9

นางบำเรอ

“แม่คะ ตอนนี้หม่อนยังไม่มีค่ะ เงินเดือนของเดือนนี้ยังไม่ออกเลย” เบญญากระซิบบอกมารดาทางโทรศัพท์มือถือ

                ซึ่งปลายสายก็ดูท่าว่าจะไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ลูกสาวคนโตไม่สามารถส่งเงินมาให้ตอนนี้ได้

                “โธ่ แม่คะ หม่อนก็พยายามอยู่ค่ะ” เบญญาบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ใบหน้าเบื่อหน่ายเต็มที แต่เธอก็ไม่สามารถตัดสายทิ้งหรือขาดการติดต่อกับแม่ได้ เพราะยังมีดวงใจของเธออยู่กับแม่อีกคน เธอไม่สามารถทอดทิ้งทั้งแม่และดวงใจของตัวเองได้

                “แม่ก็รู้ว่าหม่อนทำงาน ไหนจะค่าใช้จ่ายส่วนอื่นอีกล่ะ พอเงินออกก็ส่งไปให้ทันที แต่ตอนนี้หม่อนเพิ่งเริ่มงานใหม่นะแม่ รออีกหน่อยสิ หม่อนเองก็มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวอยู่มาก แต่ก็ส่งให้แม่เท่าเดิมไม่เคยน้อยลงเลยนะ” เบญญาบอกมารดาเสียง

                เธอออกจากงานเก่า เพราะได้ข่าวลือเรื่องพ่อเลี้ยงเจ้าของไร่ทางเหนือมา และเพื่อนที่ทำงานเก่าก็มักบอกบ่อยๆ ว่าเธอคล้ายกับสุพัตตาทั้งนิสัยใจคอและลักษณะท่าทางต่างๆ ซึ่งเธอเป็นคนสร้างมันขึ้นมาปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

                เธอตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานเก่าที่เงินเดือนเกือบสองหมื่นบาทมาเริ่มงานใหม่ที่ไร่ทางเหนือแห่งนี้ และดูท่าว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเธอจะได้ผลดีไม่น้อย เพราะพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เจ้าของไร่ที่หญิงสาวทั้งจังหวัดวาดฝันอยากจะสานสันพันธ์ด้วย กลับเดินเข้ามาหาเธอเองทั้งที่เธอยังไม่ทันได้เริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง

                แผนของเธอดำเนินไปเร็วกว่ากำหนดมาก ในไม่ช้าเธอจะได้เป็นแม่เลี้ยงของที่นี่ เธอจะมีเงินมากพอที่จะทำให้ชีวิตครอบครัวของเธอดีขึ้น

                “ถ้าแม่ทำแบบนั้นหนูจะไม่ส่งเงินให้แม่ใช้อีกเลยค่ะ” เบญญาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว เมื่อมารดานำเรื่องเก่าๆ มาพูดซึ่งอาจจะบานปลายไปกันใหญ่และในไม่ช้าคงมาถึงที่ไร่ทางเหนือ

                “แม่คะ หม่อนมีเงินติดตัวแค่สองพันกว่าบาทเอง อีกตั้งหลายวันกว่าเงินเดือนจะออก” เบญญาพยายามอธิบายเหตุผลให้มารดาฟัง แต่มันก็ไม่ได้ผล...

                “แม่จำเป็นต้องใช้จริงๆ หรือแค่จะเอาไปให้ลุงปักกันแน่ เอาเงินหม่อนไปให้สามีใหม่แม่ซื้อเหล้ากินอีกน่ะเหรอคะ” เบญญาถามมารดาอย่างรู้ทัน

                ลุงปักหรือสามีใหม่ของแม่เธอติดเหล้าจนแทบจะกินมันแทนน้ำเปล่า เดิมทีแกเป็นช่างซ่อมของเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่บ้านมีรายได้เล็กน้อยจากตรงนั้น แต่ปัจจุบันไม่มีใครจ้างเพราะวันๆ เมาหัวราน้ำ นอนกินเหล้าอยู่บ้านเฉยๆ มีเบญญาเพียงคนเดียวที่ทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่น้องชายอีกสองคนก็เกเร เรียนไม่จบ เข้าแก๊งขี่มอเตอร์ไซค์ก่อกวนชาวบ้านจนถูกตำรวจจับอยู่บ่อยครั้ง

                “แม่อย่าให้ลุงปักทำร้ายน้องชานะคะ ถ้าหม่อนรู้เรื่องพวกนี้จากเพื่อนของหม่อน แม่รู้ใช่ไหมคะว่าหม่อนจะทำยังไงต่อจากนั้น” เบญญาเตือนมารดาเสียงแข็ง เธอรู้ดีว่ามารดาจะปกป้องดวงใจของเธอได้ แต่ก็ยังไม่ไว้ใจสามีใหม่ของแม่อยู่ดี

                “เอาไว้ เดี๋ยวหม่อนจะโอนเงินไปให้นะคะ” เบญญาบอกก่อนจะขอสายใครอีกคน ใบหน้าเหนื่อยหน่ายแปรเปลี่ยนเป็นแต้มยิ้มทันที

                หญิงสาวพูดคุยกับปลายสายนานอยู่เกือบชั่วโมงก่อนจะบอกลาและให้สัญญามั่นเหมาะว่าเธอจะกลับไปพาดวงใจและแม่มาอยู่ที่ไร่แห่งนี้ด้วย เธอจะต้องทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นกว่าเดิม

                “น้องใบหม่อน” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้เบญญาปั้นหน้ายิ้มก่อนจะหันกลับไปมองสาวร่างใหญ่ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างานของเธอ

                “มีอะไรเหรอคะ” เบญญาถามด้วยรอยยิ้ม แม้ตอนนี้จะไม่ใช่เวลางานของเธอ แต่ดูเหมือนว่าหัวหน้างานคงมีอะไรให้เธอช่วยทำอีกเหมือนเคย

                “พอดีว่าพี่ต้องออกไปทำธุระนิดหน่อย หม่อนพอจะช่วยพี่หน่อยได้ไหมจ๊ะ”

                ทั้งที่ในใจอยากจะแยกเขี้ยวใส่ แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ซ่อนมันไว้ใต้ใบหน้าแต้มยิ้ม “ได้ค่ะ เดี๋ยวหม่อนดูร้านให้เอง”

                “ถ้าอย่างนั้นพี่ฝากด้วยนะ” หัวหน้างานสาวรีบขอบอกขอบใจลูกน้องคนใหม่

                “เดี๋ยวค่ะ คือว่า... เอ่อ...” เบญญาทำท่าอึกอักพูดไม่ออก               

                “มีอะไรก็พูดมาเถอะจ้ะ คนกันเอง”

                เบญญาลอบยิ้มเมื่อหัวหน้างานสาวหลงกลอุบายเข้าให้แล้ว ใบหน้าสวยหวานของเธอตีสีหน้าหนักใจ

                “เมื่อกี้หม่อนคุยโทรศัพท์กับพี่มิ้นต์น่ะค่ะ พี่มิ้นต์เขากำลังมีปัญหาเรื่องเงิน คือหม่อนก็มีไม่พอจะให้ยืม...” เบญญาลากเสียงยาว ทำน้ำเสียงหนักอกหนักใจทำเอาคนฟังต้องยกมือขึ้นห้าม

                “พี่เข้าใจ แล้วน้องมิ้นต์เขาจะเอาเท่าไหร่ล่ะ แต่พี่บอกไว้ก่อนเลยนะว่ามันอาจจะมีดอกเบี้ยบ้างเล็กๆ น้อยๆ”

                เบญญาลอบยิ้มในใจ อย่างน้อยเธอก็หาเงินส่งให้แม่ได้ทัน ส่วนเรื่องคืนเงินก็ค่อยว่ากันอีกที ถ้าไม่ได้คืนจริงๆ ธมนต์ก็คงรับเละ

                “เอ่อ...ห้าพันค่ะ” เบญญาตอบออกมาในที่สุด หลังทำยึกยักอยู่นานเพื่อถ่วงเวลาให้ดูคล้ายว่าหนักใจที่ต้องยืมเงินไปให้ธมนต์

                “ไม่ต้องคิดมากหรอกจ้ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา เงินทองมันไม่เข้าใครออกใคร” หัวหน้าคนงานนับเงินในกระเป๋าแล้วส่งให้เบญญา

                “หม่อนขอบคุณแทนพี่มิ้นต์จริงๆ นะคะ”

                “ฝากบอกน้องมิ้นต์ด้วยนะถ้ายังไม่มีคืนก็ส่งแต่ดอกมาก่อน พี่ไม่รีบ พี่ไปก่อนนะ” หัวหน้าคนงานสาวพูดพร้อมกับเดินออกไปจากหลังร้าน

                เบญญามองตามก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างสมเพช

                “โธ่นังโง่! แกคิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าแกจะแอบไปเล่นไพ่ ทิ้งงานให้คนอื่นทำแทน เงินก็ไม่ได้สักบาท” เบญญาพูดออกมาอย่างเจ็บใจที่ต้องมาทำงานแทนในส่วนที่ไม่ได้สร้างรายได้ให้แก่ตัวเองเลยสักนิด แต่ครั้นจะปฏิเสธก็ดูจะขัดกับภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นมา “อย่างน้อยฉันก็มีเงินส่งไปให้แม่แล้วละ”            

 

                ช่วงเวลาเกือบบ่ายเบญญาเดินดูข้าวของแทนหัวหน้างานโดยมีพนักงานร้านอีกคนคอยช่วยเหลือ เธอต้องอยู่ที่ร้านจนกว่าร้านจะปิดทั้งที่ความจริงแล้วเธอควรจะไปสืบข่าวคราวของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่บ้านทางเหนือ ซึ่งเธอแอบเสนอตัวไปช่วยงานหัวหน้าแม่บ้านอยู่บ่อยๆ เรียกว่าตีสนิทจนคุณจักรินทร์ไว้ใจให้เข้าออกที่บ้านได้เหมือนเหล่าคนงานในบ้าน

                “พี่อิ่มคะ” เบญญาเรียกพนักงานอีกคนเสียงเบาพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหา

                “มีอะไรเหรอหม่อน เรียกซะตกอกตกใจหมดเลย”

                “คือว่า...พี่อิ่มพอจะมีเงินถึงห้าพันไหมคะ” เบญญาปั้นหน้าเศร้าอีกครั้ง

                “ก็พอจะมีอยู่นะ หม่อนมีเรื่องอะไรรึเปล่า” อีกฝ่ายอดเป็นห่วงเบญญาไม่ได้ เพราะหญิงสาวมีใบหน้าเศร้าสร้อยมาตั้งแต่เริ่มงานตอนเที่ยงแล้ว

                “คือหม่อนไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่พะ...พี่มิ้นต์เขาต้องการใช้เงินจำนวนนึง แต่เงินเดือนหม่อนยังไม่ออก...” เบญญาทำน้ำเสียงหนักใจให้ดูน่าเห็นใจก่อนจะพูดต่อ “พี่อิ่มพอจะช่วยพี่มิ้นต์ได้ไหมคะ”

                “แล้วน้องมิ้นต์เขาต้องการเท่าไหร่ล่ะ ถ้าไม่เยอะจนเกินไปพี่ก็พอจะช่วยได้” หญิงสาวตอบรับทันที เพราะเคยทำงานด้วยกันที่ร้านอยู่หลายวัน

                “ห้าพันค่ะ”

                “เดี๋ยวรอเลิกงานแล้วพี่จะกดเงินให้นะ

                ใบหน้าของเบญญากลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิมราวกับว่าได้ยกเรื่องหนักอกหนักใจออกไปจนหมด ถึงแม้วันนี้เธอจะไม่ได้เข้าไปบ้านทางเหนือ แต่เธอก็มีเงินส่งให้แม่แล้วตั้งหนึ่งหมื่นบาทเชียวละ

 

ตั้งแต่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์กลับมาอยู่ที่บ้านพักเชิงดอยก็ทำตัวว่างงานและพักผ่อนอยู่เพียงแค่บนชั้นสองและห้องโถง บรรยากาศภายในบ้านพักเชิงดอยจึงเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝีเท้ายามก้าวเดิน

ธมนต์ยืนก้มหน้าอยู่ที่มุมห้อง หลบสายตาจากชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ ทำราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนมันไม่เคยเกิดขึ้น

เขายังคงใช้งานเธอหนักเหมือนเดิม กลั่นแกล้งเธอสารพัด แต่กลับไร้ซึ่งคำขอโทษถึงสิ่งที่เธอสูญเสียไป

                ความเงียบที่เข้าปกคลุมพานทำให้ความคิดของธมนต์วกวนไปอยู่ในจุดเดิมๆ ที่เธอสูญเสียศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงไป หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างที่สุด ยิ่งเห็นใบหน้าของเขา ภาพเหตุการณ์ก็ยิ่งชัดเจน แต่คนอย่างเธอจะทำอะไรได้ ต่อให้หนีกลับบ้านก็ไม่มีทางหนีความทรงจำเหล่านั้นได้ ธมนต์รู้สึกกลัวเกินกว่าจะกลับไป

                ต่อให้พุฒินาทจะนอกใจเธออย่างไร แต่เขาก็ไม่เคยทำร้ายศักดิ์ศรีของเธอเลยสักครั้ง นี่คงเป็นจุดที่พอจะทำให้ธมนต์รู้สึกดีขึ้นมาบ้างยามนึกถึงพุฒินาท

                “ฉันจะให้เทียนลูกชายของป้านางมาช่วยงานที่บ้านหลังนี้” ประโยคคำพูดลอยๆ ถูกส่งออกมาทำลายความเงียบภายในห้อง

                เขานอนไม่หลับตั้งแต่คืนนั้นจนขอบตาดำคล้ำ ภาพที่เผลอทำร้ายจิตใจและร่างกายของธมนต์ยังคงติดตาและติดตรึงอยู่ในความรู้สึก แต่ปากก็หนักเกินว่าจะเอ่ยคำว่า ขอโทษ

ดวงตาแดงก่ำแต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาจ้องมองพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เพียงครู่เดียวก่อนก้มใบหน้าลงมองปลายเท้าดังเดิม

                “ขึ้นไปทำความสะอาดห้องนอนให้ฉันด้วย” ชายหนุ่มสั่งงานเสียงเข้ม ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอาหารเดินขึ้นไปด้านบนแทน ในเมื่อหญิงสาวไม่คิดจะโต้ตอบเขาก็จนปัญญา ทั้งที่เรื่องมันก็ผ่านมาจนครบสัปดาห์แล้ว และเขาก็พยายามทำให้ทุกอย่างเหมือนเดิมเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนมันจะเปล่าประโยชน์

ใบหน้านิ่งเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับว่าสถานภาพระหว่างเขากับเธอไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ยิ่งทำให้ธมนต์อยากจะร้องไห้ออกมาเพราะนึกสมเพชตัวเอง

เธอแอบหวังอะไรอยู่นะ

               

            อาการตื่นกลัวปรากฏอย่างเห็นได้ชัด มือไม้พลันสั่นเทา ร่างกายขยับเขยื้อนเดินต่อไปไม่ได้ ดวงตาสีรัตติกาลแดงก่ำก่อนที่แก้มใสจะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ธมนต์ไม่คิดว่าตัวเองจะมีอาการแบบนี้เลย เธอไม่เคยย่างกรายเข้าใกล้ห้องนอนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลยตั้งแต่เกิดเรื่อง เพียงแค่เห็นบานประตูห้อง อาการเหล่านี้ก็ปรากฏทันทีอย่างไม่รู้ตัว

                “มิ้นต์! คุณเป็นอะไร” เสียงตื่นตกใจของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ดังขึ้น พร้อมกับก้าวเดินเข้าไปหาร่างบางที่ยืนนิ่ง ใบหน้าสวยเปื้อนด้วยหยาดน้ำตา

                ธมนต์หันไปมองใบหน้าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก่อนพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา แต่ความกลัวที่เกิดขึ้นยังไม่ได้จางหายไป

                ยิ่งพ่อเลี้ยงก้าวเข้ามาหา ธมนต์ก็พลันก้าวถอยหลังพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างห้ามปราม อธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้เลย เธอกลัวพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ กลัวว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้ง จนไม่สามารถก้าวเดินเข้าไปในห้องนั้นได้

                “มิ้นต์” เสียงเบาแสนเบาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ดังขึ้นพร้อมกับปลายเท้าที่หยุดนิ่ง เขาพอจะเดาออกว่าหญิงสาวเป็นอะไร มันเกิดจากจิตใต้สำนึกลึกๆ เขาเคยเห็นพี่สะใภ้เป็นแบบนี้มาก่อน เพราะเคยถูกทำร้ายจนเกือบจะสูญเสียลูกในท้องไป

                 “ฉะ...ฉันขอตัวนะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นก่อนจะรีบวิ่งลงบันไดไปทันที

                “เดี๋ยวก่อนมิ้นต์ มิ้นต์!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์วิ่งตามหญิงสาวลงไป ก่อนจะยึดเรียวแขนอีกฝ่ายไว้ได้ทันก่อนที่ร่างบางของธมนต์จะหายเข้าไปในห้องนอนของเธอ มืออีกข้างก็จับบานประตูกันเอาไว้ไม่ให้หญิงสาวปิดประตูหนี

                 ชายหนุ่มหอบหายใจหนัก หัวใจเต้นระรัว ก่อนจะออกแรงดึงร่างบางที่เนื้อตัวสั่นเทาเข้ามาใกล้พลางเดินนำไปยังห้องโถงกลางบ้าน

                ร่างของธมนต์สั่นเทามากกว่าเดิม หัวใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ การรับรู้ของหญิงสาวกลายเป็นศูนย์ จึงได้แต่เดินตามพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไปอย่างว่าง่าย

               

                ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาก่อนจะรวบร่างบางเข้ามากอดเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายสงบจิตสงบใจลง แต่ดูท่าแล้วเธอจะกลัวมากกว่าเดิม เขาจึงลูบแผ่นหลังบางขึ้นลงราวกับปลอบเด็กร้องไห้ เพียงเวลาไม่นานธมนต์ก็เริ่มสงบ หลักการปลอบเด็กร้องไห้ของเขาได้ผล

                “ผมขอโทษ” เสียงเข้มกระซิบใกล้ใบหู

                หญิงสาวรับรู้แต่ยังไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ ดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าสวยเปื้อนคราบน้ำตา ธมนต์นิ่งไปนานก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตา แต่ก็ถูกมือหนารวบเอาไว้เสียก่อน

                “ปะ...ปะ...ปล่อยค่ะ” ธมนต์เค้นเสียงบอกอีกฝ่ายที่นั่งซ้อนหลังเธออยู่

                อีกฝ่ายไม่ทำตาม ทว่าเอียงตัวมองใบหน้าของคนในอ้อมกอดให้ถนัดขึ้น ก่อนที่จะลูบเปลือกตาบางอย่างเบามือแล้วเลื่อนลงมาเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มเนียนใสทั้งสองข้าง

                ธมนต์นิ่งไปไม่กล้าขยับตัวราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ หัวใจเต้นตึกตักกับสัมผัสอบอุ่น ยิ่งยามสบตากันแม้เพียงชั่วครู่ยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม

                “หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย อย่าคิดมากหรือหวนคิดเรื่องราวในวันนั้น นึกไปถึงเทือกเขา ไร่องุ่น ต้นไม้ สายลม” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์กล่อมธมนต์คล้ายกับอ่านนิยายกล่อมหลานสาวยามนอน

                หญิงสาวหลับตาลงก่อนจะนึกไปตามสถานที่ต่างๆ ที่พอจะนึกออก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้หัวใจของเธอเต้นช้าลงเลย        

“ปล่อยฉันค่ะ” ธมนต์พูดเสียงแข็งพร้อมกับพยายามแกะแขนที่รัดรอบเอวจนรู้สึกอึดอัดออก

ทว่าอีกฝ่ายกลับเพิ่มแรงรัดมากขึ้น ก่อนจะผ่อนแรงและเพิ่มแรงทำซ้ำไปซ้ำมาคล้ายกับว่าจะแกล้งธมนต์เสียอย่างนั้น

                “ฟังผมก่อน” พ่อเลี้ยงหนุ่มกระซิบชิดใบหู ริมฝีปากร้อนกดลงเบาๆ บนหลังใบหู ทำเอาร่างบางตัวแข็งขึ้นมาทันที

                “ฟะ...ฟังอะไรคะ” เสียงหวานสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงไม่นานก็เริ่มนิ่งจนคนข้างหลังต้องละใบหน้าออกห่างเพื่อเว้นระยะ

                “ผมรู้ว่าวันนั้นผมทำคุณเสียใจมาก รู้ว่าเผลอทำร้ายคุณ แต่คุณเองก็รู้ใช่ไหมว่าเราย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมไม่สามารถบอกกับคุณได้ด้วยซ้ำว่าถ้าย้อนกลับไปได้ผมจะไม่ทำแบบนั้นกับคุณอีก” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขายอมรับว่าโกรธจนหน้ามืดเผลอทำร้ายจิตใจของธมนต์ไป แต่สิ่งที่เขาไม่เคยคิดเลยคือธมนต์ยังเป็นสาวบริสุทธิ์

                เธอใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกมานานพอสมควร ยิ่งมีคู่หมั้นตั้งแต่ยังเด็ก เรื่องแบบนี้ก็ต้องเคยผ่านมาบ้าง มันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากที่สุดตั้งแต่เขาเคยคิดมา เขาไม่สามารถคาดการณ์เรื่องใดๆ เกี่ยวกับธมนต์ได้เลย

                “พ่อเลี้ยงจะพูดอะไรกันแน่คะ” ธมนต์ถามออกไปอย่างสงสัย ดวงตาสีรัตติกาลวูบไหวไปมาอย่างไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง

                “ผม...” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์อ้ำอึ้ง จะพูดก็พูดได้ไม่เต็มปาก

                ธมนต์กำลังกดดันอีกฝ่ายด้วยการมองใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ด้วยสายตานิ่งๆ

            “คุณสนใจมาเป็นนางบำเรอของผมไหม”

                เหมือนมีค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ฟาดเข้าที่ศีรษะจนเบลอไปหมด ดวงตาสีรัตติกาลเบิกกว้างอย่างตกใจ แกะมือหนาออกจากรอบเอวก่อนจะลุกขึ้นยืนหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาผิดหวัง

                “คุณพูดว่าอะไรนะคะ” ธมนต์ถามขึ้นอีกครั้ง เธอไม่อยากยอมรับสิ่งที่ตัวเองได้ยินจึงอยากถามให้แน่ใจอีกครั้ง

                “มาเป็นนางบำเรอของผม” ชายหนุ่มยืนยันสิ่งที่ตัวเองพูด

เผียะ!

                ใบหน้าของพ่อเลี้ยงหนุ่มหันไปตามแรงตบ เพียงไม่นานความชาก็เริ่มลามไปทั่วทั้งซีกแก้มด้านซ้าย ดวงตาแข็งกร้าวมองสบกับเจ้าของฝ่ามือร้ายกาจ

                ธมนต์ไม่ได้หวาดหวั่นกับสายตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลยสักนิด ดวงตาสีรัตติกาลของสาวเจ้าปรากฏแววแข็งขืนอย่างไม่ยอมแพ้

                “ฉันเป็นคน เป็นมนุษย์มีศักดิ์มีศรีค่ะ”

                “ศักดิ์ศรีคุณมันหมดไปตั้งแต่เมื่อคืนนั้นแล้ว” ด้วยแรงโกรธทำให้คำพูดอยู่เหนือความคิด        

                ธมนต์มองใบหน้าของพ่อเลี้ยงหนุ่มนิ่ง มือทั้งสองข้างกำแน่น อยากจะตบใบหน้าของเขาอีกสักฉาด

“มันไม่ได้หมดไปค่ะ ศักดิ์ศรีไม่มีวันหมด มันขึ้นอยู่ที่คนมากกว่าว่ามองมันยังไง และคนอย่างฉันยังมองเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของตัวเองเสมอค่ะ” ริมฝีปากสวยขยับช้าๆ ก่อนจะฟาดซ้ำลงไปยังจุดเดิมจนใบหน้าหล่อขึ้นเป็นรอยนิ้วมือแดงมองเห็นได้ชัด

เผียะ!

ใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์หันไปตามแรงตบอีกครั้ง ความรู้สึกชาชัดเจนกว่าเดิม เขากัดฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสันนูน

                “ผมเป็นสามีคุณ! ผมมีสิทธิ์เลือกว่าต้องการให้คุณอยู่ในสถานะไหน และตอนนี้คุณมีสถานะเป็นนางบำเรอของผม!”เจ้าของคำประกาศจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอาเรื่อง

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์รู้ตัวว่าเขาพูดอะไรออกไป แต่ตอนนี้สถานะของธมนต์ยังคงเป็นคู่หมั้นของศัตรูอยู่ แล้วจะให้เขาทำอย่างไรให้สถานะระหว่างเขากับเธอดีไปกว่านี้ ชายหนุ่มจึงเลือกรับผิดชอบในแบบของตัวเอง

                “One night stand ฉันไม่ถือค่ะ” เรื่องพวกนี้เธอจะถือว่าเสียแล้วให้มันแล้วไป อย่างไรมันก็เรียกคืนกลับมาไม่ได้ มีแค่เธอที่ต้องทนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงและทนอยู่กับปัจจุบัน

                “ธมนต์!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง หงุดหงิดเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่ยอมทำตามความต้องการของเขาสักที แถมยังตบเขาถึงสองครั้ง เขาสาบานเลยว่าหากมีครั้งที่สาม เขาจะจบมันทุกอย่างที่เตียงซะ!

                “ขอตัวนะคะ” หญิงสาวเดินหน้าเชิดออกไปจากห้องโถงอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องพักของตัวเอง

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอทำร้ายจิตใจและร่างกายของธมนต์อีก เขาตัดสินใจไม่เดินตามอีกฝ่ายไป ทั้งที่เขาอยากจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจให้รู้เรื่องกันไปเลย แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อน

                “พ่อเลี้ยงครับ” เขาหันไปมองตามเสียงเรียกที่ดังขึ้นอยู่ข้างบานประตู ก่อนจะพยักหน้าอนุญาตให้ลูกน้องเดินเข้ามาได้

                “นายพุฒินาทยังคงอยู่ในเขตพื้นที่ของบ้านพักเชิงดอยครับ” ลูกน้องเอ่ยรายงานโดยไม่ต้องรอให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถาม

                “สั่งคนของเราเอาไว้ ห้ามมันเฉียดเข้าใกล้บ้านพักหลังนี้เด็ดขาด ที่สำคัญอย่าให้มันได้เจอกับธมนต์”

                เมื่อรู้ว่าศัตรูตัวฉกาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม เขายังไม่ยอมลงมือทำอะไรทั้งนั้น

น้ำนิ่งมักไหลลึกเสมอ

“ครับ นายครับยังมีอีกเรื่องครับ” ลูกน้องส่งสัญญาณบอกว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปจัดอยู่ในหมวดความลับสุดยอด

“บ้านพักหลังนี้มีแค่ฉัน จะพูดอะไรก็พูดออกมาเลย” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่ง ในบ้านตอนนี้มีเพียงแค่เขากับธมนต์เท่านั้น แม่ครัวแม่บ้านถูกส่งตัวกลับลงไปข้างล่างหมดแล้ว

“คุณนพฝากให้ผมมาบอกนายว่า แผนการที่นายคิดจะทำและใช้คุณมิ้นต์เป็นหมาก ขอให้หยุดเอาไว้ก่อนครับ”

“หยุดก่อนน่ะเหรอ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทวนคำพูดลูกน้อง เขาหยุดตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้นแล้วละ ไม่จำเป็นต้องมาบอกให้เขาหยุดในตอนนี้ แต่สิ่งที่ธนานพเพื่อนสนิทของเขาต้องการจะสื่อคงเป็นความนัยว่าธนานพกำลังวางแผนทำคะแนนกับธมนต์อยู่

“นายมีอะไรจะใช้ผมไหมครับ”

“ไม่ ไปดูเวรยามเถอะ” พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยตัดบท

ลูกน้องก้มหน้าทำความเคารพก่อนจะปลีกตัวออกไป ลูกน้องคนนี้ถือว่าเป็นมือขวาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลยก็ว่าได้ แม้จะมีอายุมากกว่าพ่อเลี้ยงหนุ่มเกือบเจ็ดปี แต่เพราะความสามารถและความเด็ดขาดทำให้ลูกน้องต่างพากันเชื่อใจและเคารพนับถือพ่อเลี้ยงโดยไม่มีเงื่อนไข

 เธอก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ธมนต์บอกกับตัวเอง ตั้งใจว่าจะเดินกลับห้องพักแต่ออกมาได้ไม่ทันพ้นขอบประตูก็พบว่าลูกน้องของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินเข้ามาเสียก่อน ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอยืนหลบมุมซ่อนตัวอยู่ตรงนี้เพื่อแอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่

“นางบำเรอ หึ...” ธมนต์เค้นเสียงในลำคออย่างสมเพชตัวเอง “ถ้าอยากให้เป็นนักฉันก็จะเป็นให้”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น