8

ทหารผู้ไร้ฝีมือ


บทที่ ๘

ทหารผู้ไร้ฝีมือ

 

“ทำไมรีบออกมาเสียก่อนเล่าแม่มาลัย ผมยังไม่ได้เอาเลือดหัวมันออกเลย” เมืองโวยวาย แต่หญิงสาวไม่สน ตั้งหน้าตั้งตาดึงแขนเขาออกจากห้างสรรพสินค้า มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ

“แค่นั้นฉันคิดว่าผู้ชายคนนั้นก็คงจะเจ็บตัวไปไม่น้อยแล้ว” เธอตอบ ใครจะนึกว่าอยู่ดีๆ คนที่รูปร่างเล็กกว่าอย่างชวินจะพุ่งตัวง้างมือชกปากราชันชนิดที่แอนตาซิลต้องยอมจ่าย

“ก็มันพูดจากวนใจ” เมืองเอ่ย

“เมือง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นคนยังไง แต่ถ้าคุณยังอยู่ในร่างของชวิน สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังนอกเหนือจากคำพูดก็คือ ฉันอยากให้คุณระงับสติอารมณ์ด้วย”

“อย่างไรรึ” เขายังดูไม่เข้าใจ

“ก็...อย่าได้ไปทำร้ายใครง่ายๆ แบบนั้น”

“ทีแม่หญิงที่แต่งหน้าจัดเหมือนนางรำยังสาดน้ำใส่คุณก่อนได้”

มาลัยทองหลุดหัวเราะออกมา

“ฉันหมายถึงทำร้ายร่างกาย ยุคนี้บ้านเมืองเรามีขื่อมีแป หากคุณทำอะไรคนอื่นโดยไม่คิด คุณอาจจะถูกจับ”

“ใครจะกล้า” เมืองพูดอย่างท้าทาย

มาลัยทองถอนหายใจเหนื่อย สงสัยหมอนี่คงจะเก่งกล้าบ้าพลังระดับสิบแน่ๆ

“เอางี้ สัญญากับฉันได้ไหมว่าจากนี้ไปคุณจะระงับอารมณ์ ไม่ทำร้ายคนอื่นอีก”

“ทำไมผมต้องสัญญา”

“ก็อยากให้ฉันช่วยไหมล่ะ” มาลัยทองเริ่มรำคาญ สำหรับชวินไม่ว่าใครสิงร่างก็ช่างพูดไม่รู้เรื่องเหมือนกัน

“ก็ได้ ผมจะอดทนให้มากกว่านี้”

อารมณ์ของหญิงสาวค่อยเย็นลง “ไปกันเถอะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณต้องรู้ ตราบใดที่คุณต้องเป็นนายชวินผู้ร่ำรวย”

 

ดาราจันทร์ค่อยๆ ใช้ผ้าซับมุมปากให้ชายหนุ่ม มันมีรอยแตกและเลือดซึม อันเป็นผลจากกำปั้นของชวิน เศรษฐีรูปหล่อ

“อูย...เบาๆ หน่อยสิคุณ” ราชันร้องเสียงหลง

“อะไรกัน แผลแค่นิดเดียว” เธอบ่น “แต่ก็น่าแปลก ปกติหมอนั่นสู้คนเสียที่ไหนถ้าไม่มีบอดีการ์ด” ดาราจันทร์เอ่ย เพราะเท่าที่รู้จัก ชวินจะสู้รบตบมือกับใครก็ต้องอาศัยเหล่าลูกสมุนกล้ามโตเท่านั้น

“ผมก็คิดเหมือนคุณนั่นแหละ เลยประมาทไปหน่อย โดนมันชกเข้าตอนไหนไม่รู้ คอยดู ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด...โอ๊ย!”

ดาราจันทร์กดผ้าที่ปากราชันอย่างแรงจนเขาร้องเสียงหลง

“จะบ้าหรือไงคุณ ผมเจ็บนะ”

“คุณนั่นแหละ บ้าหรือไงที่จะไปเอาเรื่องวิน เกิดเรื่องมันดังไปสามบ้านแปดบ้าน คุณไม่อายหรือไงที่ตัวโตขนาดนี้กลับถูกหนุ่มร่างเล็กกว่าอย่างชวินชกคว่ำ เสียชื่อนักกีฬารักบี้ดีกรีนักเรียนนอกหมด”

คำพูดของดาราจันทร์ทำให้ราชันได้สติ

“นั่นสินะ”

“ปล่อยมันไปก่อน คนอย่างชวินคุณคิดจะเอาคืนเมื่อไหร่ก็ได้ อย่าทำอะไรตามอารมณ์นัก”

“ทำเป็นสอน เมื่อกี้คุณเองไม่ใช่เหรอที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน” เขาแย้ง

“เอาเถอะน่า ถือว่าพวกเราประมาท”

ราชันเห็นด้วยกับเธอ เขาไม่มีวันยอมให้ถูกชกฟรีๆ แน่ แค้นนี้ต้องชำระ

 

“เป็นอย่างไรบ้างพี่เมือง นอนหลับสบายดีไหม”

เด็กหนุ่มยิ้มร่า ส่งเสียงทักทายเขาแต่เช้า แต่ชายเจ้าของห้องกลับไม่ได้สดใสด้วย เหตุเพราะการหลงภพทำให้ชวินนอนไม่หลับทั้งคืน

“หึ...สบายดีมาก” เขาตอบประชด

“เช่นนั้นก็ดี เร็วเข้าเถิด เราต้องไปพบพระยานเรนทร์” คำสาเร่งเร้าทั้งยังเก็บที่นอนให้เขา

“ฉัน...เอ๊ย ข้าไม่ไปไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้ดอก ท่านเจ้าคุณรอพี่คนเดียว”

ชวินทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาอาบน้ำในคลองหน้าบ้านอย่างยากลำบาก และเมื่อเห็นสภาพตัวเองในเงาน้ำก็ทำได้เพียงถอนหายใจ

ผู้ชายอะไร ทำตัวซกมกชะมัด...

เขาแต่งตัวตามที่คำสาจัดแจงให้ เสื้อผ่าหน้าและนุ่งโจงกระเบนเรียบร้อย ก่อนที่คำสาจะพาชวินลงจากเรือนเดินไปตามทาง ผ่านตลาดกลางเมือง และเข้าไปในเขตรั้วของเรือนไทยหลังใหญ่อันเป็นเรือนของขุนนางผู้ใหญ่ที่ดูแลเขา

ชายชราเดินลงจากเรือนพร้อมศรีภรรยาอย่างสง่าผ่าเผย เขาทักทายขุนนาง ทหาร และบ่าวไพร่ประสาคนที่ปกครองด้วยพระเดชและพระคุณ ทันทีที่พระยานเรนทร์เห็นหน้าหนุ่มร่างยักษ์ เขาก็หยุดนิ่งตั้งใจจะเสวนา

“ว่าอย่างไรเล่าเมือง มึงพร้อมหรือยัง”

คนถูกถามเหงื่อตกเม็ดใหญ่

พร้อม? พร้อมอะไรหว่า หรือจะเป็นเรื่องที่เขาต้องไปล่าสัตว์กับพระยาคนนี้ บ้าหรือเปล่า...แม้แต่มดตัวเดียวเขายังไม่เคยฆ่าเลย

“บ๊ะ! กูถามก็ยังทำหน้านิ่งเสียอีก ที่บอกมึงไปเมื่อวันก่อนนู้นอย่างไรเล่า เรื่องที่อยากให้มึงสอนไอ้แดงหลานกูให้ฝึกจับดาบเสียหน่อย” พระยานเรนทร์เอ่ยตามความประสงค์ ประยงค์ลูกสาวคนโตของเขามีลูกชายวัยกำลังซน ต้องการให้เมืองเป็นผู้สอนวิชาเบื้องต้นให้ ซึ่งทหารหนุ่มก็ได้ตกปากรับคำไปแล้ว

“ข้าเนี่ยนะ” เขาถามย้ำ พระยานเรนทร์พยักหน้า ชวินหน้าเจื่อนแต่ก็คงเลี่ยงอะไรไม่ได้อีกแล้ว...ซวยสองเด้ง นอกจากจะต้องเข้าป่ายังต้องสอนเด็กน้อยอีกหรือนี่

“มึงไม่สบายรึเมือง ดูพูดจาไม่เหมือนเดิม” จำปาจับพิรุธของเขาได้

ชวินสังเกตว่าเธอคงสูงศักดิ์กว่าใคร เพราะนุ่งผ้าจีบสวมสไบเฉียง

“คือ...ข้าก็สบายดี ไม่ได้เป็นอะไร...ขอรับ” เขาพยายามพูดให้เหมือนในละครย้อนยุคที่เคยดู

“เป็นเช่นนั้นก็ดี หยิบดาบของมึงออกมาสิ” พระยานเรนทร์สั่ง

ชวินก้มมองดาบแล้วหยิบมันออกมา แดงมองด้วยความตื่นเต้น เจ้าของร่างใหญ่พยายามชักดาบออกจากฝัก แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้

มิ่งและมั่นเริ่มเห็นความผิดปกติ เอียงตัวเข้าไปกระซิบ

“เกิดอะไรขึ้นรึพี่เมือง ทำไมไม่ชักออกมาเล่า”

“ข้าดึงดาบไม่ออก” เขาตอบ

“หา! พี่เมืองชักดาบออกไม่ได้”

มั่นโพล่งออกมาจนทุกคนบนเรือนสะดุ้งโหยง ขุนอินชัยจ้องมองพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน

“ไอ้บ้า เอ็งจะเสียงดังไปทำไมวะ” ชวินเอ่ย

มิ่งเห็นท่าไม่ดี รีบแย่งดาบในมือพี่ใหญ่และลองดึงมันออกจากฝัก ผลปรากฏว่ามันออกมาอย่างง่ายดาย

“หรือว่ามึงยังเสียใจเรื่องแม่บัวหอมอยู่ ถึงได้ไร้เรี่ยวแรง จะชักดาบออกฝักก็ทำไม่ได้ น่าสงสารนัก” ขุนรูปงามแกล้งถาม

“พ่ออินชัย อย่าได้ตอกย้ำไอ้เมืองมันอีก ข้าว่ามันไม่ใช่นิสัยของลูกผู้ชาย” จำปาตำหนิ ไม่พอใจวาจาของน้องชายตัวเอง

ชวินมองหน้าหนุ่มหล่อที่นั่งสูงกว่า...นี่น่ะหรือ ขุนอินชัย คนที่คำสาบอกว่าแสนขี้ขลาดและพูดจาเอาดีเข้าตัวตลอด ทั้งยังอวดอ้างกับทุกคนว่าเคยช่วยชีวิตคำสาไว้ เท่าที่วิเคราะห์ ไอ้หมอนี่คงไม่ถูกชะตากับเมืองเป็นแน่ โธ่...คงคิดว่าตัวเองหล่อตาย ดูรวมๆ ก็งั้นๆ ชวินตัวจริงเสียงจริงยังหล่อกว่าเห็นๆ

“ว่าอย่างไรเล่าไอ้เมือง มึงเป็นอะไร” พระยาถามต่อ

“เอ่อ...คือข้ารู้สึกว่าไม่สบายขอรับ”

“อะไรกันวะ เมื่อกี้บอกสบายดี ตอนนี้บอกไม่สบายอีกแล้ว” คนมีอำนาจสงสัย

“น่าจะจริงนะเจ้าคะ เจ้าคุณพี่ เมืองคงเหนื่อยทั้งเรื่องรบและเรื่องรัก”

จำปายังเอ็นดูเขาเสมอ ขณะที่พระยานเรนทร์ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ

 

คำสานั่งพูดคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่นอกเรือนพระยานเรนทร์ ทันใดนั้นก็เห็นพี่ชายของเขาเดินออกมาอย่างเร่งรีบ เด็กหนุ่มจึงรีบตะโกนถาม

“อ้าว พี่เมือง จะไปที่ใดรึ”

คนถูกเรียกสะดุ้งโหยง ยกมือขึ้นจุปากและรีบเดินเข้ามาหา

“อย่าเสียงดังไปสิวะ”

คำสาขมวดคิ้ว “แล้วพี่จะรีบไปที่ใด ตอนนี้ยังไม่ถึงเพลาเพลเลย”

“คือข้าจะกลับแล้ว”

“กลับ?” คำสายิ่งงงเป็นทวีคูณ มันไม่ใช่เวลาที่ชายหนุ่มจะกลับบ้าน เมืองต้องรับใช้เจ้านายอยู่ที่เรือนจนถึงค่ำ

“อย่าเพิ่งพูดมากน่า ไปเถอะ”

เขารีบลากแขนคำสาออกไปจากตรงนั้น ระหว่างเดินผ่านตลาด เด็กหนุ่มก็ยังไม่เลิกซักไซ้ไล่เลียง

“พี่กลับมาแบบนี้ ประเดี๋ยวท่านเจ้าคุณก็เคืองดอก”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ข้าลาป่วยแล้ว ข้าไม่สบาย”

“ไม่สบาย?” คำสาเสียงดัง เพราะเห็นว่าเมืองแข็งแรงดี จะแปลกหน่อยก็ตรงที่จำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ค่อยได้ ยังไม่ทันได้ถามต่อ ร่างเล็กของเขาก็เผลอชนเข้ากับใครบางคน

“ว้าย!” คนถูกชนร้องลั่น เธอเป็นหญิงร่างท้วมถือตะกร้าหวาย ข้างๆ มีสาวงามยืนมองด้วยกิริยานิ่งเฉย

“กูนึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็ไอ้คำสากับไอ้เมืองยักษ์นี่เอง” เธอทักด้วยสีหน้าเหมือนรู้จักพวกเขาดี

คำสารีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย แต่หญิงร่างท้วมกลับยังมองเหยียดไปทางชวินอยู่เช่นนั้น ซึ่งแน่นอน เขาไม่รู้จักผู้หญิงสองคนนี้

“จะรีบไปไหนเล่า อ้อ หรือท่านเจ้าคุณนเรนทร์ใช้มึงสองคนไปไถนาแทนควาย” หญิงอ้วนยังพูดไม่หยุด

ชวินหลิ่วตามองสองสาว คนหนึ่งเจ้าเนื้อ ส่วนอีกคนผอมสูงหน้าตาสะสวย เสียดายที่ไม่ยอมมองหน้าเขาเลยสักนิด

“ไม่ได้รีบไปไหนหรอกแม่หญิงคนสวย พวกเราแค่กำลังจะกลับเรือน” ชวินตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่าหล่อที่สุด

คนปากจัดชะงัก “ฮึ นี่มึงพูดเพราะก็เป็นรึ” ทำไมจวนจะจำไม่ได้ว่าเมืองเคยบอกว่าเธอเหมือนหมูป่า

“คนเราก็เปลี่ยนแปลงกันได้ ขนาดข้าไม่เห็นพวกเจ้าหลายวัน ยังคิดว่าเจ้าทั้งสองช่างงดงามขึ้นเหลือเกิน”

สาวปากจัดอ้าปากจะเถียง แต่ชวินยกมือขึ้นจุปาก

“อย่าเถียงข้า เพราะนี่สายตาของบุรุษ ย่อมรู้ดีว่าสตรีที่งดงามเป็นเช่นไร เจ้าทั้งสองไงเล่า”

“อย่ามาแกล้งพูดเพราะเลยพี่เมือง ตัวตนของพี่ใช่ว่าพวกเราไม่รู้ นอกจากหน้าตาโหดร้าย นิสัยใจคอยังกักขฬะต่ำทราม เลิกยุ่งกับข้าได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะฟ้องท่านขุน” สาวสวยที่นิ่งมานานตอบ ก่อนจะรีบดึงแขนเพื่อนร่างท้วมหลบไปทางอื่นเสีย ปล่อยให้ชวินได้แต่มองตาปริบๆ

“อะไรวะ อยู่ดีๆ ก็ด่าเป็นชุด” เขาถอนหายใจ “นี่ไอ้คำสา ผู้หญิงสองคนนั้นเป็นใครวะ ทำตัวหยิ่งยังกับไฮโซดัง” แวบหนึ่งเขานึกถึงดาราจันทร์ผู้เจ้ายศเจ้าอย่าง

“อะไรกันพี่เมือง อย่าบอกนะว่าพี่จำพี่บัวหอมไม่ได้”

“บัวหอม? บัวหอมไหนวะ” เขาคุ้นๆ

“คนรักเก่าของพี่อย่างไรเล่าจ๊ะ ส่วนอีกคนก็พี่จวน คนที่มักหาเรื่องพี่ตลอดเพลาอย่างไรเล่า”

 

ที่แคร่ไม้หน้าเรือนหลังเก่า คำสาตกใจไม่น้อยเมื่อได้ฟังพี่ชายเล่าเหตุการณ์ที่เรือนของพระยานเรนทร์

“พี่คงไม่สบายจากการถูกฟ้าผ่าจริงๆ” คำสาเริ่มเป็นห่วง “แล้วเช่นนี้จะเข้าป่ากับท่านเจ้าคุณได้รึ”

“ก็ขนาดชักดาบออกจากฝัก ข้ายังทำไม่เป็นเลย” เขาบ่น อันที่จริงนอกจากดาบชาตรี นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้จับอาวุธ แถมดาบนั่นก็หนักจะตาย

“เออนี่ ข้าถามอีกเรื่อง แม่บัวหอมคือใครวะ ทำหน้ายังกับพริตตีเงินล้าน” ด้วยนิสัยไม่ชอบให้ผู้หญิงคนใดมาทำหน้าเฉยเมยใส่ ชวินจึงไม่อาจลืมหน้าคนที่ตลาดได้ โดยเฉพาะสายตาดูถูกคู่นั้น

คำสามองหน้าอย่างสงสัย เพราะที่ผ่านมาพี่เมืองของเขามีแต่ผู้หญิงที่ชื่อบัวหอมทุกลมหายใจ

“ก็เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่รึที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้”

“แบบนี้ เอ็งหมายความว่าไงวะ” ชวินเอียงหน้าถาม

“โธ่ ก็ทำให้เมืองยักษ์ต้องกินเหล้าเมายา เป็นหมาน้อยแสนขี้ขลาดไปเสียอย่างไรเล่า”

“ไอ้คำสา ปากดีนักนะแก” คนแก่กว่ามองตาเขียว ขณะที่คำสาได้แต่หัวเราะแก้ตัว

“พี่บัวหอมก็เป็นสาวสวย ทำงานในครัวของท่านเจ้าคุณอย่างไรเล่า”

คำสาเล่าถึงตอนที่เขามาอยู่กับเมืองได้ไม่นาน ชายร่างยักษ์ดูแลคำสาเป็นอย่างดี ใครๆ ก็คิดว่าสาเหตุหนึ่งที่เขาให้คำสามาอยู่ด้วย เพราะอยากให้บัวหอมรู้ว่าแท้จริงเขาก็เป็นคนอ่อนโยนเหมือนกัน

เมืองแอบหลงรักบัวหอมมานาน แต่หนุ่มร่างยักษ์จีบสาวไม่เป็น แถมไปทางไหนก็มีแต่คนหวาดกลัวไปทั่ว จะมีหนทางใดให้เธอเห็นใจได้เล่า

‘มึงก็เอาใจบัวหอมมันหน่อยสิวะ ผู้หญิงจะมีอะไรมาก ของที่มีค่าที่สุดมึงก็ควรหามาให้’ จำปาแนะนำเพราะเธออยากให้เมืองสมหวัง อยากให้ตกล่องปล่องชิ้นกับใครเสียที เมื่อเห็นว่าเมืองพึงใจบัวหอม เธอก็อยากช่วยสนับสนุน

แต่ดูเหมือนคำแนะนำจะไม่เป็นท่า เพราะครั้งหนึ่งเมืองกลับจากการล่าสัตว์ แล้วเดินเข้าครัวไปหาบัวหอมพร้อมกับยื่นหัวควายป่าหัวใหญ่ให้เธอ

‘กรี๊ด!’ สตรีทั้งโรงครัวร้องลั่น

‘นี่มันอะไรกันพี่เมือง’ บัวหอมถามด้วยความตกใจ

‘ควายป่าตัวนี้กว่ากูจะล่ามันมาได้ ทั้งโหดและดุร้ายนัก แต่เมื่อกูฆ่ามันได้ กูอยากเอามาให้มึงเก็บไว้’

เมืองยิ้มด้วยความเขินอาย แต่สาวร่างบางกลับมองตาเขียว จวนรีบเข้ามาหาและไล่ตะเพิดเมืองจนหนีออกจากครัวแทบไม่ทัน

“นี่ข้าเอาหัวควายป่าไปเป็นของฝากผู้หญิงเหรอเนี่ย ไม่โง่จริงทำไม่ได้นะ” ฟังคำสาเล่าชวินก็บีบขมับตัวเองไปด้วย เข้าใจแล้วว่าทำไมเมืองถึงจีบหญิงไม่ติด

“แต่พี่ก็ไม่ท้อนะ พี่บัวหอมยังเป็นดั่งดวงตะวันฉายในทุกเช้าของพี่ ขนาดไปรบถึงเชียงใหม่ พี่ยังเคยบอกกับข้าเลยว่าพี่บัวหอมเป็นเพียงกำลังใจเดียวที่ทำให้พี่อยากกลับกรุงเทพฯ”

“จีบหญิงก็ไม่เป็น ยังเสือกมีความหวังอีก” ชวินแอบพูดเบาๆ

คำสาเล่าต่ออีกว่า อีกหนึ่งความหวังที่ทำให้เมืองอาจได้ร่วมหอลงโรงกับบัวหอม คือการที่จำปาไปร้องขอต่อพระยานเรนทร์ว่า หากเมืองกลับมาจากเชียงใหม่พร้อมชัยชนะ เธอจะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้บัวหอมออกเรือนกับเมือง

“นั่นจึงเป็นสาเหตุให้พี่ฆ่าพวกพม่ารามัญได้เป็นสิบ หรือแม้กระทั่งช่วยชีวิตข้าตอนขากลับ”

“เอ่อ...แล้วทำไมตอนนี้ข้าถึงยังโสด ไม่ได้แม่บัวหอมเป็นเมียเสียที”

คราวนี้คนเล่านิ่งไปครู่หนึ่ง มองไปยังแผ่นฟ้ากว้าง นึกสงสารคนฟังอยู่ครามครัน

“พี่บัวหอมขอเพลากับท่านผู้หญิงอีกหนึ่งปี”

“มันยังไม่ถึงอีกเหรอ”

“เกินมาด้วยซ้ำ ทั้งยังเกิดเรื่องไม่งามเสียก่อน”

“เรื่องอะไร” ชวินขมวดคิ้ว ความสัมพันธ์ของเมืองกับบัวหอมคงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญบางอย่าง

“พี่บัวหอมผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมรับการออกเรือนกับพี่ จนกระทั่งวันก่อน พี่ไปหาพี่บัวหอมที่เรือนท่านเจ้าคุณอีกครั้ง”

เด็กน้อยเล่าถึงวันที่ฝนพรำ เมืองถือกล้วยไม้ดอกงามที่เก็บมาจากป่าออกจากเรือนไป หมายจะนำไปฝากหญิงสาวที่โรงครัวของพระยานเรนทร์

เมื่อมาถึงเรือนของพระยานเรนทร์ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากเรือน เมืองมองไปยังที่มาของเสียงด้วยความสงสัย พลันก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของบัวหอม เขาตกใจทิ้งดอกไม้ในมือและรีบวิ่งขึ้นบันไดเรือนไปทันที

ชายหนุ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ภาพที่เห็นคือพระยานเรนทร์กำลังใช้ไม้เรียวฟาดร่างหญิงอันเป็นที่รัก จำปามีสีหน้าตึงเครียดไม่แพ้กัน

‘พอเถิดเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณ อย่าตีบัวหอมมันอีกเลย’ จวนร้องขอ

‘ต้องตีให้มันรู้สำนึก’ พระยานเรนทร์เม้มริมฝีปาก นานทีปีหนที่ประมุขของเรือนจะโมโหได้ถึงขนาดนี้

‘มีเรื่องอะไรกันหรือขอรับ’ เมืองรีบปรี่เข้าไปหา ทุกสายตามองมายังชายหนุ่มทันที

พระยานเรนทร์ถอนหายใจ มองหน้าทหารผู้ซื่อสัตย์ ‘มีคนเห็นว่าอีบัวหอมมันไปพลอดรักกับชายอื่นที่ท่าน้ำ ถามมันมันก็ไม่ยอมบอกว่าเป็นผู้ใด’

‘ไม่จริง บัวหอมไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่’ เมืองดวงตาสั่นระริก หันมองหน้าบัวหอม หญิงสาวเม้มริมฝีปากและเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย

‘เมื่อมันไม่พูดอะไร กูก็ต้องลงหวายมันให้หลาบจำ’ พระยานเรนทร์ฟาดไม้เรียวลงบนหลังหญิงสาวท่ามกลางเสียงกรีดร้องของบ่าวไพร่คนอื่นๆ

เหตุที่พระยานเรนทร์แค้นใจ เพราะบัวหอมเป็นลูกสาวของสหายรักของจำปา พวกเขาเลี้ยงดูให้สมกับเป็นกุลสตรี แต่สิ่งที่บัวหอมทำตอนนี้กำลังนำความเสื่อมเสียมาถึงคนที่เคยอบรมดูแลเช่นเขาและศรีภรรยา

‘ท่านเจ้าคุณอาจไม่รู้ คนที่พลอดรักกับแม่บัวหอมก็คือ...ข้าเอง’ เมืองโพล่งออกมา

ทุกคนเงียบกริบ จวนตกใจแต่ก็รีบรับ

‘ใช่ เป็นไอ้เมือง มิใช่ชายอื่นใดเจ้าค่ะ’

จำปาหันไปมองหน้าชายหนุ่ม ‘จริงรึเมือง มึงเป็นชายชาติทหาร อย่าริโกหกพวกกู’

‘เอ่อ...คือ... ’ เขาหน้าซีด

‘หึๆ’ อยู่ๆ คนถูกโบยก็หัวเราะ

‘หัวเราะอะไร อีบัวหอม’ จำปามองตาเขียว

‘ไม่มีทางดอกที่ข้าจะไปพลอดรักกับยักษ์ป่าน่ากลัว’ บัวหอมเอ่ยเสียงแหบพร่า

เมืองตกตะลึง

‘เช่นนั้นก็บอกมาว่าไอ้อีหน้าไหนที่มาทำเรื่องน่าอายถึงเรือนกู’

‘ผู้ชายที่อยู่กับข้าที่ท่าน้ำ คือขุนอินชัย’ บัวหอมตะโกนดังก้องเรือนราวกับประกาศชัยชนะในอุรา

เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วจนพระยานเรนทร์ต้องสั่งให้หยุด เมืองไม่พูดอะไรนอกจากก้มหน้าเงียบ พระยานเรนทร์สั่งให้คนไปตามขุนอินชัยมาที่เรือนทันที และเมื่อเขาปรากฏตัว สายตาของทุกคนก็มองสลับไปมาระหว่างขุนนางรูปหล่อกับนายทหารร่างยักษ์

‘มีอะไรกันหรือขอรับ จึงให้เรียกข้ามามืดค่ำป่านนี้’

‘ท่านขุน ช่วยข้าด้วย’ บัวหอมร้องไห้ขอความช่วยเหลือ เสียงนั้นกรีดคว้านหัวใจของเมืองให้ขาดวิ่น

‘อีบัวหอมมันบอกว่าพ่ออินชัยกับมันพลอดรักกันที่ท่าน้ำ เป็นความจริงหรือไม่’ จำปาเปิดปากถามก่อน

ขุนรูปหล่อตกใจไม่น้อยที่เรื่องแดงเร็วกว่าที่คิด

‘คือข้า...’

‘ว่าอย่างไร เหตุใดจึงเงียบ หรือว่าเจ้าคนเดียวที่คิดข่มเหงน้ำใจบัวหอม’

คำพูดของพระยานเรนทร์ทำให้เมืองเบิกตาโพลง...ใช่ บัวหอมต้องถูกไอ้ขุนคนนี้รังแกให้เสื่อมเสียแน่ ความโกรธสูบฉีดไปทั่วร่าง เมืองลุกขึ้นจ้องหน้าขุนอินชัยก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาอย่างรวดเร็ว

‘อ๊าก!’

ทั้งคู่ล้มลง ก่อนที่เมืองจะระดมหมัดใส่ใบหน้าและลำตัว คนบนเรือนแตกฮือ พระยานเรนทร์รีบสั่งให้ทหารบนเรือนแยกทั้งสองออกจากกัน

‘กูบอกให้หยุด’

เมืองตัวสั่นเทา ยังมองหน้าขุนอินชัยที่หยามหัวใจเขา ด้านขุนรูปหล่อเอาแต่ร้องเสียงหลง มือลูบใบหน้าเปื้อนเลือด

‘จะให้ข้าทนนิ่งได้อย่างไร ไอ้ขุนมันข่มเหงน้ำใจแม่บัวหอม’

‘อย่างน้อยขุนอินชัยก็เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ มึงอย่าใช้แต่อารมณ์สิเมือง กูกำลังไต่สวนเรื่องราว’ พระยานเรนทร์เสียงดัง

‘คงไม่ต้องตรวจหาอะไรแล้วขอรับ เห็นกันอยู่ว่าไอ้ขุนอินชัยมันใช้กำลังบังคับข่มแหงน้ำใจแม่บัวหอม’ เมืองเถียง

‘ไม่มีใครบังคับข้าทั้งนั้น’ เสียงหญิงสาวดังขึ้น บัวหอมที่นิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยน้ำตาอาบแก้ม เจ็บปวดที่เห็นคนรักโดนทำร้าย ‘ข้ารักท่านขุน ได้ยินไหมว่าข้ารักท่านขุน ข้าเป็นคนเรียกให้เขามาพบที่ท่าน้ำเอง’

จำปาทนไม่ไหว ไม่นึกว่าเด็กสาวที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจะทำงามหน้าให้เสียเกียรติ เธอลุกขึ้นและหยิบหวายเข้าไปฟาดหลังบัวหอม

‘ทั้งๆ ที่มึงก็รู้ไม่ใช่รึว่ากูจะให้มึงออกเรือนกับไอ้เมือง หรือที่มึงผัดวันประกันพรุ่งจนผ่านมาปีกว่าเพราะเหตุนี้’ จำปาถามด้วยความโกรธแค้นและผิดหวัง

บัวหอมสะอื้นไห้ พยายามกลืนก้อนความเสียใจทั้งหมดลงไป ‘ข้าทนไม่ได้ดอก ข้าไม่ได้รักพี่เมือง’

‘บัวหอม มึงก็รู้ไม่ใช่รึว่าขุนอินชัยมีเมียบ่าวเมียไพร่อยู่เต็มเรือน มันจะรักมึงได้อย่างไร’ เมืองถามเสียงสั่น

หญิงต้นเรื่องมองหน้าเขาอย่างชิงชัง ‘ข้ายอมเป็นเมียรองเมียบ่าวของท่านขุน ดีกว่าต้องออกเรือนกับคนหน้าตาเหี้ยมเกรียม พูดจาราวโจรป่าเช่นพี่’

ราวกับมีเสียงฟ้าผ่าลงกลางเรือน แม้แต่พระยานเรนทร์ก็หมดคำถาม จำปาทิ้งไม้เรียวลงพื้นก่อนจะเดินหนีหายเข้าห้อง

‘ก็ถ้ามึงจะเอาเช่นนั้น เจ้าจะว่าอย่างไรขุนอินชัย’ คนมีอำนาจถาม

ขุนอินชัยถอนหายใจ ‘แล้วแต่ท่านเจ้าคุณจะเมตตาขอรับ’

พระยานเรนทร์หันไปมองหน้าทหารหนุ่มที่หัวใจสลาย ก่อนจะเอ่ยสะสางเรื่อง ‘เก็บของอีบัวหอมและให้ไปอยู่กับขุนอินชัยที่เรือนเสีย อย่าให้ได้เข้ามาที่เรือนกูอีก’

สิ้นเสียงอำนาจนั้น เมืองก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินลงเรือนไปอย่างเดียวดาย พลันสายฝนที่ตกพรำๆ ก็กระหน่ำอย่างรุนแรง ฟ้าร้องประโคมก้องราวกับมโหรีวงใหญ่ มันคงเฉลิมฉลองให้แก่ความผิดหวังของทหารหนุ่มร่างยักษ์ในวันนี้ กล้วยไม้ดอกเดิมถูกทิ้งอยู่บนพื้นชื้นแฉะ ความงามของมันคงไม่มีความหมายอีกต่อไป

 

“ไอ้หน้าหล่อนั่นบังอาจหยามเกียรติข้าได้ถึงเพียงนี้เชียวเหรอวะ” แค่ชวินได้ฟังเรื่องเล่าก็ทำให้อารมณ์เดือด

“นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่กลายเป็นคนเศร้าซึม เอาแต่ร่ำสุรา”

“แล้วแม่บัวหอมคนนั้นล่ะ”

“ก็ไปเป็นเมียอีกคนที่เรือนขุนอินชัย พระยานเรนทร์ยังใจดีให้พี่จวนไปเป็นเพื่อน ได้ข่าวว่ายังเลี้ยงดูปูเสื่อกันดีอยู่”

“มิน่า พอเห็นหน้าข้าถึงได้หยิ่งผยองจองหองกันนัก เชอะ คอยดูนะไอ้คำสา ข้าจะทำให้ยายนั่นเสียใจที่ไม่ได้เลือกข้า” ชวินยักไหล่ นึกรังเกียจผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาทันที

“ตกลงพี่จำเรื่องของตัวเองได้รึยัง” คำสาหันมาถามเพราะเห็นอาการโกรธแล้วเข้าใจว่าชายหนุ่มอาจจะจำอะไรได้บ้างแล้ว

“เอ่อ...ก็มีบ้าง แต่เอ็งบอกว่าข้าเอาแต่กินเหล้าอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ พี่เอาแต่ร่ำสุรา ไม่กินข้าวปลา ไม่ทำงาน”

“ก็คนมันอกหัก ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย...” ชวินยังมีแก่ใจฮัมเพลงฮิตต่อท้าย

“ข้าจึงเสนอที่จะมอบอำนาจแห่งดาบชาตรีให้พี่”

ชายหนุ่มสะดุดกับคำพูดของเด็กหนุ่ม เขาจำได้รางๆ ว่าตอนที่ฟื้นขึ้นมาในภพนี้ คำสาเคยเอ่ยเกี่ยวกับการขอพรจากดาบชาตรี

“อำนาจของดาบชาตรี? หมายความว่าดาบเล่มนี้เป็นของเอ็งมาก่อนเหรอ คำสา”

เด็กหนุ่มเงียบไปก่อนจะพยักหน้า “ใช่ ข้าสงสารที่พี่เอาแต่เสียใจและโทษตัวเองว่าไม่ได้เป็นคนรูปงามปากหวานเหมือนขุนอินชัย ข้าคิดว่าดาบเล่มนี้จะบันดาลมันให้พี่ได้เหมือนที่พ่อข้าเคยบอก”

ชวินนิ่งคิด หรือว่าเด็กหนุ่มจะพอรู้วิธีกลับไปยังภพที่จากมาบ้าง

“เอ็งพอจะเล่าเรื่องดาบของเอ็งให้ข้าฟังได้ไหม”

“พ่อให้ข้าไว้ในคืนก่อนที่จะถูกบุกปล้นสินค้า พ่อบอกว่าดาบเล่มนี้จะบันดาลทุกความปรารถนาที่ชายคนใดต้องการให้เป็นจริง”

เด็กหนุ่มพูดคล้ายกับจดหมายจากเจ้าของเดิมทุกอย่าง

“เฉพาะผู้ชายเหรอ แล้วผู้หญิงล่ะ”

คำสาหัวเราะ “ดาบมันต้องคู่กับผู้ชายสิ ผู้หญิงคงไม่มีดอก”

ชวินเงียบไปครู่ใหญ่ “นั่นแสดงว่าข้าอธิษฐานกับเจ้าดาบนี้”

“ใช่”

ใช่แน่ๆ เมืองก็คงทำเช่นเดียวกับเขา ในคืนนั้น คืนที่ฟ้าคำราม

“เอ็งพอรู้หรือไม่ว่าข้าอธิษฐานว่าอะไร”

“พี่ขอให้รูปงาม และมีวาจาหวานยิ่งกว่าขุนอินชัย”

ชวินหน้าเจื่อน ดาบให้คำอธิษฐานเป็นจริง เพียงแต่มันไม่ได้อยู่ในภพที่ตรงกันเท่านั้น เขาเองก็ขอความกล้าหาญ ขอพลังที่มากมาย

“คำสา ในเมื่อมีแต่เอ็งเท่านั้นที่เข้าใจข้า หากข้าจะบอกอะไรเอ็ง เอ็งจะเชื่อหรือไม่” ชวินจ้องตาเด็กหนุ่มผิวขาว

“พี่มีอะไรก็บอกมาเถิด ถ้าพี่ไม่บอกข้า พี่จะไปบอกใครได้ คนอย่างพี่ไม่มีใครมาพูดจาด้วยดอก”

กำลังจะจริงจัง ไอ้เด็กบ้านี่ก็พูดจริงจนหมดอารมณ์

“เออ รู้แล้ว” ชวินสูดหายใจเข้าลึก เด็กหนุ่มตั้งใจฟัง

“ข้าไม่ใช่เมือง พี่ชายของเอ็ง ข้าคือชายหนุ่มที่มาจากโลกอนาคต เราสองคนสลับร่างกันเพราะคำอธิษฐานจากดาบชาตรี”

คำสาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมา “พี่อย่ามาโกหกข้า”

“ข้าชื่อชวิน จะเรียกพี่วินก็ได้ เป็นคนที่มาจากสองร้อยปีข้างหน้า หรือพูดง่ายๆ ก็คือข้ามาจากอนาคตของพวกเอ็ง”

“พี่เป็นคนวิปลาสไปแล้วหรือนี่” เด็กหนุ่มยังไม่เชื่อ

“เอ็งก็เห็น ว่าข้าเหมือนพี่ชายเอ็งตรงไหน ถ้าไม่นับหน้าตาเห่ยๆ ร่างกายใหญ่โตนี้ ข้าทำอะไรเหมือนพี่เมืองบ้าง ขนาดดาบยังจับไม่เป็น ข้าคือหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ที่สาวในเมืองกรุงต่างอยากครอบครอง” ชวินยังได้ทีคุยถึงสรรพคุณตัวเอง

คำสามองดาบชาตรีที่วางอยู่ข้างๆ เด็กชายกำลังพิจารนาถึงสิ่งที่ชวินพูด แต่แล้วเขาก็วิ่งขึ้นเรือนไป

“เฮ้ยๆ ไปไหนวะ ไม่ฟังต่อเหรอ เนี่ยแล้วให้ข้ามาอยู่ยุคนี้หมายความว่ายังไง ข้าทำอะไรไม่เป็นหรอกนะ เมื่อกี้คนบ้านพระยาก็หัวเราะเยาะข้าทั้งบ้านแล้ว” ชวินโวยวาย

สักพักคำสาก็เดินลงเรือนมาพร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ

“พี่จำสิ่งนี้ได้หรือไม่ พี่เมือง”

ชวินหันไปสนใจสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าที่คำสากำลังเปิดออก มันคือกล่องไม้ฉลุลายงาม มองอย่างไรเขาก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น