5

ข้อแลกเปลี่ยน


5

ข้อแลกเปลี่ยน

 

แม้จะมีผู้ร่วมทางเป็นสารถีหนุ่ม แต่บรรยากาศกลับเงียบเชียบเหมือนอยู่คนเดียว ดวงตาคู่สวยเหม่อมองผ่านกระจกออกไปโดยไม่สนใจการมีตัวตนของคนข้างๆ ท่าทีสุภาพชนและรอยยิ้มละมุนไม่ได้ทำให้พิมพ์นารารู้สึกว่าอีกฝ่ายคือมิตร กลับกันยังทำให้นึกถึงคำว่า ‘หน้าเนื้อใจเสือ’ คนเราไม่สามารถตัดสินกันที่ภายนอกได้ก็จริง แต่ในเมื่อผู้เป็น ‘เจ้านาย’ ยังกักขฬะขนาดนั้น ลูกน้องก็คงไม่ทิ้งห่างกันมาก

หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมบนร่างแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ตัวหล่อนจะยังนั่งอยู่ในรถหรูคันนี้ แต่ในใจกลับลอยไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว หล่อนเรียงลำดับสิ่งที่ควรทำในหัว ข้าวของส่วนตัววางอยู่ตรงไหน ควรเอาอะไรยัดใส่กระเป๋าเป็นอันดับแรก ควรทิ้งโน้ตบอกเพื่อนสาวว่าอย่างไรดี การหนีปัญหาไม่ใช่การแก้ไขที่ดี แต่การอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเช่นกัน

รถหรูจอดที่หน้าอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง กลางดึกในฤดูหนาวทำให้ทุกอย่างยิ่งเงียบเชียบเข้าไปใหญ่ หญิงสาวปรายตามองเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมปลดล็อกประตูให้เสียที แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา และกลับไปจดจ้องแสงสลัวข้างถนน

ฮาฟิซนึกเรียบเรียงประโยคต่างๆ อยู่ในหัว ทั้งๆ ที่กำลังทำงานสำคัญแต่กลับถูกเรียกมากลางดึกให้มาจัดการคนในห้องให้เรียบร้อย พอเห็นว่าคนในห้องเป็นใครก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ตอนที่เจอหญิงสาวบนถนนก็ดูเป็นเรื่องบังเอิญมากพอแล้ว แต่เหลือเชื่อว่าจะมีเรื่องบังเอิญมากกว่า

คำสั่งว่า‘เรียบร้อย’ไม่ได้ระบุว่าให้เรียบร้อยยังไง ปิดปากก็ดูจะเกินไปมากๆ ดังนั้นเขาจึงทึกทักเอาเองว่าควรจะเจรจา ระหว่างทางจึงพยายามชวนอีกฝ่ายพูดคุยและเสนอความช่วยเหลือต่างๆ แต่ดูจากสภาพภายนอก...หญิงสาวไม่อ้าปากด่าไปถึงตระกูลเขาก็ดีเท่าไรแล้ว เขาค่อนข้างแปลกใจว่าถึงแม้ปกติผู้เป็นเจ้านายจะเจ้าอารมณ์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะลงไม้ลงมือกับผู้หญิงรุนแรงขนาดนี้ แม้ว่าจะมีสถานะเจ้านายและลูกน้อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาถือหางเจ้านายทุกเรื่อง

“ผมไม่รู้จะพูดอ้อมค้อมยังไงดี ผมอยากขอร้องว่าไม่ให้เรื่องนี้รู้ถึงคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ้าหน้าที่ เจ้านายของผม เขาค่อนข้าง...มีชื่อเสียงอยู่บ้าง มันคงไม่ดีต่อทุกฝ่ายถ้ามีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้น” ฮาฟิซกล่าว รู้สึกเห็นอกเห็นใจหญิงสาวอยู่บ้างที่ต้องพูดอะไรเช่นนี้

หญิงสาวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอของชายหนุ่ม ใช้เพียงสายตาสงบนิ่งมองอีกฝ่ายตรงๆ

“ไม่ว่าคุณอยากได้อะไร ผมจะพยายามจัดการให้ทุกเรื่องเพื่อเป็นการขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น...”

“ฉันไม่อยากเจอพวกคุณอีก” พิมพ์นาราตอบโดยไม่ต้องคิด ขอบตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย

“ถ้าถามว่าฉันอยากได้อะไร ไปดูแลเจ้านายของคุณให้ดีเถอะ อย่าให้ไปก่อเรื่องเลวๆ กับใครได้อีก หรือไม่ถ้าพอจะมีเวลา คุณควรพาเขาไปเช็กโรคทางจิตบ้าง”

“...”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายชะงักไป หล่อนจึงเอื้อมมือผ่านตัวเขาไปปลดล็อกประตูด้วยตัวเอง

“ลาก่อนค่ะ”

“ให้ผมช่วยคุณเถอะ”

สติของชายหนุ่มกลับมาเร็วกว่าที่คาด เขาเปิดประตูเดินอ้อมมายังฝั่งที่หญิงสาวนั่งโดยไม่สนใจอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของคนที่จ้องเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร ก่อนจะย่อตัวช้อนร่างบางขึ้นมาโดยไม่ให้หล่อนตั้งตัวหรือปฏิเสธ รีบกล่าวก่อนที่อีกฝ่ายจะเริ่มดิ้น

“หิมะมันลื่นนะครับ ลื่นล้มหัวฟาดพื้นทั้งคู่คงไม่ใช่ความคิดที่ดี คุณเห็นด้วยใช่ไหม” เขาพูดกันไว้ก่อน เพราะถ้าหญิงสาวเป็นประเภทโอนอ่อนผ่อนตาม เขาคงได้เจอหล่อนอีกทีตอนเช้าแทนที่จะเป็นกลางดึก

“แค่ไปส่งให้ถึงที่หมายตามคำสั่งที่ผมได้รับมา แล้วผมจะไม่รบกวนคุณอีก”

“ชั้นห้าค่ะ รบกวนด้วย”

เหตุผลที่หล่อนยอมให้อีกฝ่ายพาขึ้นมาส่งเพราะหมดแรงที่จะต่อล้อต่อเถียงแล้ว ปล่อยเลยตามเลยจะได้หมดเรื่องหมดราวกันเสียที

พิมพ์นาราไม่อาจปฏิเสธว่าการมีคนช่วยทำให้หล่อนมาถึงหน้าห้องไวกว่าการตะเกียกตะกายมาเองมากนัก เขาวางหล่อนลงโดยที่มืออีกข้างยังช่วยพยุงอยู่ที่เอว หญิงสาวปัดมืออีกฝ่ายให้ห่างจากตัวพร้อมส่งเสื้อโคตคืนให้ เพราะคงเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายจึงไม่สนใจสายตาของคนที่ก้มมอง

“คุณกลับไปเถอะ ลาก่อนค่ะ”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มประดับใบหน้าและถอยออกมาด้วยความสุภาพ

“คุณเก็บไว้เถอะครับ รักษาตัวด้วย” เขาทำอย่างที่พูดไว้ในตอนแรก หลังกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปทันที

พิมพ์นารายืนมองจนร่างสูงหายลับเข้าไปในลิฟต์ กะเวลาให้ผ่านไปอีกสิบถึงสิบห้านาทีก่อนจะเดินขาเดียวอย่างทุลักทุเลไปยังลิฟต์ตัวนั้นบ้าง จากสิ่งที่ประสบมาสองครั้งสองคราทำให้หล่อน ‘ต้อง’ มองโลกนี้ในแง่ร้ายขึ้น แม้อีกฝ่ายจะไม่คุกคามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไว้ใจได้ ที่อยู่ที่บอกเป็นเรื่องจริง แต่หล่อนไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องจริงทั้งหมด...อย่างน้อยก็หมายเลขห้อง หญิงสาวกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นสามด้วยความโล่งใจ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ายังมีคนบางคนยืนมองตัวเลขขึ้นลงของลิฟต์อยู่ที่ชั้นหนึ่งมาสักพัก...

 

ครืด...ครืด...

ฮาฟิซล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้อดที่จะเลิกคิ้วไม่ได้ นี่ยังไม่ถึงห้าก้าวที่พ้นออกจากตึกด้วยซ้ำ อะไรจะประจวบเหมาะปานนี้

“ครับ นายท่าน”

“แกอยู่ที่ไหน” เสียงทุ้มเจือโทสะดังมาตามสาย

“ผมเพิ่งจัดการธุระของนายท่านเสร็จครับ เธอคงไม่เอาเรื่องที่นายท่านก่อไว้ไปพูด” ชายหนุ่มกล่าวล้อเลียนตามความเคยชิน

“ฉันไม่ได้ถาม จะเอาไปโยนลงมาจากดาดฟ้ามันก็เรื่องของแก”

“ดาดฟ้า?” ผู้ติดตามหนุ่มเอ่ยทวนพร้อมมองรอบตัว

“รีบกลับไปช่วยยะตีมต่อเถอะ ปล่อยให้จัดการเรื่องส่งสินค้าคนเดียวอาจจะวุ่นวายเกินไป”

“ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

‘ผู้ออกคำสั่ง’ ยืนพิงรถมองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลออกไปนัก เมื่อเห็นรถหรูสีดำแล่นออกไป มือหยาบกระด้างจึงควานหาชิปโป้ในเสื้อออกมาจุดบุหรี่พ่นควันอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีครามวาววับขณะมองไปยังที่ที่ผู้ติดตามของตนเพิ่งออกมา ความเดือดดาลไม่สบอารมณ์ปะทุขึ้นภายในใจอย่างไม่มีสาเหตุ ละอองหิมะขับให้ใบหน้าแข็งกร้าวดูมึนตึงยิ่งกว่าเดิม

ชายหนุ่มลากสายตาไปยังอะพาร์ตเมนต์ห้องหนึ่งที่เพิ่งเปิดไฟสว่างโร่กว่าห้องอื่นๆ ไม่กี่อึดใจเขาก็เห็น ‘ใครบางคน’ ออกมาปิดผ้าม่านที่หน้าต่าง ริมฝีปากที่กำลังพ่นควันกระตุกยิ้มแทบจะทันที

‘เหยื่อที่ได้มายาก ผู้ล่ายิ่งสนุกไม่ใช่เหรอ’

 

กริ๊งงง...กริ๊งงง...

พิมพ์นาราสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตนตั้งไว้ให้ตื่นก่อนเจ้าของห้องจะกลับมา แสงจ้าที่ลอดผ่านผ้าม่านพลิ้วไหวทำให้ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่ ใบหน้าซีดเซียวดูอ่อนล้า อาการปวดระบมแล่นไปทั่วร่างทำให้หล่อนไม่อยากจะขยับหรือลุกไปไหน หล่อนถกแขนเสื้อดูรอยแดงซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นมา

‘ถ้าอลิซเห็น...จะตอบว่ายังไงดี’

หญิงสาวยกแขนก่ายหน้าผากสรรหาเหตุผลที่เข้าท่ามาอ้าง เห็นได้ชัดว่ารอยแดงที่ว่าเป็นรอยนิ้วมือ ถ้าโกหกแล้วเพื่อนสาวจับได้ คิดว่าเรื่องคงวุ่นวายไม่ต่างจากการเล่าความจริงแน่ๆ

อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน หล่อนจะบอกอลิซยังไงดีว่าตัวเองต้องกลับประเทศไทยในวันสองวันนี้ จะสรรหาเหตุผลดีๆ อะไรมาทำให้ดูน่าเชื่อถือ จะบอกว่ามีงานด่วนก็ไม่ได้ เพราะหล่อนกำลังพักร้อน ญาติป่วยก็ไม่ใช่ เพราะหล่อนไม่มีญาติที่ไหนนอกจากน้ารภี

ท้ายที่สุดความคิดก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงกดรหัสหน้าห้อง ร่างบางผุดลุกขึ้นนั่งบนโซฟาแล้วปั้นยิ้มรอ ไม่นานเพื่อนสาวของหล่อนก็ปรากฏตัวพร้อมกับสามีหมาดๆ ด้วยใบหน้าชื่นมื่น

“ว้าว! สาวน้อยขี้เซาตื่นแต่เช้าเชียว” อลิซถลาเข้ามานั่งเบียดเพื่อนอย่างอารมณ์ดี

“ตื่นมารอรับความสุขความสดใสจากภรรยามือใหม่น่ะสิ”

“ว้าย! พูดอะไรแบบนั้น” สาวผมทองตีผู้พูดด้วยความขวยเขิน ใบหน้าขาวสว่างขึ้นสีระเรื่อน่าเอ็นดู ก่อนจะหันไปตวาดแหวใส่สามีหนุ่มที่เดินขำลั่นตามมา

“หยุดขำเลยนะคะที่รัก นี่คุณกับนารารวมหัวกันแกล้งคนอื่นแต่เช้าเลยเหรอ”

“ฮ่าๆๆ โอเคครับที่รัก หยุดแล้ว...หยุดแล้ว งั้นเดี๋ยวผมไปชงกาแฟให้” ปิแอร์เดินเข้ามาจูบแก้มภรรยาสาวก่อนจะหันมาถามพิมพ์นารา

“คุณนาราชอบแบบไหนครับ ชาหรือกาแฟ มีหลายอย่างเลย”

“ขอเป็นกาแฟดำธรรมดาก็พอค่ะ ขอบคุณนะคะปิแอร์” หญิงสาวผงกศีรษะขอบคุณอย่างเกรงใจ เมื่อสามีเพื่อนเดินเลี้ยวไปอีกทางจึงหันมาทำหน้ามุ่ยใส่คนที่นั่งอยู่

“ให้ฉันไปอยู่โรงแรมก็ไม่เชื่อ เห็นรึเปล่าว่าก้างชิ้นเบ้อเริ่มขวางอยู่กลางห้อง” คนเสียงหวานกล่าวกลั้วหัวเราะ

“ฉันคิดถึงเธอนี่นา กับปิแอร์ฉันยังมีเวลาอยู่ด้วยอีกนาน แต่เธอไม่ได้มาหาฉันทุกเดือนซะหน่อย” ภรรยามือใหม่ของปิแอร์ไม่ยอมแพ้ ยืดอกเถียงประหนึ่งว่าเหตุผลที่ยกมาเข้าท่าที่สุด

“เธอก็ไปหาฉันที่ไทยไง รับรองฉันเลี้ยงดูอย่างดี”

“เธอได้หมดตัวแน่ๆ เรื่องของอร่อยนี่ฉันไม่มีเกรงใจนะ” อลิซหัวเราะเสียงใส ก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้กว่าเดิมด้วยท่าทางตื่นเต้น

“เกือบลืมไปเลย ฉันกับปิแอร์มีเรื่องเซอร์ไพรส์มากๆ ก่อนหน้านี้เราคิดว่าจะหาบ้านหลังเล็กๆ อยู่ด้วยกันหลังแต่งงาน เธอเชื่อไหม เหมือนพระเจ้าให้ของขวัญชัดๆ เมื่อเช้าบริษัทของปิแอร์อีเมลมาบอกว่า...”

“ว่ายังไงบ้าง” พิมพ์นาราเองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย ดวงตาพราวระยับใจจดใจจ่อกับข่าวดีของเพื่อน

“มีคนมาเหมาซื้อกองทุนที่ปิแอร์ดูแลอยู่ ยอดขายพุ่งพรวดเลย ปิแอร์ได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าฝ่ายไปประจำการสาขาที่สวิส มีบ้านประจำตำแหน่งให้ที่นั่น”

“จริงเหรอ! โอ๊ย! ฉันดีใจกับเธอทั้งคู่ด้วยนะ ฉันดีใจแทนจริงๆ” พิมพ์นาราเขย่ามืออลิซอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะโผกอดเพื่อนสาวด้วยความยินดี ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสุขกับของขวัญแต่งงานชิ้นนี้มากแค่ไหน

“แต่มันกะทันหันมาก เราต้องย้ายของไปก่อนต้นเดือนหน้าที่ปิแอร์จะเริ่มทำงาน นี่ก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเอง” เพื่อนสาวเว้นวรรค ทำสายตาละห้อยมองพิมพ์นารา

“นารา...เธอยังไม่เคยไปสวิสใช่ไหม กำหนดกลับยังเหลืออีกตั้งหลายวัน ที่นั่นสวยมากๆ เลยนะ ฉันรับประกันว่าเธอต้องชอบแน่นอน”

“คือ ฉัน...” ผู้ถูกถามยิ้มเจื่อน ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“อย่าบอกนะว่าเธอจะย้ายไปอยู่โรงแรม ฉันไม่ยอมนะ ฉันจองตัวเธอไว้แล้ว” อลิซกล่าวด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดเมื่อเหลือบไปเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตั้งหลบอยู่ข้างๆ โต๊ะ และรีบคว้าแขนเพื่อนไม่ยอมปล่อย

“ที่รักคะ นาราจะหนีพวกเราไปอยู่โรงแรมจริงๆ ด้วย” สาวชาวฝรั่งเศสรีบเอ่ยฟ้องเมื่อเห็นสามีถือถาดใส่แก้วกาแฟและของว่างเดินเข้ามา

“ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ลองเที่ยวอีกสักประเทศก็เป็นไอเดียที่ดีนะครับ ถือว่าพักผ่อนหาประสบการณ์ใหม่ๆ” ปิแอร์เอาใจภรรยาสาวของตน ช่วยหว่านล้อมอีกแรง

เรื่องที่พิมพ์นาราเตรียมจะพูดถูกกลืนคงคอทันที สีหน้าคาดหวังจากเพื่อนทำเอาหล่อนใจอ่อนยวบ มองตาละห้อยแบบนี้ใครจะไปปฏิเสธลง

เอาเถอะ...ขอแค่ไม่ต้องอยู่ที่นี่ จะกลับประเทศไทยหรือจะไปไหนก็ไม่ต่างกัน เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ก็ฟังดูไม่เลว...

“ก็ได้...ก็ได้ ฉันยอมแล้ว หยุดใช้สายตาลูกแมวแบบนี้นะ” พิมพ์นาราเขกหัวอีกฝ่ายเบาๆ ถอนหายใจปนหัวเราะ

“น่ารักที่สุดเลย!” อลิซร้องลั่นอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปพูดกับสามีด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

“ที่รักคะ คุณกลับไปเตรียมตัวก่อนก็ได้ค่ะ ไว้เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยมารับฉันกับนารา”

“หือ จะไปไหนกันเหรอ” ผู้ที่กำลังจะถูกลากไปด้วยเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย

“ปิแอร์มีนัดดินเนอร์ขอบคุณลูกค้าน่ะ ไม่ใช่งานทางการอะไรหรอก จะให้ฉันทิ้งเธอนั่งหงอยที่นี่ได้ยังไง ไปด้วยกันดีกว่า”

“ฉันเจ็บขาอยู่นะอลิซ เดินเหินปกติได้ที่ไหน เธอกับปิแอร์ไปเถอะ ฉันอยู่ได้” พิมพ์นารายกขาอวดข้อเท้าที่มีผ้ายืดพันอยู่ ไม่ปล่อยให้เพื่อนสาวหาเหตุผลอื่นมาโต้แย้ง

“ให้ฉันพักอยู่เฉยๆ ดีกว่า จะได้มีแรงช่วยเธอขนของไง”

“ก็ได้...ก็ได้ ฉันยอมแล้ว”

พิมพ์นารามองตามหลังเพื่อนสาวซึ่งเดินออกไปส่งสามี ความสุขที่รายล้อมคนทั้งคู่ทำให้คนรอบข้างพลอยรู้สึกดีไปด้วย เรื่องร้ายๆ ที่พบเจอมาคิดไปแล้วก็มีแต่บ่อนทำลายจิตใจ ทำไมต้องปล่อยให้คนประเภทนั้นมาทำลายความสุขของตัวเองด้วย อีกไม่กี่วันหล่อนก็จะไปจากที่นี่แล้ว ลืมทุกอย่างให้เหมือนฝันร้ายดีกว่า ภาวนาให้ ‘เขาคนนั้น’ จงเป็นสุขเป็นสุข อย่าได้มาเบียดเบียนชีวิตหล่อนอีกเลย...

 

พิมพ์นาราเดินเก็บของจุกจิกลงกล่องอย่างระมัดระวัง ใบหน้าสวยไร้เครื่องสำอางฉายแววครุ่นคิดเหมือนเป็นธุระของตนเองก็ไม่ปาน ร่างบางเดินไปมาอย่างเชื่องช้ากว่าปกติ อาการข้อเท้าแพลงเมื่อสองวันก่อนแม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายขาด กล่องกระดาษหนาหลายกล่องถูกเจ้าตัวนำไปวางซ้อนกันข้างประตูอย่างเป็นระเบียบ

วันนี้หญิงสาวยังคงสวมชุดลำลองแขนยาวขายาวสบายๆ เพื่อปกปิดรอยฟกช้ำบนร่าง เมื่อเหลือบมองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาที่ปิแอร์และอลิซใกล้จะกลับมาถึง จึงผละจากงานที่ทำไปจัดการธุระส่วนตัวบ้าง หล่อนเปิดกระเป๋าเดินทางหยิบเสื้อโคตสีดำและชุดเดรสขาดวิ่นออกมาวางกองที่พื้น ตลอดสองวันต้องคอยซ่อนของเหล่านี้ไม่ให้อลิซเห็นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งเรื่องโกหกเพิ่ม ความโมโหฉายชัดในแววตาเมื่อหล่อนนึกถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด และอดที่จะใช้ขาข้างที่ไม่บาดเจ็บเตะของตรงหน้าออกไปไกลๆ ไม่ได้

ติ๊ง

เสียงข้อความเข้าขัดจังหวะไม่ให้หล่อนประทุษร้ายข้าวของไร้ชีวิตไปมากกว่านั้น หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูข้อความที่เพิ่งได้รับ เป็นอลิซที่ส่งมา

ออกมาเจอกันที่ร้านกาแฟตรงหัวมุมหน่อยสิ มีเรื่องให้ช่วย

พิมพ์นารารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากร้านกาแฟที่ว่าอยู่ไม่ไกลนักจึงไม่ได้ติดใจอะไรอีก และกดพิมพ์ตอบสั้นๆ ได้ใจความ

10 นาที

ร่างบางเดินไปคว้าเสื้อแจ็กเกตของตนมาสวมทับเสื้อด้านในอีกชั้นเพื่อป้องกันอากาศหนาวภายนอก ก่อนจะก้มตัวรวบของบนพื้นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน

หล่อนออกจากลิฟต์เดินตรงไปยังด้านหน้าตึกซึ่งมีถังขยะเหล็กวางอยู่ ของในมือถูกโยนโครมลงไปอย่างไม่ไยดี แม้เสื้อโคตที่อีกฝ่ายยกให้จะดูดีมีราคา แต่สำหรับหล่อนมันถือเป็นสิ่งไร้ค่า มองแล้วทิ่มตาแทงใจ ดังนั้นที่นี่แหละที่เหมาะกับมัน

หลังจากจัดการธุระเสร็จใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานที่ที่เพื่อนสาวนัดไว้ อลิซหันมาเห็นพอดี จึงโบกไม้โบกมือเรียกเข้าไปหา

นอกจากอลิซและปิแอร์ที่นั่งข้างกันแล้ว ที่โต๊ะยังมีผู้ชายอีกคนนั่งหันหลังอยู่ ดังนั้นที่ว่างข้างๆ เขาจึงตกเป็นของหล่อนไปโดยปริยาย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง หรือว่าเป็นแผนของอลิซที่ยังไม่เลิกจับคู่หล่อนกับคนนั้นคนนี้อีก

“ฉันมีคนแนะนำให้เธอรู้จัก ที่ฉันเล่าให้เธอฟังเมื่อวันก่อน...”

ผู้ถูกแนะนำลุกขึ้นยืนนิ่งเหมือนรอพิมพ์นาราเดินเข้าไป ชุดสูทสีดำเรียบหรูไร้รอยยับเข้ากับรูปร่างสูงสง่าน่ามอง ผมสีน้ำตาลเข้มเซตเป็นทรงสมมาดนักธุรกิจ น่าแปลกที่ถึงแม้จะมองจากด้านหลัง...หล่อนกลับรู้สึกคุ้นตาคนๆ นี้อย่างยิ่ง

“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” หญิงสาวกล่าวทักทายตามมารยาทโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย

“สวัสดี”

เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูทำเอามือเรียวที่กำลังเลื่อนเก้าอี้ชะงักค้าง ใจเต้นตึ้กตั้กแบบไม่มีสาเหตุ

‘ไม่จริง...’ หล่อนรู้สึกขวัญผวา ปรารถนาให้ตนแค่คิดมากไป ก่อนจะช้อนตามองผู้พูดช้าๆ

“ฉัน มิเกล ลูเซียส ยินดีที่ได้รู้จัก”

“!!!”

เหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงกลางศีรษะนับสิบครั้ง ร่างบางเซถอยหลังไปหลายก้าวจ้องอีกฝ่ายตาค้าง ความตระหนกตกใจเผยบนสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางอยู่แล้วพลันซีดเซียวยิ่งขึ้นไปอีก ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะอากาศหนาว...แต่เพราะบุคคลที่หล่อนพยายามหลีกหนีตรงหน้าต่างหาก!

ก่อนที่พิมพ์นาราจะหมุนตัวไปจากที่แห่งนี้ เสียงของเพื่อนสาวก็ดังขัดขึ้นมาเหมือนโซ่ล่ามขาเส้นใหญ่

“นี่พิมพ์นารา เพื่อนของฉันเองค่ะ”

‘ไม่นะ!’ หล่อนแทบพุ่งไปปิดปากเพื่อน แต่ก็ทำได้แค่คิด

“บังเอิญจัง พวกเราเคยเจอกัน...ในลิฟต์” มิเกลกระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัย ขณะใช้นัยน์ตาคมกริบจ้องเหยื่อที่ยืนตัวสั่นเทา

“เธอน่าจะจำฉันได้”

‘หน้าด้าน!’ ดำด่าไร้เสียงถูกส่งผ่านสายตาเกลียดชังแทนคำตอบ

“จริงเหรอคะ นารา...ฉันลืมเล่าให้เธอฟัง โลกมันกลมและแคบกว่าที่เราคิด โรงแรมที่จัดปาร์ตีงานแต่งงานของฉันกับปิแอร์เป็นของมิสเตอร์ลูเซียส และเขาก็ยังเป็นลูกค้าวีไอพีของปิแอร์ที่ฉันเล่าให้เธอฟัง บังเอิญสุดๆ ไปเลย” อลิซพูดรัวอย่างตื่นเต้น

‘บังเอิญเหรอ...เป็นไปไม่ได้ มันคือการจัดฉากต่างหาก!’

“อลิซ ฉันขอโทษจริงๆ วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายยังไงไม่รู้ เหมือนจะปวดหัว...ฉันขอตัวกลับก่อนนะ” พิมพ์นาราหันไปพูดกับเพื่อนโดยไม่สนใจ ‘คนสร้างสถานการณ์’ ที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“เมื่อเช้ายังเห็นดีๆ อยู่เลย” อลิซเดินอ้อมโต๊ะมายกมือแตะหน้าผากเพื่อน สีหน้าฉายความกังวล

“สงสัยอากาศมันคงจะ ‘แย่’ กับฉัน” เธอเน้นย้ำบางคำ จ้องเขม็งให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าหมายถึงใคร

“นั่นสิ...เธอคงยังไม่ชิน นั่งดื่มอะไรร้อนๆ ก่อนค่อยกลับก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่งเธอเอง”

ใบหน้าของผู้ฟังพลันขาวซีดลงไปอีกเมื่อเห็นท่าทางที่เพื่อนแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้ ทำไมหล่อนจะตีความไม่ออก

“เชิญ”

แขกวีไอพีเลื่อนเก้าอี้เชื้อเชิญอย่างสุภาพบุรุษ แต่พิมพ์นาราเห็นถึงความจอมปลอมของอีกฝ่ายชัดเต็มสองตา ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถปฏิเสธเพื่อนสาวที่พยายามกดไหล่ให้นั่งลงได้

“เธอจะดื่มอะไร เดี๋ยวฉันไปสั่งให้”

“อลิซ คือฉัน...ฉัน”

“รบกวนขออเมริกาโนเพิ่มอีกแก้ว รู้สึกอยากได้อะไรที่ช่วย ‘กระตุ้น’ ให้ตาสว่างมากขึ้นอีก”

น่าเสียดายที่อลิซไม่เห็นอาการสะดุ้งเฮือกหันขวับของเพื่อนสาว ยังยิ้มรับคำไหว้วานของลูกค้าวีไอพีด้วยความเต็มใจ

“ได้เลยค่ะ ที่รักคะ ฉันว่าจะไปเลือกพวกของหวานเพิ่ม คุณมาช่วยฉันยกหน่อยสิคะ” อลิซจัดฉากเรียกสามี ลอบยิ้มมีความสุขเมื่อเห็นนักธุรกิจหนุ่มจ้องเพื่อนสาวคนสวยของตนไม่วางตา ในเมื่อโสดด้วยกันทั้งสองคน ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายสักหน่อย

หลังจากไม่มีผู้ร่วมวงแล้ว หน้ากากแห่งสุภาพชนก็ไม่จำเป็นต้องสวมอีกต่อไป หญิงสาวลุกขึ้นหมุนตัวเดินหนีจากคนตรงหน้า แต่เดินออกไปไม่ถึงสามก้าว แขนของหล่อนก็ถูกมือคีมเหล็กลากกลับไปที่เดิม

“ต้องการอะไรจากฉัน” หล่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย

“มาอยู่กับฉันสักเดือนสิ”

“เฮอะ! คุณประสาทกลับเหรอ” หญิงสาวหัวเราะเยาะ บิดข้อมือออกจากการจับกุมอย่างเอาเป็นเอาตาย

“ไปอยู่กับคุณ? ฉันไปชนบทเกี่ยวหญ้าเลี้ยงวัวดีกว่า”

แม้จะพยายามสะบัดข้อมือออกจากพันธนาการ แต่แรงของหล่อนมีหรือจะสู้แรงที่เทียบกับช้างม้าวัวควายได้ สองครั้งที่เจอหล่อนไม่เคยหลุดออกจากกรงเล็บของอีกฝ่ายแบบสภาพดีสักครั้ง คิดได้ดังนั้นจึงหยุดการต่อต้าน เปลี่ยนเป็นจ้องมองเขาด้วยความเกลียดชังแทน

“ปากดีไปเถอะ ผู้หญิงธรรมดาแบบเธอสวดอ้อนวอนทั้งชาติก็คงไม่มีโอกาสได้เจอคนที่เพียบพร้อมแบบฉัน อยู่กับฉันมีแต่จะได้กับได้ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่กอบโกยผลประโยชน์ตรงหน้า” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบโดยไม่ลดรอยยิ้มตรงมุมปากลงสักนิด เขารู้ดีว่ายังมีสายตาของผู้อื่นแอบมองอยู่เป็นระยะ ดังนั้นเรื่องสร้างภาพ...ไม่ต้องให้บอก

ไม่มีเหตุผลว่าทำไมคนอย่างเขาต้องเสียเวลาลดตัวมายุ่งกับผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะหล่อนดื้อด้านหัวแข็ง และเขาต้องเป็นคนที่ชนะเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีใครที่ไม่ชอบเงินทองและความสุขสบาย หล่อนก็เช่นกัน แค่ยังไม่แสดงธาตุแท้ออกมาเท่านั้นเอง...

“คุณไปหาผู้หญิงที่มีเวลาว่างสวดอ้อนวอนที่อื่นเถอะ ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น หรือถ้ามีฉันคงเอาเวลาไปทำอะไรที่มันมีสาระมากกว่ามาเสวนากับคุณ ปล่อย!”

“เพื่อนเธอดูมีความสุขมากนะ” ชายหนุ่มเปลี่ยนหัวข้อแบบไม่สะทกสะท้าน หรี่ตาลงจนแทบจะเป็นเส้นตรง

“ทำไม อิจฉาที่เห็นคนอื่นมีความสุขเหรอ” หญิงสาวเลิกคิ้ว หัวเราะเยาะในลำคอ

“ชีวิตเพอร์เฟกต์แบบฉันไม่เคยต้องอิจฉาใคร...” เขาลากเสียงยาว ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบข้างหูของคนพยศ

“แต่ถ้าอยู่ๆ ฉันยกเลิกเรื่องซื้อกองทุน เธอคิดว่าสองคนนั้นจะยังมีความสุขได้อยู่รึเปล่า”

“!!!”

“ฉันเป็นพวกเบื่อง่ายตัดสินใจเร็ว ความคิดเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เธอก็น่าจะเดาออก”

“บริษัทคงไม่อยู่เฉยให้คุณปั่นหัวคนเล่นหรอก” หล่อนตั้งสติไม่เต้นไปกับคำพูดยั่วยุของอีกฝ่าย ถึงแม้ใจจะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้วก็ตาม

“ถ้าคิดว่ามันช่วยเพื่อนเธอได้ก็ลองดู”

“คุณมันโรคจิต!”

“เงินล้านเหรียญมันก็ของเธอทั้งนั้น ในเมื่อไม่อยากเอาไปใช้...ฉันก็หาเรื่องใช้ให้ไง คิดให้ดีๆ นะ การตัดสินใจโง่ๆ ของเธอคนเดียวมันทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย แค่อยู่กับฉันสักเดือนจะเป็นไรไป ถือซะว่าให้ของขวัญแต่งงานเพื่อน” ชายหนุ่มไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำด่า คลายมือเมื่อเหลือบไปเห็นคู่สามีภรรยาตัวประกันเดินกลับเข้ามา

“กาแฟครับ” ปิแอร์หยุดบรรยากาศตึงเครียดที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ และเสิร์ฟเมนูที่แต่ละคนสั่งไว้

“ทำไมไม่นั่งคุยกันดีๆ ล่ะคะ” อลิซวางถาดของว่างไว้บนโต๊ะ มองคนทั้งสองที่ยืนคุยกันอย่างงุนงง

“แค่คุยกันเรื่องทั่วไป เห็นคุณ ‘พิมพ์นารา’ ดูมีความสามารถ เลยชวนมาทำงานด้วย” แขกวีไอพีจงใจเอ่ยชื่อหญิงสาวอย่างชัดถ้อยชัดคำ ปั้นหน้ายิ้มไม่สนใจสายตาโกรธเกรี้ยว

“ฉันไม่...”

“ลองกลับไปคิดดูอีกทีว่าข้อเสนอของฉันมันน่าสนใจพอรึเปล่า” ชายหนุ่มตัดบท ปิดหูทายก็รู้ว่าหล่อนคงดื้อด้านไม่เปลี่ยน

มิเกลพอใจกับใบหน้าแดงก่ำและอาการหายใจแรงของอีกฝ่าย หล่อนคงจะดีใจมากเสียจนอยากจะสาดของร้อนใส่หน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขาไม่อยู่ให้หล่อนสมความตั้งใจหรอก

“ฉันขอตัว มีเรื่องต้องไปจัดการพอดี” ชายหนุ่มกล่าวกับสองสามีภรรยาก่อนจะปรายตามายังเหยื่อที่หมายตา

“ไว้คิดหาคำตอบได้ก็ติดต่อมาแล้วกัน อย่าให้นานเกินไปล่ะ ถ้ารู้ว่าเธอโทร. มา ฉันคง...ดีใจมาก”

มิเกลหยิบนามบัตรออกจากเสื้อสูท ก่อนจะสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของอีกฝ่ายอย่างถือสิทธิ์ ท่าทางวางอำนาจ นัยน์ตาคมกริบ และรอยยิ้มไม่บอกความรู้สึกเป็นเสน่ห์อันร้ายกาจให้หญิงสาวหลายคนในร้านที่กำลังแอบมองใจเต้นโครมคราม แม้แต่อลิซเองยังอดที่จะดีใจแทนเพื่อนสาวของตนไม่ได้ นักธุรกิจหนุ่มหล่อเหลาดูพึงใจเพื่อนหล่อนขนาดนี้ ถ้าหล่อนยังไม่มีคนในใจอย่างปิแอร์ หล่อนจะต้องอดอิจฉาไม่ได้แน่ๆ

ชายหนุ่มเดินจากไปทันทีที่พูดจบ ผู้หญิงในร้านหลายคนมองตามอย่างอาลัยอาวรณ์ ด้วยภาพลักษณ์ของเขาแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้ รถสปอร์ตสุดหรูที่จอดหน้าร้านมีเสียงดังกระหึ่มเมื่อร่างสูงกำยำเข้าไปนั่งภายใน ผู้เป็นเจ้าของเหยียบคันเร่งออกตัวแบบไม่เกรงใจผู้ร่วมใช้ท้องถนน หายไปจากสายตาของทุกคนภายในไม่กี่วินาที

“ตอบฉันว่าเธอคงไม่ปฏิเสธเขา”

“อลิซ เธอต้องเจอผู้ชายคนนั้น...ฉันหมายถึงมิสเตอร์ลูเซียส...บ่อยเหรอ”

“ถ้าปิแอร์ยังทำงานกับเขาก็ยังต้องเจออยู่บ้าง ว่าแต่เธอคิดเหมือนฉันใช่ไหม มิสเตอร์ลูเซียสดูเป็นคนดีมากเลย เรื่องแบบนี้ให้เลขาฯ มาจัดการก็ได้ แต่เขากลับลงมาด้วยตัวเอง ละเอียดรอบคอบจริงๆ สมแล้วที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย” ผู้ตอบเก็บความชื่นชมไว้ไม่มิด

“เป็นคนดี? เธอรู้จักเขาดีขนาดนั้นเลย” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเพื่อนสาวหันมา

“ฉันไม่ค่อยได้ติดตามข่าวเลยเพิ่งมารู้จักก่อนหน้าเธอแค่ไม่กี่วัน แต่ถ้าในแวดวงนักธุรกิจหรือต้องทำงานเกี่ยวกับธุรกิจอย่างปิแอร์ ไม่มีใครไม่รู้จัก ‘แอล รอยัล’ ของมิสเตอร์ลูเซียสหรอก”

“ผมว่าการเข้าไปทำงานกับเครือบริษัทของมิสเตอร์ลูเซียสถือเป็นโอกาสที่ดีนะครับคุณนารา อสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ หลายอย่างในยุโรป มีเขาทั้งเป็นเจ้าของและหุ้นส่วนไม่น้อยเลย” ปิแอร์ให้คำแนะนำด้วยความหวังดี มองมุมไหนก็ไม่มีอะไรน่าปฏิเสธ

“ที่สำคัญกว่านั้น...” ภรรยาสาวของเขายิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะหันไปหาแนวร่วมนั่นคือสามี

“มิสเตอร์ลูเซียสดูสนใจนาราด้วย จริงไหมคะที่รัก”

ผู้ถูกถามวาดยิ้มแทนการตอบคำถาม สายตาผู้ชายด้วยกันย่อมดูออกอยู่แล้วว่านักธุรกิจหนุ่มผู้นั้นมีท่าทีสนใจเพื่อนภรรยาอย่างโจ่งแจ้ง แต่เขาก็ดูออกเช่นกันว่าผู้ถูกพึงใจไม่ได้มีอาการตื่นเต้นใดๆ เลย บางครั้งยังรู้สึกถึงความไม่พอใจแวบผ่านแววตาของหญิงสาวอีกด้วย

“เธอว่าเขาเป็นยังไง” อลิซเอ่ยถาม

            “ไม่รู้สิ ฉัน...ไม่ได้สนใจ” พิมพ์นาราไม่อยากพูดโกหก แต่ก็ไม่อาจใจร้ายต่อตาเป็นประกายของเพื่อนจนพูดความจริงออกมา ความจริงที่ว่าหล่อน ‘เกลียด’ เขาคนนั้นมากขนาดไหน!

“ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าสวิสแล้ว เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าที่นั่นสวย ฉันก็ใจจดจ่อรอน่ะสิ ไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องอื่นหรอก” หล่อนรีบเบี่ยงประเด็นเลี่ยงสายตาสงสัยจากเพื่อนสาว

เทวดาฟ้าดินไม่เคยเข้าข้างหล่อน เมื่ออลิซปรบมือแปะเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ฉันลืมบอกเธอว่ามิสเตอร์ลูเซียสแนะนำบริษัทขนย้ายที่เขารู้จักให้ พรุ่งนี้จะมาจัดการเรื่องข้าวของทั้งหมด คืนนี้เตรียมนอนตื่นเต้นได้เลย ฉันจะพาเธอเที่ยวให้ไม่อยากกลับไทยเลยคอยดู”

“...”

“ฉันอยากเห็นบ้านของเราเร็วๆ จังเลยค่ะที่รัก เราเคยเถียงกันเรื่องนี้ตั้งหลายหน ใครจะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว...ทุกอย่างง่ายเหมือนฝันไป”

สีหน้าเปี่ยมสุขและแววตาวาดฝันของเพื่อนสาวที่กำลังคลอเคลียกับสามีทำให้พิมพ์นาราน้ำท่วมปาก พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวหล่อนจะบอกเพื่อนยังไงดีว่าไม่ควรเข้าใกล้คนคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อเพื่อนหล่อนยังต้องรับผลประโยชน์จากอีกฝ่าย หล่อนควรทำเช่นไรที่จะไม่ทำลายความสุขของเพื่อนที่หล่อนรักและสนิทที่สุด

‘มิเกล ลูเซียส’ จะต้องสวดมนต์บทไหนเขาถึงจะยอมไปผุดไปเกิดให้ไกลจากชีวิตหล่อนเสียที!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น