5
แรกพบสบตา
สี่สาวสวยเดินเข้าร้านท่ามกลางความสนใจจากหนุ่มๆ หลายคนพยายามจะเอ่ยถามว่าพวกเธอมีโต๊ะหรือยัง สายป่านผู้มีเหตุผลและช่างเจรจาแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นจึงต้องรับหน้าที่ตอบว่าพวกเธอจองโต๊ะไว้แล้ว และยังเป็นโซนวีไอพีที่ทำเลค่อนข้างดีเสียด้วย
“ไอ้เอ๋อเจ๋งอะ ไม่คิดว่ามันจะจองโต๊ะร้านนี้ได้จริงๆ ” สายป่านเอ่ยชมหลังจากได้เห็นที่นั่ง
ปิยวลียิ้มกริ่ม ท่าทางภูมิใจอยู่ไม่น้อย “ก็แค่บอกพี่ปุณ...”
“เฮอะ” ครานี้คนที่เพิ่งชมไปพ่นลมหายใจพลางกลอกตา “พี่ปุณอีกแล้ว คอยดูเถอะ ถ้าชาตินี้แกขาดพี่ปุณนะรับรอง...ตาย!”
“แกก็เว่อร์ไป” ริณลดารีบเอ่ยขัด “ไม่ถึงตาย แค่ทำอะไรไม่ได้ก็เท่านั้นเอง” ถ้อยคำที่เหมือนจะไม่ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นนั้นส่งให้คนตัวเล็กทิ้งค้อน
“ไม่น่าจะตายหรอกจ้ะ แต่คนที่จะลำบากคือพวกเรา” ชลธิชาเอ่ยเสริม
“ชาอะ” ยายตัวเล็กพองแก้ม แม้แต่คนใจดีที่สุดในกลุ่มยังไม่วายซ้ำเติมกัน
“โอ๋ๆ ไม่เอานะไม่งอน ไหนๆ เหม็นก็อุตส่าห์จองโต๊ะให้ได้แล้วนี่นา ว่าแต่ทำไมไอ้ริณต้องเจาะจงร้านนี้ด้วยวะ” สายป่านกวาดสายตามองโต๊ะที่แน่นขนัดไปด้วยลูกค้ารอบร้าน “ทำอะไรให้มันยาก ไปร้านประจำไม่ง่ายกว่าเหรอ”
“โอ๊ย” สาวเปรี้ยวยกมือขึ้นกอดอก “ถ้าไปร้านประจำแล้วมันจะตามแผนตรงไหน”
“แผนอะไรของแก” สายป่านหรี่ตามองไม่ไว้ใจ
“เอาน่า” อีกฝ่ายว่าง่ายๆ คล้ายตัดรำคาญ “สรุปวันนี้ที่บ้านฉันมารับใช่ไหม แล้วป่านล่ะว่าไง”
“เอ่อ...” เห็นท่าทางอ้อมแอ้มของสายป่าน ทั้งสามก็พอจะเดาเรื่องราวได้
ริณลดาเบ้ปาก ให้ตายเถอะ เมื่อก่อนมีแค่ปิยวลีเท่านั้นที่มีคนตามดูแล แต่จะว่าน่าอิจฉาก็ไม่ใช่ ต้องเรียกว่าสงสารชายหนุ่มผู้โชคร้ายที่ต้องคอยดูแลแม่คนซึน วันๆ ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวเอาแต่ง่วง ต่างจากสายป่านที่แม้จะเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น แต่ก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับใครมากกว่ากลุ่มเพื่อน จนแทบจะเรียกว่าเป็นแฟนแค่ในนามเท่านั้น ส่วนชลธิชายิ่งไม่ต้องพูดถึง รายนี้วันๆ เอาแต่ทำงานงกๆ จนพวกเธอต้องพยายามไปฉกตัวออกมาเที่ยวบ้าง กลัวโรคประสาทจะกินสมอง
แต่ทำไมไปๆ มาๆ ตอนนี้ถึงเหลือแต่เธอที่ไม่มีใคร ทั้งๆ ที่เธอสวยกว่า แซ่บกว่ายายพวกนี้ทุกอย่าง!
“พี่ภีร์มารับละสิ หมั่นไส้ เฮอะ ทีเมื่อก่อนละ...”
“เปล๊า! ก็...เอ่อ ก็...”
“ก็เอ่ออะไร เดี๋ยวนี้แกติดอ่างเหมือนยายเอ๋อรึไง”
ปิยวลีเม้มปาก “มันไม่ใช่โรคติดต่อซะหน่อย แล้วอีกอย่าง เอ่อ...”
“พอกันทั้งคู่!” ริณลดากระแทกเสียงใส่ “สรุปไง พี่ภีร์มารับใช่ไหม”
สายป่านพยักหน้าแกนๆ พยายามหลบสายตาไม่มองหน้าคนอื่น
ริณลดาเบ้ปาก กลอกตามองเพดาน “ดีจริงจริ๊ง กลับมาหากันได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน...”
“น้องคะ พอจะมีอะไรยัดปากเพื่อนพี่ได้บ้าง” สายป่านรีบร้องเรียกพนักงานทันทีที่เพื่อนสนิทเริ่มขยับปาก แต่พนักงานคนนั้นยังไม่ทันส่งเมนูให้ พนักงานอีกคนก็เดินเข้ามาขัดเสียก่อน
“สวัสดีครับ พอดีคุณเต็งหนึ่งให้ผมมาเชิญพวกคุณขึ้นไปร่วมโต๊ะน่ะครับ” ท่าทางของเขานอบน้อม รอยยิ้มบนหน้ากำลังพอดี ไม่ถึงขนาดประจบประแจง แต่เป็นรอยยิ้มสุภาพจริงใจ
สายป่านกลอกตาคิดตามแล้วหันไปถามปิยวลี “เต็งหนึ่ง...เต็งหนึ่ง นี่มันเพื่อนไอ้เหม็นไม่ใช่เหรอ”
แต่คนที่หนาวๆ ร้อนๆ กลับกลายเป็นชลธิชา และคนที่มีรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้างามคือริณลดา
ส่วนคนถูกถามยังคง...งง?
“เต็งหนึ่ง?” แป้งหอมต้องใช้เวลาคิดอยู่ครู่ใหญ่ “อ้อ เด็กไฟฟ้าเปล่านะ” เธอเอียงคอมองอีกสามคนที่กำลังถอนหายใจพร้อมกัน
“เจริญจริงแม่คู๊ณ ในสมองของแกมันมีอะไรบรรจุอยู่บ้าง ฮะ!” ริณลดาว่าอย่างเดือดดาล ขณะที่อีกฝ่ายย่นคอหนี ซุกหน้าลงกับไหล่ของชลธิชา
“เอาน่า” สายป่านตบไหล่อีกฝ่ายเพื่อคลายอารมณ์ “เด็กวิศวะมีเป็นร้อย ไอ้เอ๋อจะจำไม่ได้ก็ไม่แปลก อีกอย่างมันเรียนเครื่องกล นานๆ ครั้งถึงจะได้เจอเพื่อนต่างภาค”
“ใช่ๆ แล้วว่าแต่เต็งหนึ่งจะชวนแป้งไปทำไม แล้วเขารู้ได้ไงว่าเรามา”
“ไม่ใช่ว่าแกวานพี่ปุณจองโต๊ะให้เหรอ” ริณลดาช่วยชี้แจงแถลงไข
สายป่านพยักหน้าเข้าใจในที่สุด “ถึงว่าทำไมจองได้ง่าย ที่แท้ก็ใช้เส้นรุ่นพี่นี่เอง เอาไง จะไปไหม”
“ไปสิ โอกาสดีๆ อย่างนี้ใช่จะหาได้ง่ายๆ จริงไหม” ริณลดายักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างมีเลศนัย
ชลธิชามองคนซ้ายทีขวาทีก่อนจะหลุบตามองมือตัวเอง เธอไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนว่าจะเจอเขา “แต่ชาว่า...”
“ไม่ต้องว่า ปกติเห็นเอาแต่เงียบยังกับถูกเย็บปาก ใครจะลากไปซ้ายไปขวาไม่เคยขัด แล้วเกิดจะมามีปัญหาอะไรวันนี้ยะ อีกอย่าง...ไหนๆ ฉันก็จับแกจำแลงแปลงร่าง” ริณลดาว่าพลางกวาดตามองเพื่อนรักขึ้นๆ ลงๆ “ไม่ใช้สิทธิ์นี้ก็เสียเปล่าสิยะ ช่วยให้เกียรติเดรสคอลเล็กชันใหม่จากดิออร์ของฉันด้วยย่ะ”
สายป่านป้องปากกระซิบต่อด้วยน้ำเสียงราวพิธีกรรายการทีวี “และขอขอบคุณชุดสวยๆ จากคุณดาด้า เครื่องประดับจากร้านสายป่านแน่นเหนียว เครื่องสำอางเนื้อดีการันตีคุณภาพจากแม่นางแป้งเหม็น...”
“พอ!” ริณลดาแยกเขี้ยวใส่คนช่างกวน ก่อนจะตัดสินใจเองเสร็จสรรพแล้วจึงหันไปหาพนักงาน “เชิญนำทางเลยจ้ะน้อง”
ท้ายสุด...สี่สาวจึงก้าวตามพนักงานไปท่ามกลางสายตาสนใจใคร่รู้ของคนอื่นๆ
ห้องพิเศษถูกแยกไว้บนชั้นลอยที่หากมองขึ้นมาจากด้านล่างจะเห็นว่าเป็นเพียงกระจกสีทึบ แต่เป็นที่รู้กันดีว่าตรงนั้นเป็นทำเลทองที่หนุ่มๆ ทั้งหลายมักจะจับจองเพื่อใช้ส่องหญิง แสงไฟในร้านค่อนข้างสลัว แต่สายป่านยังคอยสังเกตอาการของคนข้างกายเป็นระยะ จนสุดท้ายก็อดใจไม่ไหว จึงหันไปกระซิบกระซาบกันเพียงสองคน
“ไหวไหมชา” แม้จะค่อนข้างมืด แต่สีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนสนิทกลับเด่นชัด อาจเพราะเธอใส่ใจอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว “ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน”
ชลธิชาพยักหน้า ได้แต่ส่งรอยยิ้มจืดเจื่อนให้อีกฝ่าย “ริณอุตส่าห์วางแผนมา”
หลังจากที่ได้รับรู้ว่าร้านนี้เป็นของเต็งหนึ่ง เรื่องราวต่างๆ จึงค่อยๆ เรียงร้อยช่วยให้ความกระจ่างว่าเหตุใดริณลดาต้องเจาะจงเลือกร้านนี้แทนร้านประจำที่พวกเธอมักจะแวะเวียนไป และทำไมต้องให้ปิยวลีเป็นคนจอง ไหนจะเรื่องที่เจ้าแม่แฟชั่นพยายามจับเธอยัดใส่เดรสปาดไหล่สีแดงเบอร์กันดีที่ช่วยขับผิวให้กระจ่างน่ามอง แต่ออกจะวับๆ แวมๆ ล่อตาล่อใจใครหลายคนจนต้องหมั่นดึงคอเสื้อขึ้นหลายครั้ง แม้จะพยายามต่อรองขอหยิบผ้าคลุมไหล่ติดมา อีกฝ่ายก็เอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมอนุมัติท่าเดียว
ทว่า...ความเป็นจริงที่เธอไม่รู้คือ แม้ริณลดาจะวางแผนไว้อย่างรอบคอบ แต่หากใครบางคนไม่เจาะจงเลือกเธอ ทุกอย่างก็ยังคงเป็นแค่แผนที่ไร้วี่แววความสำเร็จ
“ไม่มีใครบังคับชาได้หรอกนะ” สายป่านบีบมือเพื่อนรักเพื่อให้กำลังใจ
“อืม” ชลธิชาพยักหน้า “ชาตัดสินใจเอง เลือกเอง และพร้อมจะรับผลจากการกระทำทั้งหมด ป่านอย่าห่วงเลย”
ริณลดาหันกลับมา “แกจะไปในมาดใหม่ใช่ไหม”
คนถูกถามพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ก็ตอนนี้เอื้อชอบผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” พอจะรู้มาบ้างว่าคู่ควงแต่ละคนของเขาโฉบเฉี่ยวขนาดไหน
สายป่านถอนหายใจ “เฮ้อ...ความชอบมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายขนาดนั้นหรอกนะแก”
“ถึงไม่เปลี่ยน แต่ชาคงกลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้ และเอื้อคงไม่มีทางมองชาเหมือนเดิม แบบนี้แหละดีแล้ว”
“งั้นจะมั่นก็ต้องมั่นให้สุด เชิดหน้าไว้จ้ะ” ปิยวลีดันปลายคางเพื่อนขึ้น พร้อมกับประตูห้องที่เปิดออกมา
“จ้ะ...เลือกแล้วก็ต้องไปให้สุดทางเนอะ!”
ห้องด้านในสว่างไสวกว่าภายนอกเล็กน้อย ตรงกลางมีโต๊ะกลมล้อมรอบด้วยโซฟาสามด้าน สี่หนุ่มด้านในกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ เมื่อเห็นพนักงานเดินนำเข้ามา บทสนทนาจึงหยุดลง ก่อนที่เจ้าของร้านจะลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้า
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะแป้งหอม” เขาเลือกทักเพื่อนร่วมคณะก่อนเป็นอันดับแรก
ปิยวลียิ้มกว้างตามประสา “สบายดีนะ”
“มากเลย แล้วแป้งล่ะ เห็นว่าทำงานกับที่บ้านเหรอ ได้ใช้ความรู้เต็มที่เลยละสิ” เขาถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง แม้จะพอรู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจากพี่ชายข้างบ้านของเธอ หรือก็คือรุ่นพี่ของเขา แต่ก็ยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้สามารถลุยงานในโรงงานเป็นวิศวกรเต็มตัว
“ไอ้หนึ่ง จะเหมาบทสนทนาไว้คนเดียวเลยรึไง ชวนสาวๆ เข้ามานั่งก่อนสิ” ทศพลตะโกนแข่งกับเสียงเพลง
ขณะที่คนถูกว่ายิ้มเก้อๆ ชักชวนให้สาวๆ ทั้งสี่ก้าวตามเข้ามา หนุ่มๆ ที่เหลือจึงขยับที่ขยับทางเว้นที่ว่างไว้ให้
ชลธิชาไล่สายตามองภายในห้อง บนโต๊ะมีจานอาหารและของกินเล่นวางอยู่ แก้วแต่ละใบบรรจุน้ำสีเหลืองอำพัน มองเห็นฟองอยู่รำไรจึงรู้ว่าพวกเขาเลือกดื่มเบียร์ และคงเป็นเบียร์สดขึ้นชื่อของร้าน ทศพลนั่งอยู่ด้านนอก ถัดจากเขาคืออัศรา หญิงสาวรู้จักเพื่อนสนิททุกคนของเอื้อการย์ดี ส่วนเจ้าตัวนั่งอยู่ริมสุด แขนข้างหนึ่งพาดพนักพิง อีกข้างถือแก้วไว้ในมือ สายตายังคงจับจ้องผ่านผนังกระจกไปเบื้องล่าง ราวกับไม่อยากร่วมรับรู้การปรากฏกายของพวกเธอ
หญิงสาวเชิดหน้าขึ้นขณะก้าวเดินตรงไปยังเก้าอี้ว่างโดยไม่รอให้ใครรุนหลังเหมือนปกติ เลือกโซฟาตัวที่อยู่ติดกับเขาแล้วหย่อนตัวลงนั่ง ทำเอาแต่ละคนที่แอบมองสูดลมหายใจ
สามสาวที่เหลือเพียงเดินตาม ทำราวกับว่าสิ่งที่เพื่อนเพิ่งทำลงไปไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สายป่านเดินตามไปนั่งข้างๆ อย่างรู้งาน บรรยากาศอึมครึมเหมือนจะกดทับลงทันทีที่หญิงสาวสวยในชุดเดรสสีแดงเบอร์กันดีปาดไหล่หย่อนตัวลงนั่ง สามหนุ่มมองตากันเลิ่กลั่กเมื่อเห็นเจ้าทุกข์ยังเอาแต่นิ่ง
“สั่งอะไรกันก่อนไหม” เต็งหนึ่งรีบเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทันที
ริณลดาพยักหน้าและเป็นฝ่ายจัดการกับปิยวลี ขณะที่แอบปรายตามองความเคลื่อนไหว แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเธอที่กำลังรอเรื่องสนุกตรงหน้า สามหนุ่มแม้จะพูดจาชวนคุยแต่สายตากลับเอาแต่เหลือบมองเพื่อนอีกคนที่ปิดปากเงียบ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเอื้อ” เห็นท่าทางคล้ายไม่แยแสต่อโลกแล้วก็นึกหมั่นไส้ สายป่านจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน ชายหนุ่มหันกลับมา วางแก้วลงบนโต๊ะ มองเลยผ่านคนที่นั่งใกล้ไปราวกับอากาศธาตุ
ริมฝีปากหยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคนแอบมองใจแป้ว ยิ้มเยาะก่อนจะเลือนหาย “ก็ป่านไม่ยอมแวะไปทักทายเราสักทีนี่เวลาเข้าบริษัท”
สายป่านหัวเราะร่วนพลางโบกมือเป็นพัลวัน “โอ๊ย ใครจะกล้าไปกวนเวลาท่านรองกัน”
“นั่นไง ไม่คิดว่าเอื้อจะน้อยใจบ้างเหรอ”
“อย่ามาอำ” สายป่านคว่ำตา ค้อนไม่จริงจัง “ขืนเราบอกว่าจะมาหาท่านรอง ลูกน้องนายคงว่าเราใช้เส้นบังคับให้พวกเขาเซ็นสัญญา ต่อไปใครจะกล้าไปขายของกันล่ะ”
“ป่านนี่นะไม่กล้า” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “มือหนึ่งไม่กล้าขายงานใครจะเชื่อ ใช่ไหมครับริณ” เขามองเลยผ่านคนใกล้ตัวไปอีกครั้ง
ริณลดาเบนสายตามองชลธิชา ก่อนจะรับคำในลำคอ “ก็จริง อย่างป่าน ให้ไปขายงานกับยมบาลยังขายได้”
“ฮ่าๆ” คนที่เหลือหลุดขำ ขณะที่คนโดนแซวขว้างค้อน
“ยมบาลจะอยากขายอะไรจนถึงขนาดมาจ้างบริษัทของฉันยะ โฆษณาเชิญชวนให้ผู้คนร่วมกันตายผ่านโลกออนไลน์รึไง”
“แต่แป้งว่าน่าจะเป็นรณรงค์ห้ามตาย เพราะไม่มีใครอยากทำงานหนักหรอก”
อัศราฟังสามสาวผลัดกันตบมุกแล้วจึงเข้าร่วม “อาจจะทำโปร ตายหนึ่งแถมหนึ่งก็ได้นะครับ” คราวนี้เสียงเฮจึงดังลั่น
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพวกเรา” ทศพลหันไปคุยกับสาวๆ พาเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่สายป่านจะเละเป็นโจ๊กไปยิ่งกว่านี้ “สบายดีนะครับชา”
“ค่ะ” ชลธิชายิ้มรับ “ทศทำที่ไหนคะตอนนี้” มือบางยกแก้วเบียร์ที่เต็งหนึ่งเพิ่งรินให้ขึ้นเขย่าเบาๆ
ท่าทางสบายๆ แต่คล้ายเชิญชวนนั้นทำเอาคิ้วเข้มถึงกับกระตุก ก่อนจะลอบหันไปมองเพื่อนรัก เริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
ทศพลรีบยกมือปาดเหงื่อก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็ทำกับที่บ้านนั่นแหละครับ”
สาวๆ พยักหน้า ไม่มีใครเอ่ยถามต่อเพราะรู้ว่าเขาสืบทอดบริษัทต่อจากครอบครัว เรียกว่าเป็นทนายทำงานเกี่ยวกับกฎหมายกันทั้งตระกูล
“แล้วสารวัตรอัศล่ะคะ” แม้ว่าหนุ่มหนึ่งเดียวคนนี้จะไม่ได้เรียนร่วมสถาบันกันมา แต่เพราะความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง ทั้งกับพี่ชายข้างบ้านของปิยวลี พี่รหัสของสายป่าน และความรักในวันวานของเอื้อการย์กับชลธิชา ก็พาให้พวกเขาโคจรมาพบกัน
“ผมก็เรื่อยๆ ครับ ไม่มีอะไรหวือหวา”
“ใช่แน่เร้อ” ริณลดาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ใช่ว่ากลายเป็นหนุ่มฮอตในโลกโซเชียลไปแล้วเหรอคะ สารวัตรหน้ามนคนหล่อ”
คนถูกแซวสำลักเบียร์ ไอแห้งๆ ติดๆ กันขณะคนอื่นยิ้มล้อ ต่างคนต่างชวนคุย เรื่องเก่าบ้างใหม่บ้างคละเคล้ากันไป โดยพยายามจะหลีกเลี่ยงเรื่องราวที่เกี่ยวกับคนทั้งสองที่เอาแต่เงียบ เงียบอย่างเดียวไม่พอ ยังขยันยกแก้วขึ้นกระดกราวกับกำลังจะแข่งขันกันก็ไม่ปาน จนคนที่เหลือต้องลอบส่งสายตากันไปมา สุดท้ายริณลดาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ริณชอบเพลงนี้ ออกไปเต้นกันดีกว่าค่ะ นานๆ เจอกันที อยากทำอะไรสนุกๆ”
อัศรายิ้มรับ รีบพยักหน้าเห็นด้วยเพื่อช่วยคลี่คลายบรรยากาศอึมครึมที่กำลังโอบล้อมจนแต่ละคนหายใจไม่ทั่วท้อง “ให้เกียรติริณเลือกคู่เต้นก่อนเลยครับ” แต่เจ้าตัวก็ยังมิวายส่งสายตาวิบวับเชิญชวน
หญิงสาวแสร้งยกมือปิดปากหัวเราะอย่างมีจริต “แหม...ก็ต้องควงสารวัตรคนดังออกไปเต้นสิคะ รับรองจะโพสต์ทั้งเฟซทั้งไอจีให้บรรดาสาวๆ โซเชียลตาลุกเป็นไฟเลยละ”
“งั้นหนึ่งขอถือโอกาสพาเพื่อนเก่าไปเต้นนะ ไหนๆ วันนี้ก็ไม่มีผู้ปกครองมาคอยคุม” เต็งหนึ่งหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้ปิยวลีที่เอาแต่หัวเราะร่วน
“โอ๊ยหนึ่ง แป้งไม่รู้จะเต้นไหวไหมนะ ตอนนี้อิ่มมาก” เธอว่าพลางยกมือขึ้นลูบท้อง ไม่ห่วงภาพลักษณ์
“เต้นไม่ไหวก็กลิ้ง เรารู้ว่าแป้งหอมถนัด”
“ถ้าผมชวนป่านเต้นวันนี้ พี่รหัสของป่านจะวิ่งมาตั๊นหน้าผมวันหลังไหม” ทศพลหันไปถามสาวงามที่นั่งไม่ไกล แต่คนที่ตอบกลับเป็นริณลดา
“ทศต้องจ่ายค่าปิดปากพวกเราแล้วค่ะ โดยเฉพาะริณ ไม่งั้นอาจมีรูปหลุดโพสต์ลงเฟซของพี่ภีร์”
คนถูกขู่บังคับย่นคอ “น่ากลัวแต่ก็คุ้มอยู่ ได้ควงสาวสวยดาวคณะเต้นทั้งที จริงไหมครับ” ว่าแล้วเขาก็ส่งแขนให้เพื่อนสาวคล้อง สายป่านอยากมองค้อนใครสักคน แต่เมื่อเห็นว่าแต่ละคนพากันลุกขึ้นหมด เหลือแต่สองหนุ่มสาวที่เอาแต่นั่งมองแก้ว
“ออกไปเต้นด้วยกันสิเอื้อ ไปนะชา”
“อย่าดีกว่า เอื้อไม่ค่อยถนัด”
“อย่ามาตอแหลน่า ท่านรองนี่นะไม่ถนัด” สายป่านหันไปว่าประชดเพื่อนเก่า พูดมาได้ว่าไม่ถนัด คนอย่างเขาน่าจะต้องเรียนเต้นรำตั้งแต่หกขวบด้วยซ้ำ
“ขี้เกียจด้วยน่ะ”
“ขี้เกียจหรือกลัวคะ” น้ำเสียงหวานเอ่ยทักขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ทำเอาทั้งห้องเงียบกริบไปบัดดล แม้แต่จะหายใจแต่ละคนยังไม่กล้า ได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เอื้อการย์เหลือบตามองคนข้างๆ รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการยั่วให้เขาติดกับ ขณะที่ทุกสายตาต่างพร้อมใจกันจ้องชายหนุ่มเป็นตาเดียว ชลธิชาเอียงหน้ามาสบตาเขา ริมฝีปากบางได้รูปขยับยิ้ม รอยยิ้มยั่วยวนที่ทำเอาหลายๆ คนพากันปั่นป่วน ไม่กล้าคาดเดาว่าผลลัพธ์จากประโยคนี้จะเป็นเช่นไร แต่หญิงสาวกลับรู้คำตอบดี เอื้อการย์เป็นคนอารมณ์ร้อนพอๆ กับที่รู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง ถ้อยคำเพียงเท่านี้คงไม่อาจกระทบกระเทียบเขาได้
เรียกว่าแทบจะไม่กระเทือนอารมณ์ของเขาด้วยซ้ำ
หญิงสาวเป็นฝ่ายเบนหน้าหันไปยิ้มให้ทุกคนแทน “ไปกันเถอะ ชาดื่มไปหลายแก้วคงเต้นไม่ไหว ทิ้งเอื้อไว้เป็นเพื่อนชาก็ดี”
เมื่อไม่เห็นเอื้อการย์ทักท้วง ทุกคนจึงพร้อมใจกันระเห็จออกจากห้องทันทีอย่างไม่เหลียวหลังกลับ เพียงครู่เดียว ทั้งห้องก็เหลือเพียงเสียงเพลงคลอเบาๆ หญิงสาวพ่นลมหายใจก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกรวดเดียวเพื่อย้อมใจ
“เอื้อไม่มีอะไรจะถามชาเหรอคะ”
เขาหันกลับไปสบตาเธออีกครั้ง ดวงตากลมโตเป็นประกายระยับราวกับดวงดาราบนฟากฟ้า ประกายตาที่เคยทำให้เขาลุ่มหลงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนในยามเย็นเร่งให้หญิงสาวในชุดนักศึกษารีบก้าวเดินไปตามทางตรงไปยังคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งที่เธอเพิ่งจากมา สองมือเล็กกระชับสายกระเป๋าแน่นเมื่อเห็นว่าฟ้าฝนกำลัง
จะถล่มลงมาในไม่กี่อึดใจ ช่วงขายาวๆ ของเธอก้าวถี่ขึ้นจนกลายเป็นวิ่งขณะที่ลมหอบใหญ่พัดเอาทั้งเศษกิ่งไม้ ใบไม้ปลิวว่อน
‘ว้าย...’
‘เฮ้ย...’
สองเสียงดังประสานพร้อมกับสองร่างที่พากันล้มลงบนพื้น ชลธิชาหลับตาปี๋เมื่อใบหน้างามจวนเจียนจะกระแทกบนพื้นคอนกรีต ก่อนที่จะหลุดอุทานอีกครั้งเมื่อช่วงเอวถูกลำแขนใหญ่คว้าเอาไว้ ร่างทั้งร่างของเธอผวาเข้าใส่อะไรแข็งๆ แต่ไม่เจ็บ ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้นถนนลาดเอียงสองสามตลบแล้วหยุดลง
‘คุณเป็นอะไรไหม’ น้ำเสียงทุ้มต่ำใต้ร่างเอ่ยถามอย่างร้อนรน
เมื่อชลธิชาเปิดตาอีกครั้งพลันได้สบกับดวงตาคม ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ห่างเพียงลมหายใจกั้น ใบหน้างามซับสีทันทีก่อนจะตะเกียกตะกายลนลานลุกขึ้นยืน
‘มะ...มะ ไม่ค่ะ ไม่เป็นอะไร แล้วคุณล่ะคะ’ น้ำเสียงตะกุกตะกักบวกท่าทางขัดเขินต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกทำให้ชายหนุ่มนึกเอ็นดูในทันที ยิ่งร่างระหงยืนขึ้นเต็มความสูงพอให้เขาได้สำรวจความงดงามและดวงหน้าหวานซ่อนเปรี้ยว หางตายาวรีของเธอเชิดขึ้น ริมฝีปากคว่ำน้อยๆ ราวกับเจ้าตัวพร้อมจะเหวี่ยงวีนได้ทุกเมื่อ ทว่ายามพูดน้ำเสียงกลับหวานใส สีหน้าท่าทางเขินอายปนสำนึกผิดนั้นทำให้เขาเลิกคิ้ว
‘ก็...’ ตอนแรกเขาตั้งใจจะเอ่ยว่าไม่เป็นไร แต่เพราะท่าทางเหมือนกระต่ายตื่นตูมนั้นกระตุ้นให้เอื้อการย์เลือกคำตอบอีกอย่างแทน ‘นิดหน่อยครับ’ คนมากเล่ห์แสร้งยกแขนขึ้นมาดู พอให้ได้เห็นรอยถลอกเป็นทางยาวและเลือดสดๆ ที่กำลังไหล
‘ตายจริง’ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง คนตัวเล็กร้อนรนค้นหาของในกระเป๋าครู่ใหญ่จึงล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดและขวดน้ำดื่มออกมา ‘เจ็บมากไหมคะ’
สีหน้าทุกข์ร้อนของเธอทำให้จิตใจเขาอ่อนยวบ ‘ไม่หรอกครับ’
เธอส่ายหน้า ‘ขยับแขนออกมาหน่อยสิคะ ชาจะล้างแผลให้ แต่คงแสบน่าดูเชียว’ ใบหน้าของเธอซีดเผือดราวกับเป็นฝ่ายเจ็บเสียเองจนเขาเผลอยิ้มเอ็นดู
‘ขอบคุณครับ’ ชายหนุ่มไม่โง่ถึงขนาดจะปฏิเสธคนงามที่อาสาดูแลแผลให้ ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เพิ่งสูดดมไปเมื่อครู่
‘แสบหน่อยนะคะ’ เธอปลอบเขาเสียงแผ่วเบาขณะมือหนึ่งถือขวดน้ำราดลงบนแขน อีกมือค่อยๆ ลูบผ่านรอยถลอกเบาๆ เพื่อทำความสะอาด เสียงสูดลมหายใจลึกของคนตรงหน้าทำให้เธอชะงักค้าง ‘เจ็บมากเหรอคะ’
‘นิดหน่อยครับ’ เขาปดออกไป ที่ร้องเพราะสัมผัสจากปลายนิ้วนุ่มแผ่วเบาของเธอต่างหาก เพียงแตะลงบนแผล แต่มันกลับนุ่มนวลราวกับกำลังแตะลงบนขั้วหัวใจ
หญิงสาวค่อยๆ บรรจงล้างแผลให้เขาจนสะอาด ก่อนจะใช้กระดาษทิชชูซับให้แห้ง ปิดท้ายด้วยผ้าเช็ดหน้าหอมๆ ที่โปะไว้ห้ามเลือด
‘ขอบคุณมากนะครับ’ เขายิ้มให้เธอ รอยยิ้มทั้งปากและตาที่ยากจะมอบให้ใครทำเอาคนรับหูอื้อตาลายไปชั่วขณะ ไม่ใช่ไม่เคยพบผู้ชายหน้าตาดี แต่คนตรงหน้ากลับมีเสน่ห์ที่สะกดให้เธอตกตะลึง
‘เอ่อ...ค่ะ เอ่อ ชาต่างหากที่ต้องขอบคุณ ถ้าคุณ...’
‘เอื้อครับ เอื้อการย์’ ชายหนุ่มรีบคว้าโอกาสแนะนำตัวทันที
‘ค่ะ ถ้าคุณเอื้อ’ พวงแก้มของเธอแดงระเรื่ออย่างน่ารักยามเอ่ยชื่อเขา ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินคำว่า เอื้อ อ่อนหวานถึงเพียงนี้ ‘ถ้าเอื้อไม่ช่วยชาไว้ ป่านนี้ชาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัว’
‘ผมชนคุณจนล้มต่างหาก ขอโทษนะครับ’
แต่ก่อนที่จะทันได้เอ่ยตอบเขา ฝนห่าใหญ่ก็ร่วงโครมลงมาจากฟ้า ชลธิชารีบล้วงร่มในกระเป๋าออกมากางให้ทั้งสอง ชายหนุ่มจึงถือโอกาสขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิดพลางขันอาสาเป็นฝ่ายถือร่มให้ก่อนจะเอ่ยถาม เมื่อรู้ว่าทั้งคู่ต่างมีจุดหมายปลายทางเป็นที่เดียวกันจึงขยับก้าวเคียงกันไป
‘อ้าวเอื้อ ชา ไหงมาด้วยกันล่ะ รู้จักกันมาก่อนเหรอ’ สายป่านเลิกคิ้วมองเพื่อนทั้งสองที่อาศัยร่มคันเดียวกัน
สองหนุ่มสาวหันกลับมามองหน้ากันก่อนเบือนหน้าไปหาสายป่านอีกครั้ง ‘พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อยเลยทำให้รู้จักกันน่ะ’ เอื้อการย์เป็นฝ่ายตอบ
‘เหรอ แต่ถ้ารู้จักกันแล้วก็ดี วันนี้ป่านว่าจะชวนชาไปกับเราพอดี เอื้อไม่มีปัญหานะ’
ชายหนุ่มรีบพยักหน้ารับทันที โอกาสดีๆ ถ้าไม่คว้าไว้ก็คงต้องกลับไปกินหญ้าต่างข้าวแล้ว ‘ไปสิ เลี้ยงป่านแล้วก็เลี้ยงขอโทษชาด้วย ดีไหมครับ’
ความคิดเห็น |
---|