14

ตอนที่ 13


บทที่ 13

                เสียงมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ดังมาแต่ไกล น่านน้ำยืนรออย่างร้อนใจที่ทางเข้าป่า เกือบลุยเข้าไปคนเดียวโดยไม่รอมาริชแล้ว แต่ผู้กองหนุ่มขู่แกมบังคับให้รอตรงนั้นจนกว่าเขาจะมาถึง เพราะเกรงว่าสัญญาณโทรศัพท์ของน่านน้ำอาจหายไปด้วยอีกคน และจะไม่สามารถช่วยกันตามหาได้เลยว่ากลางฟ้าอยู่ที่ไหน

“กลางฟ้ามาที่นี่ได้ยังไงวะ” มาริชถามทันทีที่เห็นน่านน้ำ

                “เอ่อ...” น่านน้ำอ้อมแอ้ม “ฉันนัดกับกลางฟ้าไว้ทางเข้าตรงนี้ตอนบ่ายสาม”

“นัดกันสถานที่แบบนี้เนี่ยนะ แกนัดเธอมาทำอะไรวะ” มาริชแทบตะเบ็งเสียงถามด้วยความฉุนเฉียว

“ตอนนี้อย่าเพิ่งถามเรื่องนั้นเลย เรารีบตามหากลางฟ้ากันเถอะ”

“ตามยังไงล่ะ! แกรู้เหรอว่ากลางฟ้าไปไหน”

น่านน้ำไม่ตอบ แต่หันหลังเดินเข้าไปในป่าและนำมาริชเดินข้ามสะพานไม้เล็กๆ นั้นอย่างรวดเร็ว “ฉันบอกเธอว่าถ้าข้ามสะพานนี้ไปแล้วจะเป็นทางเข้าป่า แกบอกว่าได้ยินกลางฟ้าร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในป่าใช่ไหม ฉันเดาว่าเธอคงเดินข้ามสะพานนี้เข้าไปแล้ว”

                สองหนุ่มข้ามสะพานจนมาถึงอีกฟาก ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายจัด อีกไม่กี่ชั่วโมงฟ้าก็จะมืด พวกเขาจะต้องรีบหากลางฟ้าให้เจอก่อนที่ภายในป่ามืดสนิทจน และออกไปไม่ได้จนกว่าจะถึงเช้า

“ไม่น่าเชื่อเลยว่ายายตัวแสบจะเข้ามาลึกได้ถึงขนาดนี้” มาริชบ่นระหว่างแหวกกิ่งไม้ที่ห้อยลงมา “คิดอะไรของเธออยู่นะ”

                น่านน้ำก้มหน้าก้มตามองหน้าจอโทรศัพท์ “สัญญาณโทรศัพท์เริ่มหมดลงแถวๆ นี้ หวังว่าเธอคงไม่ได้เดินเข้าไปลึกกว่านี้นะ” 

มาริชกับน่านน้ำเดินค้นหาในป่ามาร่วมชั่วโมงแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยใดๆ ของกลางฟ้าเลย ความกังวลเกาะกุมในใจน่านน้ำมากขึ้นทุกขณะ ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรถึงเข้าไปในป่าคนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย

“ไอ้น่าน แกบอกมาตามตรง แกนัดกลางฟ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่วะ” มาริชซักอย่างเหลืออด

น่านน้ำอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วตัดสินใจสารภาพว่า “เธอขอให้ฉันพามาดูการขนยาเสพติดของพวกองค์กรเดือนลับ บอกว่าต้องการข้อมูลไปเขียนหนังสือ”

                มาริชจ้องหน้าเพื่อนร่วมทีม แววตาค่อยๆ ลุกโพลงขึ้นมาด้วยความโกรธ “บ้าหรือเปล่าวะ!? บ้าทั้งคู่เลย ทั้งแก ทั้งกลางฟ้า นี่คิดอะไรกันอยู่ รู้หรือเปล่าว่า...”

                แล้วตอนนั้นเขาต้องชะงัก เมื่อรู้สึกได้ว่าเหยียบบางอย่างจนมีเสียงแกรบดังอยู่ใต้รองเท้าผ้าใบ เขาคุกเข่าลงแล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาจากพื้น

                “กระดาษห่อหมากฝรั่ง” เขาพึมพำ “ใหม่มาก เหมือนเพิ่งแกะได้ไม่นาน”

                น่านน้ำรีบรุดเข้ามาคุกเข่าลงข้างมาริช “แกคิดว่าเป็นของกลางฟ้าหรือเปล่า”

                มาริชพลิกกระดาษห่อนั้นในมือ มันเป็นห่อกระดาษสีเขียวและสีทองหวานแหวว เขาคลี่มันออกแล้วจ่อไปที่จมูกแล้วสูดกลิ่นของมัน

                กลิ่นหอมเปรี้ยวอมหวานของเลมอน...

                ชายหนุ่มหลับตาลง กลิ่นนี้ทำให้เขาหวนระลึกถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสักเดือนที่ผ่านมาได้ เป็นเหตุการณ์ที่หญิงสาวหน้าตาซุกซนเหมือนแมวหล่นมาจากต้นไม้ลงในอ้อมแขน... เขาพาหญิงสาวคนนั้นไปหลบหลังต้นไม้จนร่างเล็กๆ นั้นเบียดเข้ากับแผงอก... เขาก้มลงประทับรอยจูบที่ริมฝีปากสีแดงเรื่อ สิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดก็คือ กลิ่นเลมอน...

                มาริชลืมตาโพลงขึ้นมาเดี๋ยวนั้น

                “หมากฝรั่งของกลางฟ้า!”

                น่านน้ำหันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นระคนสับสน “จริงเหรอ แกรู้ได้ยังไง แกเคยกินหมากฝรั่งของกลางฟ้าเหรอ”

                จู่ๆ มาริชรู้สึกหน้าร้อนวูบจนแดงเพราะคำถามนั้น เขารีบขยี้ภาพในห้วงคำนึงเมื่อนึกถึงความทรงจำนั้น แล้วหันไปพูดบางอย่างกับน่านน้ำ

                “กลางฟ้าต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ”

                เขารีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนร้องจนเสียงก้องป่า

                “กลางฟ้า!” มาริชตะโกนเรียก “กลางฟ้า!”

                น่านน้ำช่วยตะโกนเรียกด้วยอีกเสียง หลังจากร้องเรียกอยู่สักพัก ก็มีเงาตะคุ่มของใครสักคนโผล่มาจากหลังพุ่มไม้ ผู้ชายทั้งสองคนหันขวับ

                “กลางฟ้า! นั่นคุณใช่ไหม” มาริชร้องด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหวัง

แต่คนที่ก้าวออกมาจากพุ่มไม้ กลับกลายเป็นชายหน้าบากที่สวมเครื่องแบบสีเข้มกับมีปืนไรเฟิลสะพายที่ไหล่ เขาเดินตรงเข้ามาหาน่านน้ำกับมาริช

“ตามหาผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่ใช่ไหม” ชายคนนั้นถาม

น่านน้ำหลับตาด้วยความโล่งอก ส่วนมาริชรีบระล่ำระลักตอบว่า “ใช่ครับ เธออยู่ไหน”

เขาชี้เข้าไปในป่าลึก “วิ่งหนีเข้าไปในนั่นแล้ว เธอตกใจที่เห็นผมหยิบมีดออกมาจะไล่งูให้ คงคิดว่าผมจะฟันคอเธอมั้ง ผมพยายามตะโกนบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่ได้มาทำร้ายเธอ แต่เธอเอาแต่วิ่งเตลิดไม่ยอมฟังเสียงเลย”

คำตอบนั้นทำให้สองหนุ่มกลับมาเครียดใหม่อีกครั้ง น่านน้ำยกขึ้นเสยผมด้วยความกลัดกลุ้ม มาริชเท้าสะโพกเดินกลับไปมา เขามองเข้าไปในป่าตามที่เจ้าหน้าที่คนนั้นชี้ ข้างในนั้นยิ่งดูลึกและต้นไม้หนาตากว่าตรงนี้เสียอีก

                “เธอหายไปนานหรือยังครับ”

“ก็ชั่วโมงกว่าสองชั่วโมงแล้ว ผมยืนรออยู่ตรงนี้เผื่อเธอออกมา แต่ไม่กล้าเข้าไปตาม กลัวเธอตกใจยิ่งวิ่งเตลิดลึกเข้าไปอีก”

                มาริชเริ่มร้อนใจหนัก กลางฟ้าคงวิ่งเข้าไปลึกพอสมควรเพราะไม่สามารถโทร.เข้าเครื่องของเธอได้เลย เขายกมือขึ้นกุมคางอย่างใช้ความคิด แล้วหันไปพูดกับน่านน้ำ

“เราต้องตามหากลางฟ้าให้เจอก่อนมืด เธอเคยหลงป่ามาก่อน ป่านนี้สติแตกไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“เคยหลงป่า? ตั้งแต่เมื่อไหร่” น่านน้ำหันมาถาม

“เธอเคยเล่าให้ฟัง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้แกต้องรีบออกจากป่าก่อนมืด แล้วรีบแจ้งกับทางซีซียูให้ส่งคนเข้ามาช่วย”

“แล้วแกล่ะ”

“ฉันจะลุยป่าเข้าไปตามหากลางฟ้าเอง”

“ถ้าเราสองคนช่วยกันหา มันอาจเร็วขึ้นก็ได้นะ” น่านน้ำร้องอย่างมีความหวัง

“เราต้องแบ่งงานกันทำ อยู่ในป่าแบบนี้โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ แกรีบออกจากป่าแล้วติดต่อทางศูนย์ซะ ส่วนฉันจะเข้าไปหากลางฟ้าตอนนี้เลย”

“ทำไมต้องเป็นแกด้วยล่ะ” น่านน้ำถามทั้งๆ ที่ไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะทำงานนี้ได้ แต่อยากอาสาด้วยความรู้สึกผิด

“ฟังนะไอ้น่าน ฉันผ่านงานภาคสนามมาแทบทั้งชีวิตของการเป็นตำรวจ มีประสบการณ์ทางนี้โดยตรง ฉันไม่ต้องการให้มีคนหลงป่าสองคนและไปกันคนละทางด้วย หน้าที่ที่แกทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือหาคนมาช่วยเรา”

น่านน้ำไตร่ตรองอยู่สักพัก แล้วจำต้องยอมรับเหตุผลของมาริช เขาปลดเป้ลงจากบ่า แล้วหยิบแผนที่ออกมากาง

“ถ้าอย่างนั้น แกต้องพยายามเลี่ยงจุดนี้”

น่านน้ำชี้ไปที่แผนที่ตรงจุดที่เป็นแม่น้ำโค้งเป็นรูปตัวยู มาริชคุกเข่าลงข้างๆ แล้วมองตามแผนที่

“เพราะอะไร”

“พวกองค์กรเดือนลับมันจะลำเลียงของผิดกฎหมายกันตรงนี้น่ะสิ”

“องค์กรเดือนลับ? ลำเลียงของผิดกฎหมายในป่านี้น่ะเหรอ” มาริชมองแผนที่แล้วเงยหน้าขึ้นถามน่านน้ำ “มันจะลงมือเมื่อไหร่”

“วันนี้กับพรุ่งนี้”

ผู้กองหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ตอนนี้เราไม่มีอุปกรณ์อิเลคโทรนิคหรืออุปกรณ์สื่อสารอะไรเลย แถมโทรศัพท์ก็ไม่มีสัญญาณ เราจะนัดแนะกันอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าฉันหากลางฟ้าเจอ ฉันจะพาเธอเดินเลียบไปตามแม่น้ำสายนี้” เขาลากนิ้วไปตามแผนที่ “แกเตรียมคนไว้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้เดินเลียบไปตามแม่น้ำ ถ้าฉันเจอกลางฟ้าแล้ว พวกแกจะได้หาเราง่ายขึ้น ส่วนอีกกลุ่มให้ไปเตรียมรอจับพวกขนยาเสพติด”

น่านน้ำรีบค้าน “แต่เดี๋ยว! นี่ฉันยังไม่แน่ใจเลยนะว่าข่าวที่ได้มาเชื่อได้หรือเปล่า”

“เชื่อได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แต่เมื่อมีข่าวมาแล้ว เราต้องไปดู... แต่แกไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าจับพวกมันได้ มันจะเป็นผลงานของแกแน่นอน”

หลังจากตกลงทุกอย่างเรียบร้อย น่านน้ำก็ปลดกระเป๋าเป้ลงแล้วยื่นให้มาริช “อุปกรณ์จำเป็นในป่า แกพกติดตัวไปด้วย”

“โอเค ขอบใจ” มาริชกระชับเป้ขึ้นหลังและเตรียมตัวจะเดินเข้าไปในป่า แต่น่านน้ำดึงแขนเขาไว้

“ถ้าเจอกลางฟ้าแล้ว ฉันขอร้องว่าแกอย่าดุเธอเรื่องเข้าป่านี่เลยนะ ทุกอย่างเป็นความผิดของฉันคนเดียว เธอไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย เดี๋ยวฉันจะอธิบายเรื่องทั้งหมดกับสารวัตรเอง”

 

                เสียงแปลกๆ ในป่าทำให้หัวใจหญิงสาวอหนาวสั่นราวกับถูกแช่ในน้ำแข็ง ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งจะห้าโมงเย็น แต่ในป่าทึบแบบนี้กลับยิ่งมืดมิดจนกลางฟ้าไม่สามารถทนเดินต่อไปได้อีกแล้ว เธอคลานเข้าไปอยู่ในพุ่มไม้ แล้วกอดเข่าตัวเองแน่นอยู่ในนั้น

มือไม้สั่นของเธอกดปุ่มต่อสายหาทุกคนเท่าที่นึกออก แต่ในป่าแห่งนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์จนต้องตัดสินใจหยุดใช้ก่อนที่แบตจะหมด ก่อนหน้านี้เธอลองเปิดจีพีเอสแล้ว แต่แผนที่ในป่าดูแล้วน่าสับสนและไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเดินไปทิศทางไหน ในที่สุดเธอก็หยุดใช้งานจากโทรศัพท์ทุกอย่างเพราะอาจต้องสงวนมันไว้สำหรับใช้ในกรณีอื่น อย่างเช่น ไฟฉาย

อยู่ดีๆ เธอก็ขนลุกเกรียวเมื่อนึกถึงเวลากลางคืนที่แสนมืดมิด ไฟฉายโทรศัพท์คงสว่างอยู่นานไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์บนฟ้าเริ่มอ่อนแสง บอกให้รู้ว่ามันเริ่มนับถอยหลังก่อนลาจากฟากฟ้าแล้ว

หลังจากนั้น ความมืดก็จะเข้ามาอยู่รอบตัวแทน แล้วความทรงจำในวัยเด็กที่ลืมเลือนไปเป็นเวลายี่สิบปีก็หวนกลับคืนมา

เหตุการณ์นั้นแม้ผ่านมายี่สิบปีแล้ว เธอยังคงทำตามสัญชาติญาณเดิมด้วยการพาตัวเองซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ เพียงแต่ตอนนั้นโชคดีกว่ามากที่สมองของเด็กน้อยคนนั้นตัดขาดจากความทรงจำที่เลวร้าย แต่สมองในวัยยี่สิบห้าไม่ทำงานแบบเดียวกันแล้ว ดวงตามองเห็นฟ้าที่เริ่มครึ้มลงทุกขณะจิต ทุกอย่างในป่าในยามนี้ดูน่าสยดสยองขนลุกขนพอง แม้แต่เถาวัลย์ก็ดูน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนงูตัวใหญ่กำลังห้อยหัวลงมาจากต้นไม้ เส้นประสาททุกเส้นรับรู้ทุกสรรพเสียงที่น่าสะพรึงกลัว กระทั่งเสียงนกร้อง ก็ฟังดูเหมือนเสียงแห่งความตายมากกว่าเสียงไพเราะเพราะพริ้ง

และตอนนี้... มันกำลังมีอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาเรื่อยๆ

กลางฟ้าตัวสั่นระริก น้ำตาไหลใบอาบหน้าเมื่อจินตนาการต่างๆ กำลังหวนกลับมาทำร้ายเจ้าของความคิด เสียงนั้นคือเสียงคนหรือสัตว์ป่ากันนะ หรือว่าจะเป็นเสียงฝีเท้าของชายหน้าบากคนนั้น เธอนึกถึงมีดปลายเลื่อยด้ามโตในมือนั้นแล้วรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ก่อนที่มันจะฆ่าเธอ มันจะทรมานเธอนานไหม มันจะข่มขืนเธอหรือเปล่า หรือมันจะแทงเธอนับร้อยๆ แผลแล้วปล่อยให้เธอเลือดไหลนองจนตาย...

จู่ๆ ลมหายใจเริ่มระบายเข้าออกอย่างถี่กระชั้นจนเริ่มควบคุมไม่ได้ อย่าบอกนะว่าอาการนี้กลับมาอีกแล้ว อย่านะ...อย่าเพิ่งเป็นอะไรตอนนี้เลย แต่แรงสะอื้นยิ่งทำให้ควบคุมลมหายใจลำบาก เสียงสะอื้นดังออกมาผสมกับเสียงหายใจเข้าออก เธอหวนนึกถึงพ่อแม่ พี่ภูตะวัน พี่วิธู... นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งใครก็ได้สักคนมาช่วยเหลือ เธอยังไม่อยากตายในป่าแบบนี้...

แล้วเธอนึกถึงตอนสี่ขวบ เงาร่างสูงของตำรวจคนนั้น พาเธอออกมาจากพุ่มไม้ แล้วอุ้มเธอออกมา...

มือข้างหนึ่งแหวกพุ่มไม้เข้ามา หญิงสาวส่งเสียงร้องกรี๊ดสุดเสียง

“กลางฟ้า!” เสียงนั้นพยายามดังแข่งกับเสียงร้องอย่างสติเสียของเธอที่ดังไม่หยุดหย่อน “ผมเอง กลางฟ้า!!”

หญิงสาวลืมตาขึ้น แล้วตระหนักว่าภาพใบหน้าแรกที่ลืมตาหลังตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย เป็นภาพของชายหนุ่มที่งดงามที่สุดที่เคยเห็นในชีวิต

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น