18

ตอนที่ 18


 

บราลียืนพิงประตูห้องหนังสือโดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่เป็นเวลานาน ถึงแม้เมื่อครู่จะบอกอมรไปว่า จะกลับไปสำนักงานเพื่อทำงานที่ค้างเอาไว้ต่อจากเมื่อเช้า แต่เมื่อออกมาพ้นจากสายตาของทั้งสามีและคนรักเก่าแล้ว เธอก็กลับลังเลไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรก่อนดี

การพบกวินทุกครั้งเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจของเธอปั่นป่วน สัปดาห์ก่อนเธอคิดเสมอว่าหากอมรกลับมาแล้ว ทุกอย่างมันจะบรรเทาเบาบางลง เพราะเธอคงมีสิ่งยึดเหนี่ยว ทำให้ไม่หวั่นไหวต่อความรักที่มีต่อกวินซึ่งยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในหัวใจได้ แต่เหตุการณ์วันนี้มันได้พิสูจน์แล้วว่า มันไม่ใกล้เคียงกับคำว่าบรรเทาเบาบางลงเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม...การเผชิญหน้ากันระหว่างคนรักเก่ากับสามีของเธอกลับทำให้หัวใจของเธอยิ่งว้าวุ่นมากขึ้นไปอีก

“ลี”

เสียงเรียกของผู้เป็นแม่ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง บราลีรีบหันไปมองแล้วเผยยิ้มให้

“คะ…คุณแม่”

“วินอยู่ในห้องกับคุณอมรหรือ” ลีลาวดีถามเสียงเรียบขณะหลิ่วตามองประตูห้องหนังสืออย่างระแวง

บราลีเพียงผงกศีรษะ มองสีหน้าเอาจริงเอาจังของมารดาแล้วก็รู้สึกได้เลยว่าท่านไม่ค่อยพอใจนักกับการมาถึงของกวินในวันนี้ แม้อมรจะอยู่ที่นี่ด้วยก็ตาม

แต่ท่านก็ขัดขืนอะไรไม่ได้ เพราะมันเป็นความต้องการของลูกเขยของท่านเองที่ต้องการจะพบกวิน

“หวังว่าจะไม่ทำอะไรให้เราต้องเดือดร้อนนะ”

“คงไม่หรอกค่ะ แม่ทำอย่างกับไม่รู้นิสัยของวิน”

มารดาหันขวับมาจ้องเธอ สายตาคู่นั้นทำเอาบราลีรู้สึกผิดที่เผลอหลุดปากย้อนท่านออกไปอย่างไม่ควรแบบนั้น

“ทำไมแม่จะไม่รู้” ลีลาวดีเอ่ยเสียงแข็ง สายตากร้าวจ้องเธอเขม็งจนต้องก้มหน้าหลบ

“แม่รู้จักวินมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ แล้ว และแม่ก็รู้นิสัยของลีมาตั้งแต่เกิดด้วยเหมือนกัน ลีเป็นคนรับผิดชอบในทุกๆ เรื่องมาแต่ไหนแต่ไร มันเป็นสิ่งที่ทำให้แม่ภูมิใจมาตลอด กับครั้งนี้ก็เหมือนกัน ลีคงจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง...ใช่ไหม”

การย้ำคำลงท้ายด้วยเสียงหนักแน่นนั้น คล้ายจะเป็นการออกคำสั่งเสียมากกว่าจะถามความเห็นจากเธอจริงๆ

หญิงสาวนิ่งงันไปสักพัก ก่อนจะถอนใจ พยักหน้าแล้วกล่าวตอบสั้นๆ อย่างไม่อยากจะพูดอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจของมารดาอีก แม้มันจะสะเทือนจิตใจของตัวเองมากกว่าก็ตาม

“ค่ะ”

“ดี” มารดาเอ่ยคำชมเชยสั้นๆ เช่นกัน คล้ายเป็นการตัดบทการสนทนาอยู่ในที และมันก็นำพามาซึ่งบรรยากาศเงียบงันอันน่าอึดอัดระหว่างกัน

แม้ในเวลานี้บราลีจะอยากปลีกตัวออกไปมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจขยับเขยื้อนไปจากประตูไม้บานใหญ่ได้ เพราะรอบกายคล้ายกับจะมีรัศมีแห่งความขุ่นเคืองของมารดาแผ่กระจายอยู่เต็มไปหมด ทำให้เธอเกรงว่าท่านอาจพังประตูเข้าไปภายในห้องหนังสือได้

“นี่จะกลับไปทำงานหรือ” ลีลาวดีเอ่ยขึ้นในที่สุด

“ค่ะ แต่คิดว่าจะไปสั่งอาหารกลางวันในครัวเสียก่อน เพราะคุณอมรชวนวินทานอาหารด้วยกันน่ะค่ะ” บราลีตอบเสียยืดยาว ก่อนจะเอ่ยชวนมารดาตามปรกติวิสัย “คุณแม่...เอ่อ...จะทานด้วยกันไหมคะ”

“ไม่ล่ะ” ลีลาวดีโบกมือขึงขัง

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างไม่แปลกใจนัก

“ไปส่งแม่ที่ห้องพระหน่อยสิ”

“ค่ะ” บราลีรับคำ ก่อนจะเข้าประคองแขนผู้เป็นมารดาแล้วพาเดินไปตามทางเดินซึ่งปูลาดด้วยหินอ่อนจากอิตาลี ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรองเท้ายางสำหรับใส่ในบ้านไปตามทาง

บราลีไปส่งมารดาที่ห้องพระ ซึ่งเป็นห้องที่มีขนาดกว้างขวางทีเดียว นอกจากโต๊ะหมู่บูชาทรงพีระมิดขนาดใหญ่ทำจากไม้สักทองสำหรับจัดวางพระพุทธรูปและพระเครื่องมูลค่าสูงหลายองค์แล้ว มุมหนึ่งของห้องก็ยังมีพื้นที่ว่างพอสำหรับวางชุดโซฟาหรูหราเอาไว้เป็นมุมนั่งเล่นอ่านหนังสือธรรมะที่มีอยู่เต็มชั้นหนังสือเล็กๆ ได้อีกด้วย

ห้องนี้เป็นสถานที่ซึ่งลีลาวดีชอบมาเก็บตัวอยู่เป็นวันๆ ไม่สวดมนต์ก็อ่านหนังสือธรรมะ หรือบางทีก็นั่งทำสมาธิสงบจิตสงบใจ

มาถึงตอนนี้ บราลีก็อดนึกในใจไม่ได้ว่า สิ่งที่มารดาทำทั้งหมดภายในห้องนี้นั้น มันไม่ได้ช่วยลดทิฐิเกี่ยวกับเรื่องกวินลงไปได้เลยหรืออย่างไรกัน

“เดี๋ยวหนูให้คนชงชาขึ้นมาให้นะคะ”

ผู้เป็นแม่พยักหน้ารับ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพับเพียบหน้าพระ บราลีจึงค่อยๆ เดินถอยออกมา แต่ยังไม่ทันพ้นประตูห้อง มารดาก็เอ่ยเตือนออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อย่าลืมนะลูก หนูมีสามีแล้ว แล้วคุณอมรก็ดีกับเรามาก อย่าทำให้เขากับแม่ผิดหวัง”

แผ่นหลังของบราลีแข็งทื่อ นั่นคงเป็นเหตุผลที่ท่านกังวนและไม่อาจวางเฉยต่อการมาถึงกวินได้ เธอกระแอมเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ก่อนจะตอบออกไปสั้นๆ ว่า…

“ค่ะ”

ลีลาวดียิ้มอย่างพึงใจราวกับว่าคำตอบของเธอนั้นเป็นคำสัตย์สาบานที่ได้ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งควรเป็นเครื่องการันตีได้ว่าเธอจะไม่มีวันทำผิดคำสาบานนี้ได้เลย

หญิงสาวถอนใจ รีบก้าวออกจากห้องแล้วปิดประตู ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่งพ้นจากแรงกดอากาศอันมหาศาล และต้องใช้เวลาอยู่อีกครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะมีแรงผละจากประตูบานนั้นมาได้

บราลีเดินลิ่วๆ ไปที่ครัว สั่งให้คนรับใช้ชงชานำไปให้มารดาแล้วหันไปสั่งกับข้าวสามสี่อย่างกับแม่ครัว จากนั้นก็รีบออกจากบ้าน นั่งรถกอล์ฟกลับไปที่สำนักงานโดยไม่พยายามเหลียวหลังกลับไปมองคฤหาสน์หลังงามเลยแม้แต่วินาทีเดียว

ภายในสำนักงานของนิตยสารชื่อก้อง เอกชัยยังคงนั่งเท้าคางมองเอกสารตรงหน้า หลังจากนั่งทำอย่างนั้นมาเป็นชั่วโมงแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขึ้งเคียด คิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่พึงใจอะไรสักอย่าง ก่อนจะทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วยกสองมือขึ้นกุมขมับอย่างคิดไม่ตก

“เป็นอะไรไปเจ๊ เมนส์ไม่มาเหรอ”

เสียงกวนประสาทนั้นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ชายหนุ่มตวัดสายตาดุดันขึ้นมองคนที่เดินมายืนเท้าแขนกับโต๊ะของเขา

“ถ้ากูมีเมนส์ กูจะเอาผ้าอนามัยยัดปากมึง”

คำขู่นั้นทำเอาเจ้าหนุ่มหน้าจืนถึงกับสะดุ้งเฮือก ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วเผยยิ้มเจื่อนๆ ให้ “โหย...ท่าจะอารมณ์ไม่ดีจริงแฮะ”

“เออ...มีอะไรถึงได้มาเสนอหน้าตรงนี้”

“บะ...บก.ให้มาเอาต้นฉบับครับ”

“อยู่นั่นไง” เอกชัยพยักพเยิดหน้าไปยังเอกสารที่นอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะ

ชายหนุ่มส่งยิ้มแหยให้อีกครั้งแล้วหันจะหยิบเอกสารนั้นขึ้นมา แต่กลับส่งเสียงแปลกใจแล้วหันมาถามเขาด้วยสีหน้างุนงง “อ้าว นี่มันรูปงานหมั้นลับๆ ของส้มโอกับกาโม่นี่ครับ”

“ก็ใช่นะสิยะ”

“เอ่อ...แล้วรูปคุณบราลีกอดกับผู้ชายที่เจ๊ให้ผมดูเมื่อวันก่อนล่ะครับ”

“เปลี่ยนใจแล้ว เรื่องนี้มาแรงกว่า อีส้มโอมันปากเสีย มาเล่นฉันในอินสตราแกรม ฉันเลยจะเล่นมันคืน มีอะไรไหม” คอลัมนิสต์หนุ่มโพล่งออกไปอย่างหัวเสีย

“แต่ บก.อนุมัติเรื่องคุณบราลีแล้วนี่ครับ”

“เอ๊ะ” เอกชัยแหวพร้อมกับลุกขึ้นทุบโต๊ะดังเปรี้ยง “กูบอกว่าจะเล่นอีส้มโอ มึงมีปัญหาเหรอ”

“มะ...ไม่มีครับเจ๊” ชายหนุ่มหงอขึ้นมาทันที เพราะคอลัมนิสต์ระดับเอกชัยนั้น แม้แต่เจ้าของนิตยสารเองก็ยังต้องเกรงใจ เนื่องจากคอลัมน์ของเขาสามารถสร้างยอดขายให้พุ่งขึ้นได้อย่างมากมาย จึงรีบกอดต้นฉบับใหม่เอาไว้แน่น จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดหายลับไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาพนักงานคนอื่นๆ ที่พากันจ้องมองมาเป็นตาเดียว

“มองหาอะไร ไม่มีงานทำกันหรือไง” เอกชัยถลึงตาไปรอบตัว พาให้เหล่าพนักงานคนอื่นๆ ต่างก้มหน้าก้มตาหลบกันเป็นพัลวัน

“เดี๊ยะ แม่ไล่ออกให้ไปนั่งจ้องหน้าแม่กันที่บ้านเสียเลยนี่”

พูดจบก็มองไปรอบตัวอีกครั้ง เมื่อเห็นคนอื่นก้มหน้าก้มตาทำงานกันต่อ ก็ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อย่างกระแทกกระทั้น

ยามนี้หัวใจของเขารู้สึกรุ่มร้อนไปด้วยความแค้นราวกับอยู่ในกองเพลิง เขาไม่เคยถูกใครหักหน้าแบบนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่มีหลักฐานที่จะเล่นงานบราลีได้ แถมยังเกือบจะสามารถเขมือบนักเขียนหนุ่มมากเสน่ห์คนนั้นได้อีกด้วยแท้ๆ แต่กลับถูกตลบหลังให้ต้องสูญสิ้นทุกอย่าง หนำซ้ำยังต้องมาเสียหน้า เปลี่ยนต้นฉบับส่งกองบรรณาธิการกระทันหันทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อนอีกต่างหาก

เขาจะต้องแก้แค้น...แต่จะทำอย่างไรล่ะ ที่จะไม่ทำให้อาชีพการงานของตัวเองต้องพบจุดจบเหมือนอย่างที่นายเปลวเทียนนั้นขู่เอาไว้ เพราะถ้าคลิปเสียงเขาหลุดออกไป รับรองได้ว่าจะไม่มีใครมาเชื่อถือสิ่งที่เขาเขียนอีกแน่ หนำซ้ำยังอาจถูกฟ้องกลับ ถูกดำเนินคดี ขึ้นโรงขึ้นศาลด้วยก็ได้

เอกชัยยกสองมือนวดขมับ หัวสมองที่คุ้นชินกับความคิดชั่วร้ายเริ่มทำงานอย่างหนักหน่วง ดวงตากลอกไปมาเพื่อมองหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะที่พอจะช่วยบรรเทาความคลั่งแค้นในใจของเขาให้ลดลงได้ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า เขายังมีของดีอยู่ในลิ้นชัก

คอลัมนิสต์หนุ่มแสยะยิ้มก่อนจะดึงลิ้นชักออก แล้วหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดซองแล้วดึงเอาสิ่งของภายในออกมา

ภาพของนักเขียนหนุ่มเปลือยกายกำลังประคองกอดอดีตดาราสาวที่เนื้อตัวเปียกปอนจากทางด้านหลังกลางสระน้ำธรรมชาติปรากฏต่อสายตาของเขา พร้อมกับต้นฉบับคอลัมน์สาวไส้ไฮโซที่เขาพิมพ์เอาไว้เพื่อส่งบรรณาธิการในวันนี้

ของทั้งหมดนี้มันควรจะไปถึงมือบรรณาธิการ ถูกจับยัดเข้าแท่นพิมพ์ และถูกเผยแพร่ไปตามร้านหนังสือต่างๆ ทั่วประเทศ ถ้าพ่อหนุ่มน่ากินในภาพไม่ตลบหลังเขาเสียก่อน เขาแทบจะลืมไปเลยว่ายังหลงเหลือภาพที่จะใช้เล่นงานบราลีอยู่ หลังจากหมกมุ่นอยู่กับความผิดหวังและต้องปั่นต้นฉบับใหม่ขึ้นมาแทนที่มัน

เอกชัยมองภาพอันวาบหวิวอีกครั้งก่อนจะแสยะยิ้ม จริงอยู่ที่ว่าเขาไม่สามารถนำมันไปใช้เผยแพร่ต่อสาธารณชนได้อีกแล้ว ตามคำขู่ของชายหนุ่มในภาพ แต่เขาก็คิดว่า มีวิธีจะแก้เผ็ดชายหนุ่มคนนั้นอย่างสาสมและแยบยลโดยไม่พัวพันมาถึงตัวเขาได้

คอลัมนิสต์หนุ่มหัวเราะในลำคอด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ทำเอาพวกพนักงานที่รายล้อมอยู่ต้องแอบชะโงกมามอง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรโจ่งแจ้งนัก ด้วยรู้ฤทธิ์เดชของเขาเป็นอย่างดี

เอกชัยแสยะยิ้ม ก่อนจะหยิบปากกาและกระดาษโน๊ตมาเขียนอะไรบางอย่างยุกยิกลงไป จากนั้นก็ใช้คลิปหนีบมันรวมกับภาพนั้นแล้วใส่มันกลับคืนลงไปในซอง ปิดผนึกให้เรียบร้อย ใช้ปากกาด้ามเดิมเขียนชื่อกับที่อยู่ของใครบางคนลงบนหน้าซองนั้นอย่างอารมณ์ดี

“คราวนี้แหละ แกเสร็จฉันแน่...ไอ้เปลวเทียน อีนังบราลี”

บราลีรู้สึกสับสนกระวนกระวายแปลกๆ เพราะตั้งแต่มาถึงสำนักงาน เธอก็แทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเอาเสียเลย ได้แต่ปล่อยให้สมองคิดกังวนไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในห้องหนังสือหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เธอก็รู้ดีว่ากวินจะไม่พูดอะไรให้เธอต้องเดือดร้อนแน่ๆ แต่ดูเหมือนความกังวลของมารดาเมื่อเช้านี้จะถูกส่งผ่านมาทางบนสนทนาจนเขย่าประสาทของเธอให้ว้าวุ่นไปหมดแล้วตอนนี้

จนกระทั่งได้เวลาที่จะต้องกลับไปที่บ้านเพื่อดูแลความเรียบร้อยของอาหารกลางวันให้สามีแล้ว เธอจึงรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะแล้วออกจากสำนักงานสู่บ้านพักทันที

เมื่อเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร บราลีพบว่าแม่บ้านสาวใหญ่กำลังยืนคุมลูกน้องให้จัดโต๊ะกันอย่างขมักเขม้น ทุกอย่างเกือบจะเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงนำอาหารมาจัดวางเมื่อสมาชิกมากันครบแล้วเท่านั้น

บราลีจึงออกจากห้องอาหารแล้วเดินไปยังห้องหนังสือ ทว่าเมื่อถึงจุดหมาย หญิงสาวกลับยืนนิ่งอยู่หน้าประตูอย่างลังเล มือที่ยกขึ้นหมายจะเคาะประตูกลับชะงักค้างอยู่นาน

การทำใจพบกวินในยามที่เธอเป็นภรรยาของคนอื่นช่างยากลำบากเหลือเกิน ยิ่งสามีของเธออยู่ในห้องนั้นด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเป็นการยากลำบากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

ทว่าในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้า สูดลมหายใจลึกแล้วเคาะประตูได้ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปแล้วส่งยิ้มให้สามีอย่างพยายามทำให้ทุกอย่างดูเหมือนเป็นปรกติที่สุด

“อาหารพร้อมแล้วค่ะ” บราลีบอกเสียงเรียบ

แต่เมื่อสายตาเหลือบไปทางกวินอย่างเผลอตัว เธอก็ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นสายตาของเขาจับจ้องมาที่เธอ หญิงสาวเม้มปากแน่น หลุบสายตาลงมองพรมที่ปลายเท้าด้วยความรู้สึกประหม่า

“อ้าว ได้เวลาอาหารกลางวันแล้วหรือ แหมคุยกับคุณวินนี่สนุกจนลืมเวลาเลยนะ” อมรเอ่ยพร้อมกับหัวเราะไปด้วยอย่างอารมณ์ดี

“คุยอะไรกันคะ” เธอถาม พยายามไม่มองหน้ากวิน หัวใจเต้นโครมครามด้วยเกรงว่าจะเป็นเรื่องที่อาจพัวพันมาถึงเธอหรือเปล่า

แล้วก็เป็นจริงอย่างที่หวั่น

“เรื่องความรักครั้งแรกครับ” นักเขียนหนุ่มตอบแทนพร้อมส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายมาถึงเธอจนบราลีถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นรอยยิ้มลุ่มลึกของเขา

คำตอบและท่าทางของเขาทำให้บราลีถึงกับสะท้านจนต้องรีบเบือนสายตาหนีไปทางอื่นด้วยหัวใจที่ไหวหวั่น

“ผมเพิ่งรู้นะว่าคุณเอาชีวิตรักตัวเองมาเขียนในมือปราบไกลปืนเที่ยง” อมรเอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มด้วยท่าทางและรอยยิ้มอย่างหยอกเอินราวกับเป็นเพื่อนสนิทกันมาเก่าก่อน

คำกล่าวของสามีทำให้บราลีอดที่จะมองหานิยายเรื่องนั้นจากกองนิยายที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะไม่ได้ เพราะถ้าหากเป็นชีวิตรักของเขาจริง ภายในนั้นอาจมีเหตุผลที่ทำให้เขาบอกเลิกเธอเมื่อหลายปีก่อนก็ได้ ก่อนจะเหลือบไปเห็นนิยายที่เธอเพิ่งจะอ่านจบไป แล้วนึกถึงคำพูดของเขาขึ้นมา

“คุณกวินเคยบอกฉันไม่ใช่หรือคะว่า นางเอกเรื่องบินแหลกแจกกระสุนมีคาแรคเตอร์มาจากคนรักของคุณ หรือคุณมีคนรักหลายคนคะ”

กวินหัวเราะเบาๆ ในลำคอกับคำกระทบกระเทียบของเธอ

“ผมมีคนรักคนเดียวครับ แต่เธอมีชีวิตอยู่ในหนังสือของผมทุกเล่ม มากบ้างน้อยบ้างก็ตามแต่พล็อตเรื่องจะพาไป”

ได้ยินแล้วบราลีก็อดรู้สึกปลื้มไม่ได้ แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ภายในใจไม่เผยออกไปให้ใครเห็น แม้กระทั่งกวินเองก็ตาม

“แหม ชักอยากจะอ่านชีวิตรักของนักเขียนนิยายเสียแล้วสิคะ”

“เอาสิ” อมรเอ่ยแทรกขึ้น ก่อนจะดึงเอาหนังสือเล่มนั้นขึ้นมายื่นให้เธอ “เล่มนี้ถึงชื่อจะออกแนวบู๊ แต่ก็เน้นความรักของพระนางมากกว่าเรื่องอื่น น่าจะเหมาะกับหนูลีนะ”

“ขอบคุณค่ะ” บราลีรับหนังสือเล่มนั้นมากอดเอาไว้ หมายมั่นว่าจะอ่านมันให้จบภายในวันสองวันนี้ เผื่อว่าจะมีเหตุผลที่เขาทิ้งเธอไปซ่อนอยู่ภายใน

ทว่า...กวินกลับขัดขึ้นมาเสียก่อนที่เธอจะหวังไปไกลขนาดนั้น

“ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องรักของผมเสียทั้งหมดหรอกครับ บางอย่างก็แต่งเติมเสริมลงไปให้มันเป็นนิยายมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุผลที่พระเอกต้องทิ้งนางเอกไปรับหน้าที่ที่ชายแดน”

หญิงสาวสะอึก รู้สึกเหมือนเขาใช้คำพูดมากระชากจิตวิญญาณของนิยายเล่มนี้ไปจากอกของเธอ ทั้งๆ ที่เธอกอดมันเอาไว้เสียแน่น

“ทำไมคุณถึงไม่เขียนเหตุผลจริงๆ ที่พระเอกทิ้งนางเอกไปล่ะคะ”

กวินไหวไหล่ “ก็อย่างที่บอก เพื่อความเป็นนิยายที่เข้มข้นขึ้นไงครับ พระเอกต้องทิ้งนางเอกไปเพราะอุดมการณ์ มันจะทำให้เรื่องดูเข้มข้นกว่าเยอะ”

“แล้วจริงๆ เหตุผลมันคืออะไรคะ บอกให้ฉันกับแฟนพันธุ์แท้ของคุณอย่างคุณอมรให้ทราบได้ไหมละคะ” บราลีเอ่ยถาม แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้างุนงงของสามีก็รู้สึกตัวว่าตัวเองคงซักไซ้กวินมากจนเกินงามไปเสียแล้ว หากมันคงจะสายเกินไปเช่นกันที่จะถอนคำถามนั้นกลับคืนมา

“เหตุผลจริงๆ ผมขอเก็บเอาไว้คนเดียวดีกว่าครับ”

“ทำไมล่ะ” อมรเอ่ยถามด้วยความสงสัย ซึ่งก็ทำให้บราลีรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องถามออกไปเสียเอง

เขาเบ้ปาก “เรื่องบางเรื่องมันก็กระทบกับคนหลายคน แล้วเหตุผลบางอย่างมันก็ดูจะโง่เง่าเกินไปสำหรับคนนอก หลายคนอาจเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องที่สมเหตุสมผล ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นก็ตาม”

“ก็จริงของคุณนะ” เจ้าบ้านสูงวัยพยักหน้าเห็นด้วย “เอาเถอะ ถ้ามันเป็นเรื่องที่เป็นความลับ ก็อย่าไปคาดคั้นคุณวินเขาเลยนะ”

เมื่อสามีหันมาทางเธอ หญิงสาวก็ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อย “ค่ะ”

“ฉันว่าเราไปกินข้าวกันเถอะ ฉันหิวแล้ว” อมรลุกขึ้นยืนลูบพุงกลมๆ ก่อนจะเดินมาโอบไหล่เธอ

วินาทีนั้น บราลีเห็นกวินเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้าเครียด แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากเอ่ยปากเชิญเขาตามมารยาท

“เชิญค่ะ คุณกวิน”

บราลีเดินเคียงคู่ไปกับสามี ปล่อยให้อดีตคนรักเดินตามมาข้างหลังห่างๆ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เขามีสีหน้าอย่างไร อาจขึ้งเคียดที่เธอทำเป็นอี๋อ๋อกับสามีต่อหน้าเขาอยู่ก็ได้

เมื่อถึงห้องอาหาร อมรก็ทรุดตัวลงนั่งที่หัวโต๊ะแล้วผายมือให้แขกรับเชิญลงนั่งด้านขวามือของเขา ส่วนบราลีก็เดินอ้อมหลังไปนั่งที่เก้าอี้ด้านซ้ายมือของสามีอันเป็นตำแหน่งประจำ

“แหม...มีแต่ของอร่อยทั้งนั้นเลย” อมรถูมือเอ่ยออกมาอย่างร่าเริง ก่อนจะใช้ช้อนกลางตักแกงเขียวหวานปลากรายให้ภรรยา “เอานี่ ทานเยอะๆ ตั้งแต่ฉันไม่อยู่เนี่ย รู้สึกเธอซูบซีดลงไปเยอะเลยนะ”

“ที่ไหนได้คะ น้ำหนักขึ้นตั้งเยอะ” บราลีเอ่ยยิ้มเขินๆ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกวินกำลังจ้องมองมาก็ถึงกับสะอึก รีบก้มหน้าลงรับประทานอาหารด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน

“แล้วนี่คุณแม่ไม่ลงมาทานด้วยกันเหรอ”

“คุณแม่ไม่ค่อยสบายค่ะ” เธอตอบสามีอ้อมแอ้ม “ฉันให้ป้าดวงจัดสำรับให้เด็กเอาขึ้นไปให้ที่ห้องพระแล้วค่ะ”

อมรพยักหน้า ก่อนจะลงมือรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ตรงกันข้ามกับเธอที่แทบจะกินอะไรไม่ลงเอาเสียเลย เมื่อเงยหน้าขึ้นทีไรก็พบกับสายตาของกวินที่จ้องมองมาตลอดเวลา

“อ้อ...เมื่อกี้ลูกสาวฉันโทร.มาจากอเมริกา” อมรหันมาเอ่ยกับเธออย่างนึกขึ้นได้ ทำเอาบราลีถึงกับสะดุ้งเฮือก เพราะเป็นจังหวะที่เธอเหลือบมองสบตากับกวินอยู่พอดี โชคดีที่สามีของเธอไม่ทันเห็น

“คุณวีน่ะหรือคะ” บราลีเอ่ยถาม นึกไปถึงสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกันที่มีนามจริงเพราะพริ้งว่า ปานเทวี ซึ่งเป็นลูกของอมรกับปานวาดขึ้นมา

อมรเคยเล่าให้เธอฟังว่า ปานเทวีเดินทางไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เพราะรักการเต้นบัลเล่ต์เป็นชีวิตจิตใจ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ที่นั่น ลงหลักปักฐานเปิดโรงเรียนสอนบัลเล่ต์เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทีเดียว

“อือ...ยายวีบอกว่าจะกลับมาเมืองไทยอาทิตย์หน้า” อมรตอบ “จะมาอยู่สักเดือนหนึ่ง ฉันก็เลยชวนให้มาพักที่นี่ ยังไงหนูลีช่วยเตรียมห้องให้หน่อยก็แล้วกันนะ”

“แล้ว...คุณปานวาดจะมาด้วยหรือเปล่าคะ”

อมรชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่ออดีตภรรยา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งไม่พอใจนัก “ยายวีจะมาอยู่กับฉันครึ่งเดือนแรก ส่วนครึ่งเดือนหลังแกจะไปอยู่กับแม่ ไม่มีอะไรจะต้องเป็นห่วงสำหรับเรื่องผู้หญิงคนนั้น”

“อ๋อค่ะ” หญิงสาวตอบรับเสียงเบาหวิว รู้สึกผิดขึ้นมาที่ถามออกไปแบบนั้น “ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนทำความสะอาดห้องข้างบนไว้ให้นะคะ”

อมรพยักหน้า ก่อนะเอ่ยอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้ “เออ...พรุ่งนี้ให้คนไปทำความสะอาดบ้านพักริมน้ำเอาไว้ให้ด้วยสิ”

“ใครจะมาพักหรือคะ”

“คุณวินน่ะ” อมรหันไปยิ้มกับนักเขียนคนโปรด

“อะไรนะคะ” บราลีโพล่งขึ้นเสียงดังอย่างเผลอตัว

อมรสะดุ้ง หันมามองเธอด้วยสีหน้าแปลกใจ “เป็นอะไร ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”

“เอ่อ...ปะ...เปล่าค่ะ” เธอปฏิเสธเสียงอ่อย “แล้ว...คุณกวินจะมาวันไหนคะ”

“วันมะรืนครับ”

“มะรืนหรือคะ”

“ทำไมหรือ” อมรหันมาถามด้วยความแปลกใจในน้ำเสียงของเธอ

“เอ่อ...คือ คุณพี่จะไปภูเก็ตไม่ใช่หรือคะ”

“ก็ไม่เกี่ยวกันนี่” ชายสูงวัยยักไหล่ “ฉันก็ทำงานของฉัน ส่วนคุณวินก็ทำงานของเขา เขาบอกว่าบรรยากาศริมแม่น้ำแควสงบดี อากาศก็ดี ทำให้เขียนนิยายได้เยอะ ก็เลยว่าจะมานั่งเขียนที่นี่จนกว่านิยายของเราจะจบเลย”

“ใช่ครับ” กวินเสริม “ติดขัดข้อมูลอะไร จะได้ปรึกษาคุณบราลีได้สะดวกไงครับ”

หญิงสาวสะอึกกับคำตอบของชายหนุ่ม เหลือบมองเขาสลับกับสามีด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจชอบกล เพราะหลังจากพรุ่งนี้อมรจะไม่อยู่หลายวัน หากกวินมาอยู่ที่นี่แล้วมารดาของเธอรู้เข้า ก็อาจมีเรื่องขัดแย้งกันเข้าสักวันก็เป็นได้

“ตามสบายเลยนะคุณวิน มีอะไรจะถามก็ถามหนูลีได้ตลอดเวลา” อมรกล่าวยิ้มๆ ก่อนจะหันมาหาเธอแล้วกำชับอย่างหนักแน่น “ยังไงช่วงที่ฉันไม่อยู่ ฝากหนูลีดูแลคุณวินเขาหน่อยก็แล้วกันนะ”

“ค่ะ” บราลียิ้มเจื่อนให้สามี ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองกวิน เมื่อเห็นนักเขียนหนุ่มยิ้มกริ่มให้ก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาจนมันคงแดงก่ำขึ้นแน่ๆ ทำให้เธอต้องก้มหน้าลงเพื่อซ่อนมันเอาไว้ให้มิดชิดที่สุด

“แล้วคุณวินคาดว่าจะเขียนสักกี่วันเสร็จคะ”

“ก็น่าจะสักสองสามสัปดาห์นะครับ” เขาตอบ

“ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันจะให้คนไปเตรียมบ้านไว้ให้นะคะ”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเล็กน้อย หากสายตาจับจ้องเธอตลอดเวลา

อมรหัวเราะเบาๆ “เออ...เห็นคุณวินบอกว่าวันก่อนหนูลีพาเขาไปน้ำตกเอราวัณมาใช่ไหม”

หญิงสาวสะอึก ใบหน้าซีดขึ้นมาเมื่อนึกถึงไออุ่นจากอ้อมกอดของกวินในสระน้ำ “เอ่อ...ค่ะ ทำไมหรือคะ”

“ก็บรรยากาศที่นั่นดีมากเลยน่ะสิครับ” กวินเอ่ยตอบแทรกขึ้น “ผมว่าจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่อุทยานกับสาวไฮโซดูบ้าง เอาแบบกุ๊กกิ๊กน่ารักๆ น่ะครับ”

“ฉันว่าน่าสนุกดีนะ” อมรเอ่ย “ฉันก็เลยชวนคุณวินไปค้างที่บ้านพักแถวน้ำตกเอราวัณหลังจากฉันกลับจากภูเก็ตแล้วน่ะ เผื่อว่าจะได้แรงบันดาลใจอะไรเพิ่มเติม ก็ว่าอาทิตย์หน้าที่ยายวีมานั่นแหละจะไปกัน ขานั้นก็ชอบไปเล่นน้ำตกเหมือนกัน”

“ใช่ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ากับเจ้าบ้าน ก่อนจะหันมาส่งยิ้มยักคิ้วให้เธอ “คุณบราลีล่ะครับ สนใจไปด้วยกันไหม”

“เอ่อ...” หญิงสาวอึกอัก

“ก็ดีนะ” อมรแทรกขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไปเสียด้วยกันหมดนี่แหละ เผื่อจะได้ไปนอนเป็นเพื่อนยายวีด้วย”

“เอางั้นหรือคะ”

“งั้นสิ” ผู้เป็นสามียืนยัน

“ถ้างั้นก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบรับอย่างไม่อยากขัดใจสามี ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารกลางวันต่ออย่างฝืดคอ

ระหว่างมื้ออาหาร อมรก็เล่าเรื่องของปานเทวีให้กวินฟังด้วยความปลื้มอกปลื้มใจว่า เธอเป็นเด็กขยันเรียนตั้งแต่เล็กๆ แต่ก็หลงใหลในวิชาบัลเล่ต์เอามากๆ เมื่อจบมัธยมต้นแล้วเธอก็ขอบินไปเรียนต่อด้านบัลเล่ต์ชั้นสูงที่แคลิฟอเนียร์ โดยให้เหตุผลว่าเป็นคนที่รักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งอมรก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร กลับส่งเสริมบุตรสาวให้เดินไปในเส้นทางที่รัก จนเดี๋ยวนี้ได้ก่อร่างสร้างโรงเรียนสอนเด็กๆ ให้เดินตามฝันต่ออย่างเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้

“เก่งจังเลยนะครับ ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาตั้งแต่สิบสี่สิบห้า”

“นั่นสิ ผมก็ไม่คิดว่าจะอยู่ได้นะ แต่ก็อยู่มาจนตอนนี้จะสามสิบแล้ว” ผู้เป็นบิดายิ้มแก้มแทบปริเมื่อเอ่ยชมลูกสาวคนเดียวต่อหน้านักเขียนที่ชื่นชอบ ทำเอาบราลีรู้สึกขุ่นใจกับท่าทีของสามีที่เหมือนจะพยายามทำให้กวินประทับใจในตัวปานเทวีอย่างไรอย่างนั้น

“ทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้ หัวกระไดบ้านคุณอมรคงไม่แห้งเลยสินะครับ”

“รู้ได้ไงว่าสวยคะ” บราลีโพล่งออกไปอย่างลืมตัว ก่อนจะสะอึกเมื่อเห็นสายตางุนงงของสามี

กวินหัวเราะช่วยกลบเกลื่อน “ตอนคุณวีโทร.มา ผมอยู่ในห้องด้วยครับ พอวางสายปุ๊บ คุณอมรก็เลยเอารูปมาให้ดู”

“รูปตอนยายวีแสดงเป็นโอเดตต์ในเรื่องสวอนเลคไงล่ะ”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ นึกถึงภาพสาวงามในชุดบัลเลต์สีขาวสะอาดแล้วก็เห็นจริงว่าปานเทวีสวยสมชื่อ ก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่ออย่างรู้สึกผิดที่ไปออกอาการแบบนั้นอย่างเผลอตัว

ยังดีที่อมรไม่ได้จับสังเกตเธอให้เรื่องนี้

หลังอาหารมื้อกลางวัน บราลีก็ขอตัวกลับไปทำงาน ปล่อยให้กวินกับอมรพูดคุยกันต่อ จนกระทั่งเลิกงานแล้ว เธอก็ขับรถกอล์ฟกลับไปที่บ้านอีกครั้ง

แต่กลับพบว่า กวินได้เดินทางกลับกรุงเทพฯไปแล้ว

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น