5

เก่งแล้ว

5

เก่งแล้ว

 

            เสียงแก้วแตกที่ไม่เหมือนครั้งไหนๆ ที่เคยเกิดขึ้นในร้าน มันดังลั่นอย่างสะเทือนขวัญเหมือนเสียงระเบิดเลยก็ว่าได้ กระจกจากประตูหน้าร้านแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ปลิวพุ่งเข้ามาราวกับหนังแอกชัน เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังปะปนกันไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร ทุกคนต่างหดตัวเล็กลงโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันอันตรายจากเหตุการณ์นี้

         ทุกอย่างเงียบลงในเวลาไม่ถึงนาที แต่ดูเหมือนว่าคนทั้งร้านยังอยู่ในอาการตะลึงงัน กวินวัฒน์เป็นคนแรกที่ได้สติ เขาตบต้นแขนคนในอ้อมกอดเบาๆ 

“เฟย์ๆ เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

เพียงฟ้าที่ยังงงๆ พยายามจัดเรียงสติตัวเอง ดันตัวออกจากเขา ก่อนจะมองสำรวจร่างกายคร่าวๆ แล้วส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร” 

หญิงสาวพยุงตัวลุกขึ้นมามองสำรวจรอบตัว แล้วก้าวไปหาอีกคนที่นั่งยองๆ มุดอยู่ใต้โต๊ะ “แก้วๆ ไอ้แก้ว แกโอเคไหม”

แก้วเจ้าจอมที่ยังคงยกสองมือปิดหู ซบหน้ากับต้นขาตัวเองอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมามอง สีหน้าซีดเผือดไม่แพ้คนถาม “เกิดอะไรขึ้นแก”

คนถูกถามส่ายหน้า จับต้นชนปลายไม่ถูก พอหันไปมองที่หน้าร้าน ก็เห็นว่ากวินวัฒน์ก้าวนำไปก่อนเธอแล้ว ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นด้วย

เพียงฟ้าถึงกับช็อกระลอกสอง กลัวอย่างที่สุดว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นจะเป็นพนักงานในร้านเธอ หญิงสาวกวาดตามองหาสมาชิกทุกคนรอบร้าน เห็นหนูนากับปรางทิพย์พนักงานเสิร์ฟซุกตัวอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ถ้าอย่างนั้นคนที่นอนอยู่ตรงนั้น...

“ผึ้ง!” หญิงสาวร้องเสียงหลง พร้อมกับวิ่งเข้าไปหา ทว่าคนที่ไปถึงตัวคนเจ็บก่อนก็หันมาสั่ง 

“เฟย์! เรียกรถพยาบาล!”

เพียงฟ้าพลันชะงักไปอึดใจหนึ่งเพื่อตั้งสติให้ดีอีกรอบ ก่อนหมุนตัววิ่งไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ แก้วเจ้าจอมเองลนลานวิ่งตามมา 

“เดี๋ยวฉันโทร. เรียกตำรวจเอง”

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที รถพยาบาลมาถึงเร็วกว่าที่เจ้าของร้านคาด อาจเพราะที่นี่ไม่ได้ไกลจากโรงพยาบาลเท่าไรนัก เช่นเดียวกับตำรวจที่กำลังถ่ายภาพความเสียหายของร้าน พนักงานคนอื่นในร้านกำลังทำความสะอาดอุปกรณ์เตรียมปิดครัว เพราะตอนนี้ร้านอยู่ในสภาพที่ไม่อาจรับลูกค้าได้อีกแล้ว 

เศษกระจกกระจายเข้ามาถึงเคาน์เตอร์ไม้ซึ่งเป็นบาร์ครัวเย็น โชคดีเท่าไรแล้วที่ไม่มีลูกค้ามากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นลูกค้าอาจได้รับอันตรายไปด้วย เพียงฟ้าตัวสั่นไปหมดตั้งแต่เห็นว่าน้ำผึ้งหมดสติ และมีเลือดอาบใบหน้า รถจักรยานยนต์คันนั้นขับเข้ามาประชิดและเหวี่ยงไม้เบสบอลฟาดกระจกหน้าร้านของเธอเต็มแรง ไม่ใช่แค่ฟาดอย่างเดียว ต้องเรียกว่ามันเหวี่ยงเข้ามาทั้งไม้เลย

น้ำผึ้งที่ยืนอยู่ใกล้ประตูกระจกมากที่สุดเลยถูกลูกหลงไปด้วย รถพยาบาลที่มารับตัวคนเจ็บเพิ่งขับออกไปเมื่อนาทีก่อน แต่เพียงฟ้าก็ไม่อาจวางใจได้เลยแม้แต่นิดเดียว เธอยังไม่มีสติพอจะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ตำรวจฟังได้ จึงขอนัดเป็นวันหลัง ตอนนี้เธอมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องทำ

“แก้ว ฝากตรงนี้หน่อยนะ ฉันจะตามไปหาผึ้งที่โรงพยาบาล”

“แกไหวนะเฟย์” ที่แก้วเจ้าจอมถามอย่างนั้น เพราะสีหน้าของอีกฝ่ายยังไม่สู้ดีนัก ดวงตาแดงก่ำแม้จะยังไม่มีน้ำตาไหลออกมาก็ตาม

“ไหวแก”

ถึงจะตอบไปอย่างนั้น แต่พอเจ้าตัวจ้ำอ้าวจะออกจากร้าน เสียงของเพื่อนก็รั้งไว้

“ไอ้เฟย์ กุญแจรถ!”

คนสติไม่อยู่กับตัวเต็มร้อยหมุนตัวกลับมา ทว่าก็โดนคว้าแขนเอาไว้ “ไปรถฉัน!”

กวินวัฒน์ไม่รอให้หญิงสาวตอบ ดึงแขนเพียงฟ้าให้เดินตามเขาไปที่รถทันที 

“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้ คุณกลับไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่ธุระของคุณเลย” 

คนฟังกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้สรรพนามที่อดีตแฟนสาวของเขาเลือกมาขีดเส้นระหว่างทั้งคู่ แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ 

“กุญแจรถยังลืม เธอจะขับรถได้ยังไง เดี๋ยวก็ได้เจ็บไปอีกคน”

“ฉันไปเองได้ คุณไม่เกี่ยว”

มุมปากของชายหนุ่มกระตุกเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ “เกี่ยวไม่เกี่ยว เดี๋ยวก็รู้” พูดแค่นั้นเขาก็เปิดประตูรถ แล้วดันตัวหญิงสาวเข้าไป ก่อนจะสั่งทิ้งท้าย “ถ้าอยากไปถึงโรงพยาบาลให้เร็ว ก็อย่าเพิ่งดื้อตอนนี้ คนเจ็บสำคัญที่สุดนะ”

คำพูดเตือนสตินั้นทำให้เพียงฟ้าอ่อนข้อลงในทันที จริงอยู่ที่เธออยากกันให้กวินวัฒน์ออกจากเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าเรื่องมันคงไม่จบในวันสองวันนี้แน่ ไหนจะเรื่องคนเจ็บ เรื่องตำรวจอีก ถ้าปล่อยให้เขาเข้ามายุ่งด้วยจะกลายเป็นว่าต้องเจอหน้ากันอยู่เรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ดีต่อใจเธอเอาเสียเลย ทว่าเวลานี้...สิ่งที่เธอควรโฟกัสที่สุดไม่ควรเป็นเรื่องของตัวเอง จริงอย่างที่เขาว่านั่นละ

เวลานี้คนเจ็บสำคัญที่สุด

คนตัวสูงเปิดประตูเข้ามานั่งในรถ พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กวินวัฒน์มองเบอร์ที่โทร. เข้ามาแล้วก็ไม่ได้ประหลาดใจ เขาพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าจะต้องมีสายเข้า

ชายหนุ่มกดรับ ฟังปลายสายพูดไม่กี่คำก็ตอบกลับ “อืม กำลังไป”

เขาออกรถทันทีที่กดวางสาย ก่อนที่ความเงียบจะเข้ากลืนบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ หัวใจเพียงฟ้ายังสั่นไม่หายจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ภาพใบหน้าครึ่งซีกของน้ำผึ้งที่อาบไปด้วยเลือดยังติดตาเธออยู่ หญิงสาวภาวนาในใจลึกๆ ว่าขออย่าให้พนักงานของเธอเป็นอะไรมากเลย

“ผึ้งเป็นไงบ้าง” เธอหันไปถามคนขับด้วยเสียงเจือความหวั่น 

กวินวัฒน์หันมองเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปมองถนนต่อ กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงเงียบ สมองเขากำลังคิดว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี ตอนนี้ดวงหน้าของเพียงฟ้าซีดเผือด ซีดเสียจนเขาไม่อยากพูดอะไรให้เธอกลัวไปมากกว่านี้ แค่นี้สติสตังของเธอก็กระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว ดูอย่างตอนนี้สิ เธอวิ่งออกมาทั้งที่ยังไม่ถอดชุดเชฟออกด้วยซ้ำ 

“กาย” เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อเขาหลังจากที่ไม่ได้ยินมาห้าปี น้ำเสียงสั่นเจือความวิงวอน “เมื่อกี้ตอนที่นายดู อาการให้ ผึ้งเป็นยังไงบ้าง”

หัวใจของแพทย์หนุ่มเหมือนโดนบีบ วูบหนึ่งรู้สึกเหมือนได้แฟนสาวคนเดิมกลับมา เขาหันไปลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบเธอ

“แค่ห้ามเลือดน่ะ ไม่ได้ตรวจละเอียด”

กวินวัฒน์ตอบปัดไปก่อน ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาพอรู้อาการคนเจ็บอยู่บ้าง น้ำผึ้งหัวแตกซึ่งน่าจะโดนไม้เบสบอลกระแทก ไม่แน่ใจว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนด้วยไหม มีบาดแผลเล็กๆ อีกมากมายตามร่างกายที่โดนเศษกระจกบาด และจุดที่ทำให้ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะโดนทางห้องฉุกเฉินโทร. ตามตัว ก็เพราะ...

มีเลือดออกจากดวงตาของคนเจ็บ

สองมือของเพียงฟ้าจับกันเอาไว้แน่นที่หน้าขา แม้กวินวัฒน์จะพูดด้วยเสียงเรียบๆ คล้ายว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เธอรู้จักนิสัยเขาดี คบกันมาเกือบเจ็ดปีทำไมเธอจะไม่รู้จักเขา 

คนข้างๆ กำลังปิดบังข่าวร้ายกับเธออยู่ และนั่นยิ่งทำให้ความกลัวในใจหญิงสาวทวีคูณมากขึ้น เพียงฟ้าอยากจะบอกตัวเองว่าน้ำผึ้งไม่เป็นอะไร แต่เวลานี้แค่จะเอ่ยคำนั้นในใจเธอยังพูดมันออกมาไม่ได้เลย

หญิงสาวเม้มปากแน่น พยายามกลั้นความกลัวของตัวเองเอาไว้สุดใจ เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเขา จิกเล็บลงกับหลังมือเพื่อดึงสติตัวเองไว้ เวลานี้เธอต้องเข้มแข็ง ต่อให้ใจจะหวาดหวั่นแค่ไหนก็ไม่มีใครช่วยเธอได้นอกจากตัวเอง

ความคิดของหญิงสาวหยุดลงในวินาทีที่มือใหญ่ยื่นมากอบกุมสองมือของเธอเอาไว้ ความอุ่นจากมือเขาแผ่ซ่านเข้ากลืนกินความเย็นเฉียบของมือเธอไปแทบจะหมดสิ้น ไม่มีคำพูดใดจากปากกวินวัฒน์ มีเพียงสัมผัสจากปลายนิ้วสากที่เคาะลงเบาๆ บนหลังมือของเธอ หัวใจที่พร่ำบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็งอ่อนยวบลงราวกับเจอที่พึ่ง พร้อมกับที่น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงมา

กวินวัฒน์รู้สึกถึงหยดน้ำที่ร่วงลงกระทบหลังมือเขา ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้หันไปมอง แต่ไหนแต่ไรแล้วที่เพียงฟ้าไม่ชอบแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นแม้แต่เพื่อนสนิทก็เห็นน้ำตาของเธอนับครั้งได้ มีเพียงเขาที่เป็นคนรักของเธอเท่านั้นที่หญิงสาวจะเผยทุกอย่างในใจออกมา

ทว่าในเวลานี้...เขาเป็นคนอื่นไปแล้ว แน่นอนว่าเธอย่อมไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นไว้ได้ของเธอ

“ผึ้งจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม” หญิงสาวถามเสียงสั่น “ผึ้งจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมกาย”

กวินวัฒน์บีบมือของเธอเบาๆ แล้วหันไปมองสบตาที่ปริ่มไปด้วยน้ำใสๆ ก่อนจะกดยิ้มมุมปากให้ “เธอเชื่อใจฉันหรือเปล่า”

 

คำถามสุดท้ายที่เขาฝากไว้ยังก้องอยู่ในหัวเพียงฟ้า เมื่อนาทีก่อนหน้า กวินวัฒน์เพิ่งขับรถมาเทียบหน้าประตูโรงพยาบาลแล้วบอกให้เธอลงไปก่อนเพราะเขาต้องไปจอดรถ หญิงสาววิ่งไปติดต่อที่เคาน์เตอร์และทราบว่าน้ำผึ้งยังอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน เพียงฟ้าแสดงตัวว่าเป็นนายจ้างของคนเจ็บ ก่อนจะรีบมารอที่หน้าห้องฉุกเฉิน

ไม่กี่นาทีก็มีเสียงคนวิ่งตรงมา พอหันไปมอง สายตาของเธอก็ประสานเข้ากับเขาพอดี เพียงฟ้าไม่ถอนสายตาหนีอย่างครั้งก่อนๆ ยังคงมองเขาด้วยสายตาวิงวอน เวลานี้เธอเป็นเพียงญาติผู้ป่วยที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนรออยู่ตรงนี้ แต่เขาเป็นหมอ เป็นหมอที่สามารถก้าวเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้โดยไม่มีใครขวาง

เขาบอกให้เธอเชื่อใจเขาใช่ไหม เขาจะช่วยน้ำผึ้งได้ใช่หรือเปล่า

ตั้งแต่รู้จักกันมา กวินวัฒน์เป็นคนเก่งในสายตาเธอเสมอ เธอต้องเชื่อใจเขา เธอต้องเชื่อมือเขา เพียงฟ้าพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจ

ประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักออกมาโดยพยาบาลคนหนึ่งตอนที่คนตัวสูงวิ่งมาถึง เพียงฟ้ากำลังจะก้าวเข้าไปถามอาการคนเจ็บ ทว่าพยาบาลกลับไม่ได้มองมาที่เธอ แต่เอ่ยกับอีกคนแทน

“อาจารย์มาพอดี ทางนี้ค่ะ”

เพียงฟ้ามองตามหลังกวินวัฒน์ที่ก้าวตามคนพูดไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลเกินจะปิดกั้น เป็นตอนนั้นเองที่คนในสายตาหันกลับมา หญิงสาวเผยอปากกำลังจะเอ่ยบางอย่างกับเขา ทว่าสายตาที่ส่งผ่านมากลับบอกเธอว่าเขาเข้าใจความหนักอึ้งในใจเธอแล้วทั้งหมด ก่อนจะพยักหน้าย้ำความเชื่อมั่นให้เธออีกครั้งในวินาทีสุดท้าย...ก่อนประตูห้องฉุกเฉินจะปิดลง

หญิงสาวทอดสายตาไปยังกระจกสีขุ่นบนประตูซึ่งยังไม่หยุดแกว่งจากแรงเหวี่ยง ภาพวันวานที่เขายังอยู่เคียงข้างเธอในฐานะคนรักค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัว

‘จ๊ะเอ๋ รอนานรึเปล่า’ คนตัวเล็กโผล่หน้ามาถามผ่านกระจกรถที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูเข้ามานั่งในรถ

‘ยี่สิบนาทีได้’

‘ทำไมไม่เข้าไปนั่งข้างในล่ะ ไม่ร้อนเหรอ’

กวินวัฒน์ส่ายหน้ายิ้มๆ ‘นั่งข้างในคนชอบชวนคุย ฉันคิดเรื่องงานอยู่’

‘หูยยย นี่มันวันหยุดนะคะ คุณหมอไม่คิดจะหยุดสมองหน่อยเหรอ’

‘หยุดได้แค่ตอนเจอหน้าเธอ’

เพียงฟ้าเบ้ปากให้ ‘แหงละ กว่าจะเจอกันได้แต่ละทีย้ากยาก ลองคิดเรื่องอื่นตอนอยู่กับฉันดูสิ’

‘จะทำไม’

หญิงสาวหรี่ตาให้อย่างมาดหมาย ‘จะจูบให้ลืมไม่ลงเลย’

คนจะโดนคาดโทษหัวเราะลั่นรถ ก่อนจะยื่นมือไปรับถุงพลาสติกที่เธอถือไว้ในมือ เอี้ยวตัวเอาไปวางที่เบาะหลังให้แล้วถามไปด้วย ‘เรียนวันนี้เป็นไงมั่ง’

‘สนุกเหมือนเดิม รู้ไหมฉันทำงานมาทั้งอาทิตย์เพื่อรอเรียนทำอาหารในวันหยุดเลยนะ ถึงจะแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เถอะ ความเหนื่อยจากงานออฟฟิศทั้งอาทิตย์นี่หายไปหมดเลย’

‘ขนาดนั้นเลย?’

‘ใช่!’

‘ไม่ได้หายเหนื่อยเพราะได้เจอหน้าฉันหรอกเหรอ’

คนฟังอมยิ้ม หันไปมองคนขับรถที่ทำหน้านิ่งมองถนนราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้ชงเข้าตัวเอง เพียงฟ้าเอนตัวไปใกล้เขาอีกหน่อย ‘หายเหนื่อยเพราะได้ทำอาหารให้คุณหมอกินค่ะ’ เขาหันมายิ้มกว้างให้ ‘ถุงที่เบาะหลังนั่นเอากลับไปด้วยเลยนะ ทำมาเผื่อไว้ไปกินที่โรง’บาลพรุ่งนี้ อ้อ มีของเป๋ากับธันย์ด้วย’

 กวินวัฒน์วางมือบนศีรษะคนที่พูดไม่หยุด ก่อนจะโยกน้อยๆ ‘ขอบคุณครับ’

เสียงเจื้อยแจ้วดังอยู่เรื่อยๆ ตลอดทาง เพราะเพียงฟ้ากำลังเล่าว่าวันนี้เธอเรียนอะไรไปบ้าง คนที่ทำอาหารได้ไม่กี่อย่างอย่างเขาฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างแต่ก็ฟังไปยิ้มไปทุกครั้ง เธอแอบมาลงเรียนทำอาหารโดยที่ที่บ้านไม่รู้ เพราะพ่ออยากให้โฟกัสกับงานที่บริษัทมากกว่า กวินวัฒน์จึงเป็นคนใกล้ตัวไม่กี่คนที่เธอแบ่งปันเรื่องนี้ได้ 

ชายหนุ่มเคยบอกว่าชอบฟังเธอเล่าเพราะดวงตาของเธอจะเปล่งประกายความสุขออกมาทุกครั้ง และนั่นเป็นสิ่งที่บอกเขาอย่างชัดเจนว่าเธอรักการทำอาหารมากแค่ไหน เพียงฟ้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าเขามองเห็นอะไร แต่ที่แน่ๆ กวินวัฒน์เคยแซวว่าเธอต้องดีใจจนน้ำตาแตกแหงๆ ถ้าวันที่เธอได้เป็นเชฟมาถึงจริงๆ...และเขาไม่พลาดที่จะอยู่ร่วมวินาทีนั้นกับเธอ

...เธอก็อยากให้เขาอยู่ด้วยเช่นกัน

‘วันหยุดแท้ๆ ไม่รู้ทำไมคนบางคนต้องทำงานด้วยก็ไม่รู้’

ชายหนุ่มหันไปมองคนที่เริ่มหน้างอ ‘อ้าว ก็โดนเวรฉุกเฉิน แต่ก็เข้ากะดึกนะ ยังมีเวลาตั้งเยอะ’

‘นายไปทำบุญบ้างดีไหม โดนเวรฉุกเฉินกะดึกตลอดเนี่ย’

กวินวัฒน์หัวเราะลั่น ‘เขาก็โดนทั่วถึงกันทุกคนแหละ อินเทิร์นอะ นี่ยังดีนะ ปีสองแล้วยังมีหยุดเสาร์-อาทิตย์’

ก็จริงอย่างที่ชายหนุ่มว่า เพราะเมื่อปีที่แล้วตอนที่กวินวัฒน์ยังเป็นแพทย์อินเทิร์นปีแรก ต้องทำงาน 365 วันไม่มีวันหยุด ไหนจะขึ้นเวรนั่นเวรนี่จนคนไม่ได้เป็นหมอฟังแล้วเวียนหัว ปีทั้งปีเรียกว่าเจอกันนับครั้งได้ ขนาดป่วยไข้ขึ้นยังต้องใส่เสื้อกันหนาวหอบสังขารไปขึ้นเวรหลังเลิกงานเพราะเพื่อนที่สนิทๆ กันก็โดนเวรหมด ไม่มีคนไหนว่างมาแทนได้

เป็นเพียงฟ้านี่แหละที่เลิกงานแล้วขับรถไปดูแลเขา ไปถึงคนป่วยก็นอนซม ต้องเช็ดตัวให้เป็นชั่วโมงกว่าไข้จะลด ตอนสมัยที่เขายังเรียน กวินวัฒน์ชอบพูดตลอดว่าเป็นแฟนหมอต้องดูแลตัวเองนะ เพราะหมอต้องไปดูแลคนอื่น แต่พอเขาได้มาเป็นหมอจริงๆ ไหงแฟนหมอต้องมาดูแลหมอตอนป่วยด้วยเนี่ย ดีนะที่เขาสมัครอินเทิร์นได้โรงพยาบาลแถวปทุมธานี ถ้าไปต่างจังหวัดที่ไกลกว่านี้ เธอต้องเป็นห่วงเขาจนอกแตกตายแน่ๆ

พอมาปีนี้ได้มีวันหยุด เรียกว่าหายใจหายคอคล่องขึ้นบ้าง ทว่ายังไงกวินวัฒน์ก็ยังเป็นมนุษย์ที่ยุ่งมากในสายตาของหญิงสาวอยู่ดี สมแล้วที่เธอบันทึกชื่อเขาในโทรศัพท์ว่า...มนุษย์ยุ่ง เขาก็เลยเปลี่ยนชื่อเธอในโทรศัพท์เขาเป็น...แฟนมนุษย์ยุ่ง เหมือนกัน

ถึงจะเห็นด้วยกับสิ่งที่กวินวัฒน์พูด แต่เพียงฟ้ายังทำหน้ามุ่ย แน่สิ ก็แฟนหนุ่มของเธอเล่นทำงานเป็นโรบอตขนาดนั้น ‘แล้วนี่เลิกเวรกี่โมง’

‘แปดโมงเช้าไง’

คนฟังผูกคิ้ว ‘เดี๋ยวนะ งั้นออกเวรแล้วก็ทำงานต่อตอนแปดโมงอีกแล้วเหรอ’

‘ใช่’

‘แล้วจะนอนตอนไหน’

‘หลังสี่โมงพรุ่งนี้ไง’

เพียงฟ้าฟังแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ‘ไหวแน่นะ’

‘ผ่านปีที่แล้วมาได้ แค่นี้สบ้าย’

‘อื้ม กินเยอะๆ ด้วยละกัน’

ริมฝีปากของชายหนุ่มแย้มขึ้น ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งไปบีบแก้มสองข้างของคนหน้าบูด ‘เชฟทำอร่อยขนาดนี้ กินไม่เยอะก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว’

หญิงสาวปัดมือเขาออก ยิ้มกลับให้คนพยายามง้อ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ‘นี่ ถามจริงๆ นะ ตอนเรียน นายก็ไม่ได้ขอทุนเรียน เรียนจบหมอหกปีแล้วทำไมไม่ไปทำงานที่รีเซลดาล่ะ พ่อนายก็เป็น ผอ. อยู่ที่นั่นนี่ ไม่เห็นต้องสมัครอินเทิร์นเหมือนแพทย์ใช้ทุน แล้วต้องมาทำงานเหมือนขายวิญญาณในโรง’บาลรัฐเลย’

‘ขอโทษนะ ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้’

‘ฉันเป็นห่วงสุขภาพนายมากกว่า’ เพียงฟ้าย้ำเสียงเข้มขึ้น

‘ฉันอึดจะตายเธอก็รู้ ขนาดปีที่แล้วงานหนักขนาดนั้นยังป่วยแค่ครั้งเดียวเอง’

เพียงฟ้าแค่เหลือบไปมอง แต่ก็จนใจจะพูดต่อ บรรยากาศในรถจึงเงียบลง ชายหนุ่มถอยรถเข้าจอดในช่องจอดของห้างสรรพสินค้า เพราะวันนี้ทั้งคู่ตั้งใจจะมาดูหนังด้วยกัน พอดับเครื่องรถได้ เขาก็หันไปรั้งแขนคนที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถ

‘เรียนหมอจบหกปีไม่เป็นอินเทิร์นก็ได้ แต่ก็ยังไม่เก่งไง ยังมีประสบการณ์การทำงานน้อย เลยต้องสมัครไปทำงานในโรง’บาลรัฐ เจอเคสหลากหลาย จะได้มีประสบการณ์เยอะๆ อดทนทำงานหนักไม่กี่ปีหรอก ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอด’

เพียงฟ้ามองแววตาแน่วแน่ของเขา เธอรู้ดี ทุกการตัดสินใจของกวินวัฒน์มีเหตุผลเสมอ ‘ถ้าจบอินเทิร์นสามปีแล้วเก่งเลยไหม’

เขาขมวดคิ้วน้อยๆ ‘อาจจะต้องเรียนต่อเฉพาะทางอีกหน่อย หลังจากนั้นคงก็เก่งพอจะไปทำงานที่รีเซลดาได้...เธอช่วยอดทนอยู่ข้างๆ กันจนถึงวันที่ฉันเป็นหมอที่เก่งได้ไหม’

ฟังประโยคสุดท้ายที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดอ้อนหน่อยๆ แล้วก็อดอมยิ้มเขินไม่ได้ เพราะกวินวัฒน์ไม่ใช่คนที่จะอ้อนเธอบ่อยนัก แล้วพอเขาเอ่ยต่อว่า 

‘นะ...’ แค่นั้น เธอก็พลันยิ้มกว้างออกมา เขานี่รู้จุดตายของเธอจริงๆ

‘อนุญาตให้หลับเอาแรงในโรงหนังได้...แต่ต้องจับมือฉันไว้ห้ามปล่อยด้วย’

‘งั้นขอซบด้วยได้ไหม’

‘มากไป...’ เธอย้อนแล้วกลั้นยิ้มไว้ ‘แต่ได้!’

เสียงหัวเราะแห่งความสุขที่ดังขึ้นพร้อมกันของทั้งคู่ในวันนั้น เพียงฟ้ายังจำมันได้จนถึงตอนนี้ ทั้งคำพูด สีหน้า และคำขอร้องของเขา แม้ว่าสุดท้ายแล้วเธอจะไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาจนตลอดรอดฝั่ง แต่วันนี้เราทั้งคู่ก็พาตัวเองไปจนถึงฝั่งฝัน

เธอได้เป็นเชฟแล้ว 

เช่นเดียวกับเขา...

สายตาของเพียงฟ้ายังคงจับอยู่ที่ประตูห้องฉุกเฉิน รอยยิ้มจางๆ แต้มขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะบอกกับตัวเองเบาๆ 

“เขาเก่งแล้ว... เขาเป็นหมอที่เก่งแล้ว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น