4

บทที่ 3


 

บทที่ 3

                “ถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกละก็ ต่อให้ลูกสาวเจ้าของโรงเรียนกลอรีก็ช่วยอะไรแกไม่ได้หรอกนะเว้ย ไอ้กลาง”

                ดาวรุ่ง ผู้อำนวยการสาวร่างอวบแห่งโรงเรียนประถมกลอรี จ้องเพื่อนสาวด้วยสายตาตำหนิทีหนึ่งก่อนโยนหนังสือพิมพ์ลงกลางโต๊ะ เฉียดฉิวเกือบโดนแก้วค็อกเทลสีฟ้าใสทรงสูงกลางโต๊ะ กลางฟ้าชะโงกตัวออกไปที่โต๊ะที่อยู่ตรงกลางระหว่างโซฟาของเธอกับดาวรุ่ง แล้วฉวยขึ้นมาเปิดอ่าน

                หน้าแรกของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นตรงกรอบล่างของหน้านั้น กลางฟ้าเห็นหน้าตัวเองกำลังอ้าปากหวอทำหน้าทำตาเหรอหราอยู่หน้ารถโฟร์วีลสีแดงที่หัวทิ่มลงข้างดงอ้อ

                “กรี๊ดด!” เธอฉวยหนังสือพิมพ์ขึ้นมาจ่อที่ใบหน้า “หารูปสวยกว่านี้มาลงไม่ได้หรือไง ไอ้นักข่าวไร้จรรยาบรรณ”

                ดาวรุ่งฉวยหนังสือพิมพ์กลับคืนมา “ฉันไม่ได้ให้แกดูรูปตัวเองเว้ย ฉันจะให้แกดูว่าตัวเองทำอะไรลงไป พวกนักข่าวมันตามแกจนรู้ว่ายายกลางฟ้าคือครูที่โรงเรียนประถมกลอรี แกไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับฉัน ไม่รู้หรอกว่าตอนพ่อฉันเห็นข่าวนี้ที่หนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี้น่ะอาละวาดซะหูฉันแทบระเบิด!”

                เสียงโวยของผู้อำนวยการโรงเรียนกลอรีแทบกลบเสียงดนตรีเพลงแจ๊ซเสนาะหูที่บรรเลงอยู่ในฮาร์ท แอนด์ โซล ผับ เป็นผับเพลงแจ๊ซแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ที่ดาวรุ่งชอบมานั่งฟังเพลงเคล้าเครื่องดื่ม

“โธ่ รุ่ง ฉันก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอก ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆ จะมีคนบ้ามาไล่ยิงกันอยู่ตรงนั้นพอดีล่ะ”

                “แล้วแกดันโผล่ไปที่ป่านั่นทำไมวะ ฉันอยู่เชียงใหม่มาเกือบสิบปี ยังไม่เห็นเคยมีใครมาตามไล่ยิงอย่างที่แกโดนเลยสักครั้ง ฉันเคยบอกแกแล้วไงว่าทำงานกับโรงเรียนพ่อฉัน ห้ามเป็นข่าว ห้ามเป็นเน็ตไอดอล ห้ามฉาวโฉ่ แกต้องทำตัวเงียบๆ และมีแต่เรื่องดีๆ ในชีวิตเท่านั้น เพราะพ่อแม่โรงเรียนนี้อ่อนไหวกับทุกอย่างของโรงเรียนมาก จำไว้”

“โอเค โอเค เพื่อน ต่อจากนี้ไปฉันจะเป็นครูที่ไม่ทำเรื่องโลดโผนให้โรงเรียนแกซวยเป็นอันขาด ฉันเองก็ไม่อยากเสียงานนี้เหมือนกัน รายได้ดีขนาดนี้ ประทังชีวิตไปได้สบายๆ ระหว่างที่หนังสือของฉันยังแต่งไม่เสร็จ”

                ดาวรุ่งกลอกตา “เออ เมื่อไหร่แกจะเขียนเสร็จๆ สักทีวะ ฉันจะได้นอนตาหลับ”

“หนังสือดีๆ ต้องใช้เวลาหน่อยสิ เพราะฉันต้องค้นคว้าหาข้อมูลด้วย หนังสือของฉันเกี่ยวกับการเจาะลึกก่ออาชญากรรมขององค์กรร้ายที่ชื่อ "องค์กรเดือนลับ" สมาชิกองค์กรนี้จะมีสัญลักษณ์เป็นรอยสักรูปดวงอาทิตย์ที่แปรเปลี่ยนเป็นรูปพระจันทร์แค่เปลี่ยนมุมที่มองมัน....”

“องค์กรบ้าอะไรของแกวะ” ดาวรุ่งเบ้ปาก

“แกนี่เสียแรงอยู่เชียงใหม่มาตั้งนาน ไม่เคยรู้เลยเหรอว่าที่นี่มีแกงค์วายร้ายชื่อองค์กรเดือนลับน่ะ นี่จะบอกให้ว่าหนังสือของฉันจะเป็นการเปิดโปงการทำงานขององค์กรร้ายที่มีอยู่จริง และตอนนี้ฉันก็เพิ่งได้ข้อมูลเด็ดมาว่า ไอ้องค์กรนี้กำลังส่งของผิดกฎหมายบางอย่าง ล็อตใหญ่ซะด้วย แอบพักของซ่อนไว้ในโกดังกลางป่า และโกดังนี้มีจริงด้วยนะแก เพราะฉันไปเห็นกับตามาแล้ว...”

                ดาวรุ่งเหลือบมองเพื่อนด้วยสายตาแอบทึ่ง “แกนี่บ้าดีแท้ เอาเวลาที่ไหนไปสืบค้นข้อมูลมาขนาดนี้เนี่ย”

“แค่นี้ยังน้อยไป นี่ถ้ามีตำรวจให้ฉันสัมภาษณ์สักรายนะ หนังสือฉันจะสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังหาตำรวจที่พร้อมที่จะให้สัมภาษณ์ฉันไม่ได้เลยนี่สิ...”

อยู่ดีๆ เสียงเครื่องเป่าก็ดังแปร๋นอยู่ข้างหูจนกลบเสียงของสองสาวแทบสนทนาต่อไม่ได้ กลางฟ้าหันไปข้างตัวแล้วถึงเห็นแซกโซโฟนสะท้อนแสงไฟเหลืองอร่ามอยู่ในมือของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในเสื้อยืดสีดำ กำลังยืนเป่าแซกโซโฟนอยู่ข้างโต๊ะเป็นเพลงไพเราะหวานจับใจ เธอมองดวงหน้าของนักแซกที่กำลังหลับพริ้ม คิ้วเรียวบางสีเดียวกับเส้นผมขมวดเข้าหากันนิดๆ อย่างอิ่มเอมในอารมณ์

                ผู้ชายคนนี้... หน้าตาของเขาดูโรแมนติกจัง

                ท่อนสุดท้ายของเพลง เขาอิมโพร์ไวส์ต่อไปอีกยืดยาวราวกับเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้าย ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังมาจากทั่วร้าน แล้วหนุ่มนักแซกคนนั้นเขาลดเครื่องดนตรีลงมาจนห้อยอยู่แนบอก ดวงตาคู่นั้นจ้องลงมามองกลางฟ้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“สวัสดีครับ”

                กลางฟ้าเบิกตากว้าง หันไปมองซ้ายขวารอบตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ชายหนุ่มนักแซกคนนี้ถึงจำเพาะเจาะจงมาทักทายถึงที่โต๊ะ และดูเหมือนจะไม่จบแค่นั้น เพราะเขาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวว่างที่อยู่ข้างๆ เธอกวาดมองใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้จนมองเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีแบบหนุ่มเชื้อจีน ผิวขาว ผมเหยียดตรงทิ้งตัวลงมาตามแสกจนเกือบปิดตาข้างหนึ่ง ดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อนจนเกือบดูเป็นสีเทา จมูกโด่งและริมฝีปากเรียวบาง ดวงตาโรแมนติกคู่นั้นที่จดจ้องคู่สนทนาเขม็ง

                “เพิ่งมาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกหรือครับ” เขาทัก

                “เอ่อ ค่ะ ฉันเพิ่งมาอยู่ที่เชียงใหม่...” กลางฟ้ายิ้มไม่ออกเพราะมัวแต่จ้องดวงตาที่เหมือนหลุมดำของชายหนุ่ม มันดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ไม่เว้นแม้แต่เธอ

                “มาเที่ยว มาทำงาน หรือว่ามาอยู่เลยครับ” ไม่ใช่แค่ดวงตาของเขาเท่านั้น แต่เสียงทุ้มของเขาก็ฟังดูหล่อไม่แพ้กัน

                “มาทำงานค่ะ” เธอตอบอย่างไว้ตัวนิดๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มชวนคุยมากเกินไปแล้ว แต่ใบหน้าของเขานี่สิ มันชวนให้เผลอเคลิบเคลิ้มจริงๆ

                เขาเอื้อมมือออกมาจับที่พนักโซฟาตัวที่กลางฟ้านั่งแล้วโน้มตัวมาข้างหน้าเสียใกล้จนเธอสัมผัสลมหายใจของเขาได้ ดวงตาชวนฝันของเขากวาดมองทั่วใบหน้าจนเธอไม่กล้าหายใจไปชั่วขณะ

                “ผมเล่นเพลงอยู่ที่นี่ทุกวันตั้งแต่หัวค่ำถึงเที่ยงคืน ถ้าว่างก็เชิญมาอีกนะครับ” เขาพูดยิ้มๆ เผยฟันสวยเรียงเป็นระเบียบ “อ้อ อยากฟังเพลงอะไรก็ขอได้ จะเล่นให้ฟังเป็นพิเศษเลย”

                ยังไม่ทันที่กลางฟ้าจะได้อ้าปากตอบ เขาก็ลุกไปดื้อๆ เสียอย่างนั้น เธอมองตามร่างสูงในเสื้อยืดสีดำที่เห็นโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางพนักงานและแขกในร้านที่เบียดเสียดกันแน่น

                “หล่อว่ะ ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าผับนี้มีนักแซกหล่อขนาดนี้ด้วย” ดาวรุ่งอุทาน

                กลางฟ้าหันไปหาเพื่อน ดวงตาเบิ่งโตด้วยความตื่นเต้น “ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเชียงใหม่มีแต่ผู้ชายหน้าตาดี”

                เธอนึกถึงผู้กองขนตางอนที่ยิงสนั่นทุ่งเมื่อวันก่อน แล้วมาวันนี้ก็เจอหนุ่มตี๋หล่ออินเตอร์รายนี้อีก ไม่อยากจะพูดเลยว่าแค่เงาของสองคนนี้ ก็หล่อกว่าพี่ชาติแฟนเก่าหน้าจืดของเธอซะแล้ว ระหว่างที่นั่งจิบเครื่องดื่ม เธอก็นึกถึงนิยายที่กำลังเขียนอยู่ สงสัยต้องเพิ่มพระเอกอีกคนซะแล้วกระมัง

 

                รถมอเตอร์ไซค์ยามาฮาสีน้ำเงินที่ตัวถังสีถลอกปอกเปิกค่อยๆ แล่นช้าลงจนจอดนิ่งสนิทที่บริเวณลานจอดรถของอพาร์ทเมนต์ค่อนข้างเก่าแห่งหนึ่งตอนตีสอง ชายหนุ่มบิดกุญแจดับเครื่องแล้วเหวี่ยงขาท่อนยาวๆ ข้ามเบาะออกมายืนข้างรถ สองมือถอดหมวกกันน็อกออกหนีบไว้ใต้แขน แล้วเอื้อมมือปลดสายรัดที่มัดกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมบรรจุแซกโซโฟนคู่ชีพ ตอนที่เขายกขึ้นมันขึ้นจากเบาะก็เห็นรอยขาดที่เบาะหนังเทียมจนฟองน้ำปลิ้น นิ้วมือยาวเขี่ยมันเบาๆ พร้อมเสียงถอนหายใจ ก่อนยกกระเป๋าขึ้นแล้วหิ้วมันเดินเข้าไปในตัวตึก

                เขาไขกุญแจเข้าไปในห้องมืดมิดที่อยู่ชั้นสี่ เมื่อวางข้าวของแล้วก็เดินไปเปิดก๊อกที่อ่างล้างมือในห้องน้ำเล็กๆ ติดกับห้องนอน เขาเงยหน้าขึ้นมองกระจกเหนืออ่างระหว่างฟอกมือใต้ก๊อกน้ำ เงาในกระจกสะท้อนใบหน้าของชายหนุ่มที่มีเส้นผมสีอ่อนปรกลงมาเกือบถึงนัยน์ตาคู่โศกที่แสนโรแมนติก

                เมื่อกลับออกมาที่ห้องนั่งเล่น เขาก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ครัวเล็กๆ หยิบซองบะหมี่สำเร็จรูปออกมาเติมน้ำแล้วยกเข้าเตาไมโครเวฟ เขาเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบไข่ แต่พบแต่ช่องเก็บไข่ที่ว่างเปล่า ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วกดปุ่มให้ไมโครเวฟทำงาน

                เขายกชามมาม่าร้อนๆ ถือไปที่โต๊ะทำงานที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ ก่อนหย่อนตัวลงนั่งเขาก็ล้วงกระเป๋าหลังของกางเกง ดึงวัสดุสีดำรูปทรงสี่เหลี่ยมเล็กเท่ากลักไม้ขีดไฟวางลงบนโต๊ะแล้วเปิดคอมพิวเตอร์

                บนหน้าจอคอมฯ ปรากฎรูปคลื่นเสียงเป็นเส้นหยักๆ สีเขียว เขาเลือกเวลาตอนห้าทุ่มแล้วกดคลิก ระหว่างรอให้โปรแกรมทำงาน เขาก็ใช้ตะเกียบคีบมาม่าเข้าปากพลางซดน้ำรสต้มยำ

               มีเสียงคนพูดดังอู้อี้ออกมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ กับมีเสียงเพลงบรรเลงดังคลออยู่ไกลๆ เขากดปุ่มเปิดเสียงให้ดังขึ้น คราวนี้ได้ยินเสียงของผู้ชายสองคนกำลังสนทนาผ่านลำโพง

“ของมาถึงเมื่อไหร่” เสียงแรกถาม

“กำลังมา น่าจะถึงเดือนหน้า” เสียงสองตอบ

“ทำไมนานนักละ”

“ช้าหน่อยแต่ชัวร์กว่า หนนี้เราส่งมาทาง...”

“ถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกละก็ ต่อให้ลูกสาวเจ้าของโรงเรียนกลอรีก็ช่วยอะไรแกไม่ได้หรอกนะเว้ย ไอ้กลาง” เป็นเสียงผู้หญิงที่พูดทับเสียงของผู้ชายในจังหวะนั้นพอดี

บะหมี่สำเร็จรูปถูกคีบค้างอยู่กลางอากาศเมื่อได้ยินเสียงแทรกอันไม่พึงประสงค์ ชายหนุ่มลนลานวางตะเกียบลงแล้วเลื่อนเม้าส์กลับไปตอนเวลาห้าทุ่มเพื่อเริ่มต้นฟังอีกครั้ง คราวนี้เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่เสียงหญิงสาวคนนั้นที่ดังแทรกเข้ามาที่เดิม กลบเสียงที่สนทนาของผู้ชายที่เขาต้องการฟังเสียสนิท เขาตะปบกล่องสีดำเท่ากลักไม้ขีดออกมาสำรวจอย่างหัวเสียสุดขีด หลังจากทดสอบลำโพงเสียงแล้วเห็นว่าเครื่องดักฟังไม่ได้มีปัญหาอะไร เขาก็เลื่อนหน้าจอเพื่อกลับไปเพื่อตั้งใจฟังบทสนทนาตอนนั้นอีกครั้ง

“...ช้าหน่อยแต่ชัวร์กว่า หนนี้เราส่งมาทาง... ถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกละก็ ต่อให้ลูกสาวเจ้าของโรงเรียนกลอรีก็ช่วยอะไรแกไม่ได้หรอกนะเว้ย ไอ้กลาง...”

ชายหนุ่มยกสองมือขึ้นขยุ้มผมจนยุ่งเหยิง ให้ตายสิ! เนื้อหาสำคัญถูกเสียงแม่นั่นกลบหมดเลย เสียงสนทนาของผู้หญิงสองคนนั้นชัดเจนราวกับนั่งพูดกรอกใส่เครื่องดักฟังยังไงยังงั้น แล้วตอนนั้นถึงนึกได้ว่า ตอนที่เขาพยายามเก็บเครื่องดักฟังที่แอบติดไว้ตอนหัวค่ำ ถึงได้ควานหาที่เก้าอี้ของโต๊ะชายสองคนนั้นไม่เจอ แล้วควานเจอโดยบังเอิญตอนที่เอื้อมมือไปที่หลังเก้าอี้ของผู้หญิงดวงตาเหมือนแมวคนนั้น

เวรกรรม อย่าบอกนะว่าเขาติดเครื่องดักฟังผิดโต๊ะ

“โธ่ ไอ้โง่เอ๊ย!” เขาสบถด่าตัวเองเบาๆ พลางตบโต๊ะอย่างแรงจนตะเกียบตก แล้วตอนนั้นเสียงพูดของผู้หญิงประโยคหนึ่งก็ดังขึ้นมาสะดุดความสนใจ

“ฉันเพิ่งได้ข้อมูลเด็ดมาว่า ไอ้องค์กรนี้กำลังส่งของผิดกฎหมายบางอย่าง ล็อตใหญ่ซะด้วย แอบพักของซ่อนไว้ในโกดังกลางป่า และไอ้โกดังนี้มีจริงด้วยนะแก เพราะฉันไปเห็นกับตามาแล้ว...”

โกดังกลางป่า?

เธอเป็นใครกันนะ เธอรู้เรื่องโกดังกลางป่าได้อย่างไร เบาะแสที่ให้ข่าวเขามานั้นรู้แค่ว่ามีคนขององค์กรเดือนลับสร้างโกดังขึ้นมาในป่า แต่ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร และสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้กลับรู้ว่าโกดังนี้ใช้ทำอะไร

แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร สิ่งที่เธอพูดมีความน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ไม่รู้

เสียงแซกโซโฟนดังผ่านลำโพงคอมพิวเตอร์ขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินชัดเจน เขาจำได้ว่าตอนนั้นมองมาจากเวที เห็นผู้ชายสองคนที่โต๊ะข้างหลังสองสาวนี้โบกมือเรียกพนักงานเพื่อเรียกเช็กบิล เขาจึงตัดสินใจผละเวทีที่กำลังเป่าแซกโซโฟนอยู่เพื่อรีบไปเก็บเครื่องดักฟัง 

แต่ถึงอย่างนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็รู้ข้อมูลสำคัญบางอย่างอยู่ดี บทสนทนาช่วงแรกๆ ได้ยินว่าเธอเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนที่ไหนสักแห่ง เขาขยับเม้าส์เพื่อกดเลื่อนเวลากลับไปที่ตอนห้าทุ่ม หนนี้เขาหยิบกระดาษกับปากกาออกมาจดทุกอย่างที่ได้ยิน

 

ร่างสูงสะโอดสะองของวิธูเดินไพล่หลังไปอย่างช้าๆ รอบโต๊ะทรงรีสีดำตัวที่มีผู้เข้าร่วมประชุมจากแผนกสืบสวนนั่งประชุมประจำสัปดาห์ เพื่อรายงานผลงานและความคืบหน้าภายในแผนกให้กับผู้อำนวยการของศูนย์ซีซียูรับทราบ

ผู้อำนวยการซีซียูที่ทุกคนเรียกกันว่าผอ.ธมกร เป็นผู้ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ผมสีดำแซมด้วยผมขาวประปราย รูปร่างสูงใหญ่ค่อนข้างท้วม ใบหน้ากลมเป็นสีชมพูดูมีเลือดฝาด เขานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะเพื่อฟังการรายงานของทีมปฏิบัติการและสืบสวนของสารวัตรวิธู

“ทางโรงพยาบาลแจ้งมาแล้วว่านักบิดมอเตอร์ไซค์ที่ถูกมาริชยิงล้มเมื่อวาน ตอนนี้ฟื้นแล้ว สามารถให้ปากคำได้ตั้งแต่วันนี้ค่ะ”

อาทิตยารายงาน มาจากหัวโต๊ะ เธอเป็นฝ่ายประสานงานกับแผนกต่างๆ ภายในแผนกสืบสวน วิธูเดินก้าวไปหยุดยืนที่อีกฟากของโต๊ะ สบตาหญิงสาวนานเกินความจำเป็นอยู่หลายอึดใจ ก่อนถอนสายตาแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้รายงานเรื่องต่อไป

หญิงสาวหยิบของบางอย่างขึ้นมาวางตรงหน้า มันเป็นซองพลาสติกใสบรรจุของบางอย่างในนั้น

“เจ้าหน้าที่ตรวจสอบหลักฐาน พบกระเป๋าสตางค์หล่นอยู่ที่พื้นที่นั่งตอนหน้าของรถมาริช หลังตรวจสอบแล้ว ไม่พบเบาะแสน่าสนใจ หลักฐานต่างๆ ระบุเป็นของผู้หญิงชื่อกลางฟ้าค่ะ”

วิธูเอื้อมมือออกไปหยิบหลักฐานในซองพลาสติก กวาดตาดูพักหนึ่งแล้วสไลด์มันไปตามความยาวของโต๊ะ มันไถลมาจนถึงหน้ามาริช แล้วมือสีแทนแดดของเขาก็ตะปบมันไว้

“มาริช ดอน” วิธูเรียกชื่อลูกน้องสองคน “วันนี้ฉันต้องการให้พวกแกสอบปากคำไอ้มอเตอร์ไซค์คนนั้น ทำยังไงก็ได้ให้มันคายอะไรสักอย่างออกมา และฝากเอาของไปคืนกลางฟ้าที่โรงเรียนกลอรีด้วย”

                ผู้กองมาริชกับดอน ชายหนุ่มผมเกรียนที่มีใบหน้าอ่อนวัยเหมือนนักศึกษา พยักหน้ารับคำสั่งของสารวัตร มาริชมองกระเป๋าสตางค์แบบซิปที่เป็นหนังสีขาวลวดลายสีชมพูแบบผู้หญิงแล้วเก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท    

สารวัตรแผนกสืบสวนหันไปพยักหน้ากับอาทิตยาอีกครั้ง เป็นสัญญาณบอกให้รายงานหัวข้อต่อไป แต่มีเสียงของผอ.ธมกรถามแทรกว่า  

“เรื่องอื่นไว้รายงานทีหลัง ผมต้องการรู้ข่าวความคืบหน้าของการขนยาเสพติดล็อตใหญ่”

“ครับผอ.” วิธูตอบรับอีกฝ่าย แล้วหมุนตัวเพื่อหันหน้าไปทางชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งก้มหน้างุดอยู่ที่ปลายโต๊ะ “น่าน? แกมีอะไรจะรายงานผอ.ธมกรหรือเปล่า”

คนที่ถูกเรียกว่าน่านหลับตาแน่นด้วยความเจ็บใจ นึกถึงข้อมูลจากเครื่องดักฟังในผับเมื่อคืนที่ดันติดผิดโต๊ะจนพลาดข้อมูลสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย ถึงแม้เขาได้ยินอะไรแปลกใหม่จากผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น แต่ทุกอย่างก็ยังจับต้องไม่ได้เกินกว่าจะเอามาเป็นเบาะแสสำคัญ

“ใกล้จะได้ข้อมูลสำคัญแล้วครับ” เขาตัดสินใจตอบอย่างขอไปที

“เฮ้อ พูดเดิมๆ มาสามอาทิตย์ นี่คนหรือเครื่องตอบรับอัตโนมัติเนี่ย” เสียงบ่นมาจากคนที่นั่งข้างๆ

น่านน้ำหันขวับไปจ้องหน้าชายหนุ่มขนตางอนหนาที่กำลังเคาะปากกาเล่นด้วยสายตาไม่พอใจ

“เรื่องที่ต้องใช้สมองทำงาน มันมีคำตอบให้ทันทีไม่ได้หรอก มาริช แต่เอาเถอะ ฉันจะพยายามเข้าใจคนที่ถนัดใช้แต่แรงในการหาคำตอบก็แล้วกัน”

มาริชหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางหักนิ้วตัวเองดังกรอบๆ เหมือนโชว์พลัง “อยากได้รอยสักรอยแว่นถาวรที่หน้าไหมวะ ไอ้หน้าจืด”

“เคยได้ยินที่พูดๆ กันไหมว่า อวัยวะส่วนไหนที่ไม่ค่อยได้ใช้ มันจะลีบลงเรื่อยๆ ฉันขอแนะนำให้ลดการใช้กล้ามเนื้อแขนและเพิ่มการใช้กล้ามเนื้อสมองหน่อยนะ ไอ้หน้าลิเก”

“ไอ้น่าน แกหุบปากไปเลย...”

“นี่พวกแกสองคน” วิธูพูดปรามด้วยเสียงเข้ม “เกรงใจผอ.ธมกรบ้าง กัดกันอยู่ได้ทุกครั้งที่มีประชุม”

น่านน้ำเม้มปากระงับอารมณ์ไม่พอใจ แต่ก็นึกโมโหตัวเองที่มีข้อผิดพลาดให้มาริชจับผิดจนได้

“จะไม่ให้ผมโวยได้ยังไงครับสารวัตร เราได้รับรายงานเรื่องแอบสร้างโกดังกลางป่านั่นมาสามอาทิตย์แล้ว แต่ไม่มีอะไรคืบหน้าสักที ตกลงมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องการลักลอบขนยาเสพติดหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่าจะอนุญาตให้ผมบุกเข้าไปโกดังตอนนี้เลย” มาริชพูดอย่างมีอารมณ์

“ถ้าแกบุกเข้าไปตอนนี้ แกจะเจอแต่โกดังที่ว่างเปล่า และจะไม่มีวันจับพวกมันได้เลย” น่านน้ำเค้นเสียงใส่อีกฝ่าย

“แต่วันนั้นฉันโดนไอ้เวรนั่นไล่ยิงสนั่นป่าเลยนะโว้ย แสดงว่ามันต้องมีอะไรอยู่ในนั้นที่พวกมันต้องการปิดบัง” มาริชเถียงกลับแล้วหันไปพูดกับวิธู “ผมว่าสารวัตรอนุมัติหมายจับให้ผมเลยดีกว่า ยังไงไอ้โกดังนั่นก็สร้างขึ้นมาอย่างผิดกฎหมายอยู่แล้วเพราะมันรุกพื้นที่ป่า”

“ขอเวลาผมอีกหน่อยครับ สารวัตร” น่านน้ำรีบบอก “ตอนนี้ผมกำลังหาสายข่าวเพิ่มอยู่ โกดังนั่นมันต้องไม่ได้สร้างขึ้นมาเฉยๆ แน่นอน”

“เรื่องโกดังอะไรนั่น ฉันไม่สนว่ามันสร้างขึ้นเพื่ออะไร” เป็นเสียงพูดของผอ.ธมกรที่แทรกขึ้นมา “แต่ที่ฉันต้องการรู้คือเบาะแสเรื่องยาเสพติดล็อตใหญ่ก่อนที่พวกมันจะขนย้ายสำเร็จ”

น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่แฝงด้วยอำนาจที่ฟังดูแล้วไม่ต่างจากคำสั่ง  

 การประชุมดำเนินต่อไปอีกสักพักเพื่อรายงานความคืบหน้าเรื่องอื่น เมื่อหมดหัวข้อแล้ว วิธูก็สั่งเลิกการประชุม ระหว่างที่ทุกคนกำลังเก็บของและลุกจากโต๊ะ สารวัตรหนุ่มก็เอ่ยเรียกน่านน้ำจากหน้าห้องประชุม

“น่าน แกตามฉันมาที่ห้องหน่อย ฉันมีเรื่องต้องคุยกับแก” แล้วเขาก็หันไปทางอาทิตยา “อาท ผมมีงานด่วนต้องบรีฟคุณ อีกสิบนาทีมาหาผมที่ห้องด้วยนะครับ”

เมื่อสั่งงานเสร็จ เขาก็เดินหันหลังออกจากห้องประชุมโดยที่ไม่รอดูหญิงสาวพยักหน้ารับคำสั่ง

มาริชเดินออกจากห้องประชุมโดยมีชายหนุ่มผมเกรียนที่ชื่อดอนรีบสาวเท้าเข้ามาขนาบข้าง

“ลูกพี่ๆ ตะกี้เห็นเหมือนผมหรือเปล่า” ดอนร้องถามเสียงตื่นเต้น

“เห็นไรวะ” มาริชถามเหมือนไม่สนใจ เพราะมัวแต่ก้มหน้าพลิกดูกระเป๋าสตางค์ที่สารวัตรสั่งให้เขาเอาไปคืนหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของ

“สารวัตรส่งซิกให้พี่อาทให้ไปเจอกันในห้องนั่นไง ลูกพี่เห็นสายตาที่สารวัตรมองพี่สาวเราหรือเปล่า ผมว่าเขานัดไปกินกันในห้องแหงๆ”

ฝ่ามือใหญ่ๆ ของมาริช ฟาดเข้ากลางกะโหลกของหนุ่มผมเกรียน

“ไอ้ดอนวอนโดนตึ้บซะแล้ว แกเลิกจับคู่ให้สารวัตรกับพี่อาทเถอะ สารวัตรเคยบอกแล้วไงว่าตัวเขาเองจะไม่ยอมมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นในองค์กรเป็นอันขาด”

“มาดูก็แล้วกันว่าสารวัตรจะทนไปได้อีกสักกี่น้ำ บอกเลย ถ้าไม่ใช่สารวัตรวิธูคนนี้ ผมไม่มีทางปล่อยนางฟ้าในฝันของผมไปให้หรอก”

ดอนแกล้งถอนหายใจแรงๆ ระหว่างมองเรือนร่างที่มีสัดส่วนโค้งเว้างดงามของอาทิตยาที่เดินนำหน้าสองหนุ่มไปข้างหน้าไกลเกินรัศมีที่จะได้ยินเสียงนินทา ผมยาวรวบเป็นมวยหลวมๆ กลางศีรษะ ทิ้งไรผมบางๆ ระตามลำคอระหงเหนือปกเสื้อเชิ้ตสีขาวดูน่าเย้ายวน กับสะโพกผายที่แกว่งซ้ายขวาน่ามอง

                “นางฟ้าในฝันของผม” ดอนกระซิบเสียงเพ้อ “นมใหญ่ สะโพกบึ้ม ขาเรียว ให้ตายสิ ผู้หญิงอายุเลขสามทำไมถึงได้สวยเซ็กซี่แบบนี้นะ”

“เวลาทำงานให้มันจริงจังเท่านี้บ้างเถอะ” มาริชไม่สนใจสรีระของหญิงสาวตรงหน้า แต่ถือวิสาสะเปิดกระเป๋าสตางค์ของเจ้าของกระเป๋า หยิบบัตรประชาชนออกมาดูแล้วมองใบหน้าเล็กที่ระบายด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมและหางตาชี้เหมือนตาแมวคู่นั้นดูสดใสราวกับโลกของเธอมีแต่เรื่องสวยงาม ไม่เคยเจอเรื่องเลวร้ายใดๆ เข้ามาในชีวิตมาก่อน

เขาอ่านชื่อของเธอในใจ “กลางฟ้า อินทรักษ์” และเมื่อคำนวณวันเดือนปีเกิดแล้ว ยายตัวแสบเด็กกว่าเขาสี่ปี

มาริชทวนชื่อกลางฟ้าอยู่ในใจ รู้สึกว่าเป็นชื่อที่เหมาะกับเธอมาก ทำให้นึกถึงท้องฟ้าสดใสไร้ปุยเมฆที่มีแต่ดวงอาทิตย์ ไม่อยากเชื่อว่ายายครูสารพัดพิษที่มีรอยยิ้มใสซื่อ จะเสแสร้งใช้มายาทิ้งกล้องลงพื้นเพื่อแอบแกะเมมโมรีการ์ด กับกระทืบหัวแม่เท้าของเขาซะเล็บแทบหลุด

“โอ๊ะ เอาแล้วสิ” หนุ่มผมเกรียนชะเง้อหน้าเข้ามาดูบัตรประชาชนของกลางฟ้า สลับกับเงยหน้าขึ้นมองผู้กองหนุ่ม “ยิ้มแบบนี้... แสดงว่าหญิงสาวในบัตรนี่จะเสร็จลูกพี่ในอีกสามวันแน่ๆ”

                “ไอ้ดอน ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่พิมพ์ของชาตินะ... ฉันยังไม่อยากตกนรก”

                “ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ ต้องลองถึงจะรู้นะลูกพี่”

มาริชมองหน้าลูกน้องหน้าอ่อนแต่ลามกเกินหน้าเกินตาแล้วแค่นหัวเราะเบาๆ ก่อนวางท่าเอาการเอางานขึ้นมาเดี๋ยวนั้น เขาเก็บกระเป๋าสตางค์กลับเข้าซองพลาสติกแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อสูท

“เดี๋ยวฉันจะเอากระเป๋าสตางค์ไปคืนที่โรงเรียน บ่ายสองเจอกันที่โรงพยาบาล เราจะไปเยี่ยมไอ้นักบิดมอเตอร์ไซค์นั่นสักหน่อย อยากรู้ว่ามันจะไปทำอะไรที่โกดังกลางป่าเมื่อวาน”

 

“นั่งสิ น่าน” วิธูเอ่ยหลังจากที่น่านเข้ามาในห้องทำงานของสารวัตรพร้อมกับปิดประตูตามหลัง แล้วลากเก้าอี้ออกมานั่งตรงหน้า

“ก่อนเข้าประชุม ผอ.ธมกรเรียกฉันไปคุยเรื่องแก” วิธูเกริ่นนำด้วยประโยคนี้ ทำให้น่านน้ำต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาตระหนกระคนลุ้นระทึก

“ครับ”

“เขาบอกว่าแกไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาหลายเดือนแล้ว ล่าสุดก็ไม่มีความคืบหน้าเรื่องการขนยาเสพติดของไอ้พวกเดือนลับสักที แกเข้าใจไหมว่าองค์กรของเราต้องทำงานเพื่อความปลอดภัยของชีวิตของประชาชน รอให้ลูกทีมแก้ตัวซ้ำซากไม่ได้หรอก”

น่านน้ำกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไร

“สั้นๆ เข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน ผอ.บอกว่าให้เวลาแกอีกหกเดือน ถ้ายังไม่สามารถพิสูจน์ผลงานได้ เราจำเป็นต้องให้แกพ้นจากซีซียู”

“หกเดือนหรือครับ” เขาถามเสียงแหบแห้ง

วิธูมองหน้าอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจยาว “บอกตามตรงนะว่าฉันผิดหวังในตัวแกพอสมควร โปรไฟล์ที่แกส่งมาตอนสมัครงานสวยหรูมาก แต่ผลงานตลอดปีครึ่งที่ผ่านมาแทบไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ในฐานะที่เป็นคนรับแกเข้ามา ฉันมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ฉะนั้น ฉันจะให้โอกาสแกเท่าที่ผอ.สั่ง”

ชายหนุ่มกำมืดเป็นหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ “ครับ ผมจะพยายามให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้สารวัตรผิดหวัง”

แม้ว่าจะเห็นใจลูกน้อง แต่คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก วิธูพยักหน้าให้น่านน้ำทีหนึ่งเป็นการตัดบท “จบธุระแล้ว แกไปได้”

ตอนที่น่านน้ำลุกจากเก้าอี้ วิธูก็สังเกตว่าปกเสื้อสูทของลูกน้องเปื่อยยุ่ยจนเกือบขาด ส่วนเสื้อเชิ้ตก็เป็นสีเหลืองหมองเพราะความเก่า “นี่ น่าน ก่อนออกจากบ้านได้ดูกระจกบ้างหรือเปล่า ทำไมเสื้อผ้าแกถึงได้ยับเยินขนาดนี้” 

ชายหนุ่มก้มหน้ามองเสื้อตัวเอง แล้วเงยหน้ามองสารวัตรอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ... คือ โทษทีครับ ผมไม่มีเวลาส่งซ่อม...”

วิธูส่ายหน้า “ฉันว่าสูทแกมันเกินซ่อมได้แล้วด้วยซ้ำ สภาพแบบนี้บริจาคยังไม่มีใครเอาเลย เวลาประชุมกับผอ.ธมกร แกช่วยดูแลตัวเองให้ดีๆ หน่อยสิ เผื่อเขาจะเมตตาแกมากกว่านี้” 

น่านน้ำพึมพำตอบรับเบาๆ แล้วเดินออกจากห้องของสารวัตร สวนกับอาทิตยาที่กำลังเดินเข้าประตูมาพอดี เธอสบตาเขาด้วยสายตาเห็นใจพลางตบไหล่เขาทีหนึ่ง คงเดาได้ว่าสารวัตรวิธูเรียกเขาไปคุยด้วยเรื่องอะไร 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น