1

วาระหวาดหวั่น


1

วาระหวาดหวั่น

 

                อเมริกา ประเทศที่ผู้คนจำนวนมากจากทั่วโลกขวนขวายดิ้นรนเพื่อหาทางมาขุดทองหลายทศวรรษ ทว่าศราวณะซึ่งเพิ่งเหยียบย่างมาเป็นครั้งแรก กลับหนาวเหน็บในอกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อก้าวออกจากเครื่องบินสัญชาติอเมริกัน

                สามเดือนก่อน เธอถูกขอร้องแกมบังคับจากพี่สาวคนรองที่แต่งงานกับหนุ่มใหญ่ชาวอเมริกัน ให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวที่อายุเกือบสองขวบ แม้ไม่อยากมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงจำเป็นมากขนาดไหน แต่เธอก็ทนแรงกดดันจากทางบ้านและพี่สาวไม่ไหว

                ศศินารา หรือพี่จันทร์ อายุมากกว่าเธอห้าปี เคยทำงานเป็นรีเซปชันนิสต์ของโรงแรมห้าดาวในกรุงเทพฯ และนั่นคือสถานที่พบรักกับเจสันซึ่งเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ทั้งสองคบหากันไม่ถึงปี เจสันก็ยกขันหมากไปสู่ขอ จัดงานแต่งงานกันอย่างเอิกเกริกก่อนจะพาเดินทางไปอยู่อเมริกา

                ตอนนั้นเธออายุย่างยี่สิบปี กำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัยปีสาม ส่วนเจสันอายุประมาณสี่สิบปี เขาเป็นผู้ใหญ่ใจดี รักและวางความสุขของศศินาราไว้เหนือทุกสิ่ง ความอบอุ่น ใจกว้างของเขาทำให้เธอถึงกับตั้งปณิธาน ว่าหากต้องแต่งงานกับใครสักคน ผู้ชายคนนั้นจะต้องรักเธอและครอบครัวเหมือนอย่างที่เจสันรักศศินารา

                สมาชิกในครอบครัวของเจสันไม่ได้เดินทางมาร่วมงานแต่งงานสักราย มีเพียงเจ้านายของเขาเท่านั้นที่เดินทางมาทำหน้าที่เป็นทั้งเถ้าแก่และเพื่อนเจ้าบ่าวในการสู่ขอ ตอนที่พี่สาวกับเจสันขอร้องให้เธอคอยดูแลและพาเจ้านายเที่ยวในกรุงเทพฯ นั้น เธอคิดว่าเขาคงแก่กว่าเจสันอย่างน้อยสิบปี ทว่าพอเดินทางไปรับที่สนามบินก็ถึงกับอึ้งในความหนุ่มแน่นและความหล่อเหลาระดับดาราฮอลลีวูดของเขา

                พอล  ไวส์แมน ในตอนนั้นอายุเพียงยี่สิบแปดปี เขาสูงเสียจนเธอซึ่งสูงเกินมาตรฐานสาวไทยกว่าสิบเซนติเมตรยังต้องแหงนคอตั้งบ่า พอลแผ่รัศมีโดดเด่นกลบทั้งชาวต่างชาติและคนไทยที่อยู่ในอาคารผู้โดยสารขาเข้า ทั้งที่เขาสวมแค่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อน ทับด้วยเสื้อเบลเซอร์สีกรมท่าและกางเกงยีนสีเข้ม

                เธอมองเขาไม่วางตาราวกับถูกตรึงด้วยมนตร์สะกดตั้งแต่เห็นเขาลากกระเป๋าเดินทางยี่ห้อ หลุยส์ วิตตอง สะพายกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊ก ย่างก้าวด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับราชสีห์เยื้องย่างอยู่กลางทุ่งหญ้าสะวันนา ออกมายังฮอลล์ต้อนรับผู้โดยสาร หากจะบอกว่าเขาขโมยลมหายใจของเธอกับผู้หญิงที่ยืนอยู่บริเวณนั้นไปชั่วขณะ ก็คงไม่ผิดนัก

                เธอเห็นเขาผ่อนฝีเท้า ไล่สายตามองป้ายที่คนไปรอรับแขกต่างชาติถืออยู่ หลายคนชูป้ายขึ้นสูงเหมือนกลัวผู้โดยสารที่นัดแนะไว้จะมองไม่เห็น เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่มองผ่านเขาไปที่ฝรั่งสูงวัย ท่าทางภูมิฐานหลายคนที่เดินตามหลังเขาออกมา เพราะคิดว่าพอลหนุ่มแน่นเกินกว่าจะเป็นเจ้านายของเจสัน รู้ตัวอีกทีก็แทบสำลักลมหายใจตัวเอง ร้อนวูบวาบไปทั้งกายเพราะร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้า เขามองเธอสลับกับกระดาษในมือแล้วยิ้มตาพราวระยับ

                ‘ผมเดาว่าคุณมารอรับผม’ คำพูดพร้อมกับการขยิบตาเย้าแหย่ทำเอาสาวน้อยศราวณะในวันนั้นมือเท้าอ่อน แทบทรุดลงไปกองกับรองเท้าหนังราคาแพง จากที่แอบมองและคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูดีมากในระยะห้าสิบเมตร พอยืนห่างกันเพียงช่วงแขนและเห็นดวงตาสีฟ้าเทอร์คอยส์ไหวระริกล้อแสงไฟ ก็ยิ่งรู้สึกว่าคำว่าดูดีมันได้แค่เศษเสี้ยวของเขาเท่านั้น

                ผู้ชายคนนี้คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบโดยแท้ เธอเดาว่าเขาน่าจะสูงอย่างต่ำร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ช่วงแขน ขาและลำตัวได้สัดส่วนกันอย่างเหมาะเจาะ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละห้าวัน เธอเห่อร้อนไปถึงรากผมเมื่อหลุบตาลงต่ำ แล้วเห็นลำตัวเพรียวยาวสมส่วน ไม่ต้องจับถอดผ้าก็รู้ว่าภายใต้เสื้อยืดตัวนั้นคงเต็มไปด้วยลอนซิกซ์แพ็กแสนเร้าใจเบียดอัดกันอย่างแน่น และใต้สะดือก็คงมีแนวขนสีน้ำตาลเฉดเดียวกับผมบนศีรษะได้รูป ขึ้นเป็นแนวดิ่งลงสู่ใต้เอวกางเกง

                ความคิดแสนทะลึ่งตึงตังนี้ทำเอาเธอแอบโบ้ยความผิดไปให้ต้นฉบับของนักเขียนบางคน และเพื่อนเกย์ขาหื่นอย่างณัฐวุฒิ ซึ่งบังคับให้เธอกับเพื่อนในกลุ่มเรียกว่าแนตตี้ โทษฐานสร้างอิทธิพลทางความคิดแบบทะลึ่งๆ เกี่ยวกับสรีระของเพศชายแก่เธอ

                ‘เอาแต่จ้องแล้วหน้าแดงแบบนี้ ผมคิดลึกนะสาวน้อย’ พอลกระเซ้ากลั้วหัวเราะเหมือนขันเสียเต็มประดา แววตารู้ทันกึ่งล้อเลียนของเขาทำเธอหน้าแดงแปร๊ด

                ‘คะ เอ่อ...คุณคือ...มิสเตอร์พอล ไวส์แมน เหรอคะ’ เธอส่งภาษาอังกฤษแบบติดๆ ขัดๆ พร้อมยกกระดาษขนาดเอสี่ที่มีชื่อและนามสกุลของเขาขึ้นมาบังหน้าแดงเป็นสาวขี้เมาของตัวเอง อายจนอยากแทรกพื้นคอนกรีตหนีที่โดนจับได้คาหนังคาเขา  

                ‘ครั้งสุดท้ายที่ผมเช็กก็...คิดว่าใช่นะ’

‘ค่ะ เจสันกับพี่จันทร์ให้ฉันมารับคุณไปส่งที่โรงแรมและพาเที่ยวกรุงเทพฯ สองวันก่อนพาไปกาญจน์ฯ ค่ะ’ เธอลดมือที่ถือกระดาษลง ยิ้มปากสั่นบอกเร็วปรื๋อโดยไม่สนว่าไวยากรณ์จะผิดเพี้ยนหรือเปล่า ยิ่งสบตาสีฟ้าน้ำทะเลแวววาวอย่างมีชีวิตชีวาแบบสุดๆ คู่นั้น ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีผีเสื้อนับร้อยตัวบินว่อนอยู่ในช่องท้อง ที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้เวลามองหนุ่มคนไหนมาก่อน

เขายิ้มกรุ้มกริ่มแบบไม่สงวนท่าที ‘ขอบคุณมาก คุณต่างจากที่ผมคาดไว้เยอะ’

นัยน์ตาคมกริบไล่มองตั้งแต่หัวจดปลายเท้าของเธอราวกับนักธุรกิจที่กำลังประเมินสินค้าบางอย่าง เธอไม่แน่ใจว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าเขามองอ้อยอิ่งตรงริมฝีปากนานมากเป็นพิเศษจนต้องเม้มปากไว้ นั่นแหละเขาถึงยอมขยับสายตาขึ้นมาสบตาเธอ

‘คุณก็เหมือนกันค่ะ’

‘ผมหวังว่าเราจะใจตรงกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นะคัปเค้ก’ พอลพูดกำกวมพลางขยิบตาเจ้าชู้ให้ ทำเอาเธอซึ่งขณะนั้นมีแฟนอยู่แล้วถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง

มันแย่มากที่เธอรู้สึกแบบนั้นกับคนที่เพิ่งเจอกันเพียงไม่กี่อึดใจ ในขณะที่ไม่เคยรู้สึกแบบเดียวกันกับแฟนหนุ่มอย่างอธิปที่คบหามาร่วมสามเดือน

                เธอปลอบใจตัวเองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้หญิงจะหวั่นไหว เวลาได้สบตาและอยู่ใกล้ผู้ชายเพอร์เฟกต์ ขณะเดียวกันก็แอบคิดว่าเขาคือบุคคลอันตรายที่ไม่น่าเข้าใกล้

                คืนนั้นเธอขับรถไปส่งเขาที่โรงแรมห้าดาวในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ กว่าจะเดินทางถึงที่พักก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงคืน พอลฉกวูบลงมาหอมแก้มของเธอ กระซิบขอบคุณและอวยพรให้หลับฝันดีด้วยน้ำเสียงเหมือนจะชวนขึ้นเตียง เขาส่งยิ้มล้อเลียน พราวระยับเมื่อเห็นเธอยืนนิ่งเหมือนถูกสาป พอตั้งสติได้ เธอก็เผ่นแผล็วขึ้นรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่ของตัวเอง สตาร์ตเครื่องยนต์ด้วยมือไม้สั่นและกระชากรถจากหน้าล็อบบีแห่งนั้นเร็วราวกับกำลังหนีฆาตกรเจ้าของฉายา ‘นักฆ่าห้าร้อยศพ’

                นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พอลแสดงความสนิทสนมกับเธอ เพราะระหว่างการพาทัวร์กรุงเทพฯ สองวัน เขามักจะหากำไรจากเธอประจำ พอลถึงเนื้อถึงตัว จับมือถือแขนเธอและอ้างว่ากลัวการข้ามถนนในเมืองไทย บ้างก็ว่ากลัวหลงหรือคลาดกัน พอรู้ว่าเธอมีแฟนก็ทำเป็นสั่งสอนว่าผู้ชายในวัยเรียนไม่ได้จริงจังถึงขั้นอยากแต่งงานกับผู้หญิงที่คบหาในตอนนี้ ร้อยทั้งร้อยคิดแต่จะหาความสุขทางเพศรสเท่านั้น หากหลับตาแล้วฟังจะรู้สึกเหมือนเขาตักเตือนด้วยความปรารถนาดี แต่การคุยไปมองตากันไป มันทำให้เธอตีความสายตาร้อนแรงคู่นั้นว่าเขาพูดดีแต่ประสงค์ร้าย

                แม้เธอจะเห็นด้วยกับบางสิ่งที่พอลพูด แต่ก็แอบแย้งในใจว่าเขาเองก็น่ากลัวไม่แพ้อธิป บางทีอาจน่ากลัวกว่าด้วยซ้ำเพราะรู้ทั้งรู้ว่าเธอมีแฟน แต่ก็ยังทำหูทวนลม แถมยังชอบลอบมองเธอด้วยสายตาหื่นกระหายบ่อยๆ ด้วย

                พอลกับอธิปเผชิญหน้ากันในวันที่ต้องเดินทางไปกาญจนบุรี เขาเช่ารถสปอร์ตยี่ห้อดังตั้งแต่วันที่สองของการอยู่กรุงเทพฯ โดยให้เหตุผลว่ารถของเธอนั่งไม่สบาย แผนการพาเขานั่งรถไปกาญจนบุรีพร้อมกับอธิปจึงต้องเปลี่ยนกะทันหัน แฟนของเธอโกรธจนควันออกหูเมื่อบอกว่าจำเป็นต้องนั่งรถกับพอลเพื่อบอกเส้นทางและเขายังไม่ชินกับการขับรถเลนซ้าย

นั่นคือชนวนสงครามระหว่างทั้งคู่ ซึ่งคนวางตัวลำบากที่สุดก็คือคนกลางอย่างเธอ

                อธิปทำตัวเป็นเงาตามตัวของเธอนับแต่นั้น ขณะที่พอลกลายเป็นขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ รวมไปถึงคนแก่แม่หม้ายเพราะความหล่อเหลาแบบฉกาจฉกรรจ์ของเขา ทว่าทุกครั้งที่เธอลอบมองไปทางเขา ใจก็เต้นเป็นกลองมโหระทึก เพราะมักจะพบว่าดวงตาร้อนแรงคู่นั้นจับจ้องมาอยู่ก่อนแล้ว

                 คืนที่ศศินารากับเจสันฉลองงานแต่งงานที่รีสอร์ตสี่ดาวของกาญจนบุรีนั้น พอลขอเธอเต้นรำโดยไม่สนสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อของอธิป เขาพูดระหว่างการเต้นรำว่าอธิปไม่ใช่ผู้ชายสำหรับเธอ และนั่นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนอดกลั้นของเธอขาดผึง กล้าเค้นเสียงถามกลับเชิงประชดประชันว่าแล้วผู้ชายแบบไหนกันที่เหมาะกับเธอ เขาก้มลงกระซิบชิดใบหูแดงก่ำของเธอ เอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

                 ‘เลิกหลอกตัวเองเสียทีเถอะซาร่าห์ คุณก็รู้ว่าระหว่างเราสองคนมันมีแรงดึงดูดมหาศาล ผมไม่เคยรู้สึกรุนแรงขนาดนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน เลิกกับหมอนั่นซะ!

                ‘ระหว่างเรามันไม่มีอะไรเลยค่ะมิสเตอร์ไวส์แมน ยกเว้นคุณอารมณ์เปลี่ยวและต้องการหาคู่นอนชั่วคราวเท่านั้น ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณเลย และคุณก็ไม่ใช่สเปกของฉัน เพราะฉันชอบหนุ่มเอเชียค่ะ’ เธอจำได้ว่าเงยหน้าจ้องเขาตาไม่กะพริบ แต่จนแล้วจนรอดก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หลุบตาลงต่ำเสียเอง

                ‘คุณจะหลอกตัวเองอย่างนั้นก็ได้ซาร่าห์ แต่เชื่อเถอะ ผมไม่เคยมองอะไรผิด’ เขากล่าวทิ้งท้ายด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แล้วพาเธอออกจากฟลอร์เต้นรำ

เธอทำเป็นไม่มอง ไม่สนใจว่าเขาทำอะไร หรือคุยกับใครหลังจากนั้น แต่แล้วก็ต้องตกใจแทบช็อก เมื่อเดินออกไปสูดอากาศนอกบริเวณงานตอนดึกแล้วถูกกระชากเข้าสู่มุมอับแสง เธออ้าปากค้างในอารามตกใจทันทีที่เห็นหน้าของผู้กระทำการอุกอาจชัด ก่อนจะตัวแข็งทื่อเมื่อปากร้อนระอุบดขยี้ลงมาแบบไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว พอลควานลิ้นเข้าสู่ภายในโพรงปากของเธออย่างหื่นกระหาย

ลีลาจูบแสนเร่าร้อน กลิ่นของบรั่นดีราคาแพงที่อวลอยู่ในอุ้งปากอุ่นกับลมหายใจอุ่นจัด ชวนให้มึนเมาและวาบหวามในเวลาเดียวกัน เพราะมัวแต่อยู่ในภวังค์ ช็อกกับการจู่โจมอุกอาจ เธอจึงปล่อยให้เขาปล้นจูบแรกในชีวิตสาวไปโดยไม่ได้ขัดขืน กว่าจะกลับมาเป็นตัวของตัวเองก็ตอนที่หูได้ยินเสียงร้องอย่างเดือดดาลของอธิป ซึ่งกระชากหัวขโมยอย่างเขาออกไปต่อยหน้าท่ามกลางเสียงหวีดร้องอย่างตกใจของผู้ที่เห็นเหตุการณ์                                

                ความชุลมุนวุ่นวายนั้นผ่านมากว่าสี่ปีแล้ว ทว่าเธอยังจำรายละเอียดสุดระทึกได้ดีประหนึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

                หญิงสาวถอนใจยาว สลัดความว้าวุ่นนั้นออกจากห้วงความคิด ขณะก้าวยาวๆ ตามหลังกลุ่มผู้โดยสารที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกันไปเข้าแถวด่านตรวจคนเข้าเมือง เสร็จเรียบร้อยก็ไปรับกระเป๋าจากสายพาน เดินตามป้ายออกไปยังโถงต้อนรับผู้โดยสารขาเข้า เธอฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นพี่เขยโบกมือให้ พอลากกระเป๋าเข้าไปหา เจสันก็สวมกอด หอมแก้มทักทายเหมือนทุกครั้งที่เจอ

                “พี่จันทร์ไม่ว่างมาด้วยเหรอคะ” ศราวณะซักขณะเดินเคียงคนฟังซึ่งแย่งกระเป๋าเดินทางใบโตของเธอไปลากเองด้วยวิถีแห่งสุภาพบุรุษ

                “อลิซชอบงอแงเวลานั่งรถ แจนเลยบอกว่าจะทำกับข้าวรออยู่ที่บ้านแทนน่ะ” รอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้คนฟัง “ขอโทษด้วยนะที่ต้องรบกวนให้มาช่วยเลี้ยงอลิซ ผมไม่รู้จะว่าอย่างไรจริงๆ ผมอยากจ้างออแพร์ แต่แจนไม่ยอม บอกไม่ไว้ใจใครเท่าซาร่าห์”

                “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเต็มใจ ที่ไม่อยากรับตอนแรกเพราะกลัวจะเลี้ยงหลานได้ไม่ดีมากกว่า คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่มีประสบการณ์กับเด็กเลย” หญิงสาวกล่าวกลั้วหัวเราะ พยายามจะสร้างบรรยากาศของการสนทนาให้ครื้นเครง เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมาก

                “แต่ผมเชื่อว่าคุณกับอลิซจะเข้ากันได้ดี” สีหน้ายามเขาเอ่ยถึงบุตรสาวทำเอาเธอถึงกับยิ้มตาม

                “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะค่ะ ฉันไม่อยากให้คุณกับพี่จันทร์ผิดหวังหลังจากที่เดินเรื่องขอวีซาให้”

                เธอคุยอย่างถูกคอกับพี่เขยระหว่างการเดินทางเกือบชั่วโมงครึ่งจากแอร์พอร์ต ข้ามสะพานจอร์ช วอชิงตัน ประมาณสิบนาทีก็ถึงบ้านของเขาในเมืองริดจ์ฟิลด์ เจสันเล่าให้ฟังว่าเมืองดังกล่าวมีชุมชนขนาดใหญ่ของคนอเมริกันเชื้อสายเกาหลี และมีซูเปอร์มาร์เกตเกาหลีที่ศศินารามักจะไปจับจ่ายซื้อของนำเข้าจากเอเชียเป็นประจำ

                บ้านของเจสันเป็นบ้านอิฐ มองภายนอกเหมือนมีแค่สองชั้น ทว่าหลังจากเข้าไปพบพี่สาวกับหลานสาวตัวน้อย และศศินาราพาเดินชมบ้าน จึงเห็นว่ามีชั้นใต้ดินตามแบบฉบับของบ้านอเมริกันส่วนใหญ่               

“พี่จันทร์ยังรสนิยมดีเหมือนเดิม แต่งบ้านได้น่าอยู่มากเลยค่ะ ถ้าเป็นดาวนะ ป่านนี้กลายเป็นรังหนูไปแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขณะเข้าชมห้องนอนใหญ่ เป็นที่รู้กันในครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า ศศินารานั้นมีรสนิยมเลิศหรู ชอบของสวยๆ งามๆ และสนใจด้านอินทีเรียร์ดีไซน์เป็นพิเศษ ผิดกับเธอที่พี่สาวมักค่อนขอดเป็นประจำว่าซกมก ไร้ระเบียบ และไร้รสนิยม

                “พี่ก็ทำได้ดีสุดแค่นี้แหละ ถ้าบ้านใหญ่กว่านี้ หรูกว่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย” คนพูดหย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้หลุยส์ตรงมุมห้องนอน ทอดถอนใจเหมือนพยายามปลงให้ตก

                “หูย สี่ห้องนอน สามห้องน้ำนี่ก็ถือว่าใหญ่และหรูสุดๆ แล้วนะคะ เป็นดาวหน่อยไม่ได้ ถ้าแต่งงานจะขอให้สามีหาเรือนหอแบบสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเวลาทำความสะอาด”

                “ย่ะ แม่คนสมถะ แม่คนมักน้อย แม่คนติดดิน ขนาดเช่าคอนโด แบบสตูดิโอยังปล่อยให้รกประหนึ่งหนูทำรัง แล้วคิดว่าจะดูแลบ้านให้เอี่ยมอ่องอรทัยได้เหรอ พี่ละสงสารอนาคตสามีและลูกเต้าของเธอจริงๆ” ศศินารามองร่างสูงโปร่งของน้องสาวที่สูงเกินหน้าเกินตาเธอนับสิบเซนติเมตรแล้วส่ายหัว

                “แหม คนเราก็ต้องมีจุดอ่อนจุดแข็งบ้างสิ อย่างน้อยเวลาดาวเข้าครัวทำกับข้าว ทุกคนก็ชมว่าอร่อยเหาะ น้องเมฆน้องหมอกอ้อนให้เข้าครัวเป็นประจำ” ศราวณะอ้างชื่อสองหลานชาย ลูกแฝดของพี่สาวคนโตซึ่งมองเธอประหนึ่งว่าเป็นนางฟ้าจุติลงมา

                “แล้วเรามีแฟนใหม่หรือยัง หรือรอลุ้นรีเทิร์นหลังจากอาร์ตเรียนจบ” ศศินาราถามถึงสถานะหัวใจของอีกฝ่าย เพราะเห็นว่าเลิกรากับอธิปตั้งแต่ที่ฝ่ายชายบินมาเรียนต่อที่แคลิฟอร์เนียเมื่อสองปีก่อน 

                “ไม่ทั้งสองคำถามค่ะ ขออยู่เป็นโสดและทำงานอีกสักพักดีกว่า” เธอเป็นคนขอเลิกกับอธิปตอนเขาเรียนจบและบอกว่าจะบินมาเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตอนแรกอธิปไม่ยอม แต่พอห่างกันประมาณหกเดือน เขาก็เริ่มทิ้งช่วงการติดต่อทั้งทางไลน์และโทรศัพท์ เธอจึงเดาว่าเขายอมจบแล้วจริงๆ  

                “มิสเตอร์ไวส์แมนยังโสดนะ ถึงจะควงสาวหลายคนก็เถอะ” นัยน์ตาเรียวรีที่ได้มาจากบิดาหรี่ลงครึ่งหนึ่งขณะจับจ้องน้องสาวคนสวย เธอยังจำสิ่งที่อธิปเล่าได้เป็นอย่างดีว่า เห็นพอลจูบศราวณะอย่างดูดดื่มจึงกระชากอีกฝ่ายออกมาชกต่อยด้วยความหึงหวง เธอกับเจสันถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่คิดว่าเจ้านายของสามีจะอุกอาจถึงขนาดกล้าจูบคนมีเจ้าของ

                “โสดหรือมีแฟนแล้วก็ไม่เกี่ยวกับดาวหรอกค่ะ” หญิงสาวยักไหล่ในเชิง ‘ไม่สน ไม่แคร์’

                “ถ้าคิดแบบนั้นจริงก็ดี บอกตามตรง นิสัยของดาวกับเขาต่างกันเกินไป พี่กลัวถ้าคบแล้วจะไปกันไม่รอด ขนาดพี่กับเจสันมีหลายอย่างคล้ายกัน พอแต่งงานแล้วยังมีเรื่องให้ทะเลาะกันเป็นพักๆ เลย” 

                หญิงสาวยิ้มคล้ายเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่สาวกล่าวด้วยความห่วงใย เวลาสั้นๆ ที่ได้รู้จักและอยู่กับไวส์แมน ทำให้เธอรู้ว่านิสัยของเขาต่างจากเธอราวฟ้ากับเหว ถ้าเปรียบพอลเป็นเทพฟ้าประทาน เธอก็คือขอทานดีๆ นี่เอง พอลนิยมความเป็นระเบียบเรียบร้อย รักสะอาด เจ้าสำอาง ติดแบรนด์ติดความเลิศหรู

คืนที่ไปรับเขาจากแอร์พอร์ต เธอเห็นความอึ้งกึ่งตกใจในสีหน้าและแววตาของเขาเมื่อเปิดท้ายรถแล้วเห็นว่ามันไม่ได้สะอาดสะอ้าน เขาลังเลที่จะยัดกระเป๋าเดินทางยี่ห้อดังใส่ท้ายรถและขอใส่ที่เบาะหลังแทน พอเห็นว่าเบาะหลังก็มีสภาพไม่ต่างกัน จึงยอมดึงถุงกันฝุ่นออกมาใส่กระเป๋าใบงามแล้วยัดใส่ท้ายรถ

พอลปฏิเสธที่จะนั่งรถของเธอในวันต่อๆ มา เขาลงทุนเช่ารถสปอร์ตราคาแพง โดยอ้างว่านั่งสบายกว่ารถญี่ปุ่นขนาดกลางของเธอ เขาคงไม่รู้ว่าเธอแอบสังเกตเห็นตั้งแต่ที่พามาจากแอร์พอร์ตแล้วว่าเขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าพาสเทลออกมาเช็ดมือเปิดประตูก่อนจะกล้าแตะมัน ถ้าหากมีสเปรย์หรือแผ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เขาคงไม่ลังเลที่จะใช้กับรถของเธอแล้ว

“อย่าห่วงเลยค่ะพี่จันทร์ ดาวไม่คิดจะยุ่งกับเขา หรือสร้างปัญหาอะไรให้พี่จันทร์ปวดหัวระหว่างที่อยู่ที่นี่หรอก แค่ช่วยเลี้ยงอลิซอาทิตย์ละสามวัน และเป็นบรรณาธิการฟรีแลนซ์ ดาวก็ไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่นแล้ว”

                “คิดได้อย่างนั้นก็ดี พี่แค่ห่วง กลัวถ้าเขามาขายขนมจีบแล้วดาวจะหวั่นไหว มิสเตอร์ไวส์แมนน่ะทั้งหล่อทั้งรวย เขาขึ้นแท่นหนุ่มโสดที่สาวๆ ทั้งนิวยอร์กอยากแต่งงานด้วยมาหลายปีซ้อนเชียวละ เท่าที่พี่ได้ยินจากเจ เขาเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่นจนถูกล้อว่าเป็น เทเลอร์ สวิฟต์ เวอร์ชันผู้ชายเลย”

                “เราเลิกคุยเรื่องของเขาดีกว่าค่ะ ดาวเหม็นตัว อยากอาบน้ำ” หญิงสาวยกแขนขึ้นสูดกลิ่นรักแร้ของตน ทำจมูกฟุดฟิดแล้วย่นหน้า “หิวแล้วด้วย”

                “โอเคจ้ะ งั้นไปอาบน้ำให้สดชื่นเสีย พี่จะลงไปตั้งโต๊ะรอ” ศศินารากล่าวก่อนแยกลงไปชั้นล่าง

                ศราวณะกลับไปยังห้องนอนส่วนตัว อาบน้ำแต่งตัวใหม่ในชุดเสื้อยืดทับด้วยเสื้อฮู้ดสีครีมกับกางเกงวอร์มเพราะยังปรับตัวกับอากาศภายในบ้านที่ค่อนข้างหนาวเกินไปสำหรับเธอไม่ได้ เมื่อลงไปด้านล่างก็พบว่ามีหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งคุยกับเจสัน พอพี่เขยแนะนำว่าเป็นน้องชายต่างมารดาก็จำได้ว่าเคยเห็นรูปของเขาหลายครั้งจากเฟซบุ๊กของพี่สาว

                จากรูปร่างหน้าตาของเขา เธอเดาว่าโจเซฟน่าจะอ่อนกว่าเจสันนับสิบปี แม้จะเป็นลูกคนละแม่แต่ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับพี่ชายให้เห็นอยู่บ้าง ทั้งสองสูงใหญ่พอกัน ทว่าเจสันเจ้าเนื้อกว่าน้องชายยี่สิบกิโลกรัมเห็นจะได้ การเห็นสองพี่น้องเข้ากันได้ดีทั้งที่ทราบจากศศินาราว่าแม่ของโจเซฟคือสาเหตุที่ทำให้บิดามารดาของเจสันแยกทางกัน ทำให้เธอทึ่งที่ปัญหาเหล่านั้นไม่ได้สร้างความบาดหมางให้รุ่นลูก

“โจทำงานกับเจ เรียกว่าเป็นมือขวาก็คงไม่ผิดนัก ตอนแรกทำงานกับที่อื่นแล้วไม่แฮปปี เจก็เลยดึงให้มาทำด้วยเมื่อสองปีก่อน” ศศินาราเปรยเป็นภาษาไทยให้ฟังขณะที่เธอกำลังคุยหยอกเอินกับหลานสาว

                “แต่ดีนะคะที่พวกเขาสองคนรักกันดี ถ้าเป็นบ้านเราคงเขม่นกันจนตาย” 

                “เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยคุยกันหรอก เพิ่งจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยก็ตอนทำงานด้วยกันนี่แหละ” คนพูดมองเจสันกับโจเซฟวูบเดียวก็ให้ความสนใจกับน้องสาวต่อ “โจถูกใจดาวตั้งแต่เห็นหน้าจากรูปในอัลบัมแต่งงานของพี่เลยละ พอรู้ว่าจะมาถึงวันนี้เลยแวะมาที่นี่ไง พี่ว่าเขาก็หน้าตาโอเคนะ หน้าที่การงานก็ถือว่าดี ถ้าดาวจะ...”

                “ไม่ค่ะ ดาวบอกแล้วไงคะว่าดาวมาอยู่เลี้ยงหลาน เนอะอลิซ” ศราวณะหยอกเย้าหลานสาวที่ยิ้มจนสองแก้มเต่งเป็นซาลาเปา

                “ดาว...ดาว หม่ำๆ Eat” เด็กหญิงอลิซ จันทร์เจ้า ลิฟวิงสตัน พูดไทยคำอังกฤษคำด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง

                “เรียก ‘น้าดาว’ สิคะ น้า...ดาว” หญิงสาวบอกหลานพร้อมกับจิ้มนิ้วเข้าที่อกตัวเอง

                “น...นาว” แม่หนูลูกครึ่งผสมสองคำเข้าด้วยกันเสียเลย

                “อลิซยังพูดงูๆ ปลาๆ ทั้งสองภาษา พี่ถึงได้กลุ้มอยู่นี่ไง กลัวเขาจะมีปัญหา ตอนแรกคิดว่าจะให้เจคุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ แล้วพี่คุยกับเขาเป็นภาษาไทย เขาจะได้ไม่สับสน แต่เพราะเจเขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูก พี่เลยต้องคุยกับเขาทั้งสองภาษา ทุกวันนี้ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเจจ้างแม่บ้านเม็กซิกันมาทำความสะอาดบ้านอาทิตย์ละสองครั้ง ยายนั่นพูดสแปนิช ผลก็อย่างที่เห็นนี่แหละ อลิซพูดช้ากว่าเด็กส่วนใหญ่มาก” ศศินาราระบายความอึดอัดใจเป็นภาษาไทย เพราะไม่อยากให้สามีกับโจเซฟเข้าใจ

                “แล้วหมอว่าไงบ้างคะ”

                “ปลายเดือนหน้าอลิซครบสองขวบเต็ม หมอจะประเมินเรื่องภาษของเขาอีกที ถ้ายังช้ามากก็คงต้องไปสปีชเทราปีมั้ง” สีหน้าของคุณแม่ลูกหนึ่งบอกว่าเซ็งจัด

                “แต่เท่าที่ดาวรู้มา เด็กที่เรียนรู้หลายภาษาพร้อมกันมักจะพูดช้ากว่าเด็กทั่วไปนะคะ พี่จันทร์อย่าเพิ่งเครียดดีกว่า”

                “ก็ไม่อยากเครียดนักหรอก แต่บางทีมันเหนื่อยด้วยไงก็เลยยิ่งรู้สึกแย่ไปกันใหญ่ ครอบครัวของเจก็ใจดำกันเหลือเกิน ไม่เคยช่วยดูหลานให้สักครั้ง ทั้งที่รู้ว่าพี่อยู่ที่นี่คนเดียว ไม่มีญาติหรือใครคอยช่วยเหลือ” ศศินาราบ่นกระปอดกระแปดบอกความน้อยอกน้อยใจ

                “คนที่นี่คงอยู่กันแบบต่างคนต่างอยู่ค่ะ ดาวขอโทษนะคะที่ไม่ได้มาช่วยพี่จันทร์เลี้ยงหลานเร็วกว่านี้” เห็นพี่สาวเครียด เธอก็อดรู้สึกผิดย้อนหลังไม่ได้ หากไม่เอาแต่กลัวพอล เธอก็คงมาที่นี่นานแล้ว

                “ช่างเหอะ อย่างไรตอนนี้ก็มาแล้ว”
                ศศินาราเปลี่ยนมาคุยภาษาอังกฤษ เปิดโอกาสให้สามีและโจเซฟได้เข้าร่วมในวงสนทนาด้วย ท่าทีและสายตาของโจเซฟที่มีต่อศราวณะทำเอาสองสามีภรรยาลอบสบตากันยิ้มๆ เป็นระยะ กว่าน้องชายของสามีจะขอตัวกลับก็เป็นเวลาราวสามทุ่ม

                “แจนบอกว่าคุณทำอาหารอร่อยมาก ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ชิมรสมือสักครั้งนะครับ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงทุ้มระหว่างล่ำลา

                “อย่าเพิ่งชมเลยค่ะ พอได้ชิมจริง คุณอาจไม่คิดแบบนั้นก็ได้” ปากอิ่มคลี่ยิ้มขำๆ

                “ผมเชื่อว่าแจนไม่โกหกแน่ เอาไว้คุณทำกับข้าวให้ทาน แล้วผมจะตอบแทนด้วยการพาทัวร์นิวยอร์กกับรัฐใกล้ๆ ดีไหมครับ” ตาสีน้ำตาลอมเขียวอ่อนเชื่อม เปิดเผยความรู้สึกข้างในอย่างหมดเปลือกจนคนถูกมองถึงกับหลุบตาอย่างอึดอัด

                “เอาไว้ให้อากาศอุ่นกว่านี้ก่อนนะคะ” ศราวณะแบ่งรับแบ่งสู้เพราะเห็นว่าเขาคือน้องชายของพี่เขย เธอพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายกลับไปในที่สุด พอหันกลับมาเห็นแววตาล้อเลียนของเจสันก็ยิ้มแหย

                “เนื้อหอมเหลือเกินนะเรา มีหวังอีกหน่อยได้เกิดสงครามย่อมๆ แถวนี้แน่”

                “คุณหมายถึงอะไรคะ” ใบหน้าเรียวสวยฉายความงุนงง

                “ก็สงครามชิงนางระหว่างมิสเตอร์ไวส์แมนกับโจน่ะสิ รู้ไหมว่าเขายังถามถึงดาวตลอด พอรู้ว่าดาวจะมาก็ซักละเอียดยิบว่าจะมาวันไหน ไฟลต์ไหน ถึงกี่โมง ตอนแรกผมคิดว่าจะโผล่ไปที่แอร์พอร์ตเสียแล้ว แต่สงสัยงานยุ่งมากเลยไปไม่ได้มั้ง

                เพียงคำบอกเล่าของพี่เขย ใจดวงน้อยก็เต้นรัวราวกับเพิ่งวิ่งรอบสวนลุมพินีมาสักรอบ เจ็บใจตัวเองเหลือเกินที่จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถลืมเลือนจูบเร่าร้อนราวกับจะกระชากวิญญาณของพอล ทั้งที่ก่อนนอนในคืนเกิดเหตุ เธอโดนอธิปปล้นจูบที่สอง แต่เธอกลับไม่รู้สึกราวกับโดนไฟชอร์ตเหมือนจูบของผู้ชายเอาแต่ใจคนนั้น

                คุยกันต่อครู่เดียว เจสันก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำนอน เพราะต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น เหลือเพียงเธอกับพี่สาวที่กลับลงมาด้านล่างหลังจากพาอลิซเข้านอน พวกเธอนั่งคุยกันต่อจนถึงเที่ยงคืน ส่วนมากเธอฟังพี่สาวระบายความอัดอั้นตันใจที่สั่งสมมาหลายปีมากกว่าจะเป็นฝ่ายพูด นอกเหนือจากนั้นก็คว้าสมุดพกกับปากกามาจดตารางชีวิต กิจกรรมต่างๆ รวมถึงสิ่งที่หลานสาวชอบหรือไม่ชอบเพื่อเตรียมพร้อมกับการทำหน้าที่พี่เลี้ยง         

               

หนึ่งสัปดาห์ของการอยู่นิวเจอร์ซีย์ผ่านไปไวราวติดปีก อากาศหนาวและหิมะที่ศศินาราบอกว่าตกเยอะกว่าทุกปี ทำให้ศราวณะคิดถึงอากาศร้อนราวนรกโลกันตร์ที่เมืองไทย เพราะแม้จะร้อนเหงื่อโซมกาย แต่ก็ยังออกไปตากแอร์ ดูหนังฟังเพลง นัดกินข้าวกับเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้าได้ ไม่ใช่ขลุกอยู่แต่ในบ้านเหมือนหมีจำศีลอย่างนี้

ศศินาราดูมีความสุขกับการมีเธออยู่ที่บ้านมาก แต่ละวันพี่สาวของเธอจะตื่นแต่เช้าตรู่ขึ้นมาทำอาหารเช้าและส่งสามีไปทำงาน จากนั้นก็ออกไปฟิตเนสราวหนึ่งชั่วโมง พอกลับมาถึงบ้านก็ทำอาหารเช้ารับประทานกับเธอและเด็กหญิงอลิซด้วยใบหน้าฉาบความสุข

“พี่จันทร์ขยันไปฟิตเนสอย่างนี้ไงเล่า หุ่นถึงได้ดีเหมือนไม่เคยมีลูกเลย ถ้าเป็นดาวนะคะ หนาวขนาดนี้ ขอนอนคลุมโปงอยู่ที่บ้านอย่างเดียวดีกว่า” พูดเสร็จก็อ้าปากรับแคร์รอตนึ่งที่หลานสาวพยายามยัดใส่ปาก เด็กหญิงอลิซปรบมือดีใจที่น้าสาวยอมกินง่ายๆ ไม่เหมือนคุณแม่ที่ปกติจะสั่นหน้าปฏิเสธของที่ป้อน

                “ระบบเผาผลาญของพี่ไม่ได้ดีแบบเรานี่ ยิ่งมีลูกแล้วก็ยิ่งต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น”

                “สามีจะได้รักได้หลงใช่ไหมคะ” ศราวณะหัวเราะคิก ขณะที่ผู้เป็นพี่ค้อนตาคว่ำ “ตอนนี้ดาวก็มาช่วยเลี้ยงหลานแล้ว พี่จันทร์กับเจก็น่าจะมีเวลาปั๊มน้องชายให้อลิซมากขึ้นแล้วสิเนอะ”

                “ไม่เอาหรอก มีแค่คนเดียวก็เหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาดูแลตัวเองแล้ว ขืนมีอีกคนคงยุ่งหัวฟูทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องออกไปไหนกันพอดี” 

                “แต่อลิซเลี้ยงง่ายออกค่ะ ไม่เคยงอแงเลย ดาวว่าถ้าพี่จันทร์มีน้องให้อลิซสักคน เขาคงเป็นพี่สาวที่ดี เผลอๆ ช่วยเลี้ยงน้องให้อีกต่างหาก จริงไหมจ๊ะอลิซ

                “ดาว หม่ำๆ อีต แคร์รอต” แม่หนูน้อยพยายามยัดเยียดแคร์รอตให้อีกชิ้น

                “โอเค หม่ำก็ได้ แต่อลิซจะต้องหม่ำกรีนบีนให้น้าดาวด้วย ตกลงไหมคะ” หญิงสาวยื่นถั่วเขียวลวกจ่อปากแม่ตัวน้อยบ้าง พออีกฝ่ายอ้าปากเธอจึงอ้าปากรับแคร์รอตบ้าง เป็นเกมยื่นหมูยื่นแมวที่เธอกับหลานสาวทำประจำระหว่างการรับประทานอาหาร

                “ดาวจะโอเคหรือเปล่าถ้าบ่ายนี้พี่จะออกไปทำผมทำเล็บและหาชุดสวยๆ สำหรับใส่ไปฉลองวาเลนไทน์กับเจคืนนี้”

                “ตามสบายเลยค่ะ เอาให้สวยเช้งจนเจตกตะลึงและพานอนโรงแรมเลยก็ได้นะคะ ดาวดูแลหลานสาวสุดสวยคนนี้ได้” ศราวณะยื่นมือไปบีบคางเรียวเล็กของหลานเบาๆ อย่างมันเขี้ยว รู้สึกโชคดีเหลือเกินที่หลานกินง่ายนอนง่าย ไม่ร้องไห้โยเยเหมือนเด็กบางคน

                ส่วนมากเธอจะเฟซไทม์กับทางบ้านเพื่อให้อลิซได้เห็นหน้าค่าตาญาติๆ ทุกคน สาวน้อยชื่นชอบพี่เมฆกับพี่หมอกมากเป็นพิเศษ เห็นทีไรเป็นต้องเรียก ‘เบบี๋’ ทั้งปรบมือทั้งส่งจูบให้ตลอด

บิดามารดาของเธอเป็นอาจารย์ที่เกษียณแล้วทั้งคู่ ใช้ชีวิตวัยเกษียณไปกับการช่วยดูหลานชายให้พี่สาวกับพี่เขยของเธอ นอกเหนือจากนั้นก็ปลูกผักปลอดสารพิษไว้บริโภคภายในครัวเรือน ทั้งคู่โล่งใจเมื่อรู้ว่าเธอกับหลานสาวเข้ากันได้ดี  

                เมื่อพี่สาวออกไปข้างนอกอย่างที่บอกและหลานสาวนอนกลางวัน เธอจึงมีโอกาสหยิบโน้ตบุ๊กที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทยขึ้นมาเปิด เช็กข้อความจากกลุ่มเพื่อนสนิท ก่อนจะเริ่มตรวจทานต้นฉบับของนักเขียนที่เพิ่งได้รับเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอนึกขอบใจตัวเองที่เรียนจบอักษรศาสตร์และทำงานเป็นบรรณาธิการฟรีแลนซ์ตั้งแต่เรียนจบ เพราะคงมีงานเพียงไม่กี่ชนิที่ไม่ต้องตอกบัตรเข้าออฟฟิศอาทิตย์ละห้าถึงหกวัน ไม่ต้องกังวลว่าจะไปทำงานสายเพราะรถติดมหาโหดอีกต่างหาก

แรกเริ่มนั้นบุพการีทั้งสองถึงกับบ่นด้วยความห่วงใยเพราะกลัวจะหาเลี้ยงตัวเองไม่รอด แต่สุดท้ายเธอก็พิสูจน์ให้เห็นว่านอกจากจะหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ยังมีเงินส่งให้พวกท่านทุกเดือนอีกต่างหาก

หญิงสาวละสายตาจากหน้าจอเมื่อกริ่งที่หน้าบ้านดังขึ้น พอเปิดประตูก็เห็นผู้ชายสวมสูทผูกเนกไทสีดำ แถมใส่แว่นตากันแดดสีทึบประหนึ่งกำลังเข้าฉากหนังเรื่อง เมนอินแบล็ก แม้ใบหน้าจะเยือกเย็น แต่ผู้ชายคนนั้นก็ค้อมศีรษะให้เธออย่างสุภาพ แล้วยื่นกุหลาบสีแดงช่อใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ในมือให้

“มีคนส่งมาให้มิสครับ”

                “เอ่อ...ฉันเหรอคะ” นิ้วเรียวจิ้มเข้าที่อกตัวเอง มองกุหลาบสลับกับหน้าของคนให้พลางทำตาปริบๆ 

                “ครับ ของมิส” หนุ่มแปลกหน้ายืนยันขันแข็งด้วยน้ำเสียงสุภาพดังเดิม

                “อ๋อ เข้าใจแล้ว คุณคงหมายถึงพี่สาวของฉันแน่เลย นี่คงเป็นช่อกุหลาบวาเลนไทน์จากเจสัน พี่สาวของฉันออกไปธุระข้างนอกค่ะ เดี๋ยวฉันรับแทนและบอกเธอให้เองค่ะว่าสามีส่งมาให้” ศราวณะส่งภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อให้เขาพร้อมกับยื่นมือไปรับช่อกุหลาบ คิดว่าพี่สาวกลับมาเห็นคงกรี๊ดกร๊าดกับขนาดไม่ธรรมดาของมัน

                คิดแล้วก็ยิ่งปลื้มในความน่ารักและโรแมนติกของพี่เขย

นี่ละสามีในฝัน! รักเมีย...เทิดทูนเมีย...วันแห่งความรักก็จัดชุดใหญ่ให้ราวกับว่าอยู่ในช่วงไล่จีบขอเป็นแฟน 

                “เอ่อ…ไม่ใช่ของมิสซิสลิฟวิงสตันหรอกครับ กุหลาบช่อนี้เป็นของมิสจริงๆ ผมขอตัวก่อนนะครับ อย่าลืมล็อกประตูนะครับมิส” เมสเซนเจอร์ส่งดอกไม้ค้อมศีรษะก่อนหมุนตัวเดินจากไป 

                “ไม่ใช่ของพี่จันทร์ แต่เป็นของเรา” ปากอิ่มขมุบขมิบทวนคำของอีกฝ่าย งงเป็นไก่ตาแตกขณะมองร่างสูงใหญ่เดินห่างไปเรื่อยๆ กระทั่งเห็นเขาก้าวไปหยุดข้างตอนหลังของรถหรูสีดำ ก้มลงคุยกับใครสักคนซึ่งลดกระจกติดฟิล์มกรองแสงหนาทึบลงไม่ถึงคืบ วินาทีที่คนส่งดอกไม้ผละออกไปก้าวขึ้นนั่งประจำที่คนขับ หญิงสาวก็เขม้นมองคนที่อยู่เบาะหลัง อัตราการเต้นของหัวใจถี่ระรัวจนน่าตกใจเมื่อเห็นเพียงผมกับหน้าผากของผู้ชายคนนั้น พอล ไวส์แมน! ต้องเป็นเขาแน่ แม้จะเห็นเพียงทรงผม แต่เธอมั่นใจว่าเนี้ยบแบบนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเขา

                กระจกรถคันนั้นเลื่อนขึ้นจนปิดสนิท ขณะที่รถคันงามเคลื่อนออกจากถนนหน้าบ้านของเจสันอย่างอ้อยอิ่ง ศราวณะลนลานปิดล็อกประตูหน้าบ้าน หอบช่อดอกไม้ไปวางลงบนโต๊ะรับแขก สอดส่ายสายตาหาการ์ดที่อาจติดมาเพียงชั่วครู่ก็พบ เธอฉีกซองใส่การ์ดสีน้ำเงินโดยไม่คิดจะถนอมมัน เปิดการ์ดสีน้ำเงินฉลุทองใบน้อยออกอ่านด้วยอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำ

สุขสันต์วันวาเลนไทน์ ซาร่าห์

หวังว่าคุณจะชอบดอกไม้ช่อนั้น

และยอมรับคำเชิญไปดินเนอร์กับผมเร็วๆ นี้นะ
พอล ไวส์แมน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น