใดๆ ต่อเจ้าตัวเลยสักนิด สองหนุ่มสาวสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก็โยนก้นบุหรี่ในมือทิ้งลงพื้นแล้วโผเข้ากอดรัดและซุกไซ้กันโดยไม่ต้องมีอารัมภบทยืดยาวใดๆ อีก

“ช็อน...”

ซาร์นายเรียกชายหนุ่มเป็นภาษามองโกเลีย เขาเป็นชาวมองโกเลียแท้ๆ แต่กำเนิด ทว่าน่าขันนักที่มีชื่อแซ่เป็นภาษาจีน แถมยังมีใบหน้าที่เดาเชื้อชาติได้ยาก ขนาดเธอเองยังคิดว่าเขาเป็นลูกครึ่งเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งเมื่อแรกพบกันเสียด้วยซ้ำ

เทียนหลางมีความหมายว่าหมาป่าสวรรค์ ซาร์นายจึงเรียกเขาว่าช็อน (чоно) ซึ่งมีความหมายว่าหมาป่าในภาษามองโกเลีย เธอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าปู่ของเขาเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้และมีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เรียกเขาด้วยชื่อนี้ได้ แน่ละว่าเขาไม่เคยเอ่ยปากอนุญาตกับเธอ แต่เขาดูไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรที่เธอเรียกเขาแบบนั้น ที่จริงเขาแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะเรียกเขาว่าอะไร ตราบใดที่เธอปรนเปรอเขาให้มีความสุขได้อย่างที่เป็นอยู่

“ข้างนอกหนาว เข้าไปข้างในดีกว่า”

เทียนหลางช้อนร่างอวบอิ่มสมส่วนขึ้นอุ้ม หญิงสาวตวัดขารัดรอบเอวสอบเพรียวแทนการตอบรับทันที ริมฝีปากอิ่มเต็มจูบซับไปตามใบหน้าเกลี้ยงเกลาของชายหนุ่มที่ตอบรับกลับมาด้วยจุมพิตดูดดื่ม เธอจำได้รางๆ ว่าเขาน่าจะอายุสักยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปีกระมัง แต่ดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงอยู่ราวสองถึงสามปีได้ และ...อ่อนกว่าเธอถึงสี่ปีเต็มทีเดียว

แล้วอย่างไรเล่า กินเด็กก็กระชุ่มกระชวยดีจะตายไป...

ทันทีที่กลับเข้ามาในห้องพักอุ่นสบาย ชายหนุ่มก็สลัดเสื้อหนาวบุขนเป็ดที่คลุมทับไว้บนกายทิ้ง แล้ววางร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวลงบนเตียงยับยู่ยี่ จากนั้นจึงทาบกายลงคลุกเคล้าตามแรงอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่าน 

กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงดังขึ้น เทียนหลางเงยหน้าขึ้นจากพุ่มทรวงอวบสล้างของหญิงสาวนิดหนึ่ง แต่เพียงครู่เธอก็เลื่อนมือขึ้นมากดศีรษะเขาแนบลงกับผิวพรรณเนียนนุ่มตามเดิม

“อย่ารับ” ซาร์นายครางเสียงพร่า ไอร้อนจากกายเขากระตุ้นเร้าความรู้สึกจนปั่นป่วนไปหมด “อย่า...รับสายนะ”

“ไม่ได้ สายนี้ต้องรับ” เทียนหลางคำรามเสียงต่ำแล้วผละจากหญิงสาวอย่างเสียไม่ได้ เขาได้ยินเสียงเธอสบถหยาบคายอยู่หลายคำในขณะที่เขาทำได้เพียงสบถในใจยาวเหยียดก่อนที่จะกดรับสาย “แบ นอ (ฮัลโหล)

แม้จะพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติเพียงใดก็ไม่อาจซ่อนเสียงหอบต่ำพร่าที่ยังหลงเหลือจากพายุสวาทอันค้างคาได้ เขาได้ยินคนปลายสายหัวเราะเบาๆ เหมือนกำลังสะใจอยู่

“แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วลงมาที่ล็อบบีข้างล่าง ฉันรอแกอยู่”

“อยู่ข้างล่าง?” เทียนหลางเลิกคิ้วอย่างหงุดหงิดแกมประหลาดใจ “บ้าไปแล้ว ตีสามเนี่ยนะปู่ นี่ปู่ไม่คิดจะให้ผมได้นอนหลับพักผ่อนบ้างเลยหรือไง”

“พูดอย่างกับแกกำลังนอนอยู่อย่างนั้นละ” คนเป็นปู่ทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอ “ไม่ต้องพูดมากไอ้ตัวดี ลงมาหาฉันเดี๋ยวนี้ แกคงไม่อยากเสี่ยงทำให้ฉันโมโหหรอกใช่ไหม เทียนหลาง”

ประโยคท้ายทำเอาคนฟังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แน่ละ...ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับโทสะของ ‘อัลตันผู้ยิ่งใหญ่’ หรอก มีแต่ซวยกับซวยลูกเดียวเท่านั้น!

“เราคงต้องไว้ระบายความเครียดกันต่อครั้งหน้าแล้ว ซาร์นาย”

เทียนหลางกดตัดสายแล้วหันไปบอกคู่นอนที่ทำหน้างอง้ำ

“แต่ช็อนคะ...”

คำพูดต่อว่าต่อขานถูกกลืนหายไปในทันทีที่เห็นดวงตาคมกล้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น ซาร์นายรู้จักกับเขามานานพอที่จะรู้ว่าอารมณ์ของเขากำลังขุ่นมัวอย่างที่สุด

“ผมไม่ไปส่งนะ” เทียนหลางผุดลุกขึ้นยืน เนื้อตัวยังคงเป็นสีแดงก่ำจากพายุรักอันค้างคา ใบหน้าของเขาบึ้งตึงไม่แพ้หญิงสาว “ดูท่าผมกับคุณอาจจะไม่ได้เจอกันอีกยาวเลยละ”

ลองปู่แล่นมาหาเขาถึงโรงแรมแบบนี้ แสดงว่ามีเรื่องจิกหัวใช้เขาอีกแน่ และต้องเป็นเรื่องสำคัญมากเสียด้วย!

ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจฟังเสียงสบถของซาร์นายที่ดังไล่หลังมา เขาเพียงหยิบเสื้อผ้าบนพื้นขึ้นมาสวมลวกๆ แล้วเดินปึงปังออกจากห้องพักไปด้วยสีหน้าบึ้งตึงเหมือนอยากฆ่าคนเต็มแก่

 

“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ฉันเป็นปู่แก่นะโว้ย”

เสียงของอัลตันดังลอยลมมาทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก เจ้าของเสียงนั่งหันหลังจิบชานมเค็มอยู่บนโซฟาสีแดงเลือดนกฝั่งตรงข้ามลิฟต์ เขาไม่แม้แต่จะชายตามองหลานชายที่เดินกระแทกเท้าหนักๆ มาตามทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนสีดำเลยสักนิด

“ปู่มีตาหลังด้วยหรือไง” เทียนหลางเปลี่ยนจากทำหน้าบึ้งมาเป็นทำหน้าเมื่อยแทน เขาทิ้งตัวลงนั่งไขว่ห้างบนโซฟาฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้ผู้เป็นปู่เชื้อเชิญ “เข้าประเด็นได้เลยปู่ เอาเนื้อๆ นะ น้ำไม่ต้อง ผมขี้เกียจฟังนิทานก่อนนอนตอนตีสาม”

“ขี้เกียจคุยกับฉัน แต่มีแก่ใจกกสาวได้ยันเช้าว่าอย่างนั้นเถอะ”

อัลตันแค่นหัวเราะพลางวางถ้วยชาสีทองอร่ามลงบนจานรองสีเดียวกัน ไอร้อนจากชาสีขาวข้นที่ยังเหลืออยู่ในถ้วยลอยขึ้นบดบังอารมณ์ในแววตาของชาแมนเฒ่าเอาไว้กว่าครึ่ง แต่ถึงกระนั้นเทียนหลางก็ยังพอมองเห็นร่องรอยของความกังวลบางเบาบนใบหน้าที่ไม่มีส่วนใดเหมือนเขาเลยอย่างชัดเจน

ถ้าเลือกได้ เขาก็อยากมีหน้าตาสมชายชาตรีแบบปู่มากกว่า

แม้จะมีวัยล่วงเลยเลขหกมานานแล้ว อัลตันยังคงสง่างามน่าเกรงขามไม่เสื่อมคลาย ชาแมนผู้เป็นตำนานของมองโกเลียผู้นี้มักปรากฏตัวในชุดดีลหรือชุดประจำชาติอยู่เสมอ ใบหน้าของเขาคมเข้มเป็นสีแทนจากการทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างขี่ม้าหรือขับเลื่อนสุนัขเป็นนิตย์ เส้นผมสีเทายาวระดับกลางหลังของเขามักถักเป็นเปียอย่างสวยงามเรียบง่ายบ่งชัดถึงความเคร่งครัดในการดำเนินชีวิตตามวิถีของผู้นำกลุ่มชาแมนทุกกระเบียดนิ้ว

วิถีที่เทียนหลางเกลียดแสนเกลียด และไม่เคยคิดดำเนินรอยตามเลยแม้แต่นิด 

“ทำอย่างกับปู่อยากคุยกับผมนักนี่”

เทียนหลางกลอกตา เขากับอัลตันไม่ค่อยลงรอยกันนัก เป็นความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งชังแต่ไม่มีวันตัดกันขาด ถึงอย่างไรปู่ก็เป็นคนเดียวที่ออกหน้าปกป้องเขาทุกเรื่องมาแต่ไหนแต่ไร

“รู้เหมือนกันเรอะว่าฉันไม่อยากเสวนากับแก ไอ้ตัวดี” อัลตันแยกเขี้ยว เมื่อไอร้อนจากถ้วยชาเริ่มเบาบางลง ชายหนุ่มก็เห็นความอิดโรยในดวงตาทั้งสองข้างของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน “ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ฉันไม่มีทางถ่อมาถึงนี่ให้เสียอารมณ์หรอก แต่เรื่องครั้งนี้ฉันไม่วางใจให้ใครจัดการทั้งนั้นนอกจากแกคนเดียว ช็อน”

เขาพูดพลางดึงรูปถ่ายออกมาจากอกเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะกระจก เทียนหลางหลุบตามองใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนรูปเก่าเก็บนานนับปีใบนั้นแล้วนิ่งไปครู่ใหญ่ เขาจำชายชาวฝรั่งเศสที่อุ้มลูกสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนได้ ผู้ชายคนนั้นคือดอกเตอร์แบร์นาร์ เลอบลองก์ ส่วนลูกสาว...เธอชื่ออะไรนะ...อา ใช่...

“ชาช่า...” เขาพึมพำเสียงแผ่ว

‘พี่สาวเจ็บตรงไหนคะ อย่าร้องไห้นะ โอ๋ๆ...’

เสียงของเด็กน้อยดังขึ้นในห้วงความคิดเมื่อได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาฝรั่งของเธออีกครา เด็กผู้หญิงอายุสี่ขวบที่ชอบโผเข้ากอดทุกคนเหมือนลูกแมวขี้อ้อน ดวงตาของเธอสุกใสราวกับดวงดาวยามริมฝีปากแดงย้อยขยับแย้มยิ้ม เขายังจำไออุ่นจากปลายนิ้วเล็กๆ ที่ยื่นมาเช็ดน้ำตาให้เขาได้ แต่มันคงดีกว่านี้ถ้ายายตัวยุ่งไม่ได้เรียกเขาว่าพี่สาว!

เกลียดใบหน้านี้ของตัวเองชะมัด ให้ตายเถอะวะ!

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ผมหมายถึง...ครอบครัวของดอกเตอร์”

อารมณ์ขุ่นเคืองที่ถูกโทรศัพท์เรียกลงมาจากห้องพักกลางดึกอันตรธานไปสิ้น หลังจาก แบร์นาร์ เลอบลองก์ เสียชีวิตไปเมื่อ ๗ ปีก่อน เทียนหลางก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวของสมาชิกครอบครัวของดอกเตอร์อีกเลย 

“ครอบครัวของเขาที่ฝรั่งเศสก็คงสบายดีกันนั่นละ แต่ที่น่าจะมีปัญหาก็คงเป็นลูกนอกสมรสของเขา”

อัลตันหลุบตาลงเพื่อซ่อนอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ เรื่องในครอบครัวของคนอื่นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คนนอกไม่ควรสอดปากพูด แต่สำหรับเขาแล้วแบร์นาร์เป็นสหายรัก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จำเป็นต้องปกป้องสิ่งที่สหายหวงแหนที่สุดเอาไว้ให้ได้

“ก็แล้วมันเกิดอะไรขึ้นเล่าปู่ ลีลาอยู่นั่นแหละ”

เทียนหลางผ่านช่วงเวลาอันเจ็บปวด และทำใจยอมรับเส้นทางที่ถูกบังคับให้เดินนี้ได้เพราะ แบร์นาร์ เลอบลองก์ กับเด็กน้อยคนนั้น...เด็กคนเดียวที่เคยเห็นน้ำตาอันเกิดจากความอ่อนแอของเขา 

“ทำไม เป็นห่วงอดีตคู่หมั้นมากหรือไงวะ ถ้าห่วงนักแล้วแกสะเออะถอนหมั้นเขาทำไม” อัลตันแบะปาก 

“เรื่องหมั้นบ้าบอนั่นน่ะ ปู่กับดอกเตอร์ตกลงกันเอง ไม่ถามผมสักคำ ผมอายุสิบขวบก็ให้หมั้นกับเด็กอายุสี่ขวบแล้วเนี่ยนะ บ้าหรือเปล่า ผมรู้ว่าปู่ไม่สนใจอยู่แล้วว่าผมจะรู้สึกยังไง แต่เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นแบบพวกเรา เด็กนั่นควรมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอิสระ ไม่ใช่มาผูกมัดอยู่กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เลือกไปตลอดชีวิต”

เทียนหลางพูดไม่เต็มเสียงนัก เมื่อตอนอายุสิบเก้าเขายืนยันกับปู่ว่าหากยอมให้ถอนหมั้น เขาก็จะยอมรับลิขิตที่เทงกรีขีดให้เดิน ขอเพียงอย่าดึงคนบริสุทธิ์อย่างเด็กคนนั้นเข้ามาร่วมในวังวนนี้ด้วยเลย เมื่อตรึกตรองชั่งน้ำหนักดูแล้ว แน่นอนว่าอัลตันต้องยอมให้เขาถอนหมั้นอย่างเสียไม่ได้ ทว่าหลังจากนั้นเพียงสองสามเดือน ดอกเตอร์แบร์นาร์ก็เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ตอนนั้นเทียนหลางรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่ทำให้แบร์นาร์ผิดหวัง แต่ยังยึดมั่นในเจตนารมณ์ที่จะเดินบนเส้นทางอันหนาวเหน็บนี้เพียงลำพังต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง 

ครั้งสุดท้ายที่เขาพบหน้าเด็กคนนั้นก็คือในพิธีฝังศพของดอกเตอร์เลอบลองก์ เด็กคนนั้นอายุ ๑๓ ปี เธอดูเหมือนจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ช่วงเวลาที่เธอติดตามบิดามาทำวิจัยเรื่องพิธีกรรมของชาแมนนั้น เธอเพิ่งอายุ ๔ ปีเท่านั้นเอง ถึงจะอยู่ในมองโกเลียนานเกือบปีก็ใช่ว่าจะจดจำเรื่องราวในวัยเยาว์แบบนั้นได้ทั้งหมด น่าขันที่เขาคงเป็นฝ่ายเดียวที่ยังจดจำเธอได้อย่างแม่นยำ และรู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ที่แม่เด็กผมเปียคนนั้นไม่โผเข้ามากอดเขาอย่างออดอ้อนเช่นเคย

เขาอยากเป็นคนเช็ดน้ำตาให้เธอ อยากกอดเธอไว้แน่นๆ แล้วบอกว่าต่อจากนี้เขาจะดูแลเธอเอง

แต่สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงยืนรากงอกเป็นไอ้งั่ง ตากฝนเป็นเพื่อนตอนเธอร้องไห้อยู่หน้าหลุมศพพ่อเท่านั้น

ไม่กล้าแตะต้องเธอแม้แต่ปลายก้อย...

“แกติดค้างเด็กคนนั้น ช็อน”

อัลตันถอนใจ ภรรยาของแบร์นาร์เลือกที่จะพาลูกกลับบ้านเกิดและไม่ยอมรับความช่วยเหลือใดๆ จากเขาเพราะศักดิ์ศรีค้ำคอ แต่ก็เข้าใจได้นั่นละ เธอไม่เคยเห็นด้วยกับการหมั้นหมายแต่แรกแล้ว แค่ไม่อาจขัดเจตจำนงอันแรงกล้าของสามีผู้ล่วงลับเท่านั้น การถอนหมั้นจึงเหมือนเป็นการตัดเชือกปลดปล่อยเธอจากอดีตที่ไม่อยากจดจำและได้เริ่มต้นชีวิตอย่างสงบสุข

แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะสงบสุขได้อีกไม่นานแล้ว...

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ปู่” เสียงของเทียนหลางเคร่งเครียดขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยวฉันจะให้คนจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุดให้แกไปเซี่ยงไฮ้ แกไปหาหลินเจิ้งหู่ ดูว่าเขาต้องการอะไร ทำไมถึงได้ส่งบัตรเชิญชาแมนกับหมอผีจากที่ต่างๆ ให้ไปรวมตัวกันที่บ้าน ส่วนชาช่า ฉันจะให้คนไปรับตัวมาจากเมืองไทยภายในสองสามวันนี้”

“หลินเจิ้งหู่?” ภาพใบหน้าของมหาเศรษฐีเฒ่าชาวจีนลอยแวบเข้ามาในสมอง เขาจำได้ว่าหลินเจิ้งหู่ผู้นี้เคยพยายามติดต่อปู่ของเขาให้ไปทำพิธีบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ ใครๆ ก็รู้ว่าอัลตันผู้ยิ่งใหญ่พบตัวยากมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเจ้าตัวตั้งใจจะลงจากตำแหน่งแล้วให้หลานชายคนเดียวอย่างเขาขึ้นเป็นผู้สืบทอดด้วยแล้ว ยิ่งเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ยอมให้ใครเข้าพบได้ง่ายๆ เว้นแต่จะสนิทสนมกันจริงๆ เท่านั้น “ทำไมถึงต้องให้ผมไปพบเขาด้วย เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้ควรเป็นเรื่องของชาช่าสิ”

ทำไมถึงไม่ให้เขาบินไปรับเด็กคนนั้นเล่า เขาพร้อมไปนอนรอที่หน้าสนามบินเดี๋ยวนี้เลยด้วยเอ้า!

“ก็นี่ละ เรื่องของชาช่า” อัลตันเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจที่จู่ๆ ไอ้ม้าพยศไม่เคยสนใจโลกอย่างเทียนหลางก็ทำท่าร้อนรนขึ้นมาเสียเฉยๆ “คนของเราที่เซี่ยงไฮ้แจ้งข่าวมาว่า เมื่อสองสามเดือนก่อนหลินเจิ้งหู่ส่งคนไปสืบหาตัวชาช่ากับแม่ ไม่รู้จุดประสงค์แน่ชัด แต่บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาร่อนบัตรเชิญไปทั่วก็ได้”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น