6

เปลวเพลงแห่งความริษยา



6

เปลวเพลงแห่งความริษยา

 

‘ตัวสกปรกก็คิดจะอาบน้ำ เท้าสกปรกก็คิดจะล้างเท้า แต่ใจสกปรกกลับไม่คิดที่จะชำระใจ’

- หยางว่านหลี่

 

ภายในคลับลับเปิดไฟหลากสีชวนแสบตา ชายหญิงหลายคู่กำลังแลกจูบดูดดื่ม ล้วงควักโจ่งแจ้ง น้อยคนนักที่จะให้ความสนใจหญิงสาวในชุดลูกไม้สั้นสีชมพูอ่อนที่นั่งอยู่คนเดียว

“ดูสิว่าฉันเจอใครที่นี่”

จางฉีที่กำลังหมุนแก้วเครื่องดื่มในมือปรายตามองชายหนุ่มผู้ถือวิสาสะมานั่งเก้าอี้บาร์ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงตอบด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย

“มาหาเหยื่อรายใหม่รึยังไง”

‘เซบาสเตียน หวง’ ทายาทกลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าชื่อดังของฮ่องกงหัวเราะเสียงทุ้ม ดวงตาสองชั้นหรี่เป็นเส้นโค้งเข้ากันได้ดีกับลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง เขายักไหล่อย่างไม่ถือสาคำทักทายหยาบคายดังกล่าว

“ที่คลับนี้มีใครที่ฉันยังไม่ ‘ได้’ บ้าง”

ผู้ฟังถึงกับหันขวับ รีบมองรอบตัวว่ามีใครได้ยินคำพูดเมื่อครู่หรือไม่ โชคดีที่เสียงเพลงค่อนข้างดัง และคนส่วนใหญ่เริ่มมัวเมาในฤทธิ์ยาเสพติดและแอลกอฮอล์กันแล้ว จึงไม่มีใครสนใจชายหญิงที่นั่งจมปลักน่าเบื่ออยู่หน้าบาร์

ดาราสาวถอนหายใจโล่งอก ถึงจะเป็นคลับสุดหรูสำหรับกลุ่มหนุ่มสาวไฮโซและดารามาใช้ปลดปล่อยอารมณ์พลุ่งพล่าน และพนักงานที่นี่ก็ไม่มีพวกปากหอยปากปูเอาเรื่องคาวโลกีย์ออกไปแพร่งพรายข้างนอก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อน

“ระวังคำพูดคำจาด้วย ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ” หญิงสาวกระแทกแก้วเครื่องดื่มในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะสะบัดหน้าลุกหนีออกไป แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวกลับถูกคนข้างหลังตามมาโอบเอวไว้เสียก่อน

“เราไม่ได้เจอกันนานแค่ไหนแล้วนะ ฉันคิดถึงเธอจะแย่ อยู่เต้นกันสักเพลงก่อนสิค่อยไป” เขากระซิบเสียงแหบพร่าชิดริมใบหูเล็ก

ร่างในอ้อมแขนชายหนุ่มแข็งเกร็งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะผ่อนคลายลง “อยากได้อะไรตื่นเต้นไหมล่ะ”

“ถึงกับเสนอเองเลยเหรอ ไม่ยักรู้ว่าเธออดอยากปากแห้งขนาดนี้”

จางฉีไม่สนใจคำพูดสองแง่สองง่าม ล้วงสมาร์ตโฟนจากคลัตช์มายัดใส่มือหนาที่กำลังเลื้อยไปมาทั่วแผ่นหลัง

เซบาสเตียนหลุบตาดูของในมือ หน้าจอยังค้างอยู่ที่หน้าข่าวแวดวงบันเทิง หัวข้อข่าวและรูปประกอบเรียกความสนใจจากเขาได้เช่นกัน

เปิดตัวให้โลกรู้! เจ้าของหัวใจกลับมาแล้ว!

ชายหนุ่มเลื่อนปลายนิ้วอ่านข่าวดาราชายชื่อดังผู้ซึ่งไม่เคยมีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง แต่กลับมีรูปยืนกอดหญิงสาวปริศนาแนบแน่นอยู่กลางสนามบิน เขาเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างเฉินเฟยหลิงจะพลาดกับเรื่องแค่นี้ หางคิ้วจึงเลิกขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“อย่าบอกนะว่าเธอคั่วทั้งพี่ทั้งน้อง พอลูคัสมันเปิดตัวสาวก็เลยมานั่งเลียแผลใจอยู่คนเดียว?” เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะร่าเมื่อเห็นผู้ฟังเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน ถึงจะทำหน้าหงุดหงิด แต่ยังดูสวยอยู่เลย สมกับฉายานางฟ้าจริงๆ

“อย่าทำหน้าซีเรียสสิ ฉันก็พูดเล่นไปอย่างนั้น ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่พวกจับปลาหลายมือ อืม...เรียกว่าไม่มีมือเหลือให้จับตัวอื่นมากกว่า แค่ตัวใหญ่ตัวเดียวก็จวนจะหลุดจากมืออยู่รอมร่อ” เขาใช้นิ้วโป้งลูบปลายคางมนเบาๆ แต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“เลลาห์ เฉิน...คุณจำนังเด็กนั่นไม่ได้เหรอ” จางฉีสะบัดคางออกจากสัมผัสของเขา สีหน้าแสดงความเกลียดชังล้นปรี่เมื่อต้องพูดถึงชื่อนี้

“เลลาห์ เฉิน?”

เซบาสเตียนขมวดคิ้ว รีบเลื่อนดูรูปที่เหลืออยู่ คราวนี้ผู้ชายที่ปรากฏกายคู่กับหญิงสาวปริศนากลับไม่ใช่คนเดิม แต่เป็นอีกคนที่เขาเองก็รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี

ใบหน้าเล็กของหญิงสาวที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงถูกเปิดเผยให้เห็นชัดเจน ดวงตาอันเป็นเอกลักษณ์หลุบมองพื้นถนนขณะเดินตามหลังชายร่างสูงตระหง่านในชุดสูท ริมฝีปากแดงก่ำจิ้มลิ้มคล้ายผลเชอร์รีคลี่ยิ้มนุ่มนวล รูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมในชุดสีเขียวเข้มตัดกับผิวกายขาวเนียน ถึงท่าทางของคนทั้งคู่จะไม่ได้แสดงความสนิทสนมจนเกินงาม แต่เนื้อข่าวใต้ภาพกลับบรรยายได้ถึงพริกถึงขิงอย่างยิ่ง

เก็บตกความหวาน คู่รักคนดังที่ถึงแม้จะไม่ได้ยินข่าวคราวมานาน แต่เปิดตัวครั้งนี้ถึงกับเปลี่ยนร้านอาหารให้กลายเป็นร้านขนม โปรยน้ำตาลรัวๆ จนคนรอบข้างเบาหวานขึ้นเป็นแถบๆ ตบหน้าเรื่องซุบซิบที่ว่าทั้งสองคนระหองระแหงไม่ลงรอย แต่แหล่งข่าวของเราขอนั่งยัน นอนยัน ยืนยันว่าจริงๆ แล้วยังรักกันดี ตัวจริงก็คือตัวจริงวันยังค่ำ ไม่มีทางเปลี่ยนจ้ะ

น่ารักขนาดนี้...ดูท่าหย่งคังกรุ๊ปคงจะมีงานใหญ่ในไม่ช้า

ใครที่อิจฉาตาร้อนอยู่ อย่าลืมจิบน้ำบ่อยๆ นะจ๊ะ

ภาพในความทรงจำของเซบาสเตียนซ้อนทับกับสาวสวยคนดังกล่าว เขาถึงกับเผลออุทานออกมา พลันก็เข้าใจเหตุผลว่าทำไมจางฉีถึงมานั่งเครียดคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ

“ลูกเป็ดน้อยโตเป็นหงส์ซะได้ แต่ก่อนก็ว่ายากแล้ว พอเห็นรูปวันนี้เธอยิ่งไม่ใช่คู่แข่งของเลลาห์เลย” ชายหนุ่มพูดสิ่งที่ใจคิด สิบปีก่อนก็พอจะมองออกว่าเด็กหญิงคนนั้นคงเติบโตเป็นสาวสวยไม่แพ้จางฉี ไม่สิ...อาจจะมากกว่าจางฉีด้วยซ้ำ และหลักฐานในมือยิ่งตอกย้ำว่าเขาทายไม่ผิดสักนิดเดียว

เขาอดที่จะมองรูปในมืออีกครั้งไม่ได้ ป่านนี้พวกเด็กหนุ่มปากมอมที่เคยล้อเลียนคู่หมั้นของเฉินเฟยหลงคงหน้าชากันเป็นแถว

ทายาทกลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้ากระดกเครื่องดื่มในมือแก้กระหาย อะไรที่ว่าดีที่ว่าเด็ดก็ล้วนแต่ผ่านมือมาแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อ ‘เสือ’ มาเจอ ‘ผู้หญิง’ น่าตะครุบคนใหม่ ข้างในก็พลันร้อนรุ่มตื่นเต้น ไม่ต่างอะไรจากเด็กเจอของเล่นที่อยากได้

“หุบปาก! ฉันไม่เคยแพ้ ลีออนเลือกฉัน ไม่ใช่นังเด็กนั่น!” ประโยคดูหมิ่นที่ว่าทำเอาผู้ฟังเดือดพล่าน หญิงสาวเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์ของตนกลับคืนมาทันที

“เลือกเธองั้นเหรอ หึๆ สิบปีที่ผ่านมาไอ้ลีออนอาจจะไม่ได้หลุดชื่อคู่หมั้นให้เธอได้ยิน แต่เธอแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะไม่เหลือเงาของเลลาห์ในใจ เจอหน้ากันอีกครั้งคงไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างเข้า ไม่อย่างนั้นคืนนี้เธอคงไม่ต้องมานั่งหงอยอยู่คนเดียว” เซบาสเตียนยิ้มเยาะ ด้วยรู้ดีว่าจะกระตุ้นให้คนตกหลุมพรางได้อย่างไร

“ไหนบอกว่ามันหลงเธอนักหลงเธอหนา ฉันดูแล้วไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลย”

“ลีออนต้องอยู่กับนังเด็กนั่นเพราะถูกบังคับ คุณก็รู้มารยาของมัน มันคงอิจฉาฉันจนทนไม่ไหว” เมื่อนึกถึงบทสนทนาตอนเย็นที่ชายหนุ่มคนรักโทร. มายกเลิกนัดเพราะมีธุระด่วน เสียงพูดที่พยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด ต่อให้เขาไม่อธิบายก็ใช่ว่าเธอจะเดาไม่ออกเกี่ยวกับธุระที่ว่า บวกกับภาพ ‘คู่รักคนดัง’ ถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาพอเหมาะพอเจาะ มีหรือที่ความเกี่ยวโยงเช่นนี้จะเป็นเรื่องบังเอิญ

และเมื่อรวมกับความพยายามตลอดหลายปีกว่าที่เธอจะได้ก้าวมาอยู่เคียงข้างเขา...ความกลัวพลันแผ่ลามไปทั่วร่าง เจ็ดปีที่เธอหน้าด้านหน้าทนในฐานะเพื่อน ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่เคยเปิดใจเลยสักนิด จวบจนวันที่เธออาศัยจังหวะที่เขา ‘พลาด’ จึงได้ฐานะนี้มาครอง แต่ถึงเขาจะดีกับเธอ เธอก็รู้ว่าเขารู้สึกยังไง เธอรู้ว่าส่วนลึกที่เขาพยายามซ่อนไว้จากทุกคนมีเงาของใครอยู่กันแน่ เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ เนื้อตัวก็สั่นเทาเกินควบคุม

“ถ้าเชื่อแบบนั้นแล้วสบายใจก็เชิญ ยังไงฉันก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มแสร้งถอนหายใจ ก่อนจะหมุนกายเดินไปทางกลุ่มไฮโซสาวๆ ที่กำลังส่ายสะโพกเต้นยั่วยวนภายใต้แสงสีมอมเมาจิตวิญญาณ

หมับ!

“เดี๋ยวก่อน!” ร่างบนส้นสูงเดินไปคว้าข้อมือหนาเป็นการฉุดรั้ง ท้ายที่สุดเธอก็ไม่อาจเอาชนะเปลวเพลิงแห่งความริษยาที่เริ่มลุกลามอยู่ภายใน แววตากระหายชัยชนะบ่งบอกว่าพร้อมยอมแลกทุกสิ่ง

“ช่วยฉันด้วย”

ผู้ถือไพ่เหนือกว่าลอบยิ้มมุมปาก ใบหน้าที่ถูกแสงตกกระทบทั้งมีเสน่ห์และเจ้าเล่ห์ไปในเวลาเดียวกัน เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีทางเลือกไม่มาก และพร้อมจะใช้ทุกวิธีสกปรกเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

จางฉีก็เป็นเช่นนี้ งดงาม...ทว่าอาบยาพิษ

“ครั้งที่แล้ว ‘ซิง’ แล้วครั้งนี้เธอมีอะไรจะมาแลกล่ะ?”

 

สิบเอ็ดปีที่แล้ว

ปลายฤดูใบไม้ผลิ ภาคเรียนที่สอง

ท่วงทำนองเปียโนคอนแชร์โต เอ ไมเนอร์โอปุสที่ 16 ผลงานชิ้นเอกของ เอ็ดเวิด กริก นักคีตกวีชาวนอร์เวย์ดึงดูดความสนใจของเหล่านักเรียนที่กำลังเดินผ่านโถงทางเดิน หลายคนจึงเลือกที่จะหยุดและเสพงานศิลป์ผ่านหน้าต่างกระจกของห้องซ้อมดนตรีคลาสสิก

เด็กหญิงร่างเล็กผู้หนึ่งนั่งหลังเหยียดตรงอยู่หลังแกรนด์เปียโนสีดำซึ่งตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ดวงตาสลับมองโน้ตดนตรีและหลุบลงในจังหวะที่พอเหมาะ ขณะที่ปลายนิ้วเรียวยาวทั้งสิบโลดแล่นบนคีย์บอร์ดสีขาวดำอย่างแม่นยำ ตัวโน้ตแต่ละตัวต่อกันไหลลื่นเป็นท่วงทำนองไพเราะ เมื่อรวมกับบุคลิกโดดเด่น พลันสะกดทุกสายตาที่กำลังจับจ้องให้ตกอยู่ในห้วงภวังค์

‘เฉินเฟยเฟิ่ง’ หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า ‘คุณหนูเลลาห์’ เป็นเด็กที่มีพรสสวรรค์ด้านเปียโนอย่างหาตัวจับยาก ปีที่แล้วเด็กคนนี้เพิ่งจะอายุแค่สิบสาม แต่กลับคว้าโล่รางวัลชนะเลิศการแข่งขันเดี่ยวเปียโนชิงแชมป์เอเชียสำหรับเยาวชนอายุไม่เกินสิบแปดปี และปีนี้ทางโรงเรียนก็ส่งเธอลงแข่งรักษาแชมป์เช่นเดิม

เพียงแค่ข่าวการสมัครของเฉินเฟยเฟิ่งกระจายออกไป คงไม่ต้องบอกว่าใครได้ขึ้นเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่ง

“ปีนี้ได้แชมป์อีกแน่เลย”

“แหงอยู่แล้วละ ถ้ามาสเตอร์เลือกหน้าใหม่ลงแข่ง แบบนั้นสิค่อยน่ากังวล” สมาชิกชมรมดนตรีคลาสสิกกระซิบกระซาบเสียงเบาพลางเหลือบมองไปยัง ‘ตัวสำรอง’ ที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักด้วยแววตาสมเพช

“น่าสงสารเนอะ ได้ทุนเยาวชนดาวรุ่งเข้ามาแท้ๆ ก่อนที่จะจบออกไปไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้แตะตำแหน่ง ‘ตัวจริง’ รึเปล่า”

“ได้ข่าวว่า ‘นางฟ้า’ เข้าไปคุยกับมาสเตอร์เรื่องขอลงแข่ง แต่สุดท้ายก็ปีกหักกลับมา ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือเห็นใจดี ไม่เจียมตัวเลยเนอะคนเรา”

“จะเป็นคู่แข่งของน้องเลลาห์น่ะเหรอ แพ้ตั้งแต่คิดแล้ว”

ถึงจะมีเสียงหัวเราะเยาะแผ่วเบากระทบโสตประสาท แต่ ‘ตัวสำรอง’ ที่ว่ากลับยังคงรักษารอยยิ้มหวานประดับบนใบหน้า ทว่าแววตาที่มองไปยังแกรนด์เปียโนกลับตรงกันข้าม ทั้งเต็มไปด้วยความน้อยใจและคับแค้นใจ ความริษยาลุกโชนราวกับเปลวเพลิงที่พร้อมเผาไหม้ทุกสิ่ง

แปะ แปะ แปะ

เพราะสมาธิทั้งหมดของเฉินเฟยเฟิ่งจดจ่อกับสิ่งที่ทำ ดื่มด่ำล่องลอยไปกับท่วงทำนองคลาสสิกที่มีประวัติร่วมร้อยปี ทุกจังหวะที่ปลายนิ้วเรียวกดลงบนคีย์บอร์ดเปี่ยมไปด้วยความหมายสื่ออารมณ์ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ตัวว่าตนเองได้เปิดคอนเสิร์ตเปียโนโซโลที่ห้องซ้อมดนตรีคลาสสิกแห่งนี้เสียแล้ว จวบจนกระทั่งตัวโน้ตสุดท้ายจบลง เสียงปรบมือเกรียวกราวถึงค่อยดึงสติผู้บรรเลงเพลงให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง

เด็กหญิงร่างเล็กลุกขึ้นจับกระโปรงย่อขอบคุณผู้ชมทั้งหลาย ใบหน้าอ่อนเยาว์ปรากฏสีแดงระเรื่อที่แก้มเล็กน้อย เมื่อรวมกับรอยยิ้มบนมุมปาก ทุกคนก็รอที่จะเห็นเด็กหญิงคนนี้เติบโตเป็นหญิงสาวแทบไม่ไหว

“ทำได้ดีมาก ต่อไปที่ต้องทำคือรักษามาตรฐานเอาไว้ หมั่นซ้อมทุกวันอย่าให้ขาด มาสเตอร์หวังว่าโรงเรียนเราจะรักษาแชมป์เป็นสมัยที่สอง” มาสเตอร์ผู้คุมชมรมดนตรีคลาสสิกเอ่ยชมด้วยแววตาภาคภูมิใจ

จากนั้นทุกคนก็กรูเข้าไปล้อมร่างเล็กเอาไว้ตรงกลาง เสียงชื่นชมดังมาไม่ขาดสาย คล้ายมีกรรไกรตัดความอดทนของผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังให้ขาดสะบั้น

‘นั่นควรจะเป็นที่ของฉัน...’

 

“ใครมาส่งแก” เสียงแหลมแสบแก้วหูของหญิงวัยไม่เกินสี่สิบเอ่ยทักขึ้นจากด้านหลัง พลางชะโงกคอมองตามรถคันหรูที่เพิ่งขับออกไป

“เพื่อนที่โรงเรียนน่ะม้า เขาเห็นหนูเดินอยู่หน้าโรงเรียนคนเดียวเลยอาสามาส่ง” ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจดจ้องอยู่ที่ถนนว่างเปล่าเบื้องหน้าครู่ใหญ่ ก่อนจะหันกายเข้าไปยังตึกคอนโดมิเนียมกลางเก่ากลางใหม่ที่พักอาศัยของชนชั้นกลาง ไม่แม้แต่จะหยุดรอมารดาที่เดินตามหลังด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“แล้วเขาชอบแกรึเปล่า” นางจางเหมยผู้เป็นมารดารีบถามด้วยความตื่นเต้น แววตาเป็นประกายเหมือนพบเจอเนื้อชิ้นโต

“มีใครไม่ชอบหนูบ้าง” จางฉีตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก ปลายนิ้วกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่พักอย่างแรงคล้ายหงุดหงิดใจ

ใช่...มีใครไม่ชอบเธอบ้าง? ไม่ว่าจะเรื่องความสามารถหรือหน้าตาก็ล้วนแล้วแต่เป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ทุกคนเชื่อว่าอนาคตของเธอจะต้องสดใสอย่างแน่นอน

แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อเธอได้รับทุนการศึกษาและย้ายไปยังโรงเรียนแห่งใหม่ในฐานะนักเปียโนเยาวชนดาวรุ่ง ชีวิตเธอควรจะเต็มไปด้วยชื่อเสียงและคำชื่นชม เธออุตส่าห์วาดฝันซะดิบดีถึงชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทุกทั้งหมดกลับพังพินาศเพราะนังเด็กคนนั้น

“ดูจากรถเมื่อกี้ก็ลูกคนรวยนี่ แกควรอ้อนให้เขาส่งเสียเลี้ยงดูแกสักหน่อย รู้จักแบ่งเบาภาระของที่บ้านบ้าง สวยๆ อย่างแกทำได้ไม่ยากหรอก”

“หนูไม่เอาคนนี้! ม้าได้ยินไหมว่าหนูไม่เอา!” เด็กสาวหันไปตะคอกใส่มารดา ในห้วงคำนึงพลันปรากฏใบหน้าคมคายของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง นัยน์ตาเรียวยาวสีดำสนิทคู่นั้นสะกดเธอได้อยู่หมัด ทั้งหน้าตา ชาติตระกูล นิสัยใจคอ ไม่มีอะไรด่างพร้อยสักนิดเดียว คนอย่างเธอสิที่คู่ควรกับเขา

“อาฉี กลับมาแล้วหรือลูก” จางอี้ผู้เป็นบิดาเอ่ยทักทายเสียงยานคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ถึงจะนั่งอยู่บนพื้น แต่ก็มีอาการเซไปเซมาชัดเจน

“ป๊าจะกินเหล้าทุกวันเลยเหรอ! ทำไมไม่หัดหาความก้าวหน้าแบบบ้านอื่นเขาบ้าง! รู้ไหมว่าหนูอายคนอื่นเขาแค่ไหน!” ทันทีที่เห็นภาพเบื้องหน้า เหมือนมีคนมาสุมเพลิงโทสะให้ลุกโชติช่วงยิ่งกว่าเดิม เสียงหวานกรีดร้องด้วยความโมโห ไม่เหลือหน้ากากนางฟ้าที่สวมใส่ยามอยู่ข้างนอก

“จะตะโกนเสียงดังทำไม! ป๊ามีลูกสาวทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนี้ แค่เลือกผู้ชายดีๆ มาแต่งงาน อนาคตครอบครัวเราสบายอยู่แล้วไปๆ ไปทำกับแกล้มมาให้ป๊าหน่อย”

“ใช่ๆ คุณพูดถูก แกก็ฟังป๊าแกไว้ จะเลือกผู้ชายทั้งทีก็เลือกที่เขาดูแลเราได้ ไหนๆ ก็ได้เข้าโรงเรียนไฮโซแล้ว อย่าได้ตาต่ำไปคว้าอะไรก็ไม่รู้ล่ะ เสียชาติเกิดหมด” ผู้เป็นมารดารีบเอ่ยสำทับ พลางกุลีกุจอเข้าไปร่วมดื่มกับสามี

“อีกอย่าง คนเมื่อกี้ม้าเห็นรถก็ดูเข้าท่าดี มีโอกาสเมื่อไรก็รีบจับให้อยู่หมัด อย่ามัวแต่ไปหวังน้ำบ่อหน้า เอ๊ะ! แกจะไปไหน กลับมาฟังที่ม้าพูดก่อน!”

ปัง!

ไม่รอให้มารดาพูดจบ จางฉีก็กระแทกเท้าเข้าห้องและปิดประตูเสียงดังสนั่น ภายในคอนโดขนาดห้าสิบหกตารางเมตรอยู่กันสามคนก็แทบจะเดินชนกันอยู่แล้ว ถึงจะหลบเข้ามาข้างใน แต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะร่าจากภายนอกอยู่ดี เด็กสาวเหวี่ยงกระเป๋านักเรียนใส่เตียงระบายความอัดอั้นภายในอก อดน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาไม่ได้

เด็กกำพร้าคนหนึ่งทำไมถึงโชคดีขนาดนั้น เพียงแค่ถูกตาต้องใจครอบครัวคนรวยก็ชีวิตเปลี่ยนในชั่วข้ามคืน ได้เป็นทั้งคุณหนูตระกูลใหญ่ และยังเป็นคู่หมั้นของผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังชื่นชม มีแต่คนเอาอกเอาใจราวกับเป็นเจ้าหญิงในเทพนิยาย แต่เธอที่เหนือกว่าทั้งสมองและหน้าตา...แม้แต่โอกาสดีๆ ในชีวิตก็ยังไม่ได้รับ!

ภาพใบหน้าเย่อหยิ่งพลันลอยเข้ามาในห้วงความคิด เธอเกลียดสายตานังเด็กนั่นที่มองเธอเหมือนมดปลวก เกลียดท่าทางเชิดหน้าชูคอราวกับอยู่คนละชนชั้น เกลียดการจีบปากจีบคอ เกลียดรอยยิ้มใสซื่อที่ทุกคนให้ความเอ็นดู เธอเกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับมัน

“นังเลลาห์ ไปตายซะ! ฉันเกลียดแก!”

เด็กสาวฟุบหน้าบนโต๊ะเครื่องแป้งสะอื้นฮัก กำมือทุบโต๊ะอย่างแรงระบายอารมณ์ ทำไมโชคชะตาไม่ยุติธรรม ทำไมคนที่โชคดีถึงไม่เป็นเธอบ้าง ทั้งๆ ที่เกิดมาพร้อมขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่กลับต้องแพ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนั้น ทำไม ทำไมกัน

เมื่อได้ระบายจนพอใจ ร่างบางจึงลุกขึ้นไปค้นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ราคาแพงระยับจากในกระเป๋านักเรียน ถึงครอบครัวจะไม่มีปัญญาซื้อให้ แต่เธอก็มีปัญญาหามาเองจนได้ ถ้าเธอต้องการซะอย่าง...ไม่ว่าอะไรก็จะคว้ามาให้ได้

ดวงตาแดงก่ำซึ่งยังหลงเหลือคราบน้ำตาไล่มองรายชื่อที่อยู่ในเครื่อง ก่อนจะกดโทร. ออกไปยังบุคคลที่เป็นคนมอบของชิ้นนี้ให้เธอ บุคคลที่เพิ่งจากไปพร้อมกับรถคันหรูเมื่อครู่

“ฉันพร้อมให้ ‘สิ่ง’ ที่นายอยากได้แล้ว แต่นายต้องช่วยฉันหนึ่งเรื่อง”

ในเมื่อโชคชะตาไม่ยุติธรรมดีนัก เช่นนั้นเธอก็จะไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง

 

“สวัสดีค่ะรองประธาน เสียใจด้วยนะคะที่ต้องพูดคำนี้อีกแล้ว มาสเตอร์คงยังไม่ปล่อยตัวน้องเลลาห์ง่ายๆ คุณคงต้องรออีกนานเลย” เอ่ยเสียงหวานทักทายเด็กหนุ่มที่ยืนมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านโน้ตดนตรีผ่านกระจกใสของห้องซ้อมดนตรีคลาสสิก นี่เป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของเขาที่เธอเห็นจนชิน

“ซ้อมหนักจริงๆ” เฉินเฟยหลงไม่ได้ละสายตาออกจากคู่หมั้น เพียงเปรยเบาๆ คล้ายสนทนากับตัวเองมากกว่า

“น้องเลลาห์เป็นตัวเก็งในการแข่งขันปีนี้ก็ต้องซ้อมหนักเป็นธรรมดาค่ะ” จางฉีเหลือบมองถุงกระดาษที่เขาถืออยู่ ก่อนจะเสนอตัวดั่งเช่นทุกครั้ง

“ส่งมาให้ฉันเถอะค่ะ นี่ก็จะห้าโมงเย็นแล้ว น้องเลลาห์คงหิวแย่”

“ขอบใจมาก งั้นผมรบกวนด้วย” เป็นอีกครั้งที่เขาส่งถุงของว่างให้อีกฝ่ายช่วยนำเข้าไปให้คนที่อยู่ข้างใน ริมฝีปากบางเฉียบปรากฏรอยยิ้มขอบคุณ

“เรื่องแค่นี้เองค่ะ”

เฉินเฟยหลงหันกลับไปจับจ้องคนเบื้องหลังกระจก ทุกคืนเขามักได้ยินเสียงเปียโนแผ่วเบาลอยทะลุผนังมา จวบจนตีหนึ่งถึงค่อยเงียบลง ทุกคนมักชื่นชมเฉินเฟยเฟิ่งว่าเป็นเด็กมีพรสวรรค์...ข้อนั้นเขาก็เห็นด้วย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าพรสวรรค์ที่ทุกคนชื่นชมต้องผ่านการฝึกซ้อมซ้ำๆ มาหลายพันชั่วโมง หากวันหนึ่งอีกฝ่ายก้าวสู่เวทีนักเปียโนระดับโลกตามความฝัน ทั้งหมดก็เพราะความพยายามทุ่มเท ไม่ใช่เพราะโชคช่วย

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เด็กหนุ่มดึงความคิดกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเคาะกระจก เมื่อก้มดูก็พบดวงตาเขียวปั้ดบ่งบอกถึงความหงุดหงิดชัดเจน มือเล็กขยุ้มถุงกระดาษที่ใส่ของว่างจนยับยู่ยี่

“เฮียขอโทษที่มาช้า ตัวเล็กกลับไปซ้อมได้แล้ว เดี๋ยวเฮียรออยู่ตรงนี้” เขาคิดไปว่าอีกฝ่ายคงโมโหหิวจึงชะโงกหน้าไปใกล้กระจก พยายามขยับปากเป็นคำพูดทีละคำ

“น้องเลลาห์คงจะเหนื่อยน่ะค่ะ” จางฉีที่ไม่รู้ว่าเดินออกมาเมื่อไรยิ้มแย้มกล่าว เธอยืนชิดร่างสูงจนต้นแขนเสียดสีกัน แววตาที่มองนักเปียโนอันดับหนึ่งของโรงเรียนสื่อนัยบางอย่าง แต่เมื่อคู่สนทนาข้างกายหันกลับมามองเธอ จึงรีบปั้นหน้าให้กลับมาอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม

“ฉันต้องรีบเอาหนังสือพวกนี้ไปไว้ที่ห้องเรียน ขอตัวก่อนนะคะ” คนเสียงหวานก้มมองข้าวของในอ้อมแขน ครั้งนี้เธอหอบหนังสือหลายสิบเล่มติดออกมาด้วย

“ให้ผมช่วยดีไหม” เฉินเฟยหลงอาสา ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“อย่าดีกว่าค่ะ ถ้าน้องเลลาห์มองมาแล้วไม่เห็นคุณ คงเป็นเรื่องอีกแน่ๆ อุ๊ย...ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากเรื่องที่ไม่ควร ผู้พูดจึงแสร้งหลบตาอย่างมีพิรุธ

“เป็นเรื่อง? เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ใบหน้าของผู้พูดดูเศร้าสลด สั่นศีรษะรัวเป็นเชิงปฏิเสธ

เด็กหนุ่มมองคนที่เอาแต่หลบตาอยู่ชั่วครู่ ถึงจะมีความสงสัยในประโยคดังกล่าว แต่เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากพูดถึง

“ก็ได้ ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น”

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะกระจกรัวๆ ดึงความสนใจของของเฉินเฟยหลงให้หันกลับมามองผู้กระทำการ เขาทำท่าไล่ให้คนที่มัวแต่โอ้เอ้รีบกลับไปซ้อมได้แล้ว ทว่าไม่ทันไรกลับได้ยินเสียงอึกทึกจากด้านหลัง

โครม!

“ว้าย!”

เฉินเฟยหลงหันขวับในทันที พบร่างบางนั่งกองอยู่บนพื้นพร้อมหนังสือหล่นกระจัดกระจาย ใบหน้ากระจ่างใสเงยมองเขาด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามเก็บของรอบตัวด้วยอาการแตกตื่น

“ขอโทษค่ะ”

“เป็นอะไรมากรึเปล่า” เด็กหนุ่มรีบเข้าไปช่วยตามมารยาท พลางสำรวจเพื่อนร่วมชมรมให้แน่ใจว่าไม่มีอวัยวะส่วนไหนแตกหัก

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ระวังเอง” จางฉีพยายามลุกขึ้น แต่ดันเซล้มชนคนที่กำลังช่วยเก็บของจนล้มไปด้วยกันทั้งคู่

แหมะ!

“อุ๊ย!” ใบหน้าหวานล้ำแดงระเรื่อเมื่อพบว่าตนเองนั่งทับต้นขาของเด็กหนุ่ม มือไม้เก้กังดั่งคนทำอะไรไม่ถูก เด็กสาวรีบก้มหน้างุดเอ่ยเสียงเบาหวิวด้วยความเขินอาย

“เอ่อ ขะ...ขอโทษค่ะ...”

พลั่ก!

“ว้าย!” ยังไม่ทันได้คำตอบ...เด็กสาวพลันรู้สึกถึงแรงปะทะไร้ที่มากระแทกกลางแผ่นหลัง รู้ตัวอีกทีก็กระเด็นไปนอนกองบนพื้นอีกรอบเรียบร้อย

“จะทำอะไรอาหลงน่ะ!” เจ้าของเสียงแหลมเล็กที่วิ่งหน้าตั้งออกมาจากห้องซ้อมดนตรีตวาดลั่นโถงทางเดิน อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าแดงก่ำเพราะความโมโห

หมับ!

“ตัวเล็ก!” เฉินเฟยหลงรีบคว้าแขนคนที่ทำท่าจะเข้าไปซ้ำคนเจ็บ นอกจากอีกฝ่ายจะพยายามบิดแขนออกจากการเกาะกุมแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังตวัดมองเขาอย่างไม่พอใจ

“ปล่อยนะอาหลง!”

“ทั้งหมดไม่ได้เป็นอย่างที่น้องเลลาห์เห็นนะคะ รองประธานแค่เข้ามาช่วยพี่ พี่ผิดเองที่ไม่ระวัง” คนถูกผลักพยายามแก้ความเข้าใจผิด ดวงตากลมโตมีน้ำเอ่อคลอดูน่าสงสารเกินทน

“ฉันเป็นน้องของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงเล็กสวนกลับทันควัน กวาดตามองคนที่อยู่บนพื้นอย่างไม่เป็นมิตร สีหน้าบ่งบอกว่าพร้อมอาละวาดทันทีที่หลุดจากพันธนาการ

“ตัวเล็ก ไม่มีอะไรหรอก กลับเข้าไปข้างในกันเถอะ” เฉินเฟยหลงคิดว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด จึงพยายามแก้ไขสถานการณ์ ไหนเลยจะเข้าใจว่าปัญหาระหว่างผู้หญิงมีความซับซ้อนมากกว่านั้น

“ขอโทษค่ะคุณหนูเลลาห์ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ โอ๊ย!” คนถูกตอกกลับตัวสั่นงกด้วยความหวาดกลัว ร่างบางฝืนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ล้มลงไปกองพร้อมกับกุมข้อเท้าของตนแน่น น้ำในที่อยู่ในดวงตาพลันไหลบ่าเป็นสาย

“เป็นอะไรมากรึเปล่า” เมื่อเห็นว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ คนกลางจึงจะเข้าไปช่วย ทว่ากลับถูกมือเล็กดึงแขนเสื้อห้ามเอาไว้

“อาหลงไม่ต้องไปช่วยคนนิสัยไม่ดี เมื่อกี้ตัวเล็กเห็นว่าเขาแกล้งล้มลงไปเอง แล้วจะเจ็บได้ยังไง โกหกชัดๆ เลย”

“ขอโทษค่ะที่ทำให้คุณหนูเลลาห์ไม่พอใจ...ต่อไปฉันจะไม่เข้าใกล้รองประธานอีกแล้ว” จางฉีเริ่มสะอื้น ถดตัวถอยหลังให้ห่างจากคนที่ยืนฉะไม่ไว้หน้า

“ป๊าของฉันสอนว่าคำพูดไม่ใช่แค่ลมปาก ในเมื่อพูดแล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย แต่ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ก็อย่าพูดออกมา คนอื่นเขาจะดูถูกได้ว่ากลืนน้ำลายตัวเอง”

ไฝเม็ดเล็กที่หางตาของผู้พูดยิ่งขับเน้นความเย่อหยิ่งเมื่อกล่าวคำสั่งสอนเกินอายุ น้ำเสียงและท่าทางแสดงถึงอำนาจมากกว่าเด็กวัยสิบสี่ควรจะเป็น แต่ไหนแต่ไรมาคนตระกูลเฉินมักจะพูดหยอกล้อว่าเฉินเฟยเฟิ่งเป็นลูกสาวที่พลัดพรากของเฉินชุนผู้นำตระกูล เพราะสิ่งใดที่ใช้ข่มขวัญผู้คนได้ เธอมักจะเลียนแบบเขามาเสียหมด และส่วนใหญ่ก็ทำได้ดีอย่างคาดไม่ถึง

“ไม่เอาน่าตัวเล็ก นั่นเพื่อนเฮียนะ” เฉินเฟยหลงขมวดคิ้วขณะกวาดมองไปรอบตัว เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มลุกลามจึงออกแรงบีบข้อมือเล็กเป็นเชิงตักเตือนเบาๆ

“ไป กลับไปซ้อมได้แล้ว หรือถ้าตัวเล็กเหนื่อย เรากลับบ้านกันเลยก็ได้ เดี๋ยวเฮียไปช่วยเก็บของดีไหม” น้ำเสียงที่พูดเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เขาพยายามดึงคนที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงให้มาด้วยกัน ทว่าคนตัวเล็กกลับขืนตัวไว้ไม่ยอมเดินตาม

“ตัวเล็กไม่เห็นว่าเพื่อนคนอื่นของอาหลงจะเป็นแบบนี้สักคน”

ถึงจะเลิกเรียนแล้ว แต่ก็ยังมีนักเรียนบางส่วนทำกิจกรรมอยู่ในตึก ดังนั้นภาพเด็กหญิงรังแกเด็กสาวที่โตกว่าหลายปีจนน้ำตานองหน้าจึงเรียกความสนใจจากคนที่เดินผ่านไปมา อีกทั้งชื่อเสียงของคู่กรณีทั้งสองยิ่งทำให้เรื่องราวดูน่าสนุกไปใหญ่ เมื่อหลายคนหยุดดูเข้าจึงเริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายสมาชิกชมรมดนตรีคลาสสิกที่ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวก็ลอบออกมาดูบ้าง

“คุณหนูเลลาห์อย่าเข้าใจผิดนะคะ! คนอย่างฉันไม่กล้านับตัวเองเป็นเพื่อนของรองประธานนักเรียนหรอกค่ะ”

“ฉันพูดกับเธอเหรอ...เอลล่า จาง อย่าสำคัญตัวผิดไปนักเลย” ผู้พูดเชิดปลายคางขึ้น ดวงตาเรียวยาวที่หลุบมองคนบนพื้นดุจประกาศิตเตือนว่าอย่าล้ำเส้น

“ตัวเล็ก พอได้แล้ว” เฉินเฟยหลงปรามเสียงเข้ม ใบหน้าคมคายเริ่มบึ้งตึงขึ้นมาทุกขณะ

จริงอยู่ที่เฉินเฟยเฟิ่งเอาแต่ใจตัวเองเป็นบางครั้ง และมักแสดงความหงุดหงิดเวลาพบเจอเรื่องไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างมากสุดก็แค่สะบัดหน้าหนีไม่พูดไม่จา ไม่เคยเลยเถิดเกินควบคุมอย่างเช่นสถานการณ์ในขณะนี้ และเมื่อนึกถึงจุดเริ่มต้นที่เขาคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด คำพูดติเตียนจนเกินควรจึงดู ‘ไม่มีเหตุผล’ เอาเสียเลย

“รองประธานคะ...เป็นความผิดของฉันเอง ฮึก ถ้าฉันยกหนังสือพวกนั้นไปคนเดียวก็จะไม่ทำให้คุณหนูเลลาห์เข้าใจผิด ฮึก ขอโทษค่ะคุณหนูเลลาห์ ต่อไปฉันจะไม่เข้าใกล้รองประธานอีกแล้ว ฮึก”

เฉินเฟยเฟิ่งหรี่ตามองท่าทางร้องห่มร้องไห้น่าสงสารปานจะขาดใจ เสียงสะอื้นยิ่งเพิ่มโทสะประหนึ่งสุมฟางใส่กองเพลิง อยู่ๆ เธอก็นึกถึงคำสอนของบิดาในการเลือกคนที่จะมาอยู่ข้างตัว

“ตัวเล็กไม่ชอบคนนี้ เฮียก็คงไม่ชอบ ป๊าม้าก็คงไม่ชอบ อาหลงอย่านับคนแบบนี้เป็นเพื่อนเลย นอกจากไม่สร้างประโยชน์แล้วยังทำให้เสียเวลาชีวิต รังแต่จะนำสิ่งไม่ดีมาให้เราอีกต่างหาก” เสียงที่กล่าวออกมาชัดถ้อยชัดคำ สีหน้าและแววตาไม่ได้บอกว่ากำลังล้อเล่น

ประโยคเชือดเฉือนตรงไปตรงมาทำเอาทุกสรรพเสียงเงียบกริบ ผู้ถูกว่าเบิกตากว้างพร้อมใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะปล่อยโฮออกมาเกินจะกลั้นไหว

“ตัวเล็ก! ทำไมถึงพูดอะไรแบบนี้! มันหยาบคายนะ รู้รึเปล่า!” เฉินเฟยหลงพลันหมดความอดทน ดึงไหล่เล็กให้เด็กหญิงหันกลับมาเผชิญหน้า ทั้งน้ำเสียงและแววตาติเตียนชัดเจน

“ตัวเล็กพูดเรื่องจริง เมื่อกี้ตัวเล็กเห็นกับตาว่าเขาจงใจล้มลงไปเอง แล้วจะมานั่งร้องห่มร้องไห้เพื่ออะไร เสแสร้งที่สุดเลย”

“พอได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นเฮียจะบอกเรื่องนี้กับป๊าม้า”

“อาหลงอยากบอกอะไรก็บอกไปเลย ตัวเล็กไม่ได้ทำอะไรผิด คนไม่น่าคบก็คือคนไม่น่าคบ ตัวเล็กพูดผิดตรงไหน” เฉินเฟยเฟิ่งเสียงดังกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ เป็นครั้งแรกที่อาหลงตะคอกใส่เธอ อีกทั้งยังมีสาเหตุมาจากคนอื่น ท่าทางที่แสดงออกจึงดูดื้อรั้นยิ่งขึ้นไปอีก

“ตัวเล็ก! ทำไมเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้”

“อาหลง!”

“เกิดอะไรขึ้น!” มาสเตอร์แห่งชมรมดนตรีคลาสสิกออกมายุติเปลวเพลิงที่กำลังลุกลามได้ทันเวลา ดวงตาเบื้องหลังแว่นทรงรีกวาดมองโดยรอบเพื่อหาคำอธิบาย

“เหมือนจะมีปากเสียงกันค่ะ” นักเรียนคนหนึ่งให้คำตอบ ก่อนจะถอยหลังกรูดเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทเตือนไม่ให้เข้ามายุ่ง

“จำกฎระเบียบไม่ได้กันหรือยังไง นักเรียนที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทจะถูกหักคะแนนความประพฤติสี่สิบคะแนน คนที่เกี่ยวข้องหรือเห็นเหตุการณ์แต่ไม่ไปแจ้งมาสเตอร์จะถูกหักคนละยี่สิบ หรือว่าปิดเทอมนี้พวกเธอไม่มีอะไรทำเลยอยากมาบำเพ็ญประโยชน์กันที่โรงเรียน ถ้าเป็นแบบนั้นก็มาเขียนชื่อใส่กระดาษ มาสเตอร์จะได้ส่งจดหมายแจ้งผู้ปกครองให้ครบทุกคน”

กลุ่มนักเรียนแตกฮือแยกย้ายกันในทันที หากโดนทางโรงเรียนส่งจดหมายไปแจ้งที่บ้านว่าตนเองโดนหักคะแนนความประพฤติ มีหวังจะต้องถูกกักบริเวณตลอดทั้งปิดเทอมอย่างแน่นอน

“ใครที่อยากซ้อมต่อก็เข้าไปข้างใน ส่วนใครที่ในหัวคิดแต่เรื่องอื่นก็กลับบ้านไปซะ”

แม้จะอยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้ แต่คำสั่งของมาสเตอร์ถือเป็นสิทธิ์ขาด สมาชิกชมรมดนตรีคลาสสิกต่างเดินคอตกกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนต่อ

มาสเตอร์มองคู่กรณีทั้งสามคน ก่อนจะตำหนิคนที่ควรจะมีความประพฤติอยู่ในระเบียบที่สุด

“รองประธานนักเรียนเฉิน เธอรู้กฎของโรงเรียน แต่ก็ยังฝ่าฝืน แบบนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คนอื่นได้อย่างไร หรือเธอคิดว่าการมีเรื่องทะเลาะวิวาทเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร”

เฉินเฟยหลงยืนก้มหน้า ไม่เอ่ยแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

“โชคดีที่เธอไม่เคยมีประวัติเรื่องพวกนี้มาก่อน ครั้งนี้มาสเตอร์จะยังไม่หักคะแนนความประพฤติ แต่มาสเตอร์จะแจ้งเรื่องนี้ไปยังครอบครัวของเธอ ให้ทำการตักเตือนพฤติกรรมไม่เหมาะสมเป็นการส่วนตัว”

“มาสเตอร์คะ! ดิฉันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดเอง ดิฉันขอรับผิดคนเดียว” เฉินเฟยเฟิ่งค้านด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ไม่หลงเหลือท่าทางดื้อรั้นเหมือนเมื่อครู่แม้แต่เศษเสี้ยว

“ครับ มาสเตอร์” เฉินเฟยหลงไม่ฟังเสียงทัดทาน ก้มหน้ารับผิดด้วยอาการนิ่งสงบ

“แต่มาสเตอร์คะ เรื่องทั้งหมดดิฉัน...”

“เลลาห์ เฉิน ใครอนุญาตให้ออกจากห้องซ้อมโดยพลการ ตอบมาสเตอร์มาว่าการซ้อมมันยังสำคัญกับเธออยู่รึเปล่า ถ้าไม่สำคัญ มาสเตอร์จะได้หาคนที่เขาตั้งใจมากกว่านี้มาทำหน้าที่แทนเธอ”

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกะพริบปริบไล่ความร้อนผ่าวที่แผ่ขยายมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าขาวเนียนแดงเรื่อขึ้นมาทีละนิด “สำคัญค่ะ”

“ในเมื่อสำคัญแล้วทำไมถึงไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย” มาสเตอร์วัยกลางคนเอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่ามากพอที่จะสร้างแรงกดดันให้แก่เด็กที่ยังไม่เคยเผชิญโลก

ที่จริงแล้วเธอจะปล่อยผ่านหรือแจ้งให้คนในครอบครัวเป็นฝ่ายตักเตือนก็ได้ แต่เฉินเฟยเฟิ่งเป็นนักเรียนที่อยู่ในความดูแลของเธอมาหลายปี ความรักและเอ็นดูจึงมากกว่าปกติ หากเห็นว่าทำผิด เธอก็ไม่อาจนิ่งเฉย การว่ากล่าวตักเตือนให้เสียใจวันนี้ดีกว่าปล่อยให้มีพฤติกรรมเหลวไหลติดตัวไปในวันหน้า

“สัปดาห์นี้ไม่ต้องมาห้องซ้อม มาสเตอร์ให้เวลาเธอกลับไปพักสามวัน แต่สามวันนี้จะต้องจำโน้ตเพลงที่เหลือให้ได้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นมาสเตอร์จะยกเลิกการลงแข่งของเธอ และหลังจากนี้มาสเตอร์หวังว่าเธอจะไม่เสียสมาธิอีก จำไว้ว่าถ้าเธอเอาแต่เต้นตามแรงยั่วยุจากภายนอก ไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์ของตัวเอง ก็เลิกคิดฝันเรื่องที่จะก้าวไปสู่ระดับโลก”

“ค่ะ มาสเตอร์” ผู้ถูกลงโทษรับคำด้วยเสียงสั่นเครือ เป็นครั้งแรกที่เธอถูกตำหนิและลงโทษต่อหน้าคนอื่น มือที่ประสานกันจึงเกร็งแน่นจนสั่นสะท้าน

“เข้าไปเก็บของได้แล้ว”

“ค่ะ” สาวน้อยร่างเล็กรีบเดินไปก่อนน้ำตาที่กลั้นไว้จะทะลักออกมา ยึดถือคติไม่มีทางแสดงความอ่อนแอให้คนนอกครอบครัวเห็นเป็นอันขาด

“ผมขอตัวนะครับ” เฉินเฟยหลงเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับคู่หมั้น ทิ้งหนึ่งผู้ใหญ่และหนึ่งวัยรุ่นไว้เบื้องหลัง

พลันความเงียบเข้ามากลืนกินบรรยากาศโดยรอบ มาสเตอร์แห่งชมรมดนตรีคลาสสิกหลุบตามองร่างบางที่ยังนั่งบนพื้นด้วยสายตาอ่านยาก มีหรือเธอจะเดาการแสดงละครปาหี่เช่นนี้ไม่ออก แต่บัวใต้โคลนตมสั่งสอนไปก็เท่านั้น จึงหันหลังกลับเข้าห้องซ้อมดนตรีโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น