10

ตัวตลกในป่า


 

บทที่ ๑๐

ตัวตลกในป่า

 

“มันไม่ได้ผล กูยังกลับไปไม่ได้” เมืองตะโกนลั่นทั้งยังทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า ท่ามกลางความตกใจของมาลัยทอง

“ใจเย็นๆ ฉันว่ายังไงมันก็ต้องมีทาง”

“ทางอะไร ผมอยู่ในโลกของคุณไม่ได้ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนเมืองนี้เลย” เขาตะโกนลั่น ขว้างดาบลงพื้น อะไรที่อยู่ใกล้ตัวก็จับเหวี่ยงจับทุ่ม เมืองคือยักษ์ที่กำลังระเบิดอารมณ์ราวกับคนเสียสติ

“มันต้องมีวิธีสิ คุณใจเย็นๆ ก่อน” เธอพยายามปลอบเขา แต่ก็ไม่เป็นผล เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าทั้งยังตะโกนก้อง

“อ๊าก...”

เผียะ!

ไวกว่าสิ่งใดคือมือเล็กๆ ของหญิงสาวที่ปรี่เข้าไปตบหน้าชายหนุ่มจนหัวหมุน ได้ผล อารมณ์โมโหของเขาสะดุด และรู้สึกชาที่แก้มซ้ายทันที

“ฉันบอกให้หยุด ถึงจะเป็นบ้าไป คุณก็ยังอยู่ที่นี่เหมือนเดิมนั่นแหละ” หญิงสาวขึ้นเสียงทั้งยังชี้หน้าให้เขาได้สติ เมืองได้แต่มองตาปริบๆ

“ฉันรู้ว่าคุณกำลังแย่ แต่ตอนนี้เราต้องมีสติ ลองถามคุณชวินก่อนว่าเขาเป็นยังไงบ้าง” เธอหมายความว่าให้เมืองติดต่อชวินผ่านกระจกอีกครั้ง

ขณะที่ชายหนุ่มร่างยักษ์ยังงงๆ มาลัยทองก็จับแขนเขาและหยิบดาบชาตรีเดินไปยังห้องนอน มุ่งไปที่กระจกบานใหญ่แล้วยื่นดาบให้เขาถือ เมืองกลืนน้ำลายฝืด จับดาบโบราณแน่น พยายามเพ่งมองเงาสะท้อน ดูเหมือนคนอีกฝั่งจะรออยู่แล้วเช่นเดียวกัน

“เจอพวกเขาไหม” มาลัยทองรีบถาม

“เจอ เขายังยิ้มได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เมืองเอ่ยตามที่เห็น เพราะชวินในร่างของเขายังยิ้มแต้ทั้งยังโบกไม้โบกมือให้

“อีตานั่นคงไม่ได้จริงจังอะไรอยู่แล้วละมั้ง” มาลัยทองเปรย แต่ก็โล่งอกที่ชวินไม่ได้สติแตกเหมือนหนุ่มโบราณคนนี้

สองหนุ่มเริ่มสนทนากันผ่านกระจกอีกครั้ง เมืองเงียบไปนานก่อนจะหันมาบอกหญิงสาว

“คุณชวินบอกว่าเสียดายที่กลับไม่ได้ เพราะเขาคิดถึงคุณ และอยาก...เอ่อ หอมแก้ม” เขาพูดตามที่คนในกระจกบอก

หญิงสาวกลอกตามองบน

“บอกเขาทีว่า ตอแหล”

“แม่มาลัยฝากบอกคุณว่า ตอแหล” เมืองพูดตามทันที

ชวินสะดุ้ง แต่ก็หัวเราะลั่น การได้แกล้งหญิงสาวเป็นอีกเรื่องที่ทำให้เขามีความสุข แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาตึงเครียด

“ว่าแต่คุณไม่วิตกสิ่งใดเลยรึที่เราคืนร่างกันไม่ได้” เมืองเอ่ยเข้าเรื่อง

“วิตกสิ คิดมากด้วย แต่ว่าจะให้ทำยังไงได้ล่ะ” ชวินตอบ

“พี่เมืองเป็นเช่นไรบ้าง” คำสาที่อยู่ใกล้ๆ รีบถามด้วยความเป็นห่วง

“ก็เหมือนเดิม คิ้วขมวด หน้าบูดบึ้งเชียว นี่ๆ อย่าทำหน้าแบบนั้นกับใบหน้าของผมนะ เดี๋ยวตีนกาขึ้น ลำบากฉันต้องฉีดโบทอกซ์อีก”

“ตกลงตอนนี้เราต้องทำอย่างไรต่อ” เมืองหันมาถามหญิงสาวข้างๆ ที่กำลังครุ่นคิด

“ฉันว่าในเมื่อเรายังหาวิธีกลับไปไม่ได้ พวกคุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกของกันและกันไปก่อน”

“ทำอย่างไรเล่า”

“นั่นแหละปัญหา คุณทั้งสองต้องแก้ปัญหาเฉพาะด้วยตัวเองแล้ว”

เมืองทำหน้าสงสัย

“เมือง คุณมีเรื่องอะไรที่ยังเป็นห่วงที่ภพนั้นไหม”

“เรื่องที่เป็นห่วงรึ” เมืองทวนคำ

“ใช่ บอกชวินเสีย ให้ช่วยใส่ใจมันให้มากหน่อย อย่างน้อยอย่าทำพังก็พอ” หญิงสาวอธิบาย

“ผมเป็นห่วงเรื่องต้องเข้าป่ากับท่านเจ้าคุณ”

มาลัยบีบขมับ “หึ...ซวยแล้วอีตาชวิน เมือง เท่าที่ฉันจำได้ คุณมีน้องชายคอยช่วยเหลือใช่ไหม

“ใช่”

“งั้นดีเลย ช่วยบอกเขาให้ปกปิดความลับนี้ไว้ด้วย ฉันว่าเขาคงเข้าใจ ถ่วงเวลาไปก่อนจนกว่าเราจะหาทางกลับไปได้”

เมืองพยักหน้าแล้วหันไปมองตัวเองในกระจก

“แม่มาลัยเสนอว่า เราควรแก้ปัญหาเองก่อน”

“มันก็ถูกอยู่แล้ว”

“ก่อนเข้าพรรษา ผมต้องไปล่าสัตว์กับพระยานเรนทร์ คุณช่วยไปคุ้มครองท่านเจ้าคุณด้วย”

ชวินถอนหายใจ “พูดยังกับทำได้ง่ายๆ คุณไม่รู้หรือไงว่าผมไม่เก่งเรื่องแบบนี้”

“แต่คุณอยู่ในร่างของผม อย่างน้อยกำลังวังชาอะไรก็น่าจะพอมี” เมืองเถียง “ขนาดหุ่นผอมบางของคุณ ผมยังไม่กลัวใครเลย”

ชวินเถียงไม่ออก

“บอกไอ้คำสาให้ช่วยเหลือคุณเต็มที่ และอย่าได้บอกเรื่องนี้กับใคร”

ชวินหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยังมองเขาตาแป๋ว “พี่ชายเอ็งบอกให้เอ็งคอยช่วยเหลือฉัน อย่าให้ใครรู้เรื่องที่ฉันกับเขาสลับร่างกัน”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยพี่เต็มที่” คำสาดีใจเหมือนได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ

“แล้วคุณเล่า มีอะไรที่ผมต้องทำเป็นการด่วนหรือไม่” หนุ่มโบราณถามต่อ

คำถามนั้นทำให้ชวินครุ่นคิด...จริงสิ แม้เขาจะดูเป็นคนไม่ซีเรียสเรื่องอะไร แต่เรื่องงานที่รออยู่ก็น่าเป็นห่วง ปล่อยให้เจ้ายักษ์ในร่างเขาทำอะไรตามใจ ทุกอย่างต้องพังแน่ๆ

“บอกมาลัยทองทีว่าผมกลัวว่าคุณจะทำธุรกิจของผมล่ม ผมต้องการคนช่วย”

เมืองเอ่ยตามที่ชายหนุ่มบอก มาลัยทองจึงเขยิบเข้าใกล้กระจกมากขึ้น

“ดูเหมือนว่าคุณชวินอยากให้ใครมาช่วยดูแลเรื่องงานของเขา”

“ถามเขาสิว่าพอจะมีใครที่เขาไว้ใจได้อีกหรือไม่”

“แม่มาลัยอยากรู้ว่าคุณพอจะมีใครที่ไว้ใจได้อีกหรือไม่”

ชวินคิดไม่ตก เพราะต่อให้เขานึกแทบตาย ก็นึกถึงคนที่เขาไว้ใจไม่ได้

“เธอบอกว่า หรือจะให้ลูกน้องที่ชื่อเอกลิขิตจัดการทุกอย่างแทน” เมืองถามต่อ

“ไม่ได้” ชวินตอบทันที “เอกลิขิตเป็นคนขี้ระแวง ไม่เชื่อเรื่องประหลาดแบบนี้หรอก และหากเขารู้เรื่อง ยากที่สถานการณ์บ้าๆ นี่จะกลายเป็นความลับได้อีก”

“ถ้าไม่ใช่เอกลิขิต จะให้เป็นพลอยแก้วหรือไง เธอยังเด็ก ทำธุรกรรมอะไรก็ไม่ได้” มาลัยทองเถียงเมื่อได้รู้ความประสงค์

“คุณชวินบอกว่าต้องเป็นคุณ แม่มาลัย”

มาลัยทองสะดุ้ง “จะเป็นฉันได้ยังไง ฉันไม่รู้จักตัวตนจริงๆ ของชวินด้วยซ้ำ”

“แต่เขาบอกว่าคุณเป็นคนเดียวที่จะช่วยเขาได้”

“ไม่มีทาง แค่นี้ฉันก็ถือว่าถลำลึกเกินไปแล้ว ฉันไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจระดับพันล้านร้อยล้านของคุณไม่ได้หรอก จำไม่ได้เหรอว่าคุณสร้างความประทับใจให้ฉันแค่ไหน” หญิงสาวหันไปเถียงกับกระจกแม้มองไม่เห็น

เมืองเงียบไปครู่ใหญ่ “เขาบอกว่า ถ้าเช่นนั้นคุณก็จะไม่มีวันได้ดาบชาตรี”

มาลัยทองชะงัก อารมณ์โกรธพุ่งพรวด แต่พยายามข่มความรู้สึกนั้นไว้

เขารู้จุดอ่อนของเธอเสมอ...

“แล้วฉันต้องช่วยเขายังไง”

“เขาจะให้คุณแกล้งเป็นคนรัก และช่วยดูแลเอกสารต่างๆ ใน เอ่อ บริบัท...อ้อ บริษัทของเขา”

“ฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น”

“เขาให้ข้อเสนอแม่มาลัย หากเขากลับไปได้ เขาจะยกดาบเล่มนี้ให้คุณ”

คราวนี้คนฟังพูดไม่ออก เพราะข้อต่อรองเริ่มน่าสนใจ

“ได้โปรดเถิดแม่มาลัย ช่วยคุณชวิน และช่วยผมด้วย”

แววตาของเมืองในร่างชวินทำให้มาลัยทองเกิดความสงสารขึ้นมาอย่างประหลาด

“ก็ได้ แต่บอกเขาด้วยนะว่าฉันขอแค่ดาบเท่านั้น และอย่ามีเงื่อนไขอะไรเพิ่มเติมอีก”

เมืองค่อยยิ้มออก “เขาบอกว่า โอเค”

ชายหนุ่มพูดสำเนียงแปลกๆ จนเธอเองก็อดขำไม่ได้ แต่ก็เป็นการหัวเราะที่แสนหนักใจไม่น้อย เพราะการช่วยเหลือเรื่องธุรกิจของชวินระหว่างที่เขายังกลับเข้าร่างเดิมไม่ได้คงเป็นเรื่องสาหัสเอาการ หรือว่าเธอจะตกกระไดพลอยโจนไปเสียแล้ว

 

ยามอรุณรุ่ง แสงสีทองฉายทาบทับแผ่นฟ้า เสียงไก่ตัวผู้โก่งคอขันรับเช้าวันใหม่อย่างแข็งขัน สกุณาน้อยใหญ่บนต้นไม้พากันออกหาเหยื่อเพื่อป้อนให้ลูกนกบนรัง นกตัวหนึ่งบินวนเหนือหลังคาบ้านเรือนในพระนคร ก่อนจะโฉบเข้าจิกหนอนตัวใหญ่ที่กำลังกัดกินใบไม้ที่ถนนไปสู่ตลาด เมื่อจับเหยื่อได้มั่น พ่อนกก็ขยับปีกอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะมีเสียงฝีเท้าม้าที่ดังมาตามทาง

ขุนอินชัยและลูกสมุนขี่อาชาตัวเก่งผ่านตลาดอันคลาคล่ำไปด้วยชาวบ้าน เขาจงใจกระตุกเชือกและขยับขาเพื่อส่งสัญญาณให้ม้าชะลอฝีเท้า ก่อนจะยืดอกและเหลือบมองทุกคนที่มองเขาอย่างชื่นชม โดยเฉพาะอิสตรี

แน่ละสิ...ผ่านย่านคนชุกชุม ก็ต้องดึงดูดความสนใจเสียหน่อย ตลาดกลางเมืองมีคนมาจับจ่ายกันทั่ว จะให้ขี่ม้าผ่านไปโดยง่ายได้อย่างไรกัน

“ท่านขุน จะไปไหนหรือจ๊ะ” แดง แม่ค้าขนมไวกว่าใคร ตะโกนลั่นพร้อมกับหยิบของที่เธอขายมายื่นให้ด้วยไมตรี

“ข้ากำลังจะไปเรือนพระยานเรนทร์ วันนี้ข้าจะพาท่านเจ้าคุณเข้าป่าล่าสัตว์”

ได้ยินแค่นั้นแม่ค้าสาวก็ตาโต ชื่นชมในหน้าที่การงาน

“ดีเสียจริง ใครได้เป็นภรรยาท่านนั้นคงมีวาสนาได้เป็นใหญ่เป็นโตเป็นแน่” เธอป้อยอ ขุนอินชัยรูปงาม ทั้งวาจาก็เพราะ อนาคตทางการงานคงอีกไกล และที่สำคัญเขายังไม่ตกลงปลงใจยกใครขึ้นมาเป็นเมียเอก แม้จะมีข่าวคราวว่ามีเมียบ่าวเมียไพร่อยู่ในบ้านพอสมควร

“ข้ายังอาจจะรอรักจริงอยู่ก็ได้ แม่แดง”

เขายิ้มหวานจนแม่ค้าสะท้านเอียงอาย มือไม้ตัวเองดูเกะกะไปหมด หรือรักจริงที่ท่านขุนหมายถึงจะเป็นเธอ

“ข้ายังรอท่านเสมอนะ ท่านขุน รอว่าสักวันท่านจะ...”

“พอแล้วอีแดง”

เสียงหนึ่งดังขัดจังหวะทั้งคู่ ไม่เพียงแต่แดงจะหน้าเสีย ขุนรูปหล่อก็มีอาการไม่ต่างกันนัก

“ท่านผู้หญิงจำปา“ เธอเอ่ยชื่อนั้นอย่างเกรงขาม

“สว่างโร่เช่นนี้ กลางตลาดนี่มึงก็ยังพูดคุยกับผู้ชายได้อย่างหน้าไม่อาย” จำปาตำหนิจนแดงหน้าเจื่อน แล้วชำเลืองมองไปยังคนบนม้า “พ่ออินชัยก็อีกคน มีอยู่ที่เรือนก็เยอะแยะ ยังจะจ้องจะหว่านเสน่ห์ผู้หญิงไปทั่ว”

“ข้าก็ทักทายชาวบ้านแค่นั้น ว่าแต่ท่านพี่ทำไมถึงมาจ่ายตลาดได้” ขุนอินชัยรีบเปลี่ยนเรื่อง

“มันเรื่องของข้า”

ขุนอินชัยถอนหายใจ ก่อนกระตุกเชือกม้าให้เดินหนี ไม่อยากฟังคำบ่นยาวจากพี่สาว

คนแก่กว่ามองตามอย่างไม่สบอารมณ์นัก หันไปคุยกับสาวใช้คนสนิทที่วัยไม่ห่างกัน “ดูเอาเถิดอีแตง อายุอานามก็มากขึ้นทุกวัน ยังทำตัวเป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน ไม่น่านับถือเอาเสียเลย”

“คนหนุ่มก็เป็นเช่นนี้กระมังเจ้าคะ อารมณ์ร้อน เห็นผู้หญิงก็อยากป้อยอ” แตงแสดงความคิดเห็น

“จะเบญจเพสแล้ว เมียก็ไม่แต่งให้เป็นชิ้นเป็นอัน สักแต่อยากได้ไว้บนเรือนเยอะแยะ เห็นใครถูกใจก็สัญญาว่าจะเลี้ยงดู กูเองก็เกรงใจท่านเจ้าคุณนัก” จำปาเอ่ยด้วยความหนักใจ เธอเป็นลูกของหลวงบริบูรณ์ ถูกยกให้ตบแต่งเป็นศรีภรรยาของนเรนทร์ตั้งแต่ครั้งเขารับตำแหน่งเป็นแค่หลวง แต่ดูเหมือนทั้งเธอและสามีเป็นคู่แท้คู่ทอง หลวงนเรนทร์ซึ่งทำงานรับราชการด้วยความซื่อสัตย์ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ จนบัดนี้มีบรรดาศักดิ์ยิ่งใหญ่เป็นถึงพระยา

ส่วนอินชัยเป็นน้องชายที่เกิดห่างกันถึงสิบห้าปี ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็ก พ่อแม่จึงแสนรักแสนห่วง ฝากฝังพี่คนโตอย่างเธอให้ช่วยดูแล 

พระยานเรนทร์เองก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี คอยพร่ำสอนเรื่องการเรียนให้แก่อินชัย จนกระทั่งผลักดันให้เข้ารับตำแหน่งราชการ อินชัยเป็นคนฉลาดเรื่องคำพูด ทั้งที่เรื่องฝีไม้ลายมือทางการทหารนั้นไม่ได้เก่งมากมาย ทำไมพี่สาวอย่างเธอจะไม่รู้

น้องชายเป็นคนรูปงาม แต่ก็นั่นแล มีแต่รูปและคำหวานเท่านั้นที่ต้องตาสตรีทั่วพระนคร ในใจพี่สาวอย่างจำปาอยากให้เขาทำหน้าที่ข้าราชการให้เต็มที่กว่านั้น

“ก็ได้แม่บัวหอมไปเป็นเมียแล้วอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าว่าอีกไม่นานเธออาจจะยกให้แม่บัวหอมเป็นเมียออกหน้าออกตาจริงๆ ก็ได้” แตงเอ่ย แต่คนฟังกลับถอนหายใจแรง

“เรื่องนี้ก็อีกเรื่องที่กูปวดหัวนัก ทำไมกูจะไม่รู้แตง ว่าพ่ออินชัยไม่ได้รักชอบอีบัวหอมมันดอก ที่ทำไปเพราะมันอยากเอาชนะไอ้เมือง อีบัวหอมนี่อีกคน พอเจอคำหวานของน้องชายกู ก็หูเบาทำงามหน้าวิ่งไปอยู่กับเขาเสียแล้ว ไม่เห็นใจคนที่รักมันอย่างไอ้เมืองเลย แล้วคอยดูนะแตง อีกไม่นานพ่ออินชัยก็จะเบื่อ และบัวหอมก็จมอยู่แต่ในครัวเท่านั้น”

“ท่านพูดราวกับว่าท่านขุนไม่ได้รักใครจริง”

“อาจจะมี แต่กูว่าพ่ออินชัยกำลังรอใครก็ตามที่เหมาะสมกับเขา หาใช่ผู้หญิงที่เขาพูดจาหว่านล้อมไม่”

ร่างของน้องชายและสมุนหายไปลับตาแล้ว จำปาจึงหันไปสนใจข้าวของในตลาดต่อ นานแล้วเหมือนกันที่เธอไม่ได้ออกมาเที่ยวตลาดยามเช้า วันนี้อากาศดี เห็นว่ามีพ่อค้าเมืองไกลเอาของแปลกมาขายมากมาย จึงอยากมาดูด้วยตาเสียหน่อย

หลังสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมายังแผ่นดินฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงสร้างบ้านแปงเมืองและปกครองบ้านเมืองด้วยพระปรีชาสามารถ ทำให้การติดต่อกับต่างชาติกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหม่ที่ใครๆ ก็อยากมาค้าขาย

จำปาชื่นชมสินค้านานาชนิด ทั้งผ้าไหมจากตะวันออกกลาง เครื่องเทศจากอินเดีย ถ้วยชามจากเมืองจีน พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับหนุ่มร่างยักษ์ที่เดินมากับเด็กหนุ่มผิวขาว

“นั่นไอ้เมืองนี่” เธอเอียงตัวสะกิดสาวใช้ให้มองตาม

“เจ้าค่ะ”

จำปาไม่รอสิ่งใด เดินปรี่ไปหา แม้ว่าชายผู้นั้นจะมียศถาบรรดาศักดิ์ต่ำกว่า

“ไอ้เมืองยักษ์” เธอทักเสียงดัง แต่ก็แจกรอยยิ้มให้เป็นไมตรี

ชวินกะพริบตาปริบๆ ส่วนคำสารีบยกมือไหว้และคุกเข่า

“นึกอย่างไรจึงมาตลาดได้” จำปาแปลกใจ เพราะไม่บ่อยที่เธอจะเห็นหนุ่มร่างใหญ่มาเดินในที่ผู้คนพลุกพล่าน ปกติจะเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนริมน้ำเจ้าพระยาเสียมากกว่า

“คือ เอ่อ...” ชวินตกใจเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถาม คุ้นหน้าผู้หญิงคนนี้ว่าเป็น...ใช่แล้ว ภรรยาของพระยานเรนทร์

“ข้าก็อยากมาเที่ยวเล่นเสียบ้าง มาดูของค้าของขาย อยู่แต่บ้านมันน่าเบื่อขอรับ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม ยิ่งสร้างความแปลกใจให้จำปาและสาวใช้

“หึ...แล้วไม่กลัวใครๆ เขาจะกลัวมึงอาละวาดหรือนี่” จำปาได้ทีแซ็ว “แต่ก็ดี...ดีแล้ว กูกลัวว่ามึงจะยังคิดมากเรื่องอีบัวหอมอยู่”

ชวินคิดตาม “อ๋อ ไม่หรอก ผู้หญิงมีเยอะแยะมากมาย ท่านก็ดูเอาสิ แค่ในตลาดก็มีทั้งสาวไทย สาวแขก สาวจีน ข้าส่งสายตาคลิกเดียว เดี๋ยวก็ตามมาเป็นขบวน”

คำสาเห็นท่าไม่ดีรีบชิงตัดบท “พี่เมืองไม่อยากเป็นคนเก็บตัวเงียบเหมือนเดิมแล้วขอรับ ข้าก็เลยพาออกมาเปิดหูเปิดตา”

คนแก่กว่าพยักหน้าเข้าใจไปตามเรื่อง “อ้อ แล้วอย่าเที่ยวเพลินจนลืมเข้าป่ากับสามีข้าล่ะ” เธอหมายถึงช่วงสายของวันนี้ พระยานเรนทร์กับเหล่าทหารคนสนิทจะเข้าป่าล่าสัตว์ตามที่ได้นัดกันไว้เนิ่นนาน

“ไม่ลืมดอกขอรับ พวกข้าเตรียมตัวมาแล้ว” คำสาตอบแทน ทั้งยังชูข้าวของที่เตรียมจะไปล่าสัตว์กับพระยานเรนทร์

“เอาจริงๆ นะท่านผู้หญิง ข้าเองชักไม่อยากไปเท่าไหร่ ท่านพอจะบอกสามีท่านได้หรือไม่ว่าให้ข้าอยู่ในพระนครเถอะ...” กำลังจะพูดต่อ เด็กหนุ่มก็ชิงตัดบทอีกครั้ง

“พวกข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” คำสาเอ่ยแล้วรีบลากแขนพี่ชายตัวดีจากไป

จำปามองอย่างแปลกใจ

“ดูเหมือนว่าไอ้เมืองมันจะไม่เหมือนเดิมนะเจ้าคะ” กลับเป็นแตงที่เอ่ยความสงสัยนั้นออกมาก่อน

“มึงก็คิดเหมือนกู ข่าวว่าตั้งแต่มันเจออีบัวหอมตัดสวาทขาดรัก มันเอาแต่ร่ำสุราอยู่ที่เรือนมัน คงชอกช้ำใจน่าดู พอวันนี้กลับดูพูดมาก” จำปาเอ่ย

“ข้าได้ยินบ่าวไพร่ในครัวเล่าว่า คืนก่อนนั้นมันถูกฟ้าผ่า แต่ไม่ยักเป็นอะไร”

“จริงรึแตง”

“เจ้าค่ะ”

“น่าสงสารเสียจริง หรือว่ามันจะถูกฤทธิ์สุราและฟ้าผ่า ทำให้มันกลายเป็นชายวิปลาสเสียแล้ว” คนมีอำนาจเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจ ทำไมหนอ คนดีอย่างหนุ่มร่างยักษ์ทำสิ่งใดก็ไม่มีใครเห็นค่า

 

“อะไรวะไอ้คำสา ข้ายังคุยกับท่านผู้หญิงไม่จบเลย จะรีบลากออกมาทำไม” ชวินโวยวายใส่เด็กหนุ่ม

“ขืนให้พี่พูดต่อ ท่านผู้หญิงได้สงสัยเป็นแน่ว่าพี่แปลกไป”

“ข้าก็พยายามกลมกลืนแล้วไง ไม่ได้ทำตัวประหลาดเสียหน่อย”

คำสาเกาหัว “ไม่ประหลาดอย่างไร พี่เมืองหาได้เป็นคนพูดมากไม่ จะเอ่ยแต่ละทีก็นับคำได้ แต่เมื่อครู่พี่คุยกับท่านผู้หญิง ท่านยังฟังไม่ทันเลย”

“อ้าว ไอ้นี่ ว่ากูพูดมากเหรอ”

ชวินยกมือหมายจะเขกกะโหลก แต่เด็กหนุ่มรีบวิ่งหนีไปเสียก่อน

 

หน้าเรือนไทย บริวารบางส่วนกำลังเตรียมม้าและเสบียงรออยู่แล้ว กำหนดการเดินป่าของพระยานเรนทร์ จะมุ่งไปยังป่าทางทิศตะวันออกของเมือง ใช้เวลาสองคืนสามวัน เป้าหมายคืออยากล่าสัตว์ตามความชอบ อีกอย่างคือท่านเจ้าคุณอยากไปชมน้ำตกแห่งใหม่ที่มีคนเล่าลือว่าสวยงามดั่งสรวงสวรรค์

เมืองเคยไปที่น้ำตกแห่งนั้น การเดินทางครั้งนี้พระยานเรนทร์จึงขาดเขาไม่ได้ ยังดีที่คำสาพอรู้เรื่องเส้นทางเพราะเมืองเคยเล่าให้ฟัง ทำให้ชวินค่อยสบายใจขึ้นบ้าง แต่กระนั้นเขาจะเอาตัวรอดไปได้ตลอดแน่หรือ

จำปากลับจากตลาดก็เลี้ยงอาหารเช้าสำหรับผู้ร่วมเดินทาง ยามสายเมื่อทุกคนพร้อม พระยานเรนทร์ก็ลงบันไดมา เขาสั่งลาเมียรัก ก่อนจะขึ้นม้าและสั่งให้เคลื่อนขบวน

“ไอ้คำสา” ชวินเรียกน้องชายเสียงเบาเมื่อเห็นคนร่างเล็กเดินตามออกไปโดยไม่สนเขา

“มีอะไรรึ”

“ข้าขี่ม้าไม่เป็น”

คำสาตกใจเหลียวซ้ายแลขวา เกรงจะมีใครได้ยิน “พี่เป็นผู้ชาย ทำไมถึงขี่ม้าไม่ได้”

“คนในยุคข้ามันมีม้าให้ขี่เสียที่ไหนล่ะ”

“งั้นข้าจะดันพี่ขึ้นไปนะ”

ทุกสายตาเริ่มหันมามองสองพี่น้องที่มีพิรุธอยู่ข้างม้าที่เตรียมให้

“พี่ใช้เท้าขึ้นไปก่อนสิ”

“เอ็งก็สั่งให้มันหมอบลงไม่ได้เหรอ”

สองหนุ่มชุลมุนจนขุนอินชัยต้องหันมามอง เขาควบม้ามาดูใกล้ๆ เห็นเด็กหนุ่มกำลังรุนก้นชายร่างยักษ์ให้ขึ้นม้าอย่างทุลักทุเล

“นี่มึงสองคนทำอะไร”

คำสาตกใจเผลอปล่อยมือ ทำให้ร่างของยักษ์ของเมืองล้มทับทันที

“โอ๊ย!”

เด็กหนุ่มร้องลั่น ขณะที่ชวินหันไปมองขุนอินชัยที่ทำให้เสียจังหวะ

“ข้าก็กำลังจะขึ้นม้าไง ท่านนั่นแหละ มาวุ่นวายอะไรกับพวกเรา”

“ก็กูเห็นมึงสองคนทำอะไรลับๆ ล่อ”

ชวินพยายามปกปิดสีหน้าวิตก “ข้าแค่อยากให้ไอ้คำสามันได้ลองขี่ม้าตัวนี้บ้าง ส่วนข้าจะเป็นคนจูงไปเอง”

ขุนอินชัยยังไม่หายสงสัย

“แน่ะ ยังจะมองอีก ไปไหนก็ไปสิ เร็วไอ้คำสา ขึ้นม้าสิวะ”

เขาหันไปสะกิดให้เด็กหนุ่มรีบขึ้นม้า ขุนอินชัยจึงกระตุกเชือกบังคับม้าจากไป

“เกือบพลาดแล้วไหมล่ะ” คำสาบ่นพร้อมปาดเหงื่อ

“แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้ หวังว่าข้าคงไม่ต้องเดินจูงเหมือนที่พูดนะ” ชวินคิดหนัก

“คงไม่ต้องดอกพี่” คำสากระตุกเชือกเพื่อออกคำสั่งกับอาชา ม้าตัวใหญ่ก็ย่อขาลงทันที “ไปด้วยกันนี่แล พี่ก็ซ้อนหลังข้า ส่วนข้าจะเป็นคนบังคับมันเอง”

ชวินมีแววตาลิงโลด “เยี่ยมมากน้องชาย ข้าอยากจะหอมแก้มเอ็งนัก”

เขาเอ่ยพร้อมกับขึ้นหลังม้า กำลังจะยื่นหน้าไปหยอก เด็กหนุ่มก็เหลือบตามองด้วยสีหน้าจริงจัง

“แหม ข้าก็ล้อเล่น โอ๊ย...คนบ้านเมืองนี้มันเป็นอะไรไปหมด ซีเรียสเสียจริง รู้หรือเปล่าว่าถัดมาอีกสองร้อยปี สยามได้ชื่อว่าแลนด์ออฟสไมล์ ดินแดนแห่งรอยยิ้มนะ”

เขากอดอกบ่นพึมพำ ก่อนที่คำสาจะออกคำสั่งให้ม้าวิ่งตามขบวนออกไป

เสียงฝีเท้าม้าพาขบวนกว่ายี่สิบชีวิตห่างออกจากพระนครไปเรื่อยๆ บ้านเรือนผู้คนสองข้างทางเริ่มทิ้งช่วงห่าง ขณะที่ต้นไม้ใหญ่เริ่มเห็นชัด พวกมันแผ่กิ่งก้านปกคลุมแน่นหนา แสงตะวันลอดกิ่งไม้ได้เพียงน้อยนิด อากาศเริ่มเย็นระคายผิว

ชวินนั่งบนม้า โดยที่คำสาทำหน้าที่บังคับอาชาได้อย่างคล่องแคล่ว

“ไม่ยักรู้ว่าเอ็งก็ขี่ม้าเก่ง เห็นตัวเล็กอย่างนี้”

“พี่เมืองนั่นละสอนข้า”

“ก็ถือว่าเขาเป็นคนใจดีนะ แม้จะดูหน้าโหดไปหน่อย”

คำสาหัวเราะ “ไม่ดอก ใครๆ ชอบว่าพี่เมืองเป็นคนดุร้าย แต่ข้าอยู่กับพี่เมืองมาหลายปี ข้ารู้ว่าเขาจิตใจอ่อนโยนนัก

“แล้วไอ้พี่เมืองของเอ็งสอนอะไรเอ็งอีก”

“ก็อีกหลายอย่าง ทั้งหมัดมวย เพลงดาบ ปลูกข้าว อ้อ มีอย่างเดียวที่ข้าทำไม่เป็นเสียทีก็คือว่ายน้ำ”

“งั้นเหรอ คนเราไม่จำเป็นต้องทำได้ทุกอย่างหรอก”

สองหนุ่มสนทนากันท่ามกลางป่าเขียวขจี พลันขุนอินชัยก็ควบม้าเข้ามาหา

“นี่ ไอ้เมือง ตอนนี้เข้าแนวป่าแล้ว ท่านเจ้าคุณให้มึงประกบกับทหารแนวหน้าเพื่อนำทาง” เขาออกคำสั่งด้วยสีหน้าไม่พอใจ แน่ละสิ ถึงเวลาที่ชายร่างยักษ์จะได้รับความไว้ใจแล้ว

“ได้ พวกเราจะรีบไป”

คำสาตอบแทนพร้อมกับกระตุ้นม้าผ่านหน้าขุนอินชัยไป ไม่วายที่ชวินหันไปแลบลิ้นใส่

“เอ็งแน่ใจนะว่าจำทางได้” ชวินถามความมั่นใจจากคนรู้ทาง

“พี่เมืองบอกข้าว่า ทางไปน้ำตกสวรรค์คือต้องเลาะตามแนวเขานี้ไปจนสุด แล้วจะเจอลำธาร ให้ตามเส้นทางน้ำจนเห็นภูเขาสามลูกเรียงกัน เดินไปจะถึงทางแยกแล้วเลี้ยวขวาก็จะถึงเอง”

“มันต้องใช้เวลากี่วัน”

“คงประมาณหนึ่งวัน พรุ่งนี้จึงจะถึงน้ำตก”

“จะบ้าตาย แล้วเอ็งดูสภาพป่า รกไปหมด จะเห็นเหรอแนวภูเขา” ชวินผายมือให้ดูเพราะรอบตัวบดบังด้วยต้นไม้ใหญ่

“นั่นละที่พี่เมืองบอกว่าเป็นความสนุกของการเดินป่า ทุกย่างก้าวต้องคอยมองคอยระวังอยู่เสมอ” คำสายิ้มกริ่ม

“พูดเหมือนพี่ชายเอ็งจะสอนมาดี แล้วมันพาเอ็งเข้าป่ากี่ครั้งแล้วล่ะ”

“ครั้งนี้ครั้งแรก จะว่าไปถ้าพี่เมืองยังอยู่ก็คงไม่ให้ข้ามาดอก แต่เมื่อสลับร่างกันอย่างนี้ ข้าจึงจำเป็นต้องช่วย”

“แหม...ทำไมฉันรู้สึกว่าเอ็งได้ทีเชียว” ชวินแขวะ

 

เดินทางมาได้นานจนดวงตะวันเคลื่อนไปอยู่เหนือศีรษะ แต่โชคดีที่มีเมฆก้อนใหญ่มาช่วยบดบัง พระยานเรนทร์จึงสั่งพักขบวนใต้ต้นไม้ใหญ่ เขานั่งปาดเหงื่อมองดูทิวเขาตรงหน้า

“ท่านเจ้าคุณแน่ใจหรือขอรับว่าจะเชื่อไอ้เมืองมัน ข้าว่าช่วงนี้มันดูแปลกๆ เหมือนพวกวิปลาส” ขุนอินชัยแอบฟ้องพี่เขย

“ข้าก็ไม่ได้วางใจไปทุกอย่างดอกท่านขุน ทำการใหญ่เราต้องเผื่อปัญหาหลายอย่าง ท่านอาจยังไม่รู้ คนนำทางที่เคียงไอ้เมืองคือพรานเอก เขาก็คล่องเส้นทางป่านี้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องไอ้เมืองข้าก็ไม่ได้หวังว่ามันจะต้องนำทางให้ได้ดอก เพียงแต่มันนั่นละที่อยากให้ข้าไปเห็นน้ำตก ไปล่าสัตว์ที่นั่นสักครั้ง” คนมียศสูงเอ่ยด้วยแววตาเอ็นดู

“ท่านเจ้าคุณกับพี่จำปาดูโปรดปรานมันนัก” เป็นอีกครั้งที่ขุนอินชัยออกอาการน้อยใจพี่เขย

“พ่ออินชัย พูดเหมือนอิจฉาไอ้เมือง ทั้งๆ ที่เจ้ามีทุกอย่างเหนือมัน”

“ข้าไม่ได้อิจฉามันดอก”

“หึ...หากเจ้าเอาตนเองไปเปรียบกับคนที่ด้อยกว่าแล้วยังรู้สึกว่าอยากจะชนะ นั่นแสดงว่าเจ้าแพ้”

ขุนรูปงามยากที่จะทนฟัง จึงเดินเลี่ยงมาเสีย แต่สายตายังแลไปยังหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งข้างเด็กหนุ่ม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงอยากเอาชนะเมืองอยู่เสมอ

อาจเป็นเพราะอายุอานามที่ใกล้เคียงกัน เมืองถูกชุบเลี้ยงภายใต้บารมีของพระยานเรนทร์ หลังจากที่หนีข้าศึกพม่าเข้ามาในสยามเมื่ออายุเจ็ดขวบ

หลังจากนั้นชีวิตที่แสนสบายของอินชัยก็ต้องถูกเปรียบเทียบอยู่เสมอ ในเมื่อเขาเป็นถึงน้องเขยของพระยานเรนทร์ แต่กลับทำอะไรไม่เป็นเรื่องสักอย่าง ขณะที่ไอ้เด็กกำพร้าหนีสงครามกลับมีฝีมือทางการทหารที่ใครต่างชื่นชม มันจึงก่อตัวเป็นความริษยาให้เขารู้สึกไม่พอใจทุกครั้งที่มีใครชื่นชมไอ้ยักษ์น่ากลัวนั่น ไม่สิ เขาเกลียดทุกอย่างที่เมืองมีความสุข พยายามขัดขวางเมืองทุกวิถีทาง

ทำไมขุนอินชัยจะจำไม่ได้ ตอนอายุสิบขวบ วัดใกล้ๆ มีงานสมโภช หลวงบริบูรณ์ผู้เป็นบิดาและพระยานเรนทร์เกิดความคิดอยากให้เขาและเมืองชกมวยเพื่อทดสอบฝีมือ นัยหนึ่งอาจเพราะต้องการดัดนิสัยขี้เกียจของอินชัย

ครั้งนั้นทั้งสองถูกจับขึ้นชกท่ามกลางคนทั้งพระนคร อินชัยจำเสียงระฆัง เสียงโห่ร้องของผู้คน และความเจ็บปวดเมื่อถูกไอ้ลูกกำพร้าระดมหมัดใส่ ไม่ถึงสิบหมัดเขาก็ร่วงผล็อยจนหามออกนอกสังเวียนแทบไม่ทัน

บาดแผลที่กายครั้งนั้นเจ็บปวดไม่กี่วันก็หาย แต่แผลในหัวใจบาดลึกยากจะลืม เขาสัญญากับตัวเองว่าจะทำทุกวิถีทางให้ชนะเมืองให้ได้ เวลาผ่านไปหลายปี แม้เด็กชายที่แพ้ในเวทีมวยเติบโตเป็นขุนรูปงามที่ใครๆ ก็ต่างชื่นชม แต่ทำไมหนอ...ยามได้เห็นหน้าของเมืองเมื่อไร เขาจึงยังพูดว่าตัวเองชนะได้ไม่เต็มปาก

ดูเอาเถิด ทั้งลาภยศ ชื่อเสียง รูปร่างหน้าตา เขาเหนือกว่ามันทุกอย่าง หรือแม้แต่ดวงใจของมันอย่างบัวหอม เขาก็เฉือนแย่งมาได้อย่างสมหวัง ตอนที่ได้ข่าวว่ามันฟูมฟายเสียใจ เขาช่างเป็นสุขนัก ไอ้เมืองร่ำสุราด้วยน้ำตา แต่เขากลับยกมันซดพร้อมเสียงหัวเราะ

ที่น่าแปลกใจ ผ่านไปไม่กี่วันเจ้ายักษ์มันกลับหัวเราะได้หน้าตาเฉย ผิดหน่อยก็ตรงที่มันทำตัวแปลกไปเท่านั้น

 

“ไอ้เจ้าขุนอินชัยอะไรนั่นมันเป็นอะไรกับข้านักหนาวะ ดูสิ จ้องมาทางเราเขม็ง

คำสามองตามที่ชวินเอ่ย “เขาเคยต่อยมวยแพ้พี่ เลยแค้นอยากเอาชนะให้ได้ตลอดกระมัง พี่มั่นกับพี่มิ่งเคยบอกข้า”

“โห แค้นฝังหุ่นแบบนี้ แสดงว่ามันคงกัดข้าไม่ปล่อยแน่”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ถ้าเป็นไปได้พี่ต้องระวังตัวหน่อยแล้วกัน ขุนอินชัยคงทำทุกวิถีทางที่จะเอาคืนพี่ให้สาสม”

“เอ็งไปบอกมันหน่อยก็ได้นะว่าเรื่องรบราฆ่าฟันฉันไม่ไหว แต่ถ้าเป็นเรื่องหัวใจฉันไม่ถอย”

คำสาเบือนหน้าหนี แต่คนพูดกลับยักไหล่ผิวปากอย่างอารมณ์ดี พี่ชายจากเมืองไกลคนนี้แม้จะไม่เก่งเรื่องที่ชายชาตรีจะเป็น แต่เขาก็ใช่ว่าจะหวั่นเกรงเรื่องใดง่ายๆ

ช่างสนุกไปทุกเรื่องเสียจริง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น