5

บทสวดที่ ๕

บทสวดที่ ๕

 

“อะ...อเล็กซานดร้า อีวานอฟนา โอบลอนสกายา?” 

พัดพารัดชานิ่งอึ้งขณะกวาดตามองตัวอักษรภาษาอังกฤษบนโพสต์อิตที่แปะอยู่ด้านในพาสปอร์ตรัสเซีย ใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนนั้นเป็นใบหน้าของเธอ แต่เธอมั่นใจว่าชื่อกับรายละเอียดที่เขียนด้วยอักษรซิริลลิกที่เธออ่านไม่ออกสักตัวข้างๆ รูปถ่ายต้องไม่ใช่ของเธอแน่

“นับจากวินาทีนี้ไปนั่นคือชื่อของเธอ ท่องเอาไว้ให้ดีล่ะ”

เทียนหลางตอบเสียงเรียบ ใบหน้าที่ปิดบังไว้ด้วยแว่นตากันแดดทรง Aviator สีชาไม่หันกลับมาหาคู่สนทนาแม้แต่นิด เขาเอาแต่มองท้องถนนเบื้องหน้าเหมือนไม่ใส่ใจหญิงสาว ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาแทบจะลอบมองเธอทุกๆ ห้านาทีเสียด้วยซ้ำไป

“ชื่อของฉัน?” พัดพารัดชาทำหน้าตาเหลอหลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจในวินาทีถัดมา “นี่หมายความว่า...คุณจะให้ฉันใช้พาสปอร์ตปลอมบินออกนอกประเทศงั้นเหรอคะ”

“เข้าใจอะไรง่ายดีนี่” ชายหนุ่มหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันแล้วเลือกจอดระหว่างรถตู้อัลพาร์ดสองคันด้านหน้าห้องน้ำหญิง

“เข้าใจง่ายงั้นเหรอ...ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยต่างหาก!” หญิงสาวอยากร้องกรี๊ดใส่หน้าเขานัก แต่จำต้องพยายามสงบสติอารมณ์ไว้เพราะภาพตอนที่เขายิงคนยังติดตาเธออยู่ เกิดเขาโมโหขึ้นมาเธอได้เป็นไข้โป้งกันพอดี ดังนั้นเธอจึงลดเสียงลดครึ่งหนึ่งในประโยคถัดมา “คุณบอกว่าจะอธิบายให้ฉันฟัง แต่จนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่ได้บอกฉันเลย อย่างน้อยฉันก็มีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอคะว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ท่องชื่อใหม่ให้คล่องก่อนสิ แล้วเดี๋ยวฉันจะบอก” เทียนหลางดับเครื่องยนต์ “เธอเรียนเอกด้านภาษาไม่ใช่เหรอ ไม่น่ายากเกินไปนี่ ใช่ไหม”

“ฉันเอกภาษาฝรั่งเศสค่ะ ไม่ใช่ภาษารัสเซีย” พัดพารัดชาไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ก่อนดี เธอเคยอ่านนิยายรัสเซียอยู่บ้างจึงพอรู้ว่าชื่อแบบรัสเซียประกอบด้วยชื่อต้น ชื่อกลางที่บ่งบอกถึงชื่อของบิดา และนามสกุลที่ผันตามเพศของเจ้าของชื่อ ดังนั้นเจ้าของชื่อนี้คืออเล็กซานดร้า เป็นลูกสาวของนายอีวานและเป็นคนในสกุลโอบลอนสกี้ “อย่าว่าแต่จะท่องชื่อยาวเหยียดพวกนี้เลย ภาษารัสเซียฉันก็พูดไม่เป็นสักคำ แล้วจะให้ฉันปลอมตัวเป็นคนรัสเซียได้ยังไง ดีไม่ดีถูกตำรวจจับตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้า-ออกเมืองแล้วมั้งคะ”

“คำถามแรกควรเป็น ‘ทำไมต้องให้เธอใช้พาสปอร์ตปลอมออกนอกประเทศ’ มากกว่าไม่ใช่เหรอชาช่า” เทียนหลางเดาะลิ้น “ห่วงอะไรกับแค่เรื่องพูดรัสเซียไม่ได้กัน”

“ก็น่าห่วงทั้งสองเรื่องนั่นละค่ะ”

บอกตามตรง จนถึงตอนนี้เธอยังตั้งสติให้มั่นคงแทบไม่ได้เลย ทั้งสมองทั้งความคิดรวนจนไม่เป็นกระบวน แค่ยังพูดจารู้เรื่องได้นี่ก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว

“คนที่ทำพาสปอร์ตเล่มนั้นให้เธอเป็นมือหนึ่งในวงการเลยนะ ต่อให้อินเตอร์โพลมาเองยังดูไม่ออกเลย อีกอย่าง อเล็กซานดร้า อีวานอฟนา โอบลอนสกายา ก็มีตัวตนจริงๆ หล่อนเป็นคนขายข้อมูลส่วนบุคคลให้ตลาดมืดเอง ทั้งตัวตน ทั้งปูมหลัง ไม่ว่าจะเป็นประวัติการศึกษา ประวัติการรักษาทางการแพทย์ สืบค้นไปก็ไม่เจอพิรุธหรอก”

“ตะ...ตลาดมืด?” พัดพารัดชาก้มมองพาสปอร์ตในมือ ผู้ชายคนนี้บอกว่าตนเองเป็นชาแมน แต่ดูจากพฤติกรรมการควงปืนบ้าระห่ำและการพูดถึงตลาดมืดเหมือนเป็นเพียงตลาดสดธรรมดาของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็นอาชญากรมากกว่า “แล้วที่มาขายข้อมูลส่วนตัวให้ตลาดมืดแบบนี้ เพราะไปทำอะไรผิดกฎหมายมาหรือเปล่า”

“ประวัติขาวสะอาดระดับพรีเมียมเชียวละ อเล็กซานดร้าคนนี้อายุยี่สิบเอ็ดไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เป็นนักเรียนแพทย์อยู่ที่มอสโก ใบสั่งสักใบยังไม่เคยมีเลย ข้อมูลส่วนบุคคลระดับนี้ราคาแพงหูฉี่เลยนะจะบอกให้”

ยิ่งในสถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ เขาแทบไม่มีเวลาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น ต้องจ่ายเงินเพิ่มไปเกือบห้าเท่าของราคาปกติ ขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ!

“โอ้โห ถ้าประวัติดีขนาดนั้น ทำไมถึงมาขายให้ตลาดมืดล่ะคะ”

“ไม่รู้สิ เหตุผลส่วนตัวมั้ง แต่หลักๆ ก็คงเป็นเรื่องเงินนั่นละ” เทียนหลางยักไหล่ “คนเรามีความจำเป็นในชีวิตไม่เหมือนกันหรอก ถ้าตัดสินใจขายชีวิตตัวเองทิ้งแบบนี้ก็คงคิดทบทวนมาดีแล้วละน่า ก่อนจะคิดห่วงเรื่องคนอื่นน่ะ ห่วงเงาหัวตัวเองก่อนดีกว่า ผู้หญิงคนนั้นได้รับค่าตอบแทนก้อนโตสมน้ำสมเนื้อ แถมยังได้ตัวตนใหม่ไปเริ่มต้นชีวิตที่อเมริกาเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เธอนั่นละที่จะรอดไปจากที่นี่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้”

“นั่นสินะคะ”

พัดพารัดชาพูดไม่ออก รู้สึกเหมือนตนเองหลุดเข้าไปอยู่ในภาพยนตร์สายลับห่วยๆ หรือไม่ก็ภาพยนตร์เจ้าพ่อภาคพิสดารที่มีชาแมนและตุ๊กตาผีหน้าตาประหลาดออกอาละวาดตลอดเรื่อง แถมยังเดาตอนจบไม่ออกอีกว่าจะลงเอยแบบไหน 

เทียนหลางมองสีหน้าหม่นหมองของหญิงสาวแล้วลอบถอนใจ เขาอยากค่อยๆ อธิบายและปลอบโยนเธอไปพร้อมๆ กันแต่เวลาไม่คอยท่า สิ่งสำคัญที่สุด ณ เวลานี้คือความปลอดภัยของเธอ 

ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าย่ามจากตักของพัดพารัดชาแล้วหยิบพาสปอร์ตออกมา

“นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ!”

หญิงสาวพยายามดึงหนังสือเดินทางคืนมาจากเขา แต่เขาไวกว่า รีบยัดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็กเกตอย่างรวดเร็ว

“พาสปอร์ตเล่มนี้ของเธอไม่ต้องใช้แล้ว”

“หา?” เธออ้าปากค้าง “เดี๋ยวสิคะ ถึงไม่ต้องใช้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าฉันอนุญาตให้คุณเอามันไปได้นะ หรือ...หรือว่าคุณจะเอามันไปขาย?”

“เพ้อเจ้อนะเรา ข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กติงต๊องอย่างเธอมีราคาที่ไหน ใครจะอยากได้กันเล่า” เทียนหลางกลอกตา เขาเหลือบมองกระจกส่องหลังครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่ามีรถตู้สีดำคันใหญ่มาจอดปิดท้ายไว้ก็ปลดล็อกแล้วเปิดประตูก้าวลงจากรถ “รออยู่ตรงนี้ก่อน อย่าซน เดี๋ยวฉันมา”

ชายหนุ่มยังไม่วายกำชับทิ้งท้ายเหมือนพัดพารัดชาเป็นเด็กเล็กๆ เธอพลิกตัวหันไปเกาะเบาะที่นั่งแล้วมองตามแผ่นหลังกว้างไปก็เห็นเขาเดินตรงไปหยุดยืนข้างประตูรถตู้ที่เปิดออก แล้วยื่นของบางอย่างให้คนที่อยู่ด้านใน คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น...พาสปอร์ตของเธอ!

“ดวงซวยอย่างที่ผมบอกเป๊ะเลยไหมเล่า”

พัดพารัดชาสะดุ้งสุดตัว เธอหันกลับไปมองต้นเสียงที่นั่งกอดอกอยู่บนเบาะที่นั่งคนขับแล้วหลุดเสียงร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ร่างของหนุ่มผมยาวผู้นี้ใหญ่โตมากเสียจนศีรษะของเขาแทบชนกับเพดานรถ ใบหน้าคมเข้มของเขาประดับด้วยรอยยิ้มกว้างที่ชวนให้รู้สึกขนลุกแปลกๆ

“คุ...คุณ...คุณหลู่...” หญิงสาวจำได้ทันทีว่าเขาคือคนรักของญาตาวี และเป็นคนมอบจี้กิเลนให้แก่เธอ “นี่...นี่คุณ...คุณมาได้ยังไง”

นี่มัน...เป็นไปไม่ได้ เธอไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูรถเลย แล้วเขาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมเธอไม่เห็น

“ผมทำให้คุณตกใจขนาดนั้นเชียว” หลู่หัวเราะ ดวงตาสีเทาอมฟ้าราวเมฆหมอกลอยเรี่ยต่ำบนผืนน้ำกวาดมองใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวอย่างนึกสนุก “ขวัญอ่อนเป็นกระต่ายอย่างนี้จะไหวเร้อ”

“คะ?”

พัดพารัดชางงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดสักนิด ยิ่งสมองยังไม่พร้อมรับเรื่องเซอร์ไพรส์มากไปกว่านี้อีกแล้ว เธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองกำลังใกล้จะสติแตกอย่างไรอย่างนั้น 

“แก่ปูนนี้แล้วยังชอบแกล้งคนอื่นเล่นเป็นเด็กๆ อีกเหรอวะ ไอ้กิเลนเฒ่า”

เทียนหลางเปิดประตูรถฝั่งของพัดพารัดชาพลางพูดเป็นภาษามองโกล ดวงตาหลังแว่นกันแดดแข็งกร้าวไม่ต่างจากน้ำเสียง แต่คนถูกจ้องเขม็งกลับไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังลอยหน้าลอยตากวนประสาทอีกต่างหาก

“พูดจาให้มันดีๆ หน่อยไอ้เด็กเวร ฉันเป็นบรรพบุรุษของแกนะโว้ย หัดเคารพกันบ้าง” หลู่แสร้งทำเสียงจึ๊กจั๊กอยู่ในลำคอเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์

“ก็ทำตัวให้น่าเคารพหน่อยสิวะ” ชายหนุ่มแยกเขี้ยว

“พวก...พวกคุณรู้จักกันเหรอคะ” พัดพารัดชามองใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างงุนงง ถึงฟังภาษาที่พวกเขาพูดไม่ออก แต่พอเดาได้ว่าคงต้องคุ้นเคยกันพอสมควร “นี่คุณ...ก็เป็นคนมองโกลเหมือนกันเหรอคะคุณหลู่”

“ไม่ใช่”

หลู่ยักไหล่...ที่ไม่ใช่เนี่ย ไม่ใช่คน!

“ยื่นขามา”

เทียนหลางพูดเสียงเข้ม เขาไม่ชอบใจที่หญิงสาวสนทนากับหลู่เป็นภาษาไทยที่เขาไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่าสัตว์เทพนิสัยเสียตนนี้จะใส่ไฟอะไรเขาให้เธอเข้าใจผิดเพื่อเอาคืนแค้นเก่าระหว่างกันหรือไม่

“คุณเทียนหลาง!”

พัดพารัดชาอุทานเมื่อชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งยองๆ ข้างรถแล้วสวมคัตชูสีขาวขอบแดงให้เธออย่างนุ่มนวล เธอเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนั้นเองว่าตนไม่ได้สวมรองเท้ามาตั้งแต่ตอนที่ออกจากบ้าน...เพราะเขาอุ้มเธอออกมา คิดถึงตรงนี้แก้มทั้งสองข้างของหญิงสาวก็ร้อนผ่าว

“หลวมไปนิด แต่ตอนนี้หาได้ดีที่สุดเท่านี้ ทนใส่ไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวถึงสนามบินแล้วจะซื้อคู่ใหม่ให้”

“ขอบคุณค่ะ ที่จริงให้ฉันใส่เองก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย” หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก เกิดมาก็เพิ่งเคยมีผู้ชายอื่นนอกจากพ่อคุกเข่าสวมรองเท้าให้แบบนี้เป็นครั้งแรก

“เราต้องไปกันแล้ว” เทียนหลางตัดบท เขาคว้าข้อมือของเธอดึงให้ลงจากรถ “ส่วนแก ไสหัวไปได้แล้วหลู่ ฉันกำลังยุ่ง ไม่มีเวลาเล่นด้วย”

“แหม...ช่างไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างเลยนะแก” หลู่แสยะยิ้ม “ฉันอุตส่าห์ให้ของดีไว้คุ้มครองเหลนสะใภ้เชียวนา”

“ของดีที่ว่าคงไม่ได้ทำจากเกล็ดกิเลนใช่ไหม” ชาแมนหนุ่มดันแว่นตาขึ้นไปคาดบนศีรษะ ดวงตาสีฟ้าอมม่วงจางๆ ทอประกายวับวาวอย่างเอาเรื่อง “แกจำได้ใช่ไหมว่าครั้งก่อนเป็นเพราะเกล็ดของแก ถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวายฉิบหาย ฉันต้องพักฟื้นเป็นเดือนแถมยังต้องตามล้างตามเช็ดให้แกอีกไม่รู้เท่าไหร่”

พัดพารัดชายืนทำหน้างง เธอไม่เข้าใจบทสนทนาภาษามองโกลของพวกเขา แต่พอเดาได้ว่าน่าจะไม่ใช่การสนทนาอย่างเป็นมิตรอีกแล้ว

“รู้น่า ฉันก็ยอมให้ปู่ของแกเนรเทศออกมาอยู่ที่นี่แล้วไง จะหงุดหงิดอะไรนักหนา”

แค่เกือบถล่มอูลานบาตอร์ทั้งเมืองเอง จะโกรธไปทำไมกัน

“รู้ก็ดี” เทียนหลางยื่นหน้าเข้ามาในรถ ดวงตาหงส์หรี่มองใบหน้ายียวนของอีกฝ่ายนิ่ง “ถ้าแกคิดช่วยจริงๆ ก็ขอบใจ แต่ถ้าคิดมาป่วนฉันให้เสียประสาท ฉันจะอัญเชิญซารันเกเรลคนรักเก่าของแกลงประทับร่างแล้วจะแฉแกให้แฟนแกฟังให้ยับเลย ไอ้กิเลนเกล็ดร่วง!”

“แน่จริงก็อัญเชิญมาเลย อย่าดีแต่ปาก” หลู่ยักคิ้วยียวน เขารู้ว่าเทียนหลางไม่กล้าอัญเชิญบรรพบุรุษฝ่ายหญิงมาพร่ำเพรื่อแน่ เพราะนอกจากจะต้องสูญเสียพลังมหาศาลแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำปมลึกๆ ในใจของตนเองอีกด้วย “อีกอย่างหนึ่งนะ หยกของฉันน่ะใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ผ่านมาแล้วตั้ง ๖๖๖ ปีหรอกไอ้หนู แต่ฉันไม่รู้ว่าแม่หนูดวงซวยข้างหลังแกจะใจกว้างเหมือนกันหรือเปล่า ได้ข่าวว่าแกมีผู้หญิงมาคอยแก้เหงาไม่ได้ขาดเลยนี่”

“รู้แล้วยังไง ชาช่าไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน ไม่จำเป็นต้องมาใส่ใจเรื่องส่วนตัวของฉัน”

สีหน้าของเทียนหลางเย็นชา ทว่าหลู่จับกระแสสั่นไหวในแววตาของชายหนุ่มได้ แม้จะปรากฏเพียงเสี้ยววินาทีก็ตามที

โธ่เอ๊ย...มันก็ว่าที่คนกลัวเมียอีหรอบเดียวกับข้าละว้า...

“โอ๊ย ตอนนี้ไม่ แต่อนาคตไม่แน่ร้อก” หลู่ลากเสียงยาว ดวงตามองเลยไปยังดวงหน้าสวยหวานของสาวน้อยที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม “มีปัญหารักหนักอกก็คลานเข่ามาขอคำแนะนำจากฉันได้นะโว้ย ไอ้หนู ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าแกไม่รู้กี่ร้อยเท่า”

“ไอ้ผ่านร้อนผ่านหนาวที่ว่าหมายถึงเรื่องที่แกถูกล่ามโซ่ติดกับเสาให้นอนตากแดดตากหิมะมาตลอด ๖๖๖ ปีน่ะเหรอ แกติดแหง็กอยู่บนเขานานขนาดนั้น แกจะมีประสบการณ์รักกับใครได้วะนอกจากพวกหนูเจอร์บิลกับหมาป่าอารมณ์เปลี่ยวแถวนั้น” คำพูดของชาแมนหนุ่มทำเอากิเลนฟ้าหน้าตึง “อยู่เฉยๆ เลยนะ นั่งเอาเขายัดก้นไปก็ได้ แต่อย่ามาสะเออะวุ่นวายกับเรื่องของฉันเป็นอันขาด”

เขาถอยหลังออกจากรถแล้วปิดประตูใส่หน้าอีกฝ่ายดังโครมใหญ่ จากนั้นจึงคว้าข้อมือของพัดพารัดชาให้เดินไปยังรถตู้อัลพาร์ดสีขาวที่จอดอยู่ด้านข้าง

“เราจะเปลี่ยนรถกันที่นี่ จะได้ไม่มีใครตามรอยเราได้”

เทียนหลางเคาะประตูรถ เพียงครู่ประตูไฟฟ้าก็เลื่อนเปิดออก หญิงสาวมองเลยไปที่เบาะคนขับก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งผินหน้ากลับมาค้อมศีรษะทักทายอย่างสุภาพ

“คนของทางเราเอง ไว้ใจได้” ชายหนุ่มกระซิบบอก “เราจะตรงไปรอที่สนามบินเลย พอคนของฉันใช้พาสปอร์ตของเธอเช็กอินขึ้นเครื่องไปฝรั่งเศสแล้ว เราค่อยเข้าไปเช็กอินกัน”

“ใช้พาสปอร์ตของฉัน?” พัดพารัดชาทำตาโต “แต่...แต่ลายนิ้วมือ...เราต้องสแกนลายนิ้วมือที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองด้วยไม่ใช่เหรอคะ แล้วคนของคุณจะใช้พาสปอร์ตของฉันได้ยังไง”

“ไม่มีอะไรที่เงินแก้ปัญหาให้ไม่ได้หรอก ชาช่า” เทียนหลางดันหลังเป็นเชิงบอกให้หญิงสาวขึ้นไปบนรถ “มันก็แบบเดียวกันกับที่ฉันจัดการเรื่องพาสปอร์ตใหม่ให้เธอนั่นละ ทุกอย่างมันมาเป็นแพ็กเกจ แฮกเกอร์ที่ทำงานในตลาดมืดพวกนั้นเก่งกันจะตายไป แค่แฮ็กฐานข้อมูลเปลี่ยนลายนิ้วมือของเธอให้เป็นของคนของฉันน่ะง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก”

หญิงสาวทำหน้าไม่ถูก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนพูดถึงเรื่องผิดกฎหมายหน้าตาเฉยเหมือนพูดถึงสภาพดินฟ้าอากาศเช่นนี้เลย และที่น่าตกใจไปยิ่งกว่าคำพูดของเทียนหลางก็คือหญิงสาวผมยาวหยักศกที่เพิ่งเปิดประตูลงมาจากรถตู้สีดำ 

ผู้หญิงคนนี้...เหมือนเธอมากอย่างน่าตกใจ!

ทั้งรูปร่าง ความสูงและทรงผม มองเผินๆ ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเป็นเธอกันทั้งนั้น หากไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนย่อมมองไม่ออกแน่ว่าใบหน้ามีจุดแตกต่างกันอยู่บ้างบางจุด เช่นรูปปากหรือทรงของคิ้ว ซึ่งเจ้าตัวก็ใช้วิธีแต่งหน้าเข้มหน่อยเพื่อซ่อนไว้อย่างแนบเนียน

“เวลาน้อยก็หาได้เหมือนที่สุดเท่านี้ละ ต้องใช้วิธีแต่งหน้าช่วยเยอะหน่อย” เทียนหลางกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆ พัดพารัดชาในขณะที่ ‘ตัวปลอม’ เดินไปขึ้นรถตู้สีขาวอีกคันที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม “ใช้รถแบบเดียวกันจะได้ไม่ผิดสังเกตมากนัก เดี๋ยวฉันจะให้รถคันนั้นแวะพักตามปั๊มน้ำมัน กล้องวงจรปิดจะได้จับภาพตัวปลอมของเธอได้ พวกที่ตามรอยอยู่จะได้ไปตามทางโน้นแทน”

“แล้ว...แล้วผู้หญิงคนนั้นจะไม่เป็นอันตรายเหรอคะ”

พัดพารัดชาอดกังวลไม่ได้ เธอเจอเรื่องน่าอกสั่นขวัญแขวนมาตั้งแต่ลืมตาตื่น เธอเข้าใจดีว่าตนเองอยู่ในอันตรายเพียงใด ถึงจะยังไม่รู้สาเหตุหรือที่มาที่ไปของเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัดก็ตามที แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นมาเป็นตัวแทนของเธอก็เท่ากับต้องเผชิญกับเรื่องแบบเดียวกันไม่ใช่หรือ

“ตอนที่รับเงินค่าจ้าง ผู้หญิงคนนั้นรู้ความเสี่ยงดีอยู่แล้ว” เทียนหลางตบเบาะด้านหน้าเป็นสัญญาณบอกให้คนขับกดปุ่มปิดประตู แม่เด็กจอมยุ่งจะได้เลิกมองโน่นมองนี่แล้วตั้งคำถามล้านแปดเสียที “บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ห่วงเงาหัวตัวเองก่อนจะห่วงคนอื่น คนที่ฉันจ้างมาไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกหรอกนะ เห็นตัวบางๆ แบบนั้น เก่งกว่าไอ้พวกกระจอกเมื่อเช้าเยอะ”

“คุณคิดเอาไว้ทุกอย่างเลย” หญิงสาวยิ้มเจื่อน รู้สึกเหมือนเขาแขวะว่าเธอต่างหากที่เป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกปกป้องตนเองยังไม่ได้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “นี่คุณเตรียมการล่วงหน้ามาหมดเลยเหรอคะ”

ประตูรถเลื่อนปิดช้าๆ บดบังแสงจากด้านนอก สิ่งที่พัดพารัดชาเห็นมีเพียงเสี้ยวหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเขาเท่านั้น 

“ก็ไม่ได้เรียกว่าเตรียมการอะไรหรอก แค่ใช้เงินแก้ปัญหาก็เท่านั้น” เทียนหลางระบายลมหายใจยาว พยายามไม่แสดงออกให้หญิงสาวเห็นความอ่อนล้าจากการอดนอนติดกันสองวันเต็มๆ เพราะตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้พร้อมเพื่อความปลอดภัยของเธอ “เลิกทำหน้ายุ่งได้แล้ว เธอไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ตราบใดที่ฉันยังอยู่ตรงนี้ เธอกับแม่จะปลอดภัยแน่”

“ปลอดภัยจากอะไรล่ะคะ คุณยังไม่ได้บอกฉันเลย”

เธอเม้มริมฝีปากนิดหนึ่ง รู้ว่าอีกเดี๋ยวเทียนหลางคงต้องเอ็ดเธออีกแน่ แต่เธอก็ทนอยู่กับการไม่รู้อะไรเลยสักอย่างแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว อย่าบอกนะว่าเขาตั้งใจจะพาเธอไปมองโกเลียทั้งที่ไม่อธิบายใดๆ ทั้งสิ้นเช่นนี้จริงๆ 

“วกกลับมาเรื่องเดิมอีกแล้ว เธอไม่ไว้ใจฉันเหรอ ชาช่า”

เทียนหลางเอนกายพิงเบาะขณะที่รถตู้ค่อยๆ เคลื่อนถอยหลังออกจากช่องจอด

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...” พัดพารัดชาหลุบตาลง ถึงเขาจะไม่หันมามองหน้าเธอตรงๆ เธอก็ยังกลัวว่าเขาจะมองเห็นความหวาดระแวงที่ไม่อาจปกปิดได้มิด ถึงคุณแม่จะบอกว่าเขาเป็นคนเดียวที่เชื่อใจได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วจะให้เชื่อใจคนที่แทบไม่รู้จักกันเลยเต็มร้อยได้อย่างไรกันเล่า “ฉันรู้ว่าคุณเสี่ยงทำอะไรเพื่อช่วยฉันตั้งหลายอย่าง...”

“อ้อ รู้เหมือนกันเรอะว่าฉันทำอะไรให้ตั้งหลายอย่าง” ชายหนุ่มส่งเสียง ‘ฮึ’ ขึ้นจมูก เขาปรายตามองแสงเรืองรองที่ทะลุผ่านอกเสื้อของหญิงสาวออกมาครู่หนึ่ง ดวงตาของมนุษย์ทั่วไปไม่อาจมองเห็นแสงมายานี้ได้และยิ่งไม่อาจรับรู้ได้ถึงพลังปกปักรักษาอันเข้มข้นของมันด้วย “ได้ไอ้นั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไอ้นั่น?” พัดพารัดชาไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดถึง จนกระทั่งเขาชี้มาที่สร้อยคอของเธอ “คุณหมายถึงจี้หยกนี่เหรอคะ คุณหลู่ให้ฉันมาเมื่อเดือนก่อน”

หญิงสาวดึงตัวจี้ออกมาจากคอเสื้อ สีดำวับวาวและลวดลายกิเลนอ่อนช้อยที่ปรากฏต่อสายตาทำเอาชาแมนหนุ่มต้องลอบทำหน้าเบ้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าใดนัก

“ประกาศตัวให้รู้กันโต้งๆ เลยสินะว่าใครเป็นคนให้ ไอ้กิเลนเฒ่าเอ๊ย...” ชาแมนหนุ่มนึกหมั่นไส้หลู่ขึ้นมาติดหมัด “ใส่ติดตัวเอาไว้ อย่าให้ห่างตัวล่ะ”

“แกยอมรับแล้วใช่ไหมว่าของที่ให้นังหนูนี่ไปเป็นของดี”

หลู่ยื่นหน้ามาจากเบาะด้านหลังพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาหันมายักคิ้วด้วยท่าทางยียวนอย่างที่สุดให้พัดพารัดชาที่สะดุ้งสุดตัว

“นี่...นี่คุณขึ้นรถมาได้ยังไงคะ...”

หญิงสาวอ้าปากค้าง ครั้งนี้เธอมั่นใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นว่าหลู่ไม่มีทางขึ้นรถมาด้วยแน่ๆ เขาอยู่ในรถโฟร์วีลคันนั้นตอนที่เทียนหลางปิดประตูใส่หน้าเขา!

“ขึ้นมาได้ยังไงไม่สำคัญเท่าคำถามที่คุณถามช็อนเมื่อครู่หรอก อย่าปล่อยให้มันชวนคุยเรื่องอื่นเชียว ไอ้หมอนี่เฉไฉเปลี่ยนเรื่องเก่งนักละ” หลู่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ครั้งนี้เขาพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสสำเนียงแปร่งๆ แต่ยังพอฟังรู้เรื่อง “เอ้า! บอกไปสิวะช็อน ตกลงแม่หนูดวงซวยคนนี้กำลังจะตายเพราะอะไรกันแน่”

“หา? ฉัน...ฉันกำลังจะตายเหรอคะ นี่...หมายความว่ายังไง”

พัดพารัดชาหน้าซีด เป็นอีกครั้งที่เธอต้องมองหน้าชายหนุ่มทั้งสองคนสลับกันไปมาอย่างไม่เข้าใจ คำพูดเรียบเรื่อยของหลู่เหมือนเป็นเพียงการพูดเล่นเรื่อยเปื่อยก็จริง แต่ไม่รู้ทำไมฟังแล้วรู้สึกใจหายพิกล ครั้งก่อนที่เขาบอกว่าเธอดวงกุดจะพบกับโชคร้าย วันนี้เธอก็เจอเรื่องเฉียดตายแต่เช้าตรู่เลยไม่ใช่หรือ 

บางทีเขาอาจจะเป็น ‘หลู่ญาณทิพย์’ จริงๆ ก็ได้!

“ให้ตายเถอะวะหลู่ แกนี่นรกเจาะปากมาพูดจริงๆ”

เทียนหลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างอารมณ์เสียสุดขีด เขากะว่าจะค่อยๆ หาทางอธิบายที่มาที่ไปของเหตุการณ์ทั้งหมดให้พัดพารัดชาฟังโดยไม่ทำให้เธอตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปเสียก่อนแท้ๆ เสียแผนหมด!

“ก็ช่วยย่นเวลาให้ไง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมค้อม ยิงให้ตรงประเด็นไปเลย เหมือนที่แกเคยยิงธนูใส่หัวฉันนั่นละ”

เรื่องเจ้าคิดเจ้าแค้นรอเอาคืนทุกเม็ด ต้องยกให้กิเลนฟ้าอย่างเขานี่!

“อยากให้ยิงอีกทีไหมล่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าในกะโหลกหนาๆ ของแกมีสมองอยู่บ้างไหม”

เทียนหลางสวนกลับทันทีพร้อมกับเลื่อนมือลงไปแตะจี้หัวธนูหยกดำที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืด เขาสวมสร้อยเอ็นกวางที่ร้อยกับจี้ชิ้นนี้ติดตัวอยู่เสมอ เครื่องรางชิ้นเดียวในโลกที่ทำให้หลู่ขนหัวลุกได้เพราะเป็นสมบัติของคนรักเก่า!

หญิงสาวยิ่งฟังทั้งสองคนพูดกันก็ยิ่งไม่เข้าใจ...ยิงธนูใส่หัว? นี่พวกเขาแค่หยอกกันเล่นใช่ไหม

“พวกคุณช่วยกลับมาโฟกัสเรื่องที่บอกว่าฉันกำลังจะตายก่อนได้ไหมคะ”

พัดพารัดชาเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน ตอนนี้เธอไม่สนใจอีกแล้วว่าหลู่ขึ้นรถมาได้อย่างไรหรือพวกเขารู้จักกันตั้งแต่ชาติปางไหน ตอนนี้เธอต้องรู้ให้ได้ว่าตนเองกำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่

“มีมหาเศรษฐีสติแตกบางคนคิดว่าเธอจะช่วยต่ออายุขัยให้ร่างผุๆ ของตัวเองได้” ในที่สุดเทียนหลางก็หันกลับมามองหน้าหญิงสาวตรงๆ 

“ต่ออายุขัย? นี่คุณล้อฉันเล่นหรือเปล่า”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เธอไม่คาดหวังว่าเขาจะช่วยคลายความสงสัยให้เธออย่างหมดจด แต่อย่างน้อยก็คิดว่าน่าจะได้ฟังเรื่องที่จริงจังกว่านี้ไม่ใช่หรือไร นี่มันจุดเริ่มต้นของพลอตหนังเกรดบีชัดๆ!

“แล้วไอ้พวกที่บุกมาเมื่อเช้ามันทำท่าเหมือนล้อเล่นไหมเล่า” เทียนหลางย้อนเข้าให้ทำเอาคนฟังนิ่งอึ้งไป “เธอก็เห็นแล้วว่าพวกมันตั้งใจมาจับตัวเธอตามคำสั่งเจ้านาย ถ้าฉันไปถึงช้ากว่านั้นอีกนิดเดียว เธอได้ถูกหิ้วไปที่เซี่ยงไฮ้แล้ว”

“เฮ้ย ชายชาติอาชาไนยไม่ทวงบุญคุณผู้หญิงสิวะ” หลู่พูดลอยๆ แล้วเดาะลิ้นอย่างจงใจกวนประสาท

“ขอโทษทีที่สันดานไม่ดี สงสัยได้มาจากบรรพบุรุษ ทุกวันนี้ไอ้ท่านบรรพบุรุษเนี่ยมันยังทวงแค้นฉันไม่เลิกรา ทั้งที่ตัวเองก่อเรื่องให้โดนยำตีนเองแท้ๆ”

“โอเค ต่ออายุขัยที่คุณว่านี่หมายถึงให้เลือด เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ หรือเก็บสเต็มเซลล์อะไรแบบนี้หรือเปล่าคะ”

พัดพารัดชาพยายามตั้งสติ เธอลอบหยิกตนเองซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองไม่ได้กำลังฝันร้ายอยู่ เทียนหลางมองกิริยาน่าขันของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มของเธอ

“โอ๊ย! เจ็บนะ! ทำอะไรของคุณเนี่ย!” พัดพารัดชาปัดมือเขาทิ้งแล้วคลำแก้มป้อยๆ 

“ช่วยหยิกไง จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน” แม่เด็กแสบคนนี้อ่านง่ายจะตายไป คิดอะไรก็วางเอาไว้บนสีหน้าหมดแทบจะไม่ต้องคาดเดาใดๆ ทั้งสิ้น “ต่ออายุขัยที่ว่าเนี่ย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับให้เลือด อวัยวะหรือสเต็มเซลล์เลย แต่เป็นเรื่องไสยศาสตร์ล้วนๆ”

“ไส...ไสยศาสตร์?” หญิงสาวชะงัก “แบบก่อกองไฟทำพิธี เขียนยันต์อะไรพวกนี้เหรอคะ”

“ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิด” สีหน้าของเทียนหลางมืดครึ้มลง “น่าจะเรียกว่าชำแหละเธอเป็นชิ้นๆ แล้วให้ตายแทนจะดีกว่า”

“คะ?”

“ไอ้เศรษฐีนั่นจะฆ่าเธอ ชาช่า” ชาแมนหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่กำลังเต้นระริกด้วยความหวาดหวั่น “หน้าฉากมันอาจบอกว่าเครื่องรางมนุษย์จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ และได้รับค่าตอบแทนมหาศาล แต่ในสัญญาว่าจ้างที่ให้ผู้ใช้ไสยเวททุกคนเซ็นระบุเอาไว้ว่า ถ้าเอาตัวเป็นๆ ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วกลับมาไม่ได้ ก็ให้ตัดอวัยวะหลักๆ ส่งกลับไปเป็นหลักฐานก็ได้ ส่วนร่างที่เหลือ มันจะส่งคนมารับเอง แล้วเธอคิดว่าตัวเองยังจะปลอดภัยอยู่อีกไหมเล่า”

“อะ...อะไรนะคะ...”

เครื่องรางมนุษย์? พิสูจน์? ชำแหละเป็นชิ้นๆ? นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องบ้าอะไรกัน!

“อย่างที่ช็อนมันบอกนั่นละนังหนู” หลู่แสยะยิ้ม “ถ้าไม่รีบเผ่นตอนนี้ รับรองว่าได้ตายศพไม่สวยแน่”

“คุณจะบอกว่ามีคนคิดฆ่าหั่นศพฉัน เพราะงมงายเรื่องไสยศาสตร์เหรอคะ” พัดพารัดชาฟังแล้วอยากหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก ในสมองมีแต่คำว่า ‘บ้า’ และ ‘ไร้สาระ’ ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด “มัน...ฟังแล้วเหลือเชื่อเกินไป ฆ่าคนเพื่อต่อชีวิตตัวเอง มันจะเป็นไปได้ยังไงกันคะ ฉันกับแม่ต้องมาเดือดร้อนเพราะคนบ้าแบบนี้เนี่ยนะ”

“แล้วคนบ้าพวกนี้ก็มักจะเป็นคนที่มีเงินกับอำนาจล้นเหลือเสียด้วย เธอถึงได้ซวยเต็มขั้นแบบนี้ไง” บางเรื่องอธิบายไปตอนนี้หญิงสาวก็คงไม่เชื่ออยู่ดี ให้เธอเห็นด้วยตาของตนเองดีกว่าว่าไอ้เรื่องงมงายที่ว่านี้มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง! “ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่ไม่มีใครเจอตัวเธอ ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นเครื่องรางมนุษย์หรือเปล่า”

“ทำหน้าโง่แบบนี้คงไม่เข้าใจละสิว่าเครื่องรางมนุษย์คืออะไร” หลู่เท้าคางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของหญิงสาว “ถ้าอธิบายง่ายๆ อย่างที่ช็อนเพิ่งพูดไปก็คือหาคนมารับเคราะห์หรือตายแทนตัวเอง แต่ใช่ว่าจะเลือกใครก็ได้หรอกนะ ต้องหาคนที่เกิดในฤกษ์ยามพิเศษที่จะส่งเสริมดวงของตัวเองได้ บางครั้งต่อให้เกิดในฤกษ์ยามที่ใช่ แต่ธาตุประจำตัวเป็นปรปักษ์ต่อกันก็ใช้ไม่ได้ ดีไม่ดีจะทำให้มนตร์สะท้อนกลับกลางพิธีเอาด้วย ตายทั้งคนที่อยากเปลี่ยนดวงและคนประกอบพิธี”

“ไอ้เศรษฐีบ้านั่นถึงต้องจ้างผู้ชำนาญการพิเศษอย่างพวกฉันมาตรวจสอบไง ว่าคนในรายชื่อที่ให้มาเป็นเครื่องรางมนุษย์สำหรับมันหรือเปล่า ฉันถึงต้องรีบบินมารับเธอไปหาปู่ก่อนที่ผู้ใช้ไสยเวทคนอื่นจะมาพบเธอ”

เทียนหลางนึกไม่ออกเลยว่า หากเขามาช้ากว่านี้อีกสักนิดจะเกิดอะไรขึ้นกับพัดพารัดชาและมารดาบ้าง แค่คิด...เขาก็พร้อมฆ่าไอ้พวกเวรทุกตัวที่กล้าแตะต้องเธอแล้ว

“ยังจะมีคนอื่นมาตามหาฉันอีกเหรอคะ” เพียงนึกถึงกลุ่มชายฉกรรจ์ที่บุกเข้ามาที่บ้าน เนื้อตัวของหญิงสาวก็สั่นเทาอย่างสุดจะห้ามได้

“มีผู้ใช้ไสยเวทมือฉมังตกลงรับงานนี้ราวยี่สิบคน แต่ละคนแสบเขี้ยวลากดินทั้งนั้น ฉันไม่รู้ว่าพวกมันพุ่งเป้าไปที่คนในรายชื่อคนไหนบ้าง หรือว่าพวกมันตกลงแบ่งสายกับเงินกันยังไง ทางออกที่ดีที่สุดคือพาเธอไปซ่อนตัวในที่ปลอดภัย ไม่ให้พวกมันหาพบ”

“ค่าหัวของคนในรายชื่อสูงมากเหรอคะ คนถึงได้ยอมรับงานบ้าๆ แบบนี้กันง่ายๆ”

ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังทำใจให้เชื่อว่าเรื่องที่เขาพูดอยู่นี้เป็นเรื่องจริงไม่ได้เสียที

“ก็ร้อยล้านดอลลาร์” เทียนหลางยักไหล่ เขาพูดเหมือนเงินจำนวนนี้ไม่สลักสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น

“หา! ระ...ร้อย...ร้อยล้านดอลลาร์...บ้าไปแล้ว...”

พัดพารัดชาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง เธอนึกไม่ออกเลยว่าใครมันจะบ้าทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้!

“เผลอๆ จะเยอะกว่าค่าสินสอดที่ช็อนจะให้คุณได้เสียอีก ยอมเฉือนนิ้วให้ไปสักนิ้วแล้วได้กลับมาสักสิบล้านดอลลาร์ก็คุ้มอยู่นะ”

“หุบปากไปเลยหลู่!” เทียนหลางหันไปขึงตาใส่กิเลนปากมาก ก่อนจะพูดต่อเป็นภาษามองโกลเพื่อไม่ให้หญิงสาวเข้าใจ “ทำไมแกถึงสะเออะรู้เรื่องที่ไม่ควรรู้ของฉันได้ทุกเรื่องวะ!”

“ดวงเนตรกิเลนล่วงรู้เกือบทุกอย่างนั่นละ แกเองก็น่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอวะ”

หลู่โกหกคำโต เขารู้เรื่องของไอ้เด็กเวรนี่เพราะ ‘ไอ้น้องชาย’ ที่มองโกเลียเล่าให้ฟังต่างหากเล่า ไอ้สิงโตหิมะขี้เหงาส่งเสียงพล่ามทั้งวัน ไม่อยากฟังก็ต้องทนฟังไปอย่างไม่มีทางเลือก

“ดวงตาเฮงซวยละไม่ว่า ฉันไม่เคยมองเห็นอะไรสักอย่างนอกจากภูตผีปีศาจอย่างแก!”

เทียนหลางกัดกรามกรอด เพราะดวงตากิเลนที่รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษตัวแสบนี่เองที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องพบแต่เรื่องยุ่งยากและเจ็บปวดทรมานจนอยากควักลูกตาทิ้งวันละร้อยรอบ!

“กิเลนเป็นสัตว์เทพโว้ย ไม่ใช่ภูตผีปีศาจ!”

“เอ่อ...เมื่อกี้คุณพูดว่าสินสอดอะไรเหรอคะ”

เมื่อชายหนุ่มทั้งสองคนเปลี่ยนไปทุ่มเถียงกันเป็นภาษามองโกลเสียเฉยๆ พัดพารัดชาจึงจำต้องพูดแทรกขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ตอนแรกคิดว่าการที่เทียนหลางไม่อธิบายอะไรเลยสักอย่างนั้นน่าอึดอัดแล้ว แต่คำพูดเป็นนัยๆ ไม่พูดออกมาตรงๆ ของหลู่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดคับข้องใจมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

“อ้าว นี่ไม่รู้หรอกเหรอว่าเมื่อก่อนช็อนกับคุณน่ะเคยเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน”

“หา! คู่...คู่หมั้น! ฉัน...กับเขาเนี่ยนะคะ!”

ครั้งนี้หญิงสาวอุทานเสียงดังอย่างตกใจสุดขีด เรื่องนี้เหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องเครื่องรางมนุษย์บ้าบอกับเรื่องค่าหัว ๑๐๐ ล้านดอลลาร์อีก!

“มันเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตกลงกันเอง ฉันไม่เคยเห็นด้วย แล้วก็ถอนหมั้นไปเรียบร้อยแล้ว สบายใจได้”

เทียนหลางแยกเขี้ยว ปฏิกิริยาตอบรับของเธอทำเอาเขาหัวเสียขึ้นมาติดหมัด แค่เคยหมั้นกับเขาต้องทำท่าเหมือนตกใจแทบสิ้นสติขนาดนี้เลยเหรอวะ!

“อ้อ...” สีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มทำเอาพัดพารัดชาต้องนั่งตัวลีบ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเอาแต่อารมณ์เสียใส่เธออยู่แทบจะตลอดเวลาแบบนี้ “ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย”

ที่จริงต้องเรียกว่าไม่รู้อะไรเลยสักเรื่องนั่นละ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับท่านอัลตัน เรื่องเครื่องรางมนุษย์ ไล่ไปจนเรื่องที่เธอเคยมีคู่หมั้นและถูกถอนหมั้นไปโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด เธอคงดวงตกถึงขีดสุดอย่างที่หลู่ว่าจริงๆ นั่นละ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมายังไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเลยสักอย่าง!

“อย่าดุนักเลยน่า ยายหนูนี่จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว”

หลู่พูดกลั้วหัวเราะในขณะที่เทียนหลางหันไปถลึงตาใส่กิเลนปากมาก

“ใครใช้ให้แกพล่ามไม่หยุดกันเล่า!” เทียนหลางขู่ฟ่อ เขาเหลือบมองสีหน้าเหยเกของหญิงสาวแล้วใจอ่อนยวบเป็นวุ้น น้ำเสียงในประโยคถัดมาจึงลดความกร้าวกระด้างลงไปกว่าครึ่ง “แกสร้างความวุ่นวายมามากพอแล้ว ไสหัวกลับไปเป็นหมานอนเฝ้าร้านเมียแกโน่นเลยไป”

“ไม่ได้หรอก เมียสั่งว่าไม่ให้โผล่หัวกลับไปที่ร้านจนกว่าจะส่งยายหนูนี่ขึ้นเครื่องไปอย่างปลอดภัยเสียก่อน”

หลู่หันไปส่งยิ้มหวานให้พัดพารัดชาที่ฟังคำพูดภาษามองโกลของเขาไม่ออกสักคำ 

“อ้อ กลัวว่าคืนนี้ต้องนอนนอกห้องว่าอย่างนั้นเถอะ อ่อนว่ะ” เทียนหลางแบะปาก 

“ปากดีไปเท้อ” กิเลนฟ้าลากเสียงยาวยานคาง ดวงตาสีเทาอมฟ้าวับวาวอย่างมีเลศนัยยามมองไปยังดวงหน้าหวานละมุนของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า “วันไหนโดนเข้าบ้าง แกนั่นละที่จะดิ้นพราดเหมือนไส้เดือนถูกน้ำร้อนลวก ไอ้เด็กเวร!”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น