12

วาระซ่อนเร้น


 

 12

วาระซ่อนเร้น

มันเป็นสัปดาห์ที่มีเรื่องให้ศราวณะตื่นเต้น เครียด และยุ่งจนหัวหมุน เพราะในที่สุดนีรนารถก็เดินทางมาถึงอเมริกา แม้จะยังไม่มีโอกาสเจอกันเพราะต่างฝ่ายต่างยุ่ง แต่ก็ดีใจที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง

ส่วนเรื่องที่ทำให้เครียด คือการที่อธิปกำลังจะย้ายมาอยู่นิวยอร์กซิตีเพื่อทดลองงานกับไวส์แบงก์ และเขาก็วนเวียนทั้งโทร. ทั้งส่งข้อความหาบ่อยเสียจนเธอเริ่มอึดอัด กลัวพอลจะรู้เข้าและไม่พอใจ

การเตรียมงานวันเกิดของอลิซนั้นแม้จะสนุกมากมาย แต่คนโสดที่ก้าวกระโดดมาเป็นคุณแม่อย่างเธอ ก็ยุ่งแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง

พอลเผชิญกับสัปดาห์ที่ยุ่งเหยิงและเครียดไม่แพ้กัน เพราะนอกจากจะต้องสะสางปัญหาทางธุรกิจแล้ว ก็ยังต้องหาทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เรื่องที่ทำให้เขาเครียดจนต้องกินยาแก้ปวดหัว ก็คือการย้ายมาอยู่แมนแฮตตันของดาราลูกครึ่ง แม้เขาจะไม่ให้ลอร่าย้ายมาอยู่เพนต์เฮาส์ แต่ก็สั่งให้คนสนิทเลือกที่พักซึ่งอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่นาที

 เขาไปพบลอร่าตั้งแต่เย็นวันแรกที่เธอเดินทางมาถึงนิวยอร์ก ไม่กี่วันจากนั้นก็พาไปฝากท้อง เงินทองที่เขาเสนอให้ทางคลินิกเป็นพิเศษ อำนวยความสะดวกให้ความลับเรื่องการตั้งครรภ์ของลอร่ายังคงเป็นความลับต่อไป

“ขอบคุณนะคะที่ยอมมากับฉัน” ลอร่าพึมพำขณะเดินเคียงกันเดินออกมาจากคลินิกตอนทุ่มเศษ

                “มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ผมกำลังคิดว่าจะหาคนมาอยู่ดูแลคุณ คุณคิดว่าไง” ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเขากำลังจะเป็นพ่อคนแล้วจริงๆ ภาพหัวใจดวงน้อยที่เต้นตุบๆ ในจอมอนิเตอร์ของเครื่องอัลตราซาวนด์ คือสิ่งยืนยันว่าชีวิตของเขากำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

                “แล้วแต่คุณละกันค่ะ” ดาราสาวลูกครึ่งตอบรับอย่างว่าง่าย เธอพึมพำขอบคุณซามูเอลที่เปิดประตูรถให้ด้วยทีท่าสุภาพ

                “ผมอยากให้คุณกับลูขสุขสบายที่สุด” พอลเอื้อมมือไปบีบมือเล็กหลังจากก้าวขึ้นไปนั่งข้างๆ บนรถ  

                “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะพอล คุณดีเสียจนฉันละอายใจที่สร้างภาระให้รับผิดชอบแบบนี้” ลอร่าหลุบตาลงมองมือหนาที่ยังกุมมือเธอไว้อย่างละมุนละม่อมด้วยหัวใจพองโต พอลอ่อนโยนและรักเด็กมากกว่าที่เธอคาดไว้เสียอีก

                “อย่าคิดมากได้ไหม หมอเพิ่งบอกมาหยกๆ ว่าคนท้องไม่ควรคิดมาก โดยเฉพาะถ้าสิ่งที่คิดมันทำให้ไม่สบายใจ” การนั่งคุยกับหมอร่วมหนึ่งชั่วโมง ทำให้เขาเข้าใจและเกิดความเห็นใจผู้หญิงท้องมากขึ้น

                “ค่ะ” คนพูดหยิบบางสิ่งบางอย่างออกจากแฟ้มในกระเป๋ามาส่งให้เขา “ฉันไม่แน่ใจว่าคุณอยากเก็บไว้หรือเปล่า”

                “โฟโต้ชูตครั้งแรกของเจ้าตัวเล็ก ผมต้องอยากเก็บไว้ดูต่างหน้าอยู่แล้ว” นักการเงินหนุ่มเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะรับรูปพรินต์ที่ลอร่าส่งให้สองใบมาพิจารณาด้วยความทึ่งแกมพิศวง ลอร่าท้องเกือบสิบเอ็ดสัปดาห์แล้ว หมอบอกว่าเด็กในท้องปกติทุกอย่าง เพียงแต่รกเกาะค่อนข้างต่ำ จึงแนะนำให้เธอกับเขาระมัดระวังมากเป็นพิเศษเวลาทำกิจกรรมบนเตียง

                “คุณคิดว่าลูกจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงคะ” นัยน์ตาของว่าที่คุณแม่เจิดจรัสอย่างคนที่กำลังมีความสุขเต็มที่

                “ใจจริงผมอยากให้เขาเป็นผู้หญิง แต่คิดว่าน่าจะเป็นผู้ชายเพราะตระกูลของผมแทบไม่มีใครได้ลูกสาวเลย”

                “ฉันอยากได้ลูกชายค่ะ” ลอร่าช้อนตามองใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติอย่างหลงใหล เธอต้องการให้พยานรักเป็นผู้ชาย จะได้เป็นตัวแทนของเขา

                “ผมขอให้คำภาวนาของคุณเป็นจริง” พอลดึงมือกลับมาวางบนตักของตัวเองอย่างสุภาพ

                “คุณคิดจะบอกเธอเรื่องฉันกับลูกตอนไหนคะ หรือจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไปเรื่อยๆ” โทนเสียงของเธอหวานซึ้งจนคนฟังไม่รู้สึกว่ากำลังถูกรบเร้าหรือกดดัน

                “ยังไม่ใช่ตอนนี้ลอร่า ผมขอเวลาอีกหน่อย” ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังทำตัวเป็นผู้ชายเลวระยำที่ปกปิดความลับเรื่องนี้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา และเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่สามารถแต่งงานหรือมอบความรักให้ลอร่ากับลูกได้

                “ฉันเข้าใจค่ะว่าคุณลำบากใจกับสถานการณ์นี้ อย่าคิดมากนะคะ ฉันไม่อยากเห็นคุณเครียด” ดาราสาวยื่นมือไปวางบนหลังมือใหญ่อย่างอ่อนโยน

                พอลยิ้มให้เธอ แต่เป็นยิ้มที่ปกปิดความตึงเครียดไว้ไม่มิด ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะไม่อยากให้บรรยากาศของการสนทนาอึมครึมเกินไป

                ชายหนุ่มอยู่ดินเนอร์ตามคำขอของคนท้อง เกือบสามทุ่มจึงลุกจากโซฟาในห้องนั่งเล่น เดินไปหยิบเสื้อสูทที่ถอดแขวนไว้มาสวม ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องกลับคฤหาสน์

“ขอบคุณที่อยู่ทานอาหารเย็นกับ เอ่อ…ฉันนะคะ” ลอร่าหน้าเหยเกเมื่อรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณท้องน้อย

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” ขายาวก้าวเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าทันที

                “ปละ...เปล่าหรอกค่ะ แค่รู้สึกเสียวแปลบนิดๆ เท่านั้น” หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกเมื่อรู้สึกถึงแรงบีบรัดอีกครั้ง

                “ไปโรงพยาบาลไหม” พอลถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

                “มะ...ไม่ต้องค่ะ ฉันเป็นแบบนี้บ่อย โดยเฉพาะวันไหนที่แอ็กทิฟมากๆ นอนพักสักหน่อยก็หายแล้วค่ะ คุณรีบกลับเถอะนะคะ” คนพูดยิ้มปากสั่น

                “แต่ผมว่า…”

                “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ แต่ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจขึ้นมาบ้าง หากนอนพักแล้วยังไม่หาย ฉันจะโทร. บอกคุณทันที ดีไหมคะ” ดาราสาวต่อรอง

                “ก็ได้ งั้นรีบพักผ่อนนะ ถ้ามีอะไรด่วน โทร. หาผมหรือไคลน์ได้ตลอด” พอลยื่นมือมาแตะต้นแขนของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาฝังจูบลงบนหน้าผากกลมกลึงเบาๆ

                ลอร่าฝืนส่งยิ้มสดใสและเดินไปล็อกประตูหลังจากที่เขากับบอดีการ์ดกลับไป จากนั้นก็กัดฟันเดินเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกนิ่งนาน ในที่สุดพอลก็ยอมเอารูปของซาร่าห์ให้เธอดู หลังจากที่รบเร้าขอดูอยู่หลายครั้ง ผู้หญิงคนนั้นสวยหวานก็จริง แต่ก็ยังเด็ก ยังอ่อนประสบการณ์ เธอมั่นใจว่าไม่มีอะไรด้อยกว่าหล่อน ยังไม่นับรวมถึงชื่อเสียง เงินทอง และนิสัยใจคอ

                “ไม่ต้องห่วงนะลูก หม่ามี้จะดึงแด๊ดดี้กลับมาเป็นของเราสองคนให้ได้ วันหนึ่งเราจะอยู่พร้อมหน้ากันสามคนพ่อแม่ลูก จะไม่มีผู้หญิงคนไหนมาคั่นกลางระหว่างเรากับแด๊ดดี้อีก” ลอร่าตั้งปณิธานกับลูกน้อยในครรภ์

ะว่าลูกคนนี้เกิดจากความตั้งใจของเธอ ไม่ได้มาจากความพลั้งเผลออย่างที่พอลถูกทำให้เข้าใจ วงการมายาสอนอะไรให้เธอมากมาย หนึ่งในนั้นคือการสอนให้เธอกล้าได้กล้าเสีย กล้าเสี่ยงกล้าแลกบางอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เดิมพันครั้งนี้คือตัวกับหัวใจของพอล และเธอจะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด

                พอลอาจคิดว่าเขาเป็นคนเลือก เป็นคนกำหนดทุกอย่าง มองว่าเธอเป็นเพียงตัวเลือก ทว่าเขาไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่าได้ตกเป็นตัวเลือกของเธอแล้วเช่นกัน

 

                นักการเงินหนุ่มเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตอนสี่ทุ่มครึ่ง ยิ้มเนือยเมื่อเปิดประตูเข้าไปเห็นศราวณะนั่งจดบันทึกอะไรบางอย่างอยู่บริเวณห้องโถงใต้บันได

“ผมนึกว่าคุณเข้านอนแล้วเสียอีก”

                “ก็ว่าจะไปแล้วเหมือนกันค่ะ แต่อยากเช็กให้แน่ใจอีกครั้งก่อนว่าพรุ่งนี้ฉันจะไม่ลืมอะไร” เธออยากให้วันเกิดของอลิซออกมาดีที่สุด “คุณกลับดึกอีกแล้ว งานยุ่งมากเหรอคะ”

                “ก็…นิดหน่อย” พอลหลบตาวูบ รู้สึกผิดบาปที่ต้องโป้ปดมดเท็จ “มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”

                “ถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานวันเกิดของอลิซก็ไม่มีค่ะ มีแค่เรื่องที่โซอี้มาบอกฉันตั้งแต่เช้าว่าจะลาออก ฉันไม่แน่ใจว่าคุณหรือแซมอยากไปปรับความเข้าใจเพื่อโน้มน้าวให้เธออยู่ต่อหรือเปล่า ฉันพยายามแล้วค่ะ แต่ไม่สำเร็จ” นึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับโซอี้ทีไร เธอก็ไม่แน่ใจทุกทีว่าสรุปอยากให้อีกฝ่ายอยู่หรือไปกันแน่

โซอี้บอกเธอตั้งแต่เช้าว่าต้องการออกอาทิตย์หน้า เมื่อถามถึงเหตุผล หล่อนบอกว่าไม่ชอบหน้าซามูเอล และอึดอัดกับการเผชิญหน้ากับพอล พอแกล้งทำไขสือถามถึงเหตุผล หวังว่าโซอี้จะเปิดใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น พี่เลี้ยงสาวชาวเม็กซิกันกลับไม่ยอมเล่า แถมยังย้อนเสียงขุ่น ว่าเห็นเธอกับพอลจูบกันอย่างดูดดื่มอยู่หน้าห้องนอนในคืนนั้น

                ‘คุณไม่น่าเอาเพื่อนมาอ้างเพื่อกีดกันฉันเลยซาร่าห์ ความจริงบอกฉันตรงๆ ก็ได้ว่าคุณอยากได้มิสเตอร์ไวส์แมนไว้เอง ฉันรับได้อยู่แล้ว จะว่าไปฉันมันโง่เองแหละที่หลงเชื่อว่าคุณไม่ได้คิดอะไรกับเขา มีผู้หญิงคนไหนบ้างล่ะที่ไม่อยากจับผู้ชายโคตรหล่อแถมรวยล้นฟ้าอย่าง พอล ไวส์แมน

โซอี้คงไม่พอใจเธอมาก ถึงได้เรียกด้วยสรรพนามใหม่ ไม่ใช่มิสเหมือนอย่างที่ผ่านมา

                ‘ฉันไม่เถียงหรอกนะคะโซอี้ว่าคงมีผู้หญิงมากมายอยากได้เขาเป็นสามี แต่เชื่อเถอะว่าฉันไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน สำหรับฉัน ความรักและนิสัยใจคอต้องมาก่อนความรวยกับหน้าตา’ เธอมองอีกฝ่ายด้วยความสมเพชเวทนา โซอี้บอกว่าสนใจพอล แต่กลับไม่เคยถามหรือสนอกสนใจด้วยซ้ำว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร นิสัยใจคอและพื้นฐานครอบครัวเป็นแบบไหน สิ่งที่โซอี้สนคือรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน และรายได้ของเขา   

                ‘อู้! ช่างเป็นพวกโลกสวยเสียจริง ถ้าคุณอยากหลอกตัวเองด้วยทัศนคติแบบนั้นก็เชิญเถอะ ฉันชอบอยู่กับความเป็นจริงมากกว่า’ โซอี้แบะปากเยาะเย้ย แววตาดูถูกดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด

                ‘สิ่งที่ตัดสินว่าอะไรคือโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งที่ฉันหรือคุณพูดหรอกค่ะโซอี้ แต่มันเป็นสิ่งที่คุณหรือฉันเลือกปฏิบัติต่างหาก’ เธอสวนกลับอย่างเหลืออด

                ‘โอเค แม่สาวดาวอังคาร ฉันไม่เถียงกับคุณแล้วก็ได้ แต่ฉันจะบอกอะไรให้อย่างด้วยความหวังดีนะ คราวหน้าคุณควรจะลากเขาเข้าห้องแทนที่จะไล่กลับ ไม่งั้นสักวันเขาอาจอารมณ์ค้างจนไปเคาะห้องคนอื่นก็ได้ คฤหาสน์นี้มีสาวหน้าตาดีหลายคน แฝดผมแดงอย่างไปเปอร์กับเปปเปอร์ก็สวยไม่น้อยกว่าคุณเลย อย่ามองข้ามเรื่องนี้เป็นอันขาด’

                ‘ฉันคิดว่านั่นไม่น่าจะเป็นปัญหาหรอกค่ะ ขนาดคุณสวย เซ็กซี่ ร้อนแรงประหนึ่งไฟล้างโลกขนาดนี้ เขายังทำแข็งใจปฏิเสธได้ ถือว่าเป็นผู้ชายมีความอดทนอดกลั้นมากพอตัว’ ศราวณะสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความโกรธกรุ่น

                ‘นี่มิสเตอร์ไวส์แมนฟ้องคุณงั้นเหรอ’ นัยน์ตาของคนพูดวาววาม

                ‘เขาไม่ได้ฟ้องอะไรมากหรอกค่ะ เขาแค่บอกว่าคุณหาว่าฉันโง่ที่ปฏิเสธคำชวนของเขา’ หญิงสาวจงใจยั้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น เพราะไม่อยากรื้อฟื้นให้อีกฝ่ายอับอายกับพฤติกรรมหยำฉ่าของตัวเอง คิดว่าโซอี้คงเดาออกว่าพอลเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง

                ‘ฉันไม่ขอโทษหรอกนะที่ว่าคุณโง่ เพราะฉันคิดแบบนั้นจริงๆ

                ‘ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันเองก็บอกเขาไปเหมือนกันว่าโง่ที่ปฏิเสธคำชวนของคุณ’

ใช่! เขาโง่มากที่มีผู้หญิงสวยเซ็กซี่เสนอแล้วไม่สนอง แต่ขณะเดียวกันก็นับว่าฉลาดมากที่โดนยั่วหนักเสียขนาดนั้น แต่สมองยังใช้การได้ปกติ

 

                “อุ๊ย! ทำบ้าอะไรของคุณคะ” ศราวณะยกมือลูบแก้มตัวเองเมื่อคนฉวยโอกาสก้มลงมาหอมแก้มฟอดใหญ่ เขาใจกล้าหน้าด้านมาก เพราะทำเรื่องบ้าๆ ต่อหน้าผู้ติดตามทั้งสอง

                “บ้าที่ไหนล่ะ ผมคุยด้วยตั้งหลายประโยค แต่คุณนั่งเหม่อ เดี๋ยวหน้าบึ้ง เดี๋ยวอมยิ้ม ถามอะไรก็ไม่ตอบ” พอลแอบโล่งใจที่เธอเอาแต่เหม่อจนไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติบนสีหน้าเขา

                “คุณคุยอะไรกับฉันบ้างคะ ฉันหมายถึง…คุณจะเอาอย่างไรกับเรื่องโซอี้

                “อยากออกก็ให้ออกไป บอกตามตรงว่าผมโล่งใจมากที่เธอตัดสินใจจะออก นายคิดเหมือนฉันหรือเปล่า แซม” ชายหนุ่มหันไปถามความเห็นของบอดีการ์ดหน้าเข้ม

                “ครับ” ซามูเอลตอบสั้นๆ

ออกน่ะดีแล้ว เพราะสบตาเธอทีไร เขาก็หนาวไปถึงไขกระดูกทุกที นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เธอไปเคาะประตูห้องนอนแทบทุกคืนอีก ไปสมรภูมิรบแถบตะวันออกกลางและแอฟริกามาหลายประเทศ ยังไม่น่ากลัวเท่าการหนีกรงเล็บสวาทของโซอี้ เขาเคยไล่ให้เธอไปเคาะห้องนอนของอลันหรือเทรเวอร์ แต่เธอกลับบอกว่าสองคนนั้นไม่เคยอยู่ในสายตา

                “โซอี้บอกว่าถ้าคุณโอเค เธอจะย้ายออกวันอาทิตย์ค่ะ” โซอี้ให้เหตุผลว่าอยากจะอยู่ช่วยดูแลงานเลี้ยงวันเกิดของอลิซให้ผ่านไปด้วยดีก่อน ก็ยังนับว่ามีจิตสำนึกของการเป็นพี่เลี้ยงที่ดีหลงเหลืออยู่บ้าง

                “ผมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วคัปเค้ก แต่คุณจะโอเคหรือเปล่า ถ้าต้องรอพี่เลี้ยงคนใหม่สักหนึ่งถึงสองอาทิตย์” แววตาของเขาอ่อนโยนเสียจนคนฟังยิ้มเยื้อนอย่างอ่อนหวาน

                “สบายมากค่ะ ความจริงเราไม่ต้องหาพี่เลี้ยงคนใหม่ก็ได้ ฉันกับทุกคนที่นี่ดูแลอลิซได้สบายอยู่แล้ว รอฟังความเห็นจากแพทย์เด็กประจำตัวของอลิซที่เราจะไปพบอาทิตย์หน้าก่อนก็ได้ค่ะ ถ้าหมอบอกว่าพัฒนาการของอลิซปกติ ไม่มีอะไรน่าห่วง เราค่อยหาพี่เลี้ยงใหม่ก็ยังได้” เธอจำที่ศศินาราเคยบอกได้ว่าตอนพาอลิซไปหาหมอเมื่อสามเดือนก่อน หมอเป็นห่วงว่าพัฒนาการด้านภาษายังช้ามากเมื่อเทียบกับเด็กวัยไล่เลี่ยกัน แต่ถ้าเทียบวันนี้กับอาทิตย์แรกที่เธอเจออลิซ แม่หนูน้อยมีพัฒนาการด้านการพูดแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว 

                “เอางั้นก็ได้” พอลยื่นมือออกไปดึงตัวคนฟังให้ลุกจากเก้าอี้หลุยส์สีครีม “ขึ้นข้างบนกันเถอะ”

                หญิงสาวมองมือของคนจูงด้วยความอิ่มเอมใจ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เธอก็ไม่แน่ใจนัก รู้แค่ว่านี่คือหนึ่งในช่วงเวลาที่เธอโปรดปรานที่สุดของแต่ละวัน

พอลจูงมือภรรยาเข้าไปในห้องของอลิซเหมือนทุกคืน เขาไล้มือกับแก้มเนียนใสของแม่ตัวน้อยอย่างแผ่วเบา อวยพรให้หลับฝันดี ก่อนจะพาภรรยาออกจากห้องด้วยฝีเท้าเงียบกริบ

“ขอเข้าไปนั่งคุยในห้องสักห้านาทีได้ไหม ซาร่าห์” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าเครียดขรึมเมื่อเดินมาถึงประตูห้องนอนของเธอ

                “ก็ได้ค่ะ” ศราวณะตอบรับหลังจากสังเกตท่าทีแล้วว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจจริงๆ ทว่าทันทีที่ดึงให้เขาตามเข้ามาในห้อง ก็แทบจะถีบคนปากเสียกระเด็นออกไปที่ทางเดิน เพราะ…

                “นี่แม่บ้านไม่ได้ขึ้นมาทำความสะอาดห้องของคุณทุกวันเหรอ ซาร่าห์” ตาสีน้ำทะเลกวาดมองรอบๆ ห้องส่วนตัวของภรรยาอย่างไม่ชอบใจนัก

                หญิงสาวคอแข็งขึ้นมาทันทีทันใด เพราะคำถามชวนตีของมิสเตอร์เพอร์เฟกชันนิสต์ แค่เห็นที่นอนยับยู่ยี่ มีหนังสือกับโน้ตบุ๊กวางกระจายอยู่บนนั้น และมีข้าวของอีกไม่กี่ชิ้นวางอยู่กับพื้นก็โวยวายตอนสี่ทุ่มครึ่ง ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

นี่เขาคิดว่ากำลังเดินเข้าห้องพักของโรงแรมห้าดาวหรือไง!

ฉันมันดาวดวงเดียวค่ะคุณผู้ชาย ไม่ใช่ห้าดาว!

“มาค่ะ มาทุกวันตอนสิบโมงเช้า ซึ่งนั่นมันสิบสองชั่วโมงมาแล้ว คุณจะให้มันเนี้ยบเหมือนตอนทำเสร็จใหม่ๆ ได้ไงคะ”

                “ผมจะสั่งชาร์ลีว่าให้แม่บ้านขึ้นมาทำความสะอาดห้องของคุณวันละสองรอบ” ยิ่งเก็บรายละเอียดของความไร้ระเบียบอีกรอบ นักการเงินหนุ่มก็ยิ่งส่ายหน้าให้แก่สิ่งที่เห็น

                “ถามหน่อยเถอะค่ะว่าตอนนี้อันเดอร์แวร์ของคุณมันยังเรียบกริ๊บเหมือนตอนที่เพิ่งใส่ใหม่ๆ ไหม ฉันเดาว่าหน้าตาของมันก็คงยับไม่ต่างจากเตียงของฉันนั่นแหละค่ะ ฉะนั้นคุณอย่าลำบากให้แม่บ้านมาทำถึงสองรอบเลย บอกตามตรง ฉันชอบของฉันแบบนี้ค่ะ ห้องที่มันรกนิดๆ ไร้ระเบียบหน่อยๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบบ้านๆ ดี คุณเองก็น่าจะลองปล่อยให้ห้องมันรกบ้างอะไรบ้างนะคะ ไม่แน่นะ นั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณจะรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านก็ได้ คุณเคยพูดเองไม่ใช่เหรอคะว่าอยากให้ที่นี่เป็นบ้าน ไม่ใช่แค่ที่พักอาศัย” หญิงสาวร่ายยาว ไม่เว้นช่องไฟให้คุณชายระเบียบเอ่ยแทรกได้โดยง่าย เพราะรู้ว่าเธอมีสิทธิ์จะโดนเบรกหัวคว่ำ

อึดใจต่อมาศราวณะก็หน้าตื่นตาโต ถอยห่างจากร่างสูงใหญ่ราวกับเจอฆาตกรโรคจิตเมื่อเขาปลดหัวเข็มขัด และจัดการกับตะขอกางเกง

                “นะ…นั่นคุณคิดจะทำอะไร

                “อ้าว เมื่อกี้คุณไม่ได้จะขอดูอันเดอร์แวร์ของผมหรอกเหรอ คัปเค้ก” พอลถามด้วยสีหน้ายียวนกวนบาทา ต้องยอมรับละว่าเจอปัญหาจากข้างนอกมาหนักหนาสาหัสขนาดไหน ผู้หญิงคนนี้ก็สามารถเปลี่ยนโหมดอารมณ์ของเขาให้กลับมามีสีสันได้อย่างน่าอัศจรรย์

                “ไม่ค่ะ ฉันแค่ต้องการเปรียบเทียบให้คุณเห็นเท่านั้น ไม่ต้องมาโมเมหาเรื่องถอดกางเกงเลย ฉันรู้ว่าคุณกำลังแกล้งเซ่อ” หญิงสาวมองคนเจ้าเล่ห์ด้วยแววตารู้ทัน

                “บอกอะไรให้นะคนสวย ผมเนี้ยบทั้งข้างนอกและข้างใน อยากพิสูจน์ไหมล่ะว่าเนี้ยบอะไรยังไงบ้าง” คนถามยักคิ้วหลิ่วตาเจ้าชู้ใส่

                “ไม่ค่ะ สรุปคุณอยากคุยอะไรกับฉันกันแน่คะ” เธอพยายามพาคนเนี้ยบกลับสู่ประเด็นของการขอเข้ามาคุยในห้อง

                คำถามของเธอทำเอาความครึ้มอกครึ้มใจของนักการเงินหนุ่มหดหาย เขาสูดหายใจเข้าลึก ติดตะขอกางเกงและสวมหัวเข็มขัดอีกครั้ง จ้องดวงหน้ารูปไข่ของภรรยาด้วยความหวาดหวั่น ถึงเวลาแห่งการสารภาพบาปแล้วสินะ หากไม่พูดภายในวันสองวันนี้ เขาคงเครียดจนถูกหามเข้าโรงพยาบาลเพราะไมเกรนกำเริบ

                “คือ…” ร่างสูงเพรียวถอยไปหาเก้าอี้นั่งเล่นติดประตูที่เปิดออกสู่ระเบียงหลังห้อง สูดหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมความกล้าอีกครั้ง “ผมมีเรื่องจะสารภาพ”

                “ใช่เรื่องเดียวกับที่ฉันสัญญาว่าจะไม่โกรธและให้อภัยคุณตอนที่เราตกลงกันเรื่องพี่อาร์ตหรือเปล่าคะ” ความกลัวแปลกๆ แล่นเข้าสู่ทั้งสี่ห้องดวงใจของเธอ

                “ใช่!” สีหน้าของเขาขรึมลงอีกหลายเฉด

“เก็บไว้คุยกันมะรืนนี้ดีไหมคะ” อย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่านจนหมดสนุกระหว่างงานวันเกิดของอลิซพรุ่งนี้

                ก่อนที่ชายหนุ่มจะแย้ง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเด็กหญิงอลิซก็ดังผ่านมอนิเตอร์ ร่างสูงเด้งขึ้นจากเก้าอี้ทันที

“คงนอนละเมอน่ะค่ะ ฉันไปปลอบเดี๋ยวเดียวก็คงหลับต่อได้”

                “งั้นผมไปดูเอง คุณพักเถอะ” พอลอาสาก่อนจะก้าวยาวๆ ออกจากห้องไป ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ศราวณะบอก เพราะอลิซนอนสะอึกสะอื้นร้องหาหม่ามี้และไขว่คว้ามือทั้งที่ตายังหลับ เขายื่นมือลูบศีรษะพลางกอดไว้แน่น

                ศราวณะนั่งเครียดอยู่บนเตียงนอน เมื่อพยายามคาดเดาเอาเองว่าเรื่องที่เขาอยากสารภาพคืออะไร หรือเธอควรจะถามให้รู้ดำรู้แดงตั้งแต่คืนนี้ว่าเขากำลังจะบอกอะไร

                ความคิดทั้งมวลของหญิงสาวหยุดนิ่งเมื่อได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กดังผ่านมอนิเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง

Twinkle twinkle, little star,


How I wonder what you are

Up above the world so high,


Like a diamond in the sky.


Twinkle twinkle, little star,


How I wonder what you are

.

ขอโทษนะอลิซที่ปะป๊าจำได้แค่นี้ มันนานจนจำทั้งเพลงไม่ได้แล้ว เอาไว้วันหลังปะป๊าจะฝึกร้องให้จบ แล้วมาร้องให้ฟังอีกนะ หลับฝันดีนะนางฟ้าตัวน้อย ปะป๊ารักอลิซนะ”

                คนนั่งฟังอยู่อีกห้องตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขาอ่อนโยนกับหลานของเธอราวกับเป็นพ่อลูกที่สืบสายเลือดกันมา ไม่แปลกหรอกที่เด็กซึ่งโหยหาความรักจากบิดาอย่างอลิซจะเชื่อภายในเวลาเพียงเดือนกว่าว่าเขาคือบิดาแท้ๆ

หญิงสาวขยับลงจากเตียงและเดินไปเปิดประตูห้องนอน ยืนกอดอกพิงกรอบประตู และส่งยิ้มอ่อนๆ ให้สามีเมื่อเขาเดินออกจากห้องของอลิซ “ฉันไม่รู้ว่าคุณอยากสารภาพเรื่องอะไร แต่ถ้าเรื่องที่คุณคิดจะสารภาพไม่เกี่ยวกับความตายของเจกับพี่จันทร์ ฉันไม่อยากรู้หรอกค่ะ และคุณก็ไม่จำเป็นต้องเครียดด้วย”

                “คุณเป็นภรรยาของผม ซาร่าห์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องเครียดกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น”

                “ฉันพอจะเดาออกแล้วค่ะ แต่ฉันก็ยังอยากยืนยันให้คุณสบายใจอีกครั้ง ว่าการที่คุณจะหลับนอนกับคนอื่นระหว่างที่ฉันอยู่ที่นี่ มันเป็นสิทธิ์ของคุณ แค่คุณไม่พาเธอมานอนที่นี่ตามที่เราตกลงกัน ฉันก็ถือว่าคุณให้เกียรติฉันมากพอแล้วค่ะ” ศราวณะส่งยิ้มร่าเริง ทั้งที่รู้สึกว่าหางตากำลังร้อนผ่าว สีหน้าเหมือนคนทำผิดแล้วถูกจับไต๋ได้ของสามี มันตีความเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากว่าเขานอนกับคนอื่น

                “ซาร่าห์! ผม…”

                “ไม่ต้องพูดอะไรแล้วละค่ะ ฉันเข้าใจธรรมชาติของผู้ชายดี ในเมื่อฉันให้ในสิ่งที่คุณขอไม่ได้ ฉันก็ไม่ควรจะต่อว่าต่อขานกับการที่คุณจะนอนกับคนอื่น ฝันดีนะคะ มิสเตอร์ไวส์แมน” หญิงสาวขยิบตาขี้เล่นให้เขาก่อนจะผลุบเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอน คล้องโซ่อีกชั้น เพราะกลัวเขาจะเอากุญแจสำรองมาเปิด

                “ซาร่าห์!” พอลเคาะประตูห้องนอนของเธอเบาๆ

                “มีอะไรอีกคะ หรือคุณกำลังจะบอกฉันว่า คิดจะคบผู้หญิงคนนั้นอย่างจริงจัง ตามสบายเลยค่ะ ฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณคิดจะทำเรื่องหย่าก่อนเวลาที่เราตกลงกันไว้ ฉันจะหย่าให้ก็ต่อเมื่อคุณยกกรรมสิทธิ์การเลี้ยงดูอลิซให้เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ไม่งั้นต่อให้เอาเงินเป็นสิบหรือร้อยล้านเหรียญมาฟาดหัว ฉันก็ไม่ยอมเซ็นหย่าให้คุณเป็นอันขาด”

                “มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยซาร่าห์ ตั้งแต่รู้ว่าคุณจะมานิวยอร์ก ผมก็ไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีก”

                มือสั่นๆ ของศราวณะถอดโซ่ ปลดล็อก และเปิดประตูออกมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง

                “งั้นมันเรื่องอะไรคะ อะไรที่ทำให้คุณทำท่าเหมือนคนแบกโลกและอ้ำอึ้งที่จะบอกฉันมาทั้งอาทิตย์” ความอดทนอดกลั้นของเธอสะบั้นลงทันที ไม่ต้องรอหลังงานวันเกิดของอลิซแล้ว ขืนไม่รู้คืนนี้ เธอคงนอนไม่หลับ

                “คุณสัญญาแล้วว่าจะให้อภัยผม” พอลทวงสัญญาด้วยแววตาเว้าวอน

                “แน่นอนค่ะ ฉันเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ” นัยน์ตาคมหวานจ้องคนตัวโตไม่หลบ

                “ผู้หญิงคนสุดท้ายที่ผมนอนด้วย…ท้อง

                ความเงียบชนิดที่ได้ยินเสียงหายใจของกันและกันปกคลุมบริเวณนั้นนานนับนาที ก่อนคนที่ตั้งสติได้จะเชิดหน้า

                “คุณนอนกับผู้หญิงมาเกือบครึ่งร้อย ทำไมมาตกม้าตายเอาตอนนี้ล่ะคะ”

สิบวินาทีแรกที่เขาบอกว่าทำคู่นอนท้อง เธอยอมรับว่ารู้สึกคลื่นเหียนจนแทบสำรอกอาหารเย็น ทว่าเมื่อนึกถึงข้อตกลงที่มีร่วมกัน นึกถึงการหย่าที่จะมีขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า ก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดรวดร้าว เหมือนมันคือสิ่งที่ผ่านมาเพียงเพื่อจะผ่านไป

ใช่ว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยเจอมรสุมหัวใจเสียหน่อย เพราะแม้ไม่ได้รักอธิปแบบมอบกายถวายหัว แต่เขาก็เป็นแฟนคนแรกที่เธอคบหาอย่างจริงจัง เทียบกันแล้วถือว่าการเลิกรากับอธิป กระทบกระเทือนจิตใจของเธอกว่าเรื่องที่เขาเพิ่งบอกมาหลายเท่า

                “ลอร่าค่อนข้างต่างจากคนอื่นๆ เขาคือคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจ นิสัยหลายอย่างคล้ายกัน เราคุยกันได้แทบทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องคุณ ผมก็เล่าให้เขาฟัง สำหรับผม เขาคือเพื่อนที่ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจและไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง” เพราะอย่างนั้นกระมังเขาจึงหละหลวมเรื่องการป้องกันในบางครั้งที่ถูกลอร่าปลุกอารมณ์กลางดึก และปล่อยให้เธอคุมเกมโดยไม่ทักท้วงเรื่องการป้องกัน เนื่องจากคิดว่าดาราสาวคงกินยาคุมกำเนิด หรือไม่ก็อยู่ในระยะปลอดภัย แต่นั่นก็เกิดขึ้นเพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น

                “ฉันไม่ได้มาจากสังคมที่เพื่อนนอนกับเพื่อนหรอกนะคะ แต่เท่าที่ฟังมา ฉันก็พอจะสรุปได้ว่าคุณกับเขาก็เข้ากันได้ดีทุกเรื่อง แล้วทำไมไม่แต่งงานหรือทำอะไรให้มันถูกต้องเสียเลยล่ะคะ หรือว่าทำไม่ได้เพราะเรายังจดทะเบียนกันอยู่ ฉันยินดีจะหย่าให้คุณนะคะ ฉันเชื่อว่ามันต้องมีทางออกอื่นสำหรับเรื่องอลิซ”

                “ผมไม่ได้รักลอร่า!” นักการเงินหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวด ผิดกับแววตาที่เปิดเผยความรู้สึกข้างในอย่างหมดเปลือก “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอซาร่าห์ว่าใครคือผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจของผมมาตลอดเวลากว่าสี่ปี ไม่รู้เลยเหรอว่าหัวใจของผมร่ำร้องหาใคร”

                “ไม่คิดว่าการกระทำของคุณมันสวนทางกับคำพูดไปหน่อยเหรอคะ” นาทีนี้เธอโกรธจนอยากสวมวิญญาณเมียหลวง กระหน่ำฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้าหล่อๆ นั่นสักสิบครั้ง

ผู้ชายเห็นแก่ตัว! ประโยคนั้นสะท้อนอื้ออึงในความรู้สึกของเธอ

                “คุณไม่รู้หรอกว่ามันยากแค่ไหนกับการพยายามลืมคุณ ผู้หญิงที่ผมนอนด้วยในระยะสี่ปีมานี้ล้วนแต่เป็นคนเชื้อสายเอเชียทั้งนั้น คงไม่ต้องให้อธิบายใช่ไหมว่าทำไม” เสียงเขาดังขึ้นอีกหลายเดซิเบล เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าหลงรัก แต่ก็ต้องตัดใจเพราะเห็นว่าเธอมีคนรักแล้ว การบินกลับไปงานแต่งงานของเพื่อนใหม่อย่างมาริสาและ ฌอน ปีเตอร์สัน ที่เมืองไทยเมื่อสามปีก่อน และแอบซุ่มรอศราวณะที่หน้าคอนโด แล้วเห็นอธิปขับรถมาส่งเธอ แถมยังจูงมือกันเข้าคอนโดนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาสั่งตัวเองให้เลิกทำตัวเหมือนหนุ่มคลั่งรักและหันหลังให้คำว่ารักแรกพบ กระทั่งเข้าประชุมและพบเจสันเดือนมกราคมจึงถามเรื่องครอบครัวตามประสาคนสนิท แล้วเจสันบอกว่าเธอกำลังจะบินมาช่วยเลี้ยงอลิซนั่นละ แสงแห่งความหวังในดวงใจจึงส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง

                “คุณมันเห็นแก่ตัว คุณไม่คิดบ้างเหรอคะว่าการทำแบบนั้น มันไม่ต่างจากการหลอกผู้หญิงพวกนั้นเลย” ผู้หญิงย่อมเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกันดี ถ้าเธอถูกใช้เป็นตัวแทนของใคร ก็คงโกรธจนควันออกหูและคงพานเกลียด ไม่อยากเจอะเจอคนที่หลอกใช้ไปตลอดชีวิต

                “ผมไม่เคยให้ความหวังกับพวกเธออย่างที่คุณเข้าใจเลยซาร่าห์ ผมตรงไปตรงมากับทุกคนตั้งแต่ต้นจนจบเสมอ ไม่มีการหลอกลวงหรือหลอกใช้อย่างที่คุณเข้าใจ ทุกคนล้วนเต็มใจและพอใจกับข้อเสนอของผม” เพราะทุกอย่างระบุอยู่ในสัญญาเสร็จสรรพ ไม่มีการฟ้องร้อง เปิดโปง หรือเรียกร้องให้เหนื่อยระอาทั้งสิ้น 

                “อ้อ! ฉันลืมไปว่ากำลังคุยกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา คนระดับคุณคงไม่ปล่อยให้ผู้หญิงสนตะพายได้ง่ายๆ” ศราวณะประชดเสียงขุ่น “แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ยังคิดว่าเราควรจะหย่าค่ะ หย่าแล้วคุณจะได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง นั่นหมายถึงรับผิดชอบผู้หญิงคนนั้นกับลูกด้วยการแต่งงาน”

                พอลทำเสียงฮึขึ้นจมูก “แต่งเพื่อจะหย่าในอีกไม่กี่ปี เหมือนกับที่พ่อกับแม่ของผมทำอย่างนั้นเรอะ” 

                “อย่าเอาเรื่องที่ฉันไม่รู้ไม่เห็นมาตะคอกใส่หน้ากันแบบนี้นะ มิสเตอร์พอล ไวส์แมน!” หญิงสาวแว้ดกลับลั่นชั้นสองของคฤหาสน์ เรียกเขาอย่างเป็นทางการเพื่อเตือนว่ากำลังทำตัวก้าวร้าว เขากล้าดีอย่างไร ถึงมาใส่อารมณ์ในเรื่องที่เธอไม่ได้รู้เห็น

                “ผมขอโทษ” พอลก้าวถอยหลังไปหลายสเตป รู้สึกผิดที่เอาปมด้อยในชีวิตมาลงกับเธอ

                “ช่างเถอะค่ะ” ศราวณะยิ้มอ่อน “ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะคะ เมื่อกี้เหมือนคุณเอ่ยชื่อของเธอแล้ว แต่ฉันจำไม่ได้”

                “ลอร่า…ลอร่า นิกสัน”

                “ลอร่า นิกสัน ดาราฮอลลีวูดเหรอคะ” เธอกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อเขาพยักหน้าแทนคำตอบ

ลอร่า นิกสัน!

เขาทำผู้หญิงระดับนั้นท้อง แล้วไม่คิดจะแต่งงาน นี่เขาเสียสติไปแล้วหรือไง ถึงเธอจะให้อภัย แต่สังคมไม่มีวันให้อภัยเขาแน่ๆ 

                “เธอสวยและเหมาะสมกับคุณทุกด้านเสียขนาดนั้น คุณต้องโง่บรมโง่แน่ที่ไม่คิดจะแต่งงานด้วย คุณไม่คิดบ้างเหรอคะว่าถ้าเรื่องแดงขึ้นมา สังคมจะมองคุณอย่างไร ชื่อเสียงของคุณจะมัวหมอง ความน่าเชื่อถือของไวส์แบงก์อาจลดลงในสายตาของคนส่วนมากด้วย

                “ที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย ซาร่าห์”

                “ถึงอย่างนั้นคุณก็ไม่ควรจะปัดความรับผิดชอบอยู่ดีค่ะ”

                “แน่นอน ผมรับผิดชอบพวกเขาเป็นอย่างดี ลอร่าย้ายมาอยู่นิวยอร์กได้หลายวันแล้ว ผมเทกแคร์เธอกับลูกในทุกๆ ด้าน ผมกับลอร่าเข้าใจกันดี” พอลยืนยันหนักแน่นเพราะอยากให้เธอสบายใจ

                “ดีค่ะ” ที่เขากลับบ้านดึกแทบทุกคืนคงด้วยเหตุนี้ น่ารำคาญเหลือเกินที่ลำคอของเธอตีบตันขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน “ถ้าจะให้ดีกว่านั้น คุณควรจะให้เธอกับลูกย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็ย้ายข้าวของของคุณออกไปอยู่กับเธอและลูกค่ะ”

                “ซาร่าห์ คุณสัญญาแล้วว่าจะไม่โกรธและให้อภัยผม” พอลรู้สึกว่าแข้งขาเริ่มหมดแรง

                “ฉันไม่ได้โกรธค่ะ เพราะถ้าฉันโกรธ หน้าของคุณคงมีรอยนิ้วมือของฉันประทับอยู่แล้ว แล้วฉันก็ให้อภัย ถึงได้แนะนำให้คุณทำทุกอย่างให้ถูกต้องอยู่นี่ไงคะ”

                “ปากบอกว่าให้อภัย แต่สีหน้ากับแววตาของคุณมันบอกว่าคุณกำลังโกรธและเกลียดผม” แค่เขาก้าวขาเข้าไปหา เธอก็ถอยหนีทันที อย่างนี้จะไม่ให้คิดว่าโกรธเกลียดเขาได้อย่างไร

                “ฉันไม่ได้โกรธหรือเกลียดคุณค่ะ ฉันแค่ผิดหวัง ผิดหวังเพราะคิดว่าคนฉลาดขนาดคุณน่าจะแก้ปัญหาชีวิตได้ดีกว่านี้”

อย่านะน้ำตา! อย่าไหลออกมาแสดงความงี่เง่าของตัวเองเป็นอันขาด เธอไม่ได้เป็นคนรักของเขา ไม่เคยคบกันฉันแฟนด้วยซ้ำ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเมีย แต่ก็แค่เมียลับๆ กับทะเบียนสมรสที่มีค่าไม่ต่างจากกระดาษใบหนึ่ง อย่าอินกับบทเมียจนมองข้ามความเป็นจริงว่า เธอกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน

                “แล้วคุณคิดว่าผมควรจะทำอย่างไรล่ะซาร่าห์ แต่งงานกับลอร่าเพื่อรับผิดชอบเด็ก ในขณะที่หัวใจคิดถึงแต่คุณทั้งวันทั้งคืนน่ะเหรอ”

                “ถ้าคุณพยายามรักเธอ วันหนึ่งสิ่งที่คุณคิดว่าแย่ มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ได้นะคะ”

                “คุณก็พูดได้สิ เพราะคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม ลองคุณมาเป็นผมบ้าง คุณจะรู้ว่ามันทรมานใจขนาดไหน ผมไม่เคยมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่เคยได้รับความรักจากพ่ออย่างแท้จริง ผมบอกตัวเองมาตลอดว่าหากวันหนึ่งได้เป็นพ่อ ผมจะทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ผมจะไม่ให้ลูกต้องเจอในสิ่งที่ผมเคยเจอ แต่พระเจ้าไม่เข้าข้างผมเลย ตอนนี้ผมกำลังจะเป็นพ่อคน แต่ผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูกกลับไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมรัก” นักการเงินหนุ่มกลืนน้ำลายฝาดเฝื่อนลงลำคอแห้งผาก ศราวณะอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า แต่เวลานี้เขากลับรู้สึกเหมือนเธอคือดาวบนฟ้าที่ไม่มีวันเอื้อมถึง

                “อย่าโยนความพลั้งพลาดของตัวเองให้พระเจ้าเลยค่ะ เพราะท่านไม่ได้ขึ้นเตียงกับลอร่า!”

หากพระเจ้ามีจริง ท่านก็คงกำลังสั่งสอนผู้ชายที่คิดว่าตัวเองแน่ ที่คิดว่าสามารถควบคุมทุกสถานการณ์ได้ ว่าในความเป็นจริงเขาคิดผิดถนัด เพราะต่อให้เจ๋งแค่ไหน สุดท้ายก็มีจุดบอดด้วยกันทั้งนั้น จุดบอดของเขาคือความไว้วางใจที่มีต่อลอร่า คาดหวังว่าเธอจะป้องกัน เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่คิดจริงจัง การลดกำแพงแห่งความไว้ใจของเขาจึงเท่ากับเปิดโอกาสให้ดาราสาวได้ในสิ่งที่ต้องการ

                “เพราะรู้ว่าคุณจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้ไง ผมถึงเครียดจนไม่อยากบอก” เขาควรจะดีใจไหมที่เธอตวาดใส่หน้าเหมือนภรรยาที่โกรธเพราะรู้ว่าสามีทำคนอื่นท้อง เขาไม่ถือสาที่ศราวณะโกรธ เพราะมันแสดงว่าเธอแคร์เขาในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อยากเห็นสายตาที่มองว่าเขาคือเศษสวะอย่างในตอนนี้

                “ฉันบอกแล้วไงคะว่า ไม่-ได้-โกรธ! อย่าคิดว่าคุณมีค่าต่อความรู้สึกของฉันมากมายขนาดนั้น

                “โอเค ไม่โกรธก็ไม่โกรธ ผมไม่อยากให้คุณหัวเสียแล้ว ราตรีสวัสดิ์!” ชายหนุ่มก้าวออกมาจากอาณาเขตส่วนตัวของเธอและดึงประตูให้ปิดลง

บ้าเอ๊ย! ไหนว่าจะไม่โกรธและให้อภัยไง สายตาแบบนั้นมันบอกเสียเมื่อไรว่าเธอจะให้อภัยเขาง่ายๆ

                “ฉันต้องการหย่า!” เสียงหวานที่แว้ดผ่านประตูทำเอาเขาหยุดฝีเท้าที่เพิ่งเดินหนีได้เพียงก้าวเดียว

                “อีกสองปีค่อยมาคุยเรื่องหย่ากับผม ซาร่าห์!”

                “คุณมันเห็นแก่ตัว!” คำบริภาษดังตามมาอีกหนึ่งคำรบ “คุณบอกว่าไม่อยากให้เด็กมีปัญหาอย่างที่คุณเคยเจอ แต่สิ่งที่คุณทำ มันกำลังสร้างปัญหาให้เด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนนั้น

                พอลไม่โต้กลับ แต่เร่งฝีเท้าไปทางบันไดเพื่อหนีลงไปสงบสติอารมณ์ที่ชั้นล่าง เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นว่าใครเพิ่งเปิดประตูของคฤหาสน์เข้ามา

“กลับดึกเลยนะเป๊ป แต่งตัวสวยเชียว ไปเดตมาละสิ” ตาสีฟ้าน้ำทะเลกวาดมองเชฟสาวในชุดโบฮีเมียนเดรสลายกราฟิกสีกรมท่า

                “คุณยังไม่นอนอีกเหรอคะ” เปปเปอร์ถามหลังจากพยักหน้ายอมรับอย่างเขินๆ

                “มีเรื่องเครียดให้คิดน่ะ ตกลงหนุ่มผู้โชคดีคนนั้นชื่ออะไร”

                “ทรอยค่ะ” นัยน์ตาของคนพูดเจิดจ้าเมื่อเอ่ยชื่อแฟนหนุ่ม ทรอยเป็นยิ่งกว่าของขวัญจากพระเจ้าสำหรับเธอ เขาอบอุ่น อ่อนโยน ช่างเอาอกเอาใจ ทะนุถนอมเธอราวกับอัญมณีล้ำค่า จากที่เคยคิดมาตลอดว่าพอลคือต้นแบบของชายในฝัน เวลานี้ทรอยทำให้เธอเชื่อว่าเขาเพอร์เฟกต์ยิ่งกว่าหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า

                “ดีใจด้วยนะที่เจอพรินซ์ชาร์มิงเสียที”

                เปปเปอร์ยิ้มเขิน ค้อมศีรษะนิดๆ แล้วปลีกตัวไปยังห้องพักของตนตามประสาสาวขี้อาย หากเธอจะกล้าเหมือนพี่สาวฝาแฝดสักหน่อย คงตอบกระเซ้าแกมหยอกกลับไปแล้วว่า ในเมื่อเขาไม่เคยมองเธอในเชิงชู้สาวเลย จึงต้องตัดสินใจมองหามิสเตอร์เพอร์เฟกต์จากข้างนอก

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่เคยรู้เลยคือเธอแอบชอบพอลมาโดยตลอด ชอบแต่ไม่เคยแสดงออกให้เขาหรือใครได้รู้ ทว่าเธอก็มีความสุขกับการแอบชอบ แอบมอง ได้ทำอาหาร ได้ชงกาแฟให้เขา ในวันที่ชายหนุ่มพาศราวณะเข้ามาในบ้าน และเห็นสายตากับท่าทางที่เขาแสดงต่ออีกฝ่าย

ความหวัง…ความฝันในซอกหลืบเล็กๆ ของใจเธอเหมือนจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยิ่งเขาพาแขกสาวไทยย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่และให้ทุกคนเรียกว่ามิส ก็ยิ่งตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นคุณผู้หญิงแห่งคฤหาสน์ไวส์แมน โชคดีที่เธอเก็บความรู้สึกเก่งมาแต่ไหนแต่ไร จึงสามารถยิ้มและหัวเราะกับความสุขของทั้งสองได้โดยไม่แสดงพิรุธ

เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหลือเกินที่ทรอยสามารถรักษาบาดแผลหัวใจของเธอได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ผู้ชายคนนั้นมีพรสวรรค์ในการเปลี่ยนใจคนเหมือนพ่อมด เดตครั้งแรกกับเขาทำเอาเธอกลับมาละเมอเพ้อพกอยู่หลายวัน เฝ้าภาวนาต่อพระเจ้าให้เขาติดต่อกลับมาอีก แล้วคำวิงวอนของเธอก็เป็นจริง

ทรอยขอคบหาเธอแบบจริงจังในเดตที่สอง เขายื่นกุญแจสำรองของห้องพักและที่อยู่ให้ เดตที่สาม…เขาบอกให้เธอไปหาที่ห้องพัก ทรอยเซอร์ไพรส์ด้วยการทำอาหารให้กิน และออกตัวว่าทำสุดฝีมือ แม้ไม่รู้ว่าจะถูกใจเชฟไหม

เดตนั้นจบลงบนเตียง ซึ่งเธอแอบกลัวว่าเขาจะไม่ประทับใจ เพราะยังอ่อนหัดและขี้อายเรื่องเซ็กซ์ แต่ทรอยยืนยันว่ามีความสุขที่ได้ร่วมรักกับเธอยิ่งกว่าผู้หญิงทุกคนที่เคยหลับนอนด้วย วันนั้นเธอไม่รู้ว่าเขาชมจากใจหรือทำตามมารยาท แต่จนถึงวันนี้ แฟนหนุ่มยังแสดงออกอย่างเสมอต้นเสมอปลายว่าหลงใหลไคล้คลั่งในตัวเธอไม่สร่าง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น