7

บทสวดที่ ๗

บทสวดที่ ๗

 

“ยืนเหม่ออะไรอยู่ตรงนั้นเล่า เราต้องไปกันแล้วนะ”

เทียนหลางคลุมเสื้อโคตบุขนเป็ดตัวโคร่งบนไหล่ของพัดพารัดชา ขนาดของมันใหญ่กว่าร่างบางระหงของเธอเกือบสองเท่าตัวเมื่อเธอสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ ปลายนิ้วของเธอยังไม่โผล่พ้นออกมาเสียด้วยซ้ำไป แถมยังเหลือพื้นที่ว่างระหว่างมือกับชายแขนเสื้ออีกราวหนึ่งคืบ

“เสื้อของฉันเอง มันอาจจะใหญ่ไปหน่อย แต่ทนใส่ไปก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวซื้อให้ใหม่”

ชายหนุ่มกวาดตามองเสื้อโคตสีขาวพลางคำนวณไซซ์ที่เธอน่าจะใส่ได้อยู่ในหัว

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันดึงแขนเสื้อขึ้นนิดนึงก็ได้แล้ว อย่าเสียเงินมากไปกว่านี้เลย ยังไงฉันก็แค่ขอยืมใส่ชั่วคราวเท่านั้นเอง”

พัดพารัดชาเหลือบมองตรายี่ห้อ Moncler บนเสื้อโคตแล้วหายใจไม่ทั่วท้อง กลัวว่าหากทำมันเปื้อนขึ้นมาจะไม่มีปัญญาชดใช้ เสื้อกันหนาวสัญชาติแคนาดาตัวนี้ราคาอย่างต่ำก็น่าจะเกือบเหยียบแสนบาทเข้าไปแล้ว เธอจำได้ว่าเคยเปิดเว็บไซต์ดูกับเพื่อนๆ ครั้งหนึ่งตอนที่ทุกคนเห่อเรื่องอยากเก็บเงินไปตามหาแสงเหนือกัน แต่พอเห็นราคาของอุปกรณ์กันหนาวแต่ละอย่างแล้ว เด็กนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้เป็นชิ้นเป็นอันจึงต้องรีบพับโครงการแทบไม่ทันและคิดไปเที่ยวฮ่องกงแทน

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวปู่จะหาว่าฉันดูแลเธอไม่ดี ฉันไม่อยากถูกตัดออกจากกองมรดก” เทียนหลางแสร้งยักไหล่ยียวน จะให้พูดออกไปตรงๆ ได้อย่างไรกันเล่าว่าอยากปรนเปรอเธอด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ดีที่สุด เธอคงมองว่าเขาประหลาดเป็นแน่ “หน้าเธอซีดมาก ไหวหรือเปล่า หรือว่าหนาว”

“ไม่หนาวเลยค่ะ แต่มึนๆ ยังไงก็ไม่รู้ น่าจะเจ็ตแล็กมั้งคะ”

หญิงสาวส่ายหน้าเนือยๆ สมองเหมือนยังจมอยู่ในกลุ่มเมฆหมอกจนรู้สึกเหมือนทุกสิ่งรอบกายเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแบบสโลว์โมชันไปหมด ตอนที่พนักงานประจำเครื่องมาปลุกก่อนเครื่องแลนดิงราว ๔๕ นาที เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ไม่รู้แม้กระทั่งมานอนคู้อยู่ในห้องนอนทางด้านหลังได้อย่างไร ครั้นเอ่ยปากถามเทียนหลางที่นั่งจิบกาแฟอยู่บนโซฟาด้านนอกก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ เช่นเคย เขาเพียงชี้ให้เธอนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหารเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามแล้วบอกให้กินอะไรรองท้องเสียก่อน เพราะเมื่อถึงมองโกเลียแล้วมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก เธอจึงได้แต่กินสเต๊กซี่โครงแกะกับซุปหัวหอมไปเงียบๆ แต่กินได้สองสามคำก็รู้สึกตื้อๆ พิกล

“ก็เป็นไปได้” เทียนหลางปลดผ้าพันคอแคชเมียร์สีครีมของตนเองแล้วพันรอบคอพัดพารัดชาไว้หลวมๆ พอไม่ให้เธออึดอัดจนเกินไปนัก จากนั้นจึงดึงฮูดขึ้นมาคลุมศีรษะของเธอ “อากาศเช้านี้หนาวมาก ห่อตัวไว้แน่นๆ แบบนี้ละดี ไม่งั้นเธอได้แข็งตายแน่”

“ขอบคุณค่ะ”

เสียงของหญิงสาวเบามาก ใบหน้าของเธอร้อนวูบวาบเพราะท่าทีอ่อนโยนขัดกับสีหน้าเฉยชาของชายหนุ่ม ไออุ่นจากกายเขาและกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ยังติดอยู่บนผ้าพันคอพาให้เธอรู้สึกคล้ายเขากำลังโอบกอดเธออยู่อย่างไรอย่างนั้น

“ใช้ได้แล้ว ไปกันเถอะ”

เขาคว้าข้อมือบอบบางแล้วดึงให้เดินออกจากอาคารไปด้วยกัน ดูเหมือนเขาจะหาข้อมือของเธอเจอได้อย่างง่ายดาย ขนาดซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อขนเป็ดที่ทั้งพองและหนาขนาดนี้ เขายังจับหมับได้พอดิบพอดีโดยไม่ต้องคลำหาเลยสักนิด

แปลก...ยิ่งอยู่ใกล้เทียนหลาง เธอก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากขึ้นทุกที เหมือนเคยจูงมือกันแบบนี้มาก่อน...

“เราต้องไปแวะที่หนึ่งกันก่อนจะเข้าไปหาปู่ที่บ้าน”

ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ตรงไปที่รถเอสยูวีที่จอดรออยู่แล้วด้านหลังอาคาร เขาเลือกเดินลัดเลาะหลบกล้องวงจรปิดและสายตาผู้คนโดยมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้ 

พัดพารัดชามองตามแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ 

เป้าเทียนหลางเป็นใครกันแน่...

เธอพอรู้ว่าเขาร่ำรวยพอดูเพราะรสนิยมในการเลือกข้าวของเครื่องใช้และเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว แต่ไม่นึกว่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลขนาดที่ใครต่อใครพากันเกรงใจ ตั้งแต่ย่างเท้าลงจากเครื่อง ทุกคนที่พบเห็นเขาล้วนแต่แสดงความเคารพเขาอย่างน่าประหลาด ทั้งที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ ทว่าไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อมสูงสุด จะบอกว่าเพราะเขาเป็นชาแมนหรือหมอผี คนเลยเกรงกลัวก็น่าขันเกินไปหน่อยกระมัง ยุคนี้แล้วจะยังมีคนกลัวถูกหมอผีสาปอยู่อีกหรือ 

คูคัลเต...

จู่ๆ ภาพตุ๊กตาผีก็ลอยแวบขึ้นมาในห้วงความคิด มือข้างที่เป็นอิสระจากการเกาะกุมของชายหนุ่มเลื่อนขึ้นแตะกระเป๋าย่ามที่สะพายอยู่ทันควัน จริงด้วย...เธอลืมเจ้าตุ๊กตาหน้าตาพิลึกที่ปีนกระดืบๆ ขึ้นมาเกาะขาเธอเมื่อเช้าไปได้อย่างไรกัน ถึงจะปลอบใจตัวเองว่ามันเป็นตุ๊กตาใส่ถ่าน แต่ลึกๆ แล้วเธอรู้ว่าบนตัวของมันไม่มีช่องสำหรับใส่ถ่านหรือชาร์จไฟทั้งนั้นละ และไอ้สิ่งที่ไม่อาจหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์มารองรับได้นี้ก็นอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋าของเธอ

“ชาช่า”

เทียนหลางกระตุกมือของพัดพารัดชาเบาๆ เมื่อเห็นว่าเธอดูเหม่อลอยและมีสีหน้าซีดเซียวจนน่าสงสาร 

หรือว่า...ยาจะแรงเกินไป?

เขาเริ่มโมโหตนเองที่หวังดีผสมยาคลายเครียดให้เธอดื่ม แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ยายเด็กน้อยของเขาเบลอจนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียนี่ 

“คะ?”

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ แพขนตายาวงอนกระพือขึ้นลงช้าๆ เหมือนปีกผีเสื้ออย่างน่ามองที่สุด 

บ้าเอ๊ย...เทียนหลางสบถอยู่ในใจ...ตั้งสติหน่อยช็อน ห้ามเคลิ้มเด็ดขาด จบภารกิจคือจบกัน ต่างคนต่างแยกย้าย ไม่เกี่ยวข้องกันอีก ทางใครทางมัน เกมโอเวอร์!

“ขึ้นรถ”

ชายหนุ่มกระแอมแก้เก้อพลางกดรีโมต แต่ยังไม่ทันเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ บานประตูก็สวิงเปิดเองอย่างแรงทำเอาพัดพารัดชากระโดดถอยหลังหนีแทบไม่ทัน

“ไปนั่งข้างหลัง!”

เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท หญิงสาวขนลุกซู่ขณะมองไปยังร่างในชุดกระโปรงสีชมพูฟูฟ่องราวเห็ดพิษที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ 

เด็กเหรอ? ไม่สิ...น่าจะเรียกว่าเด็กสาวมากกว่า

ดวงตาของพัดพารัดชาเต้นระริกยามกวาดมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของสาวน้อยที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างปุบปับ ถึงใบหน้าจะบึ้งตึง แต่จิ้มลิ้มพริ้มเพราน่ามอง โครงหน้าเล็กออกไปทางแป้นกลมตามแบบฉบับชาวมองโกลประดับด้วยดวงตายาวเรียวและกลีบปากอิ่มเต็มจนหากเรียกว่า ‘เจ่อ’ ก็คงไม่ผิดนัก แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดก็คงเป็นทรงผมบ๊อบสั้นสีชมพูเหมือนสายไหมของเจ้าตัว

“นี่...นี่...คนรู้จักของคุณเหรอคะ”

หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มสลับกับคนที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงอยู่ในรถอย่างหวาดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดเธอถึงได้รู้สึกว่าผู้หญิงผมสีชมพูมีบางสิ่งที่ผิดปกติมากและพาให้ขนอ่อนทุกเส้นบนร่างกายลุกชันด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงได้เพียงแค่สบตา ถึงเจ้าตัวจะไว้ผมม้าอุ้มตุ๊กตาสิงโตหน้าตาแปลกๆ ปักด้วยลวดลายพื้นเมืองดูน่ารัก แต่พัดพารัดชาคิดว่าเธอดูน่ากลัวมากกว่าน่าเอ็นดูเหมือนรูปลักษณ์ภายนอก

“นี่เธอเห็นยายป้านี่ด้วยเหรอ” เทียนหลางเลิกคิ้วแล้วหันกลับไปมองหน้าสาวผมบ๊อบด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม  

“ปะ...ป้า?” พัดพารัดชาทำหน้างุนงง คนตรงหน้าเธอนี้ดูอย่างไรอายุก็ยังไม่น่าพ้น ๑๘ ปีดีด้วยซ้ำ “เดี๋ยวก่อนนะ แล้ว...แล้วทำไมฉันจะมองไม่เห็นเขาล่ะคะ ก็เขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ๆ คุณก็เห็น ระ...หรือไม่เห็น?”

หลังจากเจอเรื่องพิลึกพิลั่นหาคำอธิบายไม่ได้มาก่อนหน้านี้อย่างเรื่องของคูคัลเต เธอก็เริ่มไขว้เขว ไม่มั่นใจสติสตังของตนเองเสียแล้ว

“ฉันยอมให้นังเด็กนี่เห็นเองนั่นละ”

สาวน้อยเจ้าของเรือนผมสีคอตตอนแคนดี้ตวัดตามองพัดพารัดชาด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เทียนหลางก้าวขึ้นมายืนบังหญิงสาวเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะปล่อยลูกไฟจากดวงตาใส่เธอเข้า

นางสิงห์เกเรอย่างตูยาไว้ใจได้ที่ไหน!

“พูดจาให้มันดีๆ หน่อยตูยา ให้เกียรติแขกของปู่ด้วย ป้าคงไม่อยากให้ปู่โกรธจนบอกให้ที่วัดทุบรูปปั้นของป้าทิ้งแล้วเปลี่ยนเอาตัวใหม่มาตั้งใช่ไหม”

เขาเลือกพูดกับตูยาเป็นภาษามองโกลด้วยไม่อยากให้พัดพารัดชาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปมากกว่านี้ แค่นี้เธอก็คงสับสนมากอยู่แล้ว

“กล้าเรอะ!” ตูยาขู่ฟ่อ

“มีเรื่องไหนที่ท่านอัลตันผู้ยิ่งใหญ่ไม่กล้าด้วยเหรอ” เทียนหลางกอดอกมองตูยา เขารู้ว่าแม่ตัวแสบที่ชอบทำท่าเหมือนไม่กลัวฟ้าเกรงดิน แท้ที่จริงแล้วกลัวปู่ของเขาอย่างกับอะไรดี “ถ้าไม่อยากป่นเป็นเศษหินก็ทำตัวให้น่ารักเข้าไว้”

“ฉันน่ารักอยู่แล้ว!” ตูยาเชิดหน้าอย่างทะนงตน

“ถ้าน่ารักก็ย้ายก้นไปนั่งข้างหลังได้แล้ว ป้ารู้ใช่ไหมว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็นป้า ถ้าป้านั่งข้างหน้าแล้วให้แขกของปู่ไปนั่งข้างหลัง ฉันจะเหมือนคนขับรถทันที ป้าน่าจะรู้ดีว่าฉันไม่ชอบแบบนั้น”

“ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทั้งเธอทั้งปู่ถึงต้องเห็นความสำคัญของนังเด็กนี่นักหนา!”

ปากบ่นกระปอดกระแปด แต่ตูยาก็ยอมลงจากรถอย่างกระแทกกระทั้น เธอโผเข้าไปกอดแขนเทียนหลางแล้วจงใจใช้ศอกกระแทกพัดพารัดชาที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ทว่าแค่เพียงแตะถูกตัวของหญิงสาวนิดเดียว ก็บังเกิดแสงสีฟ้าและแรงกระแทกสะท้อนกลับรุนแรง เล่นเอาตูยากระเด็นไปชนประตูหน้ารถจนปิดดังปัง

“คุณ!”

พัดพารัดชาตั้งท่าจะผวาเข้าไปช่วยตูยา แต่เทียนหลางคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ก่อน เธอหันไปมองหน้าเขากับหญิงสาวอีกคนสลับกันอย่างงุนงง เธอไม่เข้าใจบทสนทนาก่อนหน้านี้ของทั้งคู่เลยสักนิด จึงไม่รู้ว่าพวกเขาเถียงกันเรื่องอะไร สิ่งเดียวที่แน่ใจได้คือชายหนุ่มไม่ได้ผลักผู้หญิงคนนี้ ไม่สิ...เขายืนเฉยๆ ไม่ได้ขยับเลยสักนิดด้วยซ้ำ

“เมื่อกี้...มันเกิดอะไรขึ้นคะ”

“อ๋อ ไฟฟ้าสถิตน่ะ หน้าหนาวก็แบบนี้แหละ”

เทียนหลางยักไหล่ในขณะที่ตูยากัดฟันกรอดข่มความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณข้อศอก ไม่ต้องเปิดแขนเสื้อผ้าชีฟองพองฟูดูก็รู้ว่าพลังเมื่อสักครู่ทำข้อศอกหินของเธอร้าวเสียแล้ว

“ไฟ...ไฟฟ้าสถิต?” พัดพารัดชาอ้าปากค้าง นี่เป็นการแถหน้าด้านๆ ที่สุดที่เธอเคยได้ยินมา เธอรู้ว่าไฟฟ้าสถิตในหน้าหนาวเป็นอย่างไร และมันไม่ทำให้คนกระเด็นหงายหลังแบบเมื่อครู่แน่ “ฉันว่าไม่ใช่มั้งคะ...”

“สายมากแล้ว ขึ้นรถ”

ชายหนุ่มตัดบทพลางเปิดประตูรถอีกคราโดยไม่สนใจสีหน้างอง้ำของตูยาแม้แต่นิด เขาแค่ดันร่างของเธอไปให้พ้นทางแล้วส่งพัดพารัดชาขึ้นไปนั่งเบาะหน้าก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็ว

“ขี้โกง! พลังของไอ้กิเลนแก่คุ้มครองนังเด็กคนนี้อยู่นี่” ตูยาส่งเสียงโวยวายจนเทียนหลางต้องกลอกตาอย่างรำคาญใจ

“รู้ใช่ไหมว่าถ้าหลู่ได้ยินป้าเรียกว่ากิเลนแก่ มันได้บินมาทุบป้าแหลกเป็นฝุ่นแน่” เขาเดินไปเปิดประตูหลังแล้วพยักพเยิดเป็นเชิงบอกให้สิงโตสาวขึ้นรถ “ฉันมีธุระจะไปเจอกับอาร์สลาน ถ้าจะกลับวัดก็ติดรถไปได้ ถ้าไม่ไปก็แยกกันตรงนี้”

“ช็อน” ตูยากระทืบเท้าทำท่ากระเง้ากระงอด เธอรูดแขนเสื้อชูศอกให้เขาดูรอยร้าวที่ยาวจากข้อศอกขึ้นไปถึงต้นแขน “ฉันเจ็บตัวขนาดนี้ ไม่สนใจกันบ้างเลยเหรอ ใจร้ายที่สุด”

“ป้าหาเรื่องใส่ตัวเองแล้วจะโวยวายทำไม” เทียนหลางตีสีหน้าเย็นชา “เอาเถอะ เดี๋ยวจะซ่อมให้ก็แล้วกัน ขึ้นรถได้แล้ว ว่าไง จะไปหรือไม่ไป อย่ามัวพิรี้พิไรได้ไหม ฉันรีบ”

“ฉันอยากนั่งเบาะหน้า!” ตูยาเบะปากเหมือนเด็กเอาแต่ใจเวลาอยากได้ของเล่นใหม่ 

“งั้นก็ไม่ต้องไป”

เทียนหลางปิดประตูอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะเดินอ้อมไปขึ้นรถอีกด้าน ก่อนจะต้องกระตุกยิ้มเนือยๆ เมื่อมองจากกระจกส่องหลังแล้วเห็นตูยานั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงอยู่ที่เบาะหลัง

“เอ่อ...ตกลงเราจะไปไหนกันคะ”

เป็นอีกครั้งที่พัดพารัดชาคิดว่าอาการเจ็ตแล็กทำให้ตนเองเห็นภาพหลอน เมื่อครู่เทียนหลางปิดประตูรถแล้วและสาวผมสีชมพูก็ไม่ได้ขึ้นมาบนรถ แต่พอหันมาอีกทีเธอก็นั่งหน้าหงิกอยู่ตรงนั้นแล้ว เหมือนตอนที่หลู่มาปรากฏตัวบนรถไม่มีผิด ทำไมคนรอบตัวเทียนหลางถึงได้มีแต่คนแปลกๆ แบบนี้กันนะ

“ไปหาอาร์สลาน เขาเป็นเพื่อนกับหลู่”

ชายหนุ่มโน้มตัวไปช่วยหญิงสาวคาดเข็มขัดนิรภัย ความใกล้ชิดกะทันหันทำเอาแก้มทั้งสองข้างซับสีเลือดจนแดงระเรื่อ ตูยามองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ เทียนหลางปรายตามองแล้วดีดนิ้วเบาๆ คูคัลเตก็โผล่หน้าออกมาจากปากกระเป๋าของพัดพารัดชา แล้วอ้าปากพ่นน้ำดับเพลิงที่แทบจะพวยพุ่งใส่ศัตรูหัวใจอยู่แล้วจนดับมอด แถมยังทำให้มาสคาราไหลย้อยลงมาเลอะใต้ตาของตูยาอย่างน่าขัน

“อาร์สลานเหรอคะ”

เหตุการณ์ด้านหลังรถเกิดขึ้นเร็วมากจนหญิงสาวไม่ทันได้ใส่ใจ คูคัลเตเองก่อเรื่องเสร็จก็รีบปีนกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสะพายตามเดิม ทำเอาตูยาแทบอยากร้องกรี๊ดดังๆ แต่ติดตรงที่กลัวเทียนหลางจะไล่เธอลงจากรถ

เรื่องอะไรจะปล่อยให้แม่นี่มาฉกช็อนของเธอไปง่ายๆ กันเล่า เธอเฝ้าเลี้ยงต้อยเขามาตั้งแต่เขาอายุสิบห้านะ!

“ฉันต้องการให้เขายืนยันอะไรบางอย่างก่อนที่ฉันจะพาเธอไปพบปู่”

แววตาของเทียนหลางหม่นลงนิดหนึ่ง...ถ้าเป็นอย่างที่เขาเดาเอาไว้ เรื่องของพัดพารัดชาก็อาจยุ่งยากกว่าที่คิดเอาไว้มากทีเดียว

 

มองโกเลียที่พัดพารัดชามองผ่านกระจกรถอยู่ในตอนนี้ ไม่เหมือนที่เธอจินตนาการเอาไว้เลยสักนิดท้องฟ้ายามรุ่งสางกับอุณหภูมิติดลบ ๒๐ องศาเซลเซียสในเมืองที่เต็มไปด้วยรถราและตึกรามบ้านช่องสูงระฟ้าแทบทำให้เธอลืมภาพโพรโมตการท่องเที่ยวที่เคยเห็นในโทรทัศน์ไปเสียสนิทใจ ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่บนทางเท้าล้วนแต่งกายนำสมัย พวกเขาห่อตัวมิดชิดด้วยเสื้อโคตกันหนาวบุอย่างหนาหลากสีสันตามแฟชั่น เดินเฉิดฉายท้าสายลมหนาวเหมือนอากาศติดลบเป็นเพียงลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศอย่างไรอย่างนั้น 

“คิดว่าที่นี่มีแต่ทุ่งหญ้ากับม้าละสิท่า” เทียนหลางพูดขึ้นลอยๆ เหมือนอ่านใจหญิงสาวออก “ในเมืองหลวงก็แบบนี้นี่ละ รถติดบรรลัย ถ้าขี่ม้าได้อาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ”

อูลานบาตอร์ก็เหมือนเมืองหลวงส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและความเจริญ ผู้คนมากมายจึงพากันทิ้งทุ่งหญ้าเข้าสู่สังคมเมืองเพื่อต่อสู้ดิ้นรนไปตามกระแสของความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย 

“ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะมีแต่ทุ่งหญ้ากับม้าหรอกค่ะ แค่ไม่คิดว่าจะรถติดขนาดนี้เท่านั้นเอง”

พัดพารัดชาพูดแก้เก้อ สภาพการจราจรด้านนอกนั้นแทบไม่ต่างกับกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่เลย รถหลากหลายสัญชาติทั้งจีน ญี่ปุ่น และรัสเซียจอดติดไฟแดงเรียงรายเป็นแถว จะต่างกันก็ตรงที่ควันที่พวยพุ่งออกจากท่อไอเสียนั้นเป็นสีขาวเพราะไอร้อนปะทะกับอากาศหนาวเหน็บด้านนอก หากไม่มีฮีตเตอร์อุ่นสบายอย่างในรถตอนนี้ เธออาจจะแข็งตายไปแล้วก็ได้

“ถ้าออกไปนอกเมืองก็แทบไม่มีรถเลย ว่ากันตามจริงก็ไม่มีถนนด้วย”

“หา? ไม่มีถนนเหรอคะ แล้วจะขับรถกันยังไง”

สิ่งเดียวที่จำได้จากวิชาประวัติศาสตร์โลกก็คือมองโกเลียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่มีประชากรเพียง ๓ ล้านคน ดังนั้นจึงมีพื้นที่รกร้างไร้ผู้คนจับจองค่อนข้างมาก

“ก็มีที่เชื่อมกับเมืองใหญ่ๆ อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องวิ่งลุยตามทุ่งเอาเอง” แม้ปัจจุบันถนนหนทางจะดีขึ้นมาก แต่ในบางพื้นที่ซึ่งเป็นภูเขาและเนินสูงไม่อาจตัดถนนผ่านได้ก็จำเป็นต้องขับตะลุยไปทั้งแบบนั้นโดยไม่มีป้ายนำทางใดๆ ทั้งสิ้น ได้แต่อาศัยรอยล้อของรถคันอื่นช่วยบอกทางคร่าวๆ “แล้วอยากขี่ม้าไหม เดี๋ยวจะพาขี่ ตอนเด็กๆ เธอชอบน่าดู รบเร้าให้พาขี่ม้าทั้งวัน”

ภาพเด็กตัวน้อยชูสองแขนขึ้นฟ้า พยายามยืดตัวให้อุ้มขึ้นม้ายังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขาอยู่เสมอ แต่ถ้าตอนนี้เธอกางแขนให้อุ้มแบบนั้นอีก เขาคงไม่ได้อุ้มขึ้นม้าแน่ แต่อาจจะอุ้มไปที่เตียงแทน!

“ฉันน่ะเหรอคะ รบเร้าให้พาขี่ม้า”

“โอ๊ย จะพูดกันเรื่องม้าอีกนานไหม รำคาญ!”

ตูยาพูดแทรกด้วยท่าทางฮึดฮัด เธอกอดอกมองสองหนุ่มสาวมานานกว่าสี่สิบนาทีแล้ว และเห็นว่าสายตาของเทียนหลางยามมองนังเด็กฝรั่งคนนี้หวานเชื่อมเสียจนเธออยากควักตาเขาทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป

“รำคาญก็อัญเชิญลงจากรถไปก่อนได้เลย” เทียนหลางไม่พูดเปล่ายังแสร้งทำเป็นกดปลดล็อกประตูรถทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวออกจากรถได้โดยไม่ต้องเปิดประตูเลยด้วยซ้ำ “บอกแล้วใช่ไหมว่าช่วยให้เกียรติแขกของปู่ด้วย ถ้าทำไม่ได้ก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้”

“ใจร้ายที่สุด” ตูยาโผเข้ากอดชายหนุ่มจากทางด้านหลังแน่นจนเขาแทบสำลัก “อุตส่าห์ไปรอรับที่สนามบินแท้ๆ ทำไมไม่สนใจกันบ้างเลย”

“ปล่อยโว้ย หายใจไม่ออก” เทียนหลางไอโขลกๆ พร้อมกับแกะท่อนแขนที่แข็งเป็นหินของสิงโตตัวแสบออกก่อนที่จะขาดอากาศตายจริงๆ “บอกกี่ทีแล้วว่าอย่ากอด ป้าน่ะเป็นหินทั้งตัวนะ หนักเป็นตัน!”

หนักเป็นตัน? นี่เขาพูดอะไรของเขาเนี่ย...

ครั้งนี้พัดพารัดชาฟังเข้าใจเพราะเขาเผลอพูดเป็นภาษาฝรั่งเศส นี่คือปัญหาของคนที่พูดได้หลายภาษา บางครั้งถ้าคิดประโยคภาษาใดอยู่ก็จะโพล่งออกไปเป็นภาษานั้น ตอนมาจากปารีสใหม่ๆ เธอก็เผลอพูดฝรั่งเศสกับเพื่อนๆ แบบนี้เหมือนกัน ถึงจะพูดภาษาไทยกับมารดามาตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากในชีวิตประจำวันที่ปารีสเธอใช้แต่ภาษาฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่ จึงต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะปรับระบบในการเรียบเรียงรูปประโยคภาษาไทยได้ปกติเช่นทุกวันนี้

“พูดเรื่องน้ำหนักของผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้นะช็อน หยาบคายที่สุด” ตูยาใช้ตุ๊กตาสิงโตฟาดไหล่ของชายหนุ่มอย่างแสนงอน 

“อย่างป้านับว่าเป็นผู้หญิงได้ด้วยเรอะ”

เทียนหลางแยกเขี้ยว หากไม่เพราะสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวเสียก่อน เขาคงได้เอี้ยวตัวกลับไปหักแขนนางสิงห์จอมสะดีดสะดิ้งเป็นสองท่อนแล้ว!

“ไม่เป็นผู้หญิง แต่เป็นแฟนก็ได้”

คราวนี้ตูยาจงใจพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสสำเนียงแปร่งๆ เพื่อประกาศตัวกับหญิงสาวที่แย่งที่นั่งข้างคนขับของเธอไปเข้าใจชัดเจนทุกคำ

“พูดเหลวไหล แฟนบ้าแฟนบออะไร” เทียนหลางหันกลับไปมองพัดพารัดชาที่ทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่อย่างร้อนรน “อย่าไปฟังนะชาช่า ตูยาไม่ใช่แฟนฉัน ฉันเป็นโสด ไม่มีแฟน”

“คุณจะเป็นแฟนกันหรือเปล่า มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันนี่คะ” หญิงสาวยิ้มแหย ไม่เข้าใจว่าเขาจะอธิบายให้เธอฟังไปเพื่ออะไร “ว่าแต่คุณตูยาบรรลุนิติภาวะแล้วใช่ไหมคะ เอ่อ...ขอโทษค่ะ คุณ...คุณไม่ต้องตอบก็ได้”

เธอตกใจเมื่อสิ่งที่คิดในใจถูกความสงสัยดันให้ล่วงพ้นริมฝีปากออกไปอย่างเสียมารยาทที่สุด 

“ยายป้านี่เกินคำว่าบรรลุนิติภาวะไปเป็นร้อยปีแล้วมั้ง”

เทียนหลางย่นจมูก คนที่มองเห็นตูยาได้มักถูกรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ราวเด็กสาวแรกรุ่นของเธอหลอกตากันแทบทุกราย ตัวจริงของเธอนั้นแสบสันเข้าขั้นบรรลัยโลก แค่เคยอ่อยแม่คุณเล่นๆ หนเดียวตอนอายุสิบห้า ใครจะคิดว่ายายป้าสิงโตหินจะคอยตามติดเป็นเงาตามตัวมานับแต่นั้น ทำให้เวลาที่เขาจะพาสาวๆ ไปกกในเขตเมืองอูลานบาตอร์ต้องร่ายมนตร์บังตาไม่ให้เธอคอยตามมารังควานทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามัวแต่ห่วงชาช่าจนลืมยายป้าแอ๊บแบ๊วนี่ไปเสียสนิทใจ

ซวยฉิบ!

“ระ...ร้อยปี คุณก็เว่อร์เกินไปแล้วค่ะ พูดแบบนี้เดี๋ยวก็โดนโกรธเอาอีกหรอก”

พัดพารัดชาไม่กล้าหันกลับไปมองตูยาตรงๆ ด้วยรู้สึกได้ถึงสายตาพิฆาตที่จ้องมองมาทางตนเองไม่เลิกรา หากดวงตาของตูยาเป็นมีด เธอก็คงถูกแทงทะลุคอหอยไปเป็นร้อยรอบแล้ว! หญิงสาวนึกดีใจนิดๆ ที่เทียนหลางไม่ได้แนะนำให้เธอรู้จักกับตูยาอย่างเป็นทางการ ไม่เช่นนั้นคงรู้สึกกระอักกระอ่วนมากกว่านี้อีก ดูท่าทางแล้วสาวมองโกลคนนี้ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย รู้จักแค่ชื่อกับหน้าก็คงพอแล้วกระมัง

หรือบางทีที่เขาไม่แนะนำให้รู้จัก เพราะกลัวว่า ‘กิ๊ก’ วัยเอ๊าะของเขาจะเข้าใจผิดเรื่องเธอกันหนอ...

“ถึงแล้ว”

เสียงพูดของเทียนหลางฉุดหญิงสาวออกจากห้วงภวังค์ เมื่อเธอมองออกไปนอกกระจกอีกครั้งก็เห็นว่ารถเอสยูวีได้เลี้ยวเข้ามาจอดในลานกว้าง เบื้องหน้ามีแปลงดอกไม้ใหญ่น้อยเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ น่าเสียดายที่เป็นฤดูหนาวจึงมีเพียงแปลงดินเปล่าๆ ล้อมด้วยก้อนอิฐฉาบปูน ไม่มีพืชพรรณหลากสีสันให้ชมเลยแม้แต่ต้นเดียว

“สวมถุงมือหน่อยนะ อากาศข้างนอกหนาวมาก มือเธอได้แข็งเป็นหินแน่” เทียนหลางเอื้อมไปหยิบถุงมือหนังออกมาจากลิ้นชักฝั่งที่พัดพารัดชานั่งอยู่แล้วยื่นให้เธอ “ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีอยู่คู่หนึ่ง ไซซ์เล็กหน่อย เธอน่าจะพอใส่ได้”

“นางมารร้ายซาร์นายทิ้งชิ้นส่วนเอาไว้ทั่วเลยสินะ เฮอะ! อยากแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของละสิท่า”

ตูยาแบะปาก ในบรรดาผู้หญิงที่เทียนหลางมีสัมพันธ์ด้วย ซาร์นายเป็นคนที่เขาชอบไปใช้เวลาขลุกอยู่ด้วยมากที่สุด เธอจึงชังน้ำหน้าเจ้าหล่อนนัก

พัดพารัดชารับถุงมือหนังกลับสีครีมมาสวมโดยไม่ปริปากพูดอะไรทั้งสิ้น ตูยาพูดภาษาฝรั่งเศสคล่องมากเสียจนเธอเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋ทุกคำ และจากคำพูดที่เพิ่งได้ฟังพวกนี้ดูเหมือนเทียนหลางจะมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาพัวพันอีนุงตุงนังไม่เบา แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาไม่ใช่หรือ ไม่เกี่ยวกับเธอเสียหน่อย

ทว่า...ไม่รู้ทำไมถึงไม่อยากสวมถุงมือที่ตูยาพูดเป็นนัยๆ ว่าเป็นของผู้หญิงคนอื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น...

“หุบปากไปเลยตูยา!”

เทียนหลางเค้นเสียงลอดไรฟัน เขาต้องพยายามห้ามตนเองไม่ให้พุ่งเข้าไปทุบ ‘ร่างจริง’ ของแม่สิงห์ปากมากในวัดเสียเดี๋ยวนั้น ปกติแล้วตูยาอาละวาดฟาดหัวฟาดหางใส่แค่ไหน เขาไม่ถือสาให้หนักสมองทั้งนั้น แต่ดันปากเปราะพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องของเขาให้พัดพารัดชาได้ยินนี่สิ มันน่านัก!

“ทำไมต้องหุบปากด้วย ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น ผู้หญิงที่เธอคบหาแต่ละคนร้ายกาจอย่างกับนางงูพิษทั้งนั้น มีแต่ฉันนี่ละที่จริงใจกับเธอที่สุด”

“ถ้าจะจริงใจขนาดนี้ สู้หักคอฉันไปเลยเถอะป้า!”

ชายหนุ่มรีบลงจากรถก่อนที่ตูยาจะแฉชีวิตส่วนตัวของเขาจนหมดเปลือก เขาเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้พัดพารัดชาโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายของคนที่อยู่เบาะหลังสักนิด แถมเมื่อปิดประตูแล้วยังรีบล็อกรถอย่างรวดเร็ว

“หักคอได้จริงๆ เหรอ งั้นเอาเลยได้ไหม จะได้มาสิงอยู่ที่วัดด้วยกัน ต้องสนุกแน่ๆ”

พัดพารัดชาสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ ตูยาก็มายืนขวางหน้าเทียนหลางกับเธอเอาไว้ ทั้งที่เมื่อครู่เธอแน่ใจว่าชายหนุ่มปิดล็อกขังแม่สาวผมสีชมพูเอาไว้ในรถแน่ๆ 

“สนุกกับผีอะไรเล่า” เทียนหลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ “ต่อให้ตายฉันก็ไม่เลือกไปสิงอยู่ในวัดกับเธอหรอก รำคาญตายโหง”

เขาคว้าข้อมือของพัดพารัดชาแล้วดึงให้ออกเดินผ่านซุ้มประตูสีเขียวตัดกับสีของรั้วสีเหลืองไข่ไก่ เหนือซุ้มประตูมีตัวอักษรทิเบตแบบนูนต่ำหลากสีติดเรียงกันเอาไว้ ทางด้านซ้ายและขวาของประตูมีสิงโตหินตัวผู้และตัวเมียขนาดใหญ่ตั้งไว้ พวกมันอ้าปากคำรามอวดศักดา แต่ดูไม่น่าเกรงขามในสายตาของพัดพารัดชาเท่าใดนัก เพราะที่ฟันของพวกมันล้วนแล้วแต่มีทอฟฟี่และช็อกโกแลตที่ยังคงอยู่ในห่อติดอยู่เต็มไปหมด มองแล้วน่าประหลาดใจระคนขบขันมากกว่าน่ากลัว ยิ่งมีขนแผงคอและเล็บสีเขียวอมฟ้าโดดเด่นบนเนื้อตัวสีขาวแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งดูน่าเอ็นดูไปกันใหญ่

“ทำไมต้องจับมือกันด้วย!”

เสียงแปดหลอดของตูยาก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณเสียจนพัดพารัดชาเกือบยกมือขึ้นปิดหู น่าแปลกที่พระลามะและคนเฒ่าคนแก่ที่เดินผ่านไปผ่านมาในอาณาเขตวัดกลับไม่แม้แต่จะหันมามองเจ้าของเสียงสักนิด จะว่าไป...รูปลักษณ์และการแต่งตัวของตูยาเองโดดเด่นถึงเพียงนี้ แต่ไม่มีใครเหลียวมองเลยสักคนเช่นนี้ก็ดูเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง 

“โวยวายอยู่ได้ น่ารำคาญ ไปไกลๆ เลยป้า”

เทียนหลางถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายเต็มแก่ เขาอยากหนีออกนอกเขตเมืองอูลานบาตอร์จะแย่แล้ว พ้นเขตเมืองเมื่อไหร่ก็สลัดยายป้าตูยาทิ้งได้เมื่อนั้น!

“คุณอาร์สลานบวชเป็นพระอยู่ที่นี่เหรอคะ”

พัดพารัดชามองไปรอบๆ ก็เห็นมีแต่พระลามะไม่กี่รูปเดินสวนออกมาจากด้านในเท่านั้น แต่ละรูปแต่งกายตามแบบนิกายในทิเบตและเดินจ้ำเท้าผ่านประตูบุด้วยผ้าขนสัตว์สำหรับกันลมเข้าไปในอาคารสวดมนต์อย่างรวดเร็ว ผ้าขนสัตว์นั้นใหญ่โตอีกทั้งยังหนามาก พระลามะที่ยังอายุน้อยและมีร่างกายกำยำต้องคอยยกผ้าปักลายวิจิตรบรรจงนั้นไว้ เพื่อให้พระลามะชราเดินเข้าออกกันได้อย่างสะดวก

“ถ้าเป็นพระจริงๆ ก็ดีสิ เรื่องจะได้ง่ายกว่านี้” เทียนหลางหันกลับมาดึงฮูดขึ้นคลุมศีรษะของหญิงสาวเอาไว้อย่างนุ่มนวล “อากาศหนาวนะ ปิดหูไว้แบบนี้จะอุ่นกว่า”

“ขอบคุณค่ะ” พัดพารัดชาเหลือบมองไปทางตูยาก็เห็นเจ้าตัวตีหน้ายักษ์เหมือนอยากจะพุ่งเข้ามาขบหัวเธอจะแย่ “แล้ว...แล้วคุณตูยาไม่หนาวเหรอคะ ใส่เสื้อบางนิดเดียวเอง”

เสียงของเธอสั่นนิดๆ ตอนนี้เธอไม่รู้แล้วว่าที่แก้มทั้งสองข้างของเธอเริ่มอุ่นขึ้นมานิดๆ เป็นเพราะสัมผัสอ่อนโยนของเขากันแน่

“ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก ปกติก็ตั้งตากแดด ตากหิมะจนชินแล้ว ต่อให้ติดลบห้าสิบองศาฯ ก็ไม่สะเทือน”

ชายหนุ่มพูดอย่างไร้เยื่อใยโดยสิ้นเชิง หากพูดถึงคนที่ไม่สะท้านสะเทือนกับสภาพอากาศหนาวเย็นจนมือแทบแข็งเช่นนี้แล้ว เขาเองก็เป็นอีกคนที่เดินเหินอย่างคล่องแคล่วทั้งที่สวมเพียงเสื้อโคตขนเป็ดตัวยาวตัวเดียวทับเสื้อคอเต่าและกางเกงยีนง่ายๆ ท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ หลักฐานเดียวที่บ่งบอกว่าร่างกายของเขายังรู้สึกรู้สมกับความหนาวอยู่บ้างก็คงเป็นแก้มกับปากที่แดงจัดเหมือนผลเบอร์รีสุกนั่นกระมัง

“คุณพูดจาแปลกๆ เข้าใจยากอีกแล้ว”

“เฮ้! ไอ้เด็กแสบ มาแล้วเหรอวะ!”

หญิงสาวยังพูดไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นเสียก่อน เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นเด็กหนุ่มอายุไม่เกิน ๑๘ ปีผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้ารูปแกะสลักสิงโตหินข้างหอสวดมนต์ เขามีใบหน้าอ่อนเยาว์น่ารัก ทว่ากลับแต่งตัวแนวฮิปฮอปที่ดูไม่เข้ากับหน้าตาและรอยยิ้มใสซื่อเอาเสียเลย ทั้งฮูดแขนยาวสีขาวเข้าคู่กับกางเกงทรงโคร่งที่ถูกดึงต่ำจนเห็นขอบกางเกงบ็อกเซอร์พะยี่ห้อแบรนด์หรู ทั้งจี้สไตล์บลิง-บลิงสีทองอร่ามฝังเพชรเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า ‘Lion Rocks’ หรือ ‘สิงโตเจ๋ง’ แล้วไหนจะแหวนกะโหลกสีทองที่ใส่ไว้จนครบทั้งสิบนิ้วอีก แต่นั่นยังไม่โดดเด่นเท่ากับเส้นผมสีเขียวมรกตที่ทิ้งหางยาวเป็นรากไทรยาวระบ่าหรอก 

สีเดียวกับรูปแกะสลักสิงโตหินที่ตั้งอยู่ด้านหลังเปี๊ยบ...

พัดพารัดชารู้ดีว่าการบอกว่า ‘คน’ กับ ‘รูปปั้นสัตว์’ นั้นเหมือนกันมันช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แต่มันมีความคล้ายคลึงบางอย่างระหว่างเขากับสิงโตด้านหลังที่เธอไม่อาจอธิบายได้ สิงโตหินที่เห็นนั้นมีลำตัวสีขาวกระดำกระด่างลอกล่อนไปตามกาลเวลา เด็กหนุ่มคนนั้นก็สวมชุดขาวทั้งชุด สิงโตมีแผงคอสีเขียว เขาก็ย้อมผมเฉดสีเดียวกัน ขนาดเล็บยังทาสีเดียวกันกับสิงโตหินเลย คล้ายกันมากจนมองเผินๆ เหมือนเขากำลังแต่งคอสเพลย์เป็นสิงโตเฝ้าอารามอย่างไรอย่างนั้น

พิลึกชะมัด... 

“ที่มองโกเลียกำลังนิยมย้อมสีผมกันเหรอคะ”

หญิงสาวมองคนที่กางแขนกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดตรงมาหาพวกตนด้วยท่าทางเริงร่าแล้วอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เคยได้ยินอยู่เหมือนกันว่าคนมองโกลอึดถึกทนแข็งแกร่งกว่าชาติอื่น แต่ไม่นึกว่าจะสวมเสื้อผ้าบางๆ ท่ามกลางอากาศติดลบเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิกันแบบนี้ ตูยาก็อีกคน...คิดถึงตรงนี้ เธอก็เหลียวซ้ายแลขวามองหาสาวน้อยเจ้าของชื่อ แต่ไม่พบ ทั้งที่เมื่อครู่ยังยืนอยู่ด้านหลังแท้ๆ

“เธอมองเห็นอาร์สลานด้วย?”

“อะไรของคุณเนี่ย ตอนที่ฉันเจอคุณตูยา คุณก็ถามแบบนี้” คำถามของคนที่ขมวดคิ้วมองมาทำเอาพัดพารัดชาอดฉงนไม่ได้ที่เขาถามคำถามเดิมกับเมื่อเช้าอีกแล้ว “ถ้าคุณเห็นเขา ฉันก็ต้องเห็นเขาสิคะ เขาไม่ใช่ผีสักหน่อย”

“ก็ไม่ใช่ผีหรอก” เทียนหลางยักไหล่ แต่ก็ไม่ใช่คนด้วย “เธอไม่มีทางเห็นทุกอย่างแบบที่ฉันเห็นหรอก”

“เอ๊ะ?” หญิงสาวมองตอบเขาอย่างไม่เข้าใจ 

“ออกไปห่างๆ เลย” เทียนหลางหันไปสนใจผู้มาใหม่แทน เขายืดแขนออกไปดันอกของคนที่โผเข้ามาหาให้ออกห่างชนิดสุดแขน “ฉันไม่ชอบให้ผู้ชายกอด ขนลุกฉิบ!”

“เฮอะ! ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว” อาร์สลานแสร้งทำเป็นฮึดฮัดแล้วหันไปยิ้มหวานใส่หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม “ข้ากอดนังหนูคนสวยนี่ก็ได้”

“อย่ามาเนียน!” เทียนหลางกระชากฮูดของสิงโตหินจำแลงแล้วก้าวมายืนขวางเอาไว้ “ให้มันน้อยๆ หน่อย ปู่มีลูกมีเมียแล้วไม่ใช่หรือไง”

“แหม...หวงออกนอกหน้าอย่างที่ท่านพี่หลู่บอกจริงๆ เสียด้วย”

อาร์สลานหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี พัดพารัดชาไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนพูดอะไรกันจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ เป็นเชิงทักทายให้เด็กหนุ่มเจ้าของผมสีเขียว เขาดูอายุน้อยกว่าเธอแต่กลับตัวโตกว่ามาก เทียนหลางที่ว่าสูงแล้ว คนที่ชื่ออาร์สลานยังสูงกว่าเกือบหนึ่งช่วงศีรษะเลยทีเดียว ว่ากันตามตรง...ถึงเขาจะตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นอย่างไร เขาก็ยังดูเด็กเกินกว่าที่จะเป็นเพื่อนกับชายฉกรรจ์เต็มตัวอย่างหลู่ได้ ต่อให้บอกว่าเป็นเพื่อนต่างวัยกันก็ดูไม่น่าเป็นไปได้เอาเสียเลย

“นี่มันใช่เวลามาเล่นตลกไร้รสนิยมหรือไง ในเมื่อได้คุยกับหลู่แล้วก็น่าจะรู้ว่าเรื่องของฉันเร่งด่วนมาก ไม่มีเวลามารับมุกเฮงซวยของปู่หรอกนะ”

เห็นรูปลักษณ์อ่อนเยาว์น่ารักแบบนี้ แต่อาร์สลานเป็นสิงโตหินที่พิทักษ์วัดวาอารามมายาวนานหลายร้อยปี เมื่อก่อนเขาเคยถูกตั้งไว้ที่วิหารกลางทะเลทรายโกบี ก่อนจะถูกบรรพบุรุษของเทียนหลางย้ายมาตั้งไว้ที่อารามกันดันเต็กชินเลน หนึ่งในวัดพุทธนิกายเกลุกปะที่ใหญ่ที่สุดในมองโกเลียแห่งนี้

“ไม่ใช่มุก แต่เป็นการทดสอบต่างหาก”

อาร์สลานจุปาก มือล้วงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบห่อลูกอมหลากสีสันยื่นส่งให้พัดพารัดชาด้วยรอยยิ้มกว้าง พอเธอทำท่าลังเลก็พยักพเยิดอย่างคะยั้นคะยอจนท้ายที่สุดเธอก็ต้องยอมรับมาอย่างเสียไม่ได้

“หมายความว่ายังไง”

เทียนหลางไม่อยากให้หญิงสาวกินของเซ่นที่คนเอามาติดไว้ตามฟันของสิงโตหินในวัดจึงคว้าขนมจากมือของเธอส่งคืนให้อาร์สลาน

“ก็...” อาร์สลานกวาดตามองร่างระหงของหญิงสาวหนึ่งครั้งแล้วยักคิ้ว “หมายความว่าข้าอยากสัมผัสดูว่านังหนูคนนี้มีธาตุทองคำจากสวรรค์อย่างที่ตาทิพย์ของข้ามองเห็นจริงๆ หรือเปล่าน่ะสิ”

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น