7

บทที่ 6


 

บทที่ 6

เย็นวันนั้น วิธูเพิ่งวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะเสร็จและกำลังวิ่งเข้าบ้าน ก็เห็นกลางฟ้าเดินข้ามมาจากบ้านของตัวเองพร้อมหอบถุงใส่อาหารมาด้วย มีบ้างบางวันที่วิธูกลับจากที่ทำงานเร็วหน่อย เขาจะชวนกลางฟ้ามากินอาหารเย็นด้วยกัน แต่วันนี้น้องสาวตัวดีถึงกับซื้อกับข้าวมาหาเขาถึงบ้านทีเดียว

“ว่าไง ยายกลาง มีเรื่องจะมาประจบพี่ชาย” ชายหนุ่มเปิดประตูรั้วหน้าบ้านให้น้องสาว พร้อมกับใช้ผ้าขนหนูซับเหงื่อตามใบหน้า  

“พี่วิธูก็! กลางอยากกินข้าวกับพี่บ้างไม่ได้เหรอ” หญิงสาวแบะปากใส่

“แหม ได้สิ ดีเหมือนกัน พี่กำลังอยากมีเพื่อนนั่งกินข้าวอยู่พอดี” เขาพูดพลางดึงถุงจากมือของเธอแล้วหิ้วเข้าบ้าน

ระหว่างที่วิธูไปอาบน้ำ กลางฟ้าก็แกะอาหารอุ่นในครัวและยกออกมาตั้ง หลังจากนั้นสองพี่น้องต่างสายเลือดนั่งกินอาหารเย็นด้วยกัน วิธูก็สังเกตว่ากลางฟ้าตักข้าวไปพลางเหลือบตาขึ้นมองเขาเป็นระยะ

“เอาล่ะ... มีอะไรก็พูดมาเลยยายกลาง อย่ามาลีลา” วิธูมองเธออย่างรู้ทัน

“พูดอะไรคะ” กลางฟ้าแกล้งตีหน้าใสซื่อ

“พี่รู้ทันเด็กแบบเธอดี มาหาพี่พร้อมของกินแบบนี้ อยากได้อะไรก็พูดมาเร็วๆ กินข้าวเสร็จพี่มีแฟ้มคดีที่ต้องอ่าน ถึงตอนนั้นเธอจะอดพูดนะยายกลาง”

เธอยิ้มหวานให้วิธู ทั้งคู่รู้จักสนิทสนมกันมาเป็นสิบปีจนเธอปิดบังอะไรเขาไม่ได้เลย แล้วสิ่งที่กลางฟ้านึกมาตลอดทั้งคืนก็พรั่งพรูออกมา

“พี่วิธูคะ ถ้าหากกลางไปแอบรู้เรื่องไม่ดีของพวกผู้ร้ายมาแล้วควรทำไงดี”  

วิธูหรี่ตามองกลางฟ้าทันที “เธอไปรู้อะไรมา ยายกลาง”

“เปล่าค่ะ เปล่า” เธอรีบปฏิเสธ “คือ... พี่วิธูก็รู้ว่ากลางกำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาชญากรรมและกำลังหาข้อมูลอยู่ ตอนนี้กลางออกเดินสายไปสัมภาษณ์พวกชาวบ้านน่ะค่ะ ก็เลยคิดเผื่อไว้ว่าถ้าหากเจอข้อมูลวงในอะไรสักอย่างแล้วกลางต้องแจ้งกับตำรวจไหม”

“ถ้ากลางรู้เบาะแสคนร้าย จะต้องบอกตำรวจหรือเล่าให้พี่ฟัง มันเป็นหน้าที่ของพลเมืองดี เธอก็รู้”

ว่าแล้วเชียวว่าเขาจะต้องพูดแบบนี้ แต่เธอก็อยากต่อรองดูสักหน่อย

“และถ้าหากว่ากลางเกิดไปได้ข้อมูลลับที่เป็นข้อมูลวงในจริงๆ กลางเอามาแลกเปลี่ยนด้วยการให้พี่วิธูเล่าเรื่องการทำงานของซีซียูให้ฟังได้ไหมคะ”

“เลิกคิดเรื่องนี้ได้เลย พี่ไม่จำเป็นต้องเล่าการทำงานของซีซียูเป็นการแลกเปลี่ยนกับเธอ เพราะมันผิดจรรยาบรรณตำรวจ และที่สำคัญคือผิดกฎซีซียูอย่างที่พี่เคยอธิบายไปแล้ว” เขามองหน้ากลางฟ้าแล้วสำทับอีกว่า “และเรื่องที่สำคัญกว่านั้น ถ้ากลางรู้ข้อมูลวงในถึงขนาดนั้นล่ะก็ บอกได้เลยว่าเธอกำลังยุ่งกับเรื่องเสี่ยงอันตรายซึ่งมันเป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่ของเธอ ฉะนั้นอย่าให้พี่รู้ว่ากลางกำลังทำอย่างนั้นอยู่ เพราะเธอจะถูกส่งกลับบ้านสถานเดียว ไม่มีการต่อรอง”

เรื่องนี้กลางฟ้ากังวลมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่แอบล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับองค์กรเดือนลับจากพ่อของดอลลี เธอก็สองจิตสองใจตลอดเวลาว่าควรจะเล่าให้วิธูฟังดีไหม ใจหนึ่งก็รู้สึกไม่สบายใจที่กำลังปิดบังเรื่องสำคัญไม่ให้เขารู้ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าหากเล่าทุกอย่างออกไป เธอจะต้องสูญเสียแหล่งข่าวสำคัญที่เป็นข้อมูลการเขียนหนังสือ และวิธูจะต้องสั่งห้ามไม่ให้ไปที่บ้านของดอลลีอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้  

วิธูมองนาฬิกาแล้วลุกขึ้นเก็บจาน แต่ก่อนผละจากโต๊ะไปที่ครัว เขาเดินมายืนข้างกลางฟ้าแล้วจับผมเธอขี้แรงๆ “สารภาพมาซะดีๆ ยายกลาง เธอไปทำเรื่องซนอะไรมาหรือเปล่า”

“เปล่าจริงๆ ค่ะ!” กลางฟ้าร้องเสียงแหลม “แต่สักวันไม่แน่นะถ้าพี่วิธูไม่ยอมเล่าเรื่องการทำงานของซีซียูให้ฟังสักที”

สารวัตรหนุ่มส่ายหน้าเหมือนเหนื่อยใจ

“อยู่เฉยๆ เถอะเราน่ะ ทำไมต้องวุ่นวายหาข้อมูลอะไรแบบนี้ด้วย กลางก็เขียนนิยายรักหวานแหววโรแมนติกไปสิ จะได้ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องพวกนี้”

“กลางเขียนนิยายแบบนั้นเป็นที่ไหนละคะ พี่วิธู”

วิธูหัวเราะเบาๆ ระหว่างยกจานไปที่อ่างล้างจาน “อืม จริงด้วย พี่ลืมไปว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ความหวานประเภทที่ทนดูหนังรักโรแมนติกไม่ได้ แต่ถ้าชวนให้ดูหนังบู๊เลือดสาดล่ะก็ไม่เคยปฏิเสธ”

กลางฟ้าหัวเราะตามไปด้วย รู้ตัวดีว่าที่ชอบเรื่องน่าตื่นเต้นโลดโผนส่วนหนึ่งก็เพื่อชดเชยกับชีวิตที่แสนน่าเบื่อที่ถูกพ่อแม่จำกัดอิสระมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รักตัวกลัวตายเหมือนกัน และรู้ดีว่าเรื่องที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ออกจากสุ่มเสี่ยงเกินไปและอาจเป็นอันตรายกับชีวิต

แต่เธอพยายามปลอบใจว่าหนังสือที่กำลังเขียนอยู่นี้ จะเป็นการตีแผ่องค์กรร้ายให้พวกมันไม่มีที่ยืนในสังคม และสัญญากับตัวเองว่าจะรายงานเรื่องนี้กับวิธูหลังจากได้ข้อมูลเพียงพอสำหรับเขียนหนังสือจบแล้ว พี่ชายแสนดีอย่างวิธูจะต้องห่วงเธอเกินกว่ายอมให้ทำอะไรโลดโผนเช่นนี้ได้ ฉะนั้นช่วงเวลานี้ขอกอบโกยข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อน

และเรื่องที่เธอจะต้องรู้ให้ได้ก็คือ การส่ง ‘ของ’ เข้าไปเก็บในโกดัง

กลางฟ้าจำได้แม่นว่าโกดังแห่งนั้นไปอย่างไร เธอจะหาทางกลับไปที่โกดังนั้นอีกครั้ง เพื่อดูว่า ‘ของ’ ที่ส่งมาถึงโกดังนั้น ใช่ยาเสพติดจริงหรือไม่

 

เช้าวันจันทร์ กลางฟ้าไม่มีชั่วโมงสอนที่โรงเรียน เธอจึงตัดสินใจว่าจะเข้าไปสำรวจโกดังในป่าแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อดูว่า ‘ของ’ มาแล้วหน้าตาเป็นอย่างไร หลังจากชะเง้อมองออกนอกหน้าต่างและเห็นวิธูขับรถออกจากบ้านไปทำงานแล้ว จึงเปิดประตูออกจากบ้านบ้าง เช้าวันนั้นเธอสวมเสื้อยืดสีดำทับด้วยแจ็กเก็ตลายพรางกับกางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้ารองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีดำและรวบผมเป็นหางม้า เมื่อเดินออกมาถึงหน้าปากซอย ก็ขึ้นรถบัสประจำทางที่วิ่งอยู่บนถนนหน้าบ้านแล้วลงรถที่ริมป่าแห่งนั้น

กลางฟ้าเดินมาจนถึงพุ่มไม้แห่งเดิมที่เธอกับเด็กๆ ดูตัวดักแด้ด้วยกัน ถัดจากพุ่มไม้นั้นมีต้นไม้ใหญ่ที่น่าจะสูงพอที่จะมองเห็นโกดังแห่งนั้น เธอเงยหน้ามองต้นไม้ต้นใหญ่เพื่อสำรวจหาต้นที่พอปีนขึ้นได้ หลังจากเลือกได้ต้นหนึ่ง ก็ใช้สองมือโอบรอบลำต้นแล้วยันร่างขึ้น เท้าไต่ไปตามลำต้นหยาบๆ จนในที่สุดก็ขึ้นไปถึงกิ่งแรกที่อยู่เหนือพื้นราวสามเมตรได้สำเร็จ

กิ่งไม้กิ่งนั้นใหญ่พอรับน้ำหนักตัวได้และอยู่สูงกว่าระดับพื้นพอสมควร จากตรงนี้เธอมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจน โดยเฉพาะโกดังกลางป่าแห่งนั้น เธอยิ้มกระหยิ่มใจแล้วขยับกระเป๋าสะพายออกมา หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาทาบกับดวงตา ภาพไกลของโกดังที่ถูกดึงเข้ามาใกล้ ทำให้เธอเห็นทุกอย่างชัดเจน

เธอส่องดูโกดังอยู่พักหนึ่ง ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเริ่มเบื่อ จึงหยิบหมากฝรั่งรสเลมอนออกมาแกะห่อแล้วใส่เข้าปากเคี้ยวแก้เบื่อ ระหว่างที่เคี้ยวหมากฝรั่งรสเปรี้ยวเพลินๆ เธอก็ยกกล้องขึ้นส่องอีกครั้ง

แล้วเธอก็เห็นคนเดินออกมาจากโกดัง

นี่มันไม่ใช่โกดังเปล่าๆ จริงๆ ด้วย กลางฟ้ารีบยกกล้องขึ้นแล้วกดปุ่ม ‘วิดีโอ’ เพื่อบันทึกความเคลื่อนไหว เห็นผู้ชายคนนั้นเดินออกมาสูบบุหรี่ สักพักก็มีอีกคนออกมาสมทบ ทั้งคู่ยืนสนทนาพร้อมสูบบุหรี่ไปด้วย

เวลาผ่านไปอีกสักพักใหญ่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจากอีกฟากหนึ่ง กลางฟ้าเบนกล้องตามไป แล้วเห็นคนประมาณสามสี่คนเดินมาจากในป่า และช่วยกันยกลังขนาดใหญ่ที่ต้องหิ้วกันคนละข้างมาด้วย เมื่อมาถึงแล้วชายสองคนที่ออกมาจากโกดังก็พูดบางอย่าง จากนั้นผู้มาใหม่ก็วางลังลงกับพื้น

“ขึ้นไปทำอะไรบนนั้นน่ะ!”

กลางฟ้าเผลอร้องเบาๆ จนเกือบตกต้นไม้ เมื่อก้มหน้าลงมอง ก็เห็นชายหนุ่มผิวสีแทนแดดและขนตายาวงอนรอบดวงตาคู่สวยกำลังเงยหน้าขึ้นมามองจากใต้ต้นไม้

อีตาผู้กองขี้เก๊กนั่นอีกละ มาขัดจังหวะทุกทีสิน่า!

“ทำไมเป็นคุณอีกแล้วล่ะ” กลางฟ้าร้องถามลงไปอย่างเหลืออด “อย่าบอกว่าคุณแอบตามฉันมานะ”

“เข้าข้างตัวเองเหลือเกินนะ ผมก็แค่สำรวจป่าของผมตามปกติ ว่าแต่คุณน่ะ ปีนขึ้นไปทำอะไรบนนั้น”

กลางฟ้านึกได้ว่าควรตอบอะไรบางอย่างที่ชี้นำเบี่ยงเบนเขาไปจากเรื่องโกดังกลางป่า “เอ้อ... ฉันกำลังปีนขึ้นมาจับด้วง หวังว่าคุณไม่ได้เข้ามาจับฉันโทษฐานทำผิดพรบ.คุ้มครองสัตว์ป่านะ”

มาริชเงยหน้ายิ้มให้เธอ แววตาทะเล้นของเขาบอกว่าไม่ได้สนใจคำตอบสักนิด ได้แต่กวาดตามองเธอทั้งตัวแล้วพูดว่า

“นั่นชุดจับด้วงของคุณเหรอ”

กลางฟ้าเหยียดปากเหมือนเบื่อๆ “ไม่รู้จักเหรอ นี่เรียกชุดพรางย่ะ”

“พรางตาหรือล่อสายตากันแน่ ผมเดินเข้าป่ามา เห็นคุณแต่ไกลเลย” ดวงตาแพรวพราวของเขากวาดมองจากเสื้อตัวนั้น และไล่มาเรื่อยๆ ถึงต้นขา "ผมเห็นอะไรขาวๆ แวบๆ มาตั้งแต่พุ่มไม้ฝั่งโน้นแล้ว ถึงได้เดินตามมาดูตรงนี้ไง"

กลางฟ้ารีบหดขาขึ้นมาทันทีเมื่อนึกได้ว่ากำลังอวดต้นขาเปลือยให้กับตำรวจหนุ่มหน้าตาทะลึ่งทะเล้นชมเต็มตา

“มิน่าล่ะ ผมไม่เคยจับด้วงได้สักตัว เพิ่งรู้ตอนนี้ว่าด้วงชอบขาขาวๆ อวบๆ แบบนี้นี่เอง”

และเขาก็คิดอย่างนี้จริงๆ ต้นขาขาวๆ อวบนิดๆ น่าฟัดให้ฝังจมเขี้ยว กับน่องเพรียวที่มองเห็นแต่ไกล จนเขาต้องเดินเข้ามาดูว่าใครคือเจ้าของขาคู่งามนี้ แล้วต้องประหลาดใจที่เป็นยายครูซันนีสุดแสบ

ตาเจ้าชู้ร้ายกาจทำให้เธอทำตัวไม่ถูก และคิดว่าการด่าคือการตอบโต้ที่เหมาะสุดในสถานการณ์แบบนี้ “สัตว์ป่าก็เหมือนนั่นคนแหละ ย่อมอยากเข้าหาสิ่งสวยงามมากกว่าความป่าเถื่อน”

เขาหัวเราะอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้  

“เอ้า ลงมาสักทีสิ ผมขี้เกียจแหงนคอคุย”

กลางฟ้าเจตนามองเขาด้วยสายตาที่แสดงออกว่ารังเกียจอย่างเปิดเผย “จะไปไหนก็ไปสิ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยกับคุณสักหน่อย”

มาริชกอดอกมองเธอ “คุณปืนขึ้นไปสูงมากเลยนะ รู้ตัวไหมว่าตอนลงมามันจะลำบาก”

“ฉันเก่งกว่าที่คุณคิด และตอนนี้กำลังสนุกกับการจับด้วง ส่วนคุณจะไปจับโจรในป่าที่ไหนก็ไปซะ” แล้วกลางฟ้าก็หันไปส่องกล้องของตัวเองต่อไป

“แน่ใจนะ ถ้าลงไม่ได้คุณต้องรอจนกว่ามีทหารพรานหรือนายพรานแวะมาช่วย และผมก็ไม่แน่ใจด้วยว่าพวกนั้นคิดยังไงกับชุดพรางของคุณ”

“ฉันเอาตัวรอดได้ โอเคนะ” กลางฟ้าไม่แม้แต่ก้มหน้าลงมอง

“งั้นผมกลับก่อนล่ะ”

เธอไม่ตอบ ยังคงจับตามองความเคลื่อนไหวในโกดังอย่างสนอกสนใจ แต่หลังจากเล็งกล้องนิ่งๆ ไปที่ประตูโกดังอยู่นานจนเวลาผ่านไปสิบนาทีแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครออกมาจากโกดังนั่นอีก มิหนำซ้ำก็เริ่มมีมดมาไต่ตามขาแล้วด้วย ในที่สุดกลางฟ้าก็ตัดสินใจจบการสำรวจแต่เพียงเท่านี้ เธอเก็บกล้องใส่ในกระเป๋าแล้วเริ่มปีนลงจากต้นไม้ ยื่นขาเหยียบตามกิ่งไม้กิ่งเดิมที่เคยเหยียบปีนขึ้นมาและค่อยๆ ไต่ลงเรื่อยๆ แต่เมื่อลงมาถึงกิ่งสุดท้าย ถึงได้เห็นว่ากิ่งนั้นอยู่สูงกว่าพื้นราวสามเมตร สูงเกินกว่าจะกระโดดลงบนพื้นได้

“เอาละสิ ทำไมตอนขึ้นมันง่ายกว่านักละ” เธอบ่นเบาๆ

“เห็นไหม ผมบอกแล้ว"   

             หญิงสาวคิดว่าหูฝาดเมื่อได้ยินเสียงพูดมาจากใต้ต้นไม้ เมื่อก้มลงดู ก็เห็นผู้กองมาริชกำลังนอนเอกเขนกอยู่ใต้ร่มไม้ สองมือประสานอยู่ที่ท้ายทอย ขาข้างหนึ่งชันขึ้นมา และอีกข้างพาดกับขาข้างนั้นอย่างสบายอารมณ์

“อ้าว คิดว่าไปนานแล้วซะอีก” กลางฟ้าทำเสียงเบื่อหน่ายกลบเกลื่อนความโล่งอกที่เห็นเขายังอยู่แถวนี้ อย่างน้อยถ้าเธอลงมาไม่ได้จริงๆ มีเขาอยู่กวนประสาทก็ยังดีกว่าไม่มีใครเลย

มาริชยกสองขาขึ้นแล้วเหวี่ยงขาลงบนพื้น พร้อมกับกระโดดลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่วน่าทึ่งราวกับนักเต้นบีบอย เขายกมือตบก้นกางเกงแล้วก้าวออกมายืนใต้ต้นไม้ ใบหน้าขี้เล่นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อเงยหน้าพูดกับเธอว่า  

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณลงจากต้นไม้เองไม่ได้หรอก ก็เลยนอนรออยู่ช่วยคุณนี่ล่ะ”

ไม่ค่อยน่าไว้ใจเลยแฮะ แต่ตอนนี้เธอจำเป็นต้องพึ่งเขาจึงไม่ต่อปากต่อคำกับเขาอีก

“เดี๋ยวผมจะรับคุณข้างล่าง โอเคไหม” มาริชก้าวมายืนใต้ต้นไม้ตรงกับใต้ร่างของเธอ และยกสองแขนขึ้นบนอากาศ

“หา... คุณจะให้ฉันโดดลงไปเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ โดดลงมาเลย ผมจะรับไว้คุณเอง”

“เอาจริงเหรอ คุณรับฉันไหวแน่นะ”  

แววตาของเขาเคร่งขรึมจริงจังเมื่อพูดว่า “แน่สิ ไม่แกล้งคุณหรอก ถ้าพร้อมแล้วก็โยนกระเป๋าลงมาก่อน ผมไม่อยากถูกกระเป๋าฟาดหน้าแหกตอนคุณโดดลงมา”

หญิงสาวดึงสายกระเป๋าออกทางหัวแล้วโยนลงไปให้เขา มาริชรับกระเป๋าไว้ได้แล้วเงยหน้าขึ้นหัวเราะให้เธอ

“ขอบคุณครับ” เขาชูกระเป๋าของเธอแล้วเขย่ากลางอากาศราวกับรับของรางวัล

กลางฟ้ายังคงเกาะอยู่บนกิ่งไม้อย่างงงงวย เธอมองผู้กองหนุ่มหันหลังเดินผละจากต้นไม้ไปแล้วและเดินไปยังที่โล่งกลางแจ้ง เขาก้มหน้ารูดซิปกระเป๋าเปิด จากนั้นก็ล้วงเอากล้องถ่ายรูปของเธอออกมา

“นั่นคุณทำอะไรน่ะ!”

เขาเหลียวหลังขึ้นมามองเธอทีหนึ่งพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ขอดูหน่อยนะว่าคุณถ่ายรูปอะไรไป”

“นี่! ตกลงคุณเป็นตำรวจหรือโจร! วางกล้องฉันลงเดี๋ยวนี้”

กลางฟ้าเขย่าตัวเร่าๆ พร้อมส่งเสียงโวยวายอยู่บนต้นไม้ แต่เขาไม่สนใจ เอาแต่ก้มหน้าก้มตากดปุ่มเปิดกล้องถ่ายรูปของเธอและไล่กดดูรูปอย่างรวดเร็ว

“เอาฉันลงมา!”     

มาริชไม่เดือดร้อนกับเสียงก่นด่ารัวเป็นชุดจากคนที่อยู่บนต้นไม้ เขากดไล่ดูทีละรูป จนกระทั่งมาถึงคลิปวิดีโอคนที่กำลังถูกวิ่งไล่กวด เขาถึงกับต้องยกกล้องขึ้นประชิดใบหน้า 
      

“นี่มันอะไรน่ะ...” เขาพูดโดยที่ยังไม่เงยหน้าจากกล้อง “อย่าบอกนะว่า ไอ้พวกนี้คือ...”

“ถ้าไม่เอาฉันลงมา ฉันจะร้องกรี๊ดให้ลั่นป่าคอยดู ให้ไอ้พวกนั้นมันตามมาไล่ยิงคุณ”

เขาไม่สนใจคำขู่ ถึงกับลงนั่งยองๆ ดูรูปจากกล้องถ่ายรูปจนถึงรูปสุดท้าย กลางฟ้าเองทำได้แค่โวยวายอยู่บนกิ่งไม้ ไม่ได้ทำตามที่ขู่ไว้เพราะนึกถึงเหตุการณ์ถูกไล่ล่าเมื่อคราวก่อน ในที่สุดมาริชก็ปิดกล้องเก็บเข้าที่เดิมแล้วสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่

                “โอเค ดูเสร็จแล้ว คุณลงมาได้” เขาลุกขึ้นจากท่านั่งยองๆ เดินมายืนใต้ต้นไม้ตรงที่เธอเกาะอยู่

“คุณนี่มันทุเรศที่สุด เจ้าเล่ห์หลอกลวง...”

“เพราะคุณทำเจ้าเล่ห์กับผมก่อนไงล่ะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะพลางยื่นสองแขนขึ้นกลางอากาศ “เอาละ เลิกด่าได้แล้ว จะโดดหรือไม่โดด ถ้าไม่โดดผมจะได้กลับ และกลับไปพร้อมกล้องของคุณนี่แหละ”

กลางฟ้าระบายลมหายใจฮึ่มฮั่มด้วยความขัดใจ ผู้กองหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองจากเบื้องล่าง ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่แหงนขึ้นมาพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง

“นี่ กลางฟ้า... สงบศึกกันเถอะ เราหายกันแล้วนะ ผมไม่เอาคืนคุณแน่นอน ลงมาดีๆ เถอะ ผมไม่แกล้งคุณแล้วจริงๆ”

กลางฟ้าเหยียดมุมปากหงุดหงิดขัดใจ แต่ก็ยอมแพ้แต่โดยดี

“งั้นรับดีๆ ล่ะ”

เธอกะตำแหน่งที่จะทิ้งตัวลงมาให้หล่นลงกลางอ้อมแขนของเขาพอดีโดยที่เนื้อตัวสัมผัสกับเขาให้น้อยที่สุด แขนกำยำของข้างยื่นขึ้นมาในท่าพร้อมรอรับร่างของเธอราวกับเจ้าชายรอคอยเจ้าหญิงในเทพนิยาย หญิงสาวกลั้นใจแล้วนับถึงสาม ก่อนทิ้งตัวลงมาในวงแขนของเขา

ร่างเล็กๆ หล่นตุ้บลงมาในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล ลำแขนแข็งแรงโอบรัดหุ่นบอบบางและกระชับแนบกับเรือนร่างแข็งแกร่ง เขายังคงอุ้มเธอไว้อย่างนั้นจนใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างจากกันไม่ถึงครึ่งฟุต

เธอเผลอมองเข้าไปในนัยน์ตาของผู้กองหนุ่ม ให้ตายสิ เวลามองใกล้ๆ แบบนี้ ยิ่งเห็นว่าขนตาของเขาทั้งงอนทั้งยาวยิ่งกว่าขนตาของผู้หญิงเสียอีก ดวงตาสวยเป็นประกายแพรวพราวฝังอยู่ในใบหน้าแข็งแรงบึกบึน ทำให้ความแกร่งของเขาแฝงด้วยเสน่ห์ของเพศชายเต็มตัว นัยน์ตาของเขาบอกได้ว่าเป็นคนที่แสดงความรู้สึกทุกอย่างที่อยู่ในความคิด มันไม่สามารถหลอกลวงใครได้เลย กลางฟ้าถึงกับลืมหายใจเมื่อเห็นบางอย่างในแววตานั้น...
        

แววตาหวานที่กำลังจดจ้องเธอนั้น เป็นประกายหวานชวนให้เคลิบเคลิ้มเหมือนคนกำลังตกหลุมรัก...

ฮ้า ตกหลุมรัก?


ความกระดากอายที่มีอานุภาพทำลายล้างระดับไฟโลกันต์ทำให้เธอถูกทนมองไม่ได้อีกต่อไป

“ปล่อยฉันลงได้แล้ว!...” เธอดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง แต่เขายังคงอุ้มเธออยู่ในวงแขนและจ้องเธอนิ่ง เพียงแต่แววตาของเขาเหมือนเปลี่ยนไป

ฉับพลัน มีอะไรบางอย่างทำให้สีหน้าของมาริชเปลี่ยนไป สายตาแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวังด้วยสัญชาติญาณของตำรวจที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี เขาอุ้มเธอวิ่งไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่อีกต้น วางเธอลงแล้วยกนิ้วปรามกลางฟ้าที่กำลังอ้าปากจะถาม

“เดี๋ยว...” เขากระซิบ “ผมว่า... ผมได้ยินเสียง...”               

กลางฟ้าเบิกตากว้าง นึกถึงเหตุการณ์ยิงลั่นสนั่นป่าเมื่อคราวก่อนแล้วยังกลัวไม่หาย เขาจับร่างเล็กของเธอพิงกับลำต้นแล้วเอาตัวเองบังเธอไว้ แขนสองข้างยันข้างต้นไม้จนคนตัวเล็กหายเข้าไปในแผงอกกว้าง

“คุณได้ยินเสียงอะไร” เธอถาม

“ชู่ว์” เขายกนิ้วขึ้นทาบปากตัวเองแล้วกระซิบถาม “ฟังสิ ได้ยินไหม”

กลางฟ้าเงี่ยหูฟังบ้างแล้วได้ยินเสียงสวบสาบเหมือนคนเดินย่ำบนใบไม้แห้ง เธอเงยหน้าขึ้น ตาเบิกกว้างสบสายตาระแวดระวังของมาริชแล้วขยับตัวเข้าเบียดอ้อมอกของเขาโดยไม่รู้ตัว จมูกของเธอบี้ติดอยู่ที่ผิวตรงหน้าอกโผล่พ้นเสื้อเชิ้ต หญิงสาวทั้งหวาดกลัว ทั้งตื่นเต้น แต่ดันมีอารมณ์ที่ไม่ได้รับเชิญอีกอย่างโผล่มาแจมอย่างผิดจังหวะในยามนี้ เธอไม่เคยซบใบหน้ากับผิวในส่วนอกของชายคนไหนมาก่อน รู้สึกเคลิ้มไปกับความแน่นของมัดกล้าม ผิวสีแทนเซ็กซี่ของเขาเนียนเรียบ และกลิ่นหอมเท่ๆ จากโรลออนสำหรับผู้ชายก็ชวนเร้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย...

มาริชชะโงกหน้าออกจากด้านหลังลำต้นแวบหนึ่ง แล้วรีบหดคอกลับมา

“มีคนกำลังเดินมาทางนี้คนหนึ่ง” เขากระซิบบอก “มันมีปืนด้วย”

อารมณ์วาบหวามหายวับไปทันที หญิงสาวร้องหงิงด้วยความกลัว “ฮือ... มันจะเป็นไอ้พวกนั้นรึเปล่า? แล้วเราจะทำไงดี...”

                เขากลอกตาไปมาเหมือนใช้ความคิด เมื่อนึกแผนบางอย่างออกได้ เขาก็ก้มหน้าลงกระซิบบอกที่ข้างหู

“กลางฟ้า ผมขอให้คุณอโหสิในการกระทำของผม หากสิ่งที่ผมทำเป็นการล่วงเกินคุณ ขอให้เราอย่าได้จองเวรต่อกันและกันเลย...”

“คุณทำอะไรน่ะ!” เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นเขาเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองอดได้เลยใช่ไหม

“ทุกอย่างที่ผมทำ ไม่ได้มีเจตนาใดๆ แอบแฝง...”

เสียงสวบสาบดังใกล้เข้ามา กลางฟ้ายกมือขึ้นปิดปากแน่นเพราะกลัวว่าเสียงหงิงด้วยความกลัวจะเล็ดรอดออกปากจนคนร้ายถือปืนนั่นได้ยิน

“กรุณาอย่าดิ้น อย่าร้อง อยู่เฉยๆ ไม่ว่าผมทำอะไรก็ตาม อย่าขัดขืน”

“คุณจะ...”

ใบหน้าของเขาก็โน้มลงมาจนสรรพสิ่งทุกอย่างรอบตัวดำมืด ฉับพลันก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาประกบลงบนกลีบปากนุ่มนวล ฝ่ามือกว้างโอบกระชับรอบร่างบอบบางของเธอและรั้งเข้ามาประชิดจนส้นเท้าของเธอลอยขึ้นมาจากพื้น

ทั้งๆ ที่กำลังตกตะลึงพรึงเพริด แต่มนตร์ขลังบางอย่างร่ายผ่านริมฝีปากคู่นั้นจนเธอกระดิกตัวไม่ได้ ริมฝีปากบึกบึนขยับครอบรอบปากนิ่มนวลอย่างชำนิชำนาญ ฝ่ามือใหญ่ขยับรัดรอบเอวกิ่วจนร่างบางประกบแนบติดกับลำตัวที่อุดมด้วยมัดกล้าม และกอดเรือนร่างอ้อนแอ้นในอ้อมแขนจนจมหายเข้าไปกับแผ่นลำตัวกว้าง

ฝ่ามือน้อยๆ ที่ทั้งทุบทั้งผลักร่างของเขาออก แต่แขนของเขายิ่งกอดรัดเธอแน่น เสียงอู้อี้ของเธอระบายออกมาพร้อมลมหายใจกลิ่นมะนาวจากหมากฝรั่ง ร่ายเวทย์มนตร์ใส่ผู้กองหนุ่มโดยไม่รู้ตัว

                “นั่นใครทำอะไรอยู่ตรงนั้นวะ!”

เสียงห้าวของใครบางคนร้องดังแหวกอากาศเข้ามา ปลุกทั้งคู่ให้หลุดจากอารมณ์วาบหวามรัญจวน ชายหนุ่มชะงักและหยุดระดมจูบเธอทันที กลางฟ้าบิดใบหน้าให้พ้นจากร่างกำยำที่เบียดแนบจนหน้าฝังกับแผ่นอก แล้วหันหน้าไปทางต้นเสียง เห็นเป็นชายฉกรรจ์ลำตัวหนาและผิวดำคล้ำคนหนึ่งหยุดยืนอยู่ข้างๆ มือข้างหนึ่งถือปืนไรเฟิลกระบอกยาว ดวงตาดุๆ กำลังจ้องมาที่สองหนุ่มสาว

มาริชปล่อยมือจากกลางฟ้าทันทีแล้วรีบขยับก้าวออกมาเพื่อกำบังร่างของเธอ

“คือ... คือเราสองคน...”

พอเขาเห็นใบหน้าแดงก่ำและผมเผ้ายุ่งเหยิงของผู้กอง สีหน้าของชายคนนั้นบิดด้วยความรังเกียจทันที

“ไอ้หนุ่ม เอ็งนี่กลัดมันไม่เลือกที่เลยนี่หว่า! หาม่านรูดแถวนี้ไม่เจอหรือไง เดี๋ยวบอกทางให้”

                “ขะ...ขอโทษครับพี่” มาริชระล่ำระลักพลางยกมือติดกระดุมเสื้อไปด้วย “คือ...ผมเห็นป่ามันเงียบดีก็เลย... ”

                “ไปไกลๆ เลย แถวนี้ไม่ใช่ที่พลอดรักโว้ย ตะกี้กูคิดว่าเป็นกวาง เกือบยิงแม่งตายห่าทั้งคู่ไปแล้ว”

มาริชเอ่ยปากขอโทษขอโพยแล้วรีบฉุดมือกลางฟ้าเดินไปจากใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว เขาไม่พูดอะไรสักคำระหว่างกุมมือของเธอแน่นอยู่ในฝ่ามือใหญ่ เธอเหลือบเห็นมืออีกข้างของเขาแตะปืนที่เอวไปด้วย

ในที่สุดทั้งคู่ก็เดินออกมาถึงปากทางเข้าป่าอย่างเรียบร้อยปลอดภัย โดยที่ชายคนนั้นไม่ได้ติดใจสงสัยแต่อย่างใด เมื่อออกมายืนอยู่ที่กลางพื้นหญ้าโล่งๆ เขาก็หันมาถอนหายใจกับเธอ

“เฮ้อ ค่อยยังชั่วที่เป็นนายพราน คิดว่าจะเป็น...”

ยังไม่ทันจบประโยค เขาก็รู้สึกบางอย่างพุ่งเปรี้ยงเข้าใส่ตาข้างซ้ายจนเห็นดาว ชายหนุ่มถึงกับเซไปสองก้าว ความเจ็บปวดแล่นปราดจนต้องร้องอ้าก เมื่อลืมตาขึ้นได้ เขาก็เห็นสาวร่างเล็กเงื้อง่าหมัดค้างอยู่กลางอากาศ เตรียมจะซัดเขาอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มยกมือขึ้นรับหมัดได้ทัน

“โอ๊ย อะไรเนี่ย!” เขากุมตาข้างที่โดนชกระหว่างผลักหมัดน้อยๆ ออกไปให้พ้น “นี่หรือสิ่งตอบแทนที่ผมช่วยชีวิตคุณน่ะ!”

                “นายถือโอกาสขโมยจูบฉัน! ไอ้คนโรคจิต!” กลางฟ้าร้องลั่น

“โห นั่นตะกี้ผมช่วยคุณนะ ชกเข้าเต็มตาเลย ผู้หญิงอะไร...”

กลางฟ้าใช้หลังมือเช็ดปากแรงๆ เจตนาแสดงอาการรังเกียจให้เขาเห็นชัดๆ “แล้วใครให้จูบจริงล่ะ! แกล้งทำเป็นจูบก็ได้ ฮึ่ม! สมควรโดนอีกข้างด้วยซ้ำ!”

“แต่มันก็ทำให้เรารอดมาได้ไม่ใช่เรอะ” เขากุมตาข้างที่ถูกชก ร้องถามเสียงโกรธจัด

“ก็ฉันรับไม่ได้นี่นา!”

“รับไม่ได้แต่ปล่อยให้ยืนจูบอยู่ตั้งนานเนอะ” เขาสบถดังๆ โดยที่ยังกุมตาข้างนั้นไว้ “โอย ให้ตายสิ ตัวเล็กแค่นี้ ทำไมต่อยเจ็บชิบ...”

กลางฟ้าไม่อยากยอมรับเลยว่าเผลอเคลิ้มไปกับจูบของเขาอยู่หลายวินาที แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นี่มันจูบแรกของเธอ ทำไมถึงต้องเสียให้กับผู้ชายหยาบคายคนนี้ และในบรรยากาศเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่หาความโรแมนติกไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว     

“ฉันจะกลับ เอากระเป๋าคืนมา” เธอเอื้อมมือไปกระชากกระเป๋าจากไหล่ของเขา “แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นคุณอีก เจอคุณทีไร จะต้องมีแต่ความซวยมาเยือนทุกที”

                “เฮอะ ตัวคุณเองนั่นแหละเอาตัววิ่งเข้าหาความซวยเองแท้ๆ แล้วมาโทษคนอื่น อยู่ดีไม่ว่า ไปปีนต้นไม้ขึ้นไปถ่ายรูปโกดังนั่นทำไม” แล้วเขาก็หรี่ตามองเธอเหมือนจับผิด “แสดงว่าคุณต้องรู้ว่ามีอะไรบางอย่างในนั้น นี่สองครั้งแล้วนะที่คุณมาถูกที่ถูกเวลาพอดี คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ครูซันนี”

“ผีมาบอกในฝัน อยากให้มาหาบ้างไหมล่ะ”

“ผมจะรายงานสารวัตรว่ากล้องถ่ายรูปของคุณเก็บภาพน่าสงสัยบางอย่างได้”

เธอหันมาจ้องเขาด้วยสายตาดุเดือดจนแทบมีประกายไฟแลบ “ฉันจะโทร.ไปฟ้องพี่วิธูเหมือนกัน จะรายงานเรื่องที่คุณทำกับฉันวันนี้ และสั่งให้เขาลงโทษคุณ เอาให้โดนพักราชการไปเลย”

                “อุ๊ย กลัวจังเลย” เขาแกล้งพูดเสียงเล็กเสียงน้อยฟังดูกวนโทสะ ท่อนขายาวของเขาก้าวตามขาเพรียวขาวที่กำลังเดินจ้ำพรวดถี่ๆ ด้วยความโมโห “ผมบอกให้ไหมว่าพี่วิธูของคุณจะทำยังไง เขาก็จะแค่ตักเตือนผมเท่านั้น เพราะเขาจะไม่โยนตำรวจมือดีอย่างผมทิ้งเพียงเพราะทำเรื่องห่ามๆ แค่นี้หรอก”

“อย่างนี้ไม่เรียกห่าม ต้องเรียกว่าหื่น และพี่วิธูก็ไม่ใช่คนที่ทนเรื่องแบบนี้ได้ด้วย เขาเป็นสุภาพบุรุษมากกว่าคุณเยอะ!”

“ได้เลย ผมจะรอดูว่าสารวัตรจะจัดการผมยังไง แล้วอย่าลืมบรรยายให้เขาฟังอย่างละเอียดด้วยนะว่า คุณถูกจูบอย่างดูดดื่มขนาดไหน เดี๋ยวพี่เขาไม่เห็นภาพแล้วจะลงโทษผมไม่ถนัด”

เสียงรถประจำทางคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กลางฟ้ายืนจดจ้องผู้กองหนุ่มจอมยียวนที่กำลังส่งยิ้มยั่วประสาทให้เธอ สายตาร้อนแรงของเธอจ้องแผดเผาจนเขาแทบแหลกเป็นจุณ พอรถแล่นมาจอดสนิท เธอก็ก้าวขึ้นไปโดยไม่เสียเวลาพูดกับเขาอีกแม้แต่คำเดียว

                หญิงสาวเดินโซเซไปตามทางเดินกลางรถพร้อมกับที่รถประจำทางที่เริ่มเคลื่อนตัวออกจากริมถนน เธอเจอที่นั่งว่างริมหน้าต่างแล้วขยับเข้าไปนั่ง หน้าผากอิงกับหน้าต่างรถอย่างเหน็ดเหนื่อย วันนี้มีแต่เรื่องตื่นเต้นจนเธอรู้สึกเรี่ยวแรงถูกดูดหายไปจนหมด ตั้งแต่โผล่มาที่ป่าแล้ว ยังไม่มีเรื่องให้หยุดระทึกใจเลย

โดยเฉพาะจูบร้อนแรงของเขา

เธอพยายามไม่คิดถึงเหตุการณ์ใต้ต้นไม้เมื่อสักครู่ ไอ้ตำรวจบ้า เขาทำให้จูบแรกของเธอต้องหม่นหมองมีมลทินไปซะแล้ว เธอเคยคิดฝันมาตลอดว่า จูบครั้งแรกของเธอจะต้องเป็นของชายหนุ่มหล่อมาดแมนที่มีความเป็นชายเต็มเปี่ยม ท่าทางดุดันแต่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดึงร่างบางของเธอไปประกบกับริมฝีปากร้อนผ่าว จูบเธอด้วยความรู้สึกเร่าร้อนล้ำลึก...

เฮ้ย! ทำไมมันถึงได้คุ้นๆ ล่ะ

กลางฟ้ารีบสะบัดหน้าไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัว มือเค้นเป็นหมัดแน่นด้วยความแค้น อีตาบ้ามาริช นอกจากรุกล้ำคว้าจูบแรกจากเธอไปแล้ว เขายังรุกล้ำเข้ามาในจินตนาการเธออีกด้วย

เสียงบีบแตรเป็นจังหวะสั้นๆ ดังอยู่นอกรถเรียกร้องให้เธอต้องหันไปมอง ด้านนอกหน้าต่างนั่นเป็นชายหนุ่มสวมหมวกกันน็อกสีดำปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นแต่ริมฝีปาก กำลังควบอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์สีแดงคันเท่อยู่ข้างรถประจำทางคันที่เธอนั่ง เขาขี่ฉวัดเฉวียนเคียงไปกับรถอยู่พักหนึ่ง แล้วในที่สุด มือข้างหนึ่งของเขาก็ดันกระจกกันลมที่ปิดใบหน้าขึ้น

ดวงตาคู่สวยที่ปูดไปแล้วข้างหนึ่งมองมาที่เธอ รอยยิ้มกว้างระบายเต็มใบหน้าหล่อคมคาย ข้อมือแข็งแรงบิดที่คันเร่ง และก่อนที่จะบึ่งรถแซงรถบัสไป นิ้วสามนิ้วของชายหนุ่มก็ทาบที่ริมฝีปาก จากนั้นก็ผายมือออกเป็นท่าส่งจูบให้เธอ

แล้วเขาก็บิดรถเสียงดังกระหึ่ม แซงนำรถบัสคันนั้นไปจนลับตา

“ไอ้ตำรวจบ้า...” เธอกัดฟันพึมพำด้วยความแค้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น