๒
รัก...ยามเพรียกหา กลับวิ่งหนี ยามอยากหลีกลี้ กลับไล่ตาม
โคสึเกะไม่อยากเชื่อว่าเขาต้องกลับมาเหยียบเยือนเมืองเซาเปาลูอีกครั้ง ตอนพาญศกากลับฮาวาย เขาคาดว่าคงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องมาที่นี่อีก...แต่นี่แหละชีวิต ใครจะหยั่งรู้อนาคต
หลังจากไปรับย่าที่สนามบินนานาชาติฮาวายเมื่อวันก่อน และอีกฝ่ายก็เอาแต่เล่าเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่โตเกียว แรกๆ เขาก็ไม่คิดอะไร จนกระทั่งได้ยินประโยคเพชฌฆาต
‘โค่คุง ย่าขอดูจี้หน่อยสิหลาน’
‘ฮะ!...จะ...จี้...อะไรเหรอครับ’
‘จี้ประจำตระกูลน่ะซี เดี๋ยวนี้เราไม่เอามาห้อยคอแล้วรึ’
โคสึเกะใจหล่นวูบ เผลอตะปบคอทันทีเมื่อได้ยินคำถาม ตายละวา...เขาลืมเรื่องสำคัญนี้ไปได้ยังไงนะ
‘อะ...อ๋อ นึกว่าอะไร’ เขาหัวเราะกลบเกลื่อน ‘เอ่อ...ผมเก็บไว้น่ะครับ อยู่กับหาดทรายสายลมและท้องทะเล กลัวหล่นหาย’ เขาอธิบายอึกอัก ให้เหตุผลส่งเดชเท่าที่พอจะนึกได้
‘ไม่ได้นะหลาน เราต้องเอาติดตัวไว้ตลอด หรือเพราะเราไม่ห้อยจี้ ไม่ได้เก็บไว้กับตัวหรือเปล่าถึงได้เกิดเรื่องประหลาด บรรพบุรุษคงโกรธที่หลานไม่เห็นความสำคัญ นี่...เดี๋ยวเอามาห้อยคืนนี้เลยนะ’
‘อ๋อ...ครับๆ’ เขารับปากส่งๆ ขณะที่ย่ายังกำชับนักหนาไม่ให้ลืม
จากนั้นเขาก็สรรหากิจกรรมให้ย่าทำ แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ใจร้อนรุ่ม หลังส่งท่านพักผ่อน เขาก็รีบไปหาช่างเพื่อสั่งทำจี้อันใหม่เลียนแบบจี้ที่หายทันที ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองสะเพร่าลืมของสำคัญ เขากดดันให้ช่างซึ่งเป็นเพื่อนเขาเร่งมือให้เสร็จทันก่อนเวลาเดินทาง และเพื่อนที่เขาหวังพึ่งพาสุดใจก็บ่นว่า
‘ขอโทษเถิดครับมะเอะดะซัง แบบจี้ที่ท่านกรุณาวาดให้ผมนี่...มัน...ใช้มือวาดหรือเปล่าครับท่าน กระผมพลิกกระดาษกลับหัวกลับหางหลายตลบแล้ว มันดูไม่ค่อยออกและแกะแบบยากจริงๆ ผมว่าเราน่าจะหารูปจากอินเทอร์เน็ตง่ายกว่าไหมครับ แถมท่านยังสั่งให้ทำยังไงก็ได้ให้มันดูเก่าๆ แล้วมาเร่งจะเอาให้ได้ในวันสองวันอีกด้วย...ถ้าอย่างนี้คงต้องอัญเชิญบรรพบุรุษเอ็งมาทำเองแล้วมั้งคร้าบ...ไอ้ท่านโค่’
แม้มันจะขุ่นเคืองโวยวายจนเปลี่ยนสรรพนามเขา แต่เขาก็ยังตื๊อและให้กำลังใจ นั่งเฝ้ามันที่ร้านบ่อยๆ บางวันก็มาขลุกอยู่ด้วย ไม่ไปไหน ทำให้แฟนสาวฝรั่งหน้าแฉล้มคนใหม่ของมันต้องคอยอยู่ใกล้พร้อมบริการกาแฟถ้วยแล้วถ้วยเล่าและขนมนมเนยให้เขา
‘ขนาดฉายาเอ็งดังทั่วเกาะ แฟนข้ายังแพ้เสน่ห์ไอ้มาดเก๊กขรึมของเอ็งจนได้ เอ้า...เอาไป หนนี้คงได้อย่างที่ต้องการแล้วนะเว้ย’
เพื่อนที่มีอาชีพเป็นช่างแต่ย้ำเสมอว่าตัวเองเป็นศิลปินหย่อนจี้ซึ่งเร่งมือทำให้จนเหมือนลงบนฝ่ามือเขา
โคสึเกะนึกถึงเหตุการณ์นั้นขณะลูบจี้ปลอมที่อยู่บนอก ตอนนั่งเครื่องบินมาเมืองนี้เมื่อคราวก่อน เขาก็นั่งลูบจี้ซึ่งมีแบบและลวดลายเดียวกันนี้เปี๊ยบเลย แต่จี้อันนั้นเป็นของจริง ของเก่าแก่ที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษซึ่งคาดว่าเขาคงทำหล่นหายที่ประเทศบราซิล
ช่างมัน...หายแล้วก็หายไป แต่จี้ที่ห้อยคออันใหม่นี้ยังไงเขาก็จะไม่ยอมถอดออกและคงไม่หายอีกแน่ ก็เพราะว่าทริปนี้มีคุณย่าประกบเขาตลอดน่ะสิ เขาอมยิ้มเมื่อนึกถึงความน่ารักของหญิงชราผู้นี้...คุณย่าทั้งบังคับแกมอ้อนวอนสารพัด จนในที่สุดเขาก็ต้องพาท่านมาร่วมงานแต่งงานของญศกา
‘ย่ากลัวจริงๆ ไอ้เชื้อหวัดสายพันธุ์ใหม่ เราขึ้นเครื่องบินไปส่งย่าหน่อยแล้วกันนะโค่คุง’
ท่านพูดอย่างกับว่าเขาคือตัวอะไรสักอย่างที่จะคุ้มกันท่านจากเชื้อโรคนี้ได้ แต่ที่ท่านพูดก็มีเหตุผล บราซิลเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในโลกขณะนี้ แต่คุณย่าของเขาก็เหมือนกับคนญี่ปุ่นทั่วไปที่เตรียมการป้องกันปัญหาทุกอย่างเป็นอย่างดี ท่านฉีดวัคซีนป้องกันไข้เหลืองแล้วที่ญี่ปุ่นก่อนขอวีซาเข้าประเทศบราซิลและซื้อชุดเซตป้องกันไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่สำหรับนักเดินทางมาถึงห้าชุด ซึ่งแต่ละชุดมีตั้งแต่มาสก์ปิดจมูกทั้งชนิดผ้าและกระดาษ สำลี กระดาษทิชชู แอลกอฮอล์และเจลล้างมือ ในนั้นยังมีวิตามินและยาบำรุงต่างๆ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานอีกด้วย
‘ถ้าไวรัสเห็นของในกล่องนี่มันคงเผ่นแหละครับ’ เขาอดไม่ได้ที่จะแซวอย่างขำๆ
แต่ตอนนี้เมื่อมองไปทั่วท่าอากาศยานที่มีผู้คนหลั่งไหลอย่างกับมดอพยพแบบนี้ เขาก็ลอบมองหญิงชราแล้วอมยิ้ม เมื่อเห็นท่านดึงผ้าปิดจมูกให้เข้าที่และตบเบาๆ รอบผ้าผืนนั้นราวกับจะปิดช่องว่างไม่ยอมให้เชื้ออะไรเล็ดลอดเข้าไปได้
“คุณย่าเอากระเป๋ามาแนบไว้กับตัวด้านหน้านะครับ ต้องระวังกันหน่อย”
เขาเตือนญาติผู้ใหญ่เบาๆ ยังจำได้ว่าคราวก่อนเขาโดนล้วงกระเป๋าที่สนามบินนี้แหละ คนพลุกพล่านแบบเดียวกันนี้เลย ดีที่วันนั้นในกระเป๋ากางเกงด้านหลังมีธนบัตรดอลลาร์สหรัฐไม่กี่เหรียญเท่านั้น และยิ่งนักท่องเที่ยวอย่างเขาโดนคนท้องถิ่นจับเหวี่ยงลงบาทวิถีและถูกรถเฉี่ยวชนเพิ่มเข้าไปอีก คนที่มาจากเมืองที่มีความปลอดภัยสูงติดอันดับต้นๆ ของโลกอย่างเขาจึงจดบันทึกลงสมองทันทีว่าเมืองใหญ่ของบราซิลแห่งนี้อันตรายเกินไป
นั่นเป็นสาเหตุหลักที่เขาไม่อยากให้ญศกาอยู่ในเมืองที่มีคุณภาพชีวิตแบบนี้
โคสึเกะสะพายกระเป๋าขนาดย่อมพร้อมโอบไหล่หญิงชราพาเดินอย่างรู้ทาง จนมายืนรอคิวที่แถวคนต่างชาติ เขาหรี่ตา กระตุกมุมปากเมื่อสตรีวัยกลางคนสองคนมาจากไหนไม่รู้เข้ามาแซงคิว...นี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ไม่ยึดถือระเบียบปฏิบัติของผู้คนในดินแดนลาตินอเมริกา ยังไม่ทันจะคิดทำอะไร เขาเห็นคุณย่าสะกิดหลังผู้มาใหม่แล้วเตือนเป็นภาษาอังกฤษ ฝ่ายนั้นหันหน้ามาแล้วบ่นเป็นภาษาละตินยืดยาวขณะหมุนตัวเดินไปด้านหลัง
โคสึเกะโคลงศีรษะเบาๆ เริ่มหงุดหงิดกับทุกอย่าง...สถานที่ ผู้คน รวมไปถึงอากาศ เดือนธันวาคมของที่นี่ทำไมร้อนอย่างนี้ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้คน เสียงผู้คนพูดคุยรัวลิ้นเซ็งแซ่อยู่รอบกาย เขาใช้เวลานานเกือบสองชั่วโมงกว่าจะฝ่าออกจากสนามบินได้ นึกสงสารคุณย่าเมื่อเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าท่าน ทว่าดวงตายังฉายแววกระตือรือร้นที่จะได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่
เขาจอดรถเข็นสัมภาระ แล้วโอบบ่าอีกฝ่าย “ผมไปหาอะไรเย็นๆ มาให้คุณย่าดื่มก่อนดีกว่า นั่งเครื่องมาตั้งสิบหกชั่วโมง แล้วยังต้องเสียเวลาที่จุดตรวจคนเข้าเมืองตั้งนานอีก คุณย่ารอตรงนี้แป๊บนะครับ”
“ไม่เป็นไรโค่คุง ย่าอยากถึงที่พักเร็วๆ มากกว่า แกตัวสูงๆ ลองมองหาน้องซิ ยิ่งกำลังท้องกำลังไส้ ดูซิว่าน้องยืนรออยู่ตรงไหน”
“ก็นัดไว้แถวๆ นี้แหละครับ แต่เอ...”
เขากวาดตามองหาญศกา ญาติผู้น้องรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมารับ แต่ผู้คนละลานตาจนเขาตาลายแยกไม่ออก ยังไม่เห็นใครที่ใกล้เคียงญศกาสักนิด
“Bem-vindo ao Brasil! Welcome to Brazil!”
เสียงหวานๆ ลอยมาเข้าหู เขาจึงหันไปตามสัญชาตญาณ แล้วก็ต้องผงะเมื่อหญิงสาวนางหนึ่งเหมือนเซมาเกาะแขนเขาจนจมูกของเขาเกือบชนแก้มนวลนั้น เธอหัวเราะคิก เขาถอนหายใจและขมวดคิ้วเมื่อเห็นใบหน้านั้น พับผ่าสิ...แค่เธอมาเกาะแขนแค่นี้ เขาก็ร้อนวูบแล้ว โคสึเกะขยับถอยหลังก้าวหนึ่ง...แล้วนี่เธอไปกินอะไรมานะ พบกันหนนี้ถึงตัวสูงเกือบชนหน้าเขา คราวที่แล้วเธอยังสูงแค่หัวไหล่อยู่เลย
แล้วก็ได้คำตอบ วันนี้มาร์เซียสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายลายทางฟ้าขาว มีสายรัดจับจีบใต้อกเสริมให้เห็นทรวงอกอวบอิ่มเต็มวัยสาวและสวมรองเท้าส้นเข็มสูงมากนั่นเอง
โคสึเกะชะงัก...นี่เขาสนใจน้องสาวของเจ้ามาร์กุสตั้งแต่เมื่อไรว่าเจ้าหล่อนสูงต่ำดำขาวสาวเต็มอิ่มหรือไม่
“คราวหน้ากรุณาให้สุ้มให้เสียงก่อนถึงตัวหน่อยจะได้ไหม” เขาบอกเสียงเข้มเพื่อเบี่ยงเบนความไขว้เขวของตัวเอง แต่เสียงที่เปล่งออกไปกลับแหบพร่ามากกว่าทรงพลัง และหงุดหงิดยิ่งขึ้นเมื่อคนถูกต่อว่ายังทำตาใสร้องทักทาย
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เจ้าหล่อนยิ้มหวาน “ขอโทษค่ะ พอดีวันนี้ฉันใส่รองเท้าส้นสูงตั้งห้านิ้วแน่ะ”
เธอยังเกาะแขนเขาพลางขยับปลายเท้าโชว์ความสูงของส้นรองเท้าให้ดู โพสท่าราวกับนางแบบ
“ต้องลองให้ชิน กะจะสวมคู่นี้ในวันงานแต่งงานพี่มาร์กน่ะค่ะ แต่พอเห็นพวกคุณ อารามดีใจรีบร้อนไม่ทันระวัง เลยสะดุด เฮ้อ...นึกว่าจะล้มกลางลานต่อหน้าฝูงชนซะแล้ว...” มาร์เซียยังพูดกลั้วหัวเราะหน้าระรื่น “สวัสดีค่ะคุณย่า ขอต้อนรับสู่บราซิลค่ะ คนเยอะไปหน่อย เดินทางไกลเหนื่อยใช่ไหมคะคุณย่า นี่ค่ะ เครื่องดื่มเย็นๆ หนูเอามาฝาก สินค้าของเครืออี๊กเบ เย็นชื่นใจค่ะ”
หญิงสาวผละจากเขาไปเกาะกุมแขนคุณย่าเขาอย่างสนิทสนม พลางยื่นเครื่องดื่มน้ำชาให้ และยื่นกาแฟกระป๋องให้เขา...ผู้หญิงลาตินฯ นี่ช่างคล่องแคล่วจริงๆ เขาชำเลืองมองและแอบแบะปากเมื่อเห็นเธอฉอเลาะญาติผู้ใหญ่ของเขา
“งั้นเรารีบไปกันเถอะนะคะ ทางนี้ค่ะ”
“แล้วน้องสาวผมล่ะ”
“เธอรออยู่ในรถค่ะ ช่วงนี้เราสองคนไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลย ออกทุกวัน แถมวันนี้ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ฉันเลยขอร้องกึ่งบังคับให้นั่งรออยู่ในรถ คุณรู้ไหมวันนี้นะคะเราทำตามแผนได้ลุล่วงทู้ก...อย่างเลย เราไปลองชุดที่ต้องแก้ใหม่อีกหน ไปดูข้าวของที่จะใช้ในงาน และก็ไปชิมอาหารและขนมตามเมนูที่สั่...”
“โอเคๆ ผมทราบแล้วว่าคุณกับน้องผมไปมาหลายที่ ทำหลายอย่าง แต่เราไปคุยต่อในรถได้ไหม”
หรือไม่ก็หยุดเจื้อยแจ้วเสียที...นี่เขาจะหงุดหงิดทำไม รู้แต่ไม่อยากได้ยินเธอส่งเสียงหวานยาวกว่านี้ เขาอยากละสายตาจากเธอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การห้ามเธอพูดคงจะยาก เพราะนี่เป็นคุณลักษณะอีกอย่างของสาวลาตินฯ ที่พูดจ้อได้ทั้งวัน
“ไปครับคุณย่า”
เขาจูงมือญาติผู้ใหญ่ ขณะที่มาร์เซียประกบท่านอีกข้าง ส่วนสัมภาระทุกอย่างบอดีการ์ดร่างโตจัดการแต่แรกแล้ว
“โค่คุง ย่าขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
เขาพยักหน้า
“หนูไปเป็นเพื่อนค่ะ” สาวเจ้าถิ่นเสนอตัวเสียงใส
“ไม่เป็นไรจ้ะ หนูยืนคุยเป็นเพื่อนโค่เขาระหว่างรอย่าดีกว่า”
โคสึเกะกับมาร์เซียจึงต้องยืนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มยืนเอามือล้วงกระเป๋ามองไปอีกทาง พยายามไม่สนใจว่าเธอจะยืนมองทางไหน หรือกำลังทำอะไร
“ถามตรงๆ ทำไมคุณต้องปฏิเสธเรื่องเราเคยเจอกันมาก่อน” อยู่ดีๆ มาร์เซียก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“ก่อนอะไร ตอนไหน” เขายังยืนหันหลังให้เธออยู่ท่าเดิม
“ก่อนเกิดระเบิด ฉันจำได้ว่าเจอคุณ!” หญิงสาวเดินมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“งั้นผมคงโดนรถเฉี่ยว แล้วหัวกระแทกจนความจำเสื่อมมั้งครับ”
“คุณยืนยันว่าเราไม่เคยพบกันมาก่อน”
“อือฮึ...”
“ไม่เข้าใจว่าคุณจะปฏิเสธทำไม กะอีแค่เราเคยเจอกันมันเสียหายตรงไหน”
“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคุณจะมาคอยถามไอ้เรื่องแค่นี้ทุกครั้งที่พบกันทำไม บอกให้ก็ได้นะ ผมไม่ชอบ! ผมไม่คุ้นกับการตามตื๊อของพวกผู้หญิง” คอเขาตั้งตรงและมองเธอด้วยหางตาเหมือนเดิม
“ฉันไม่ได้ตื๊อคุณ ฉันไม่ชอบพูดโกหกต่างหาก ก็ได้...แล้วฉันจะทำให้คุณยอมจำนนกับความจริงนี้ คอยดู”
มาร์เซียไม่ยอมจบก่อนเบี่ยงตัวให้พ้นสายตาเขา
โคสึเกะพ่นลมหายใจออกทางปากแรงๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหลีกเลี่ยงผู้หญิงคนนี้ให้ได้ ใจว่อกแว่กพิกลเมื่อมีเธออยู่ใกล้ๆ เขาพยายามหาสาเหตุอยู่เหมือนกัน และก็พบว่าคงเป็นเพราะใบหน้านวลของเธอที่ตามเป็นมารผจญเวลาเขากกกอดพลอดรักอยู่กับสาวๆ นั่นกระมังทำให้เขาไม่ชอบหน้า เห็นแล้วพานหงุดหงิดและไม่สะดวกใจที่จะเสวนากับเธอ ตั้งใจแน่วแน่ว่าเสร็จงานแต่งงานบ้าๆ ของเจ้ามาร์กุสเมื่อไรเขาจะรีบเดินทางกลับฮาวายทันที
เธอไม่ได้วิ่งไปจูบปากเขาดั่งที่คิดพิเรนทร์เมื่อวันก่อน อารามดีใจที่เห็นเขาปรากฏตัวที่สนามบินทำให้รีบสาวเท้าเดินไปหาจนสะดุดรองเท้าตัวเองและเกือบไปชนจมูกโด่งของเขา วันนั้นเธอเห็นร่างสูงของเขาแต่ไกล ก็ใครจะลืมหน้าตาของคนที่มารบกวนในฝันได้เล่า
หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองว่าอะไรในตัวผู้ชายคนนี้ที่ทำให้หัวใจเต้นตึ้กตั้กตลอดเวลาที่พบเห็นเขา โอเค เขาหล่อเหลาสะดุดตาน่ะใช่ แต่ผู้ชายลาตินฯ ที่หล่อกว่าเขาก็มีตั้งมากมายทำไมมันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเธอ และเป็นสิ่งพิเศษในตัวผู้ชายคนนี้...ใช่ เขาเป็นคนมีเสน่ห์ อาจเป็นได้ว่าด้วยรูปลักษณ์ของหนุ่มจากแดนเอเชียซึ่งผิดแผกจากคนบราซิลที่พบเห็นในเมืองนี้ได้ทั่วไปกระมังที่ทำให้เธอสนใจเขา
เขาไม่ได้มีดวงตากลมโตอย่างคนประเทศเธอ ทว่าตาเรียวยาวคู่นั้นมีสีนิลฉายแววอบอุ่นน่าไว้วางใจ ผิดกับตาคมดุของพี่ชายเธอ จมูกโด่งเป็นสันไม่คดงุ้มใหญ่โตเยี่ยงจมูกชาวลาตินฯ หรือคนเชื้อสายยุโรป รับกับคิ้วหนาเข้มเป็นเส้นตรง แนวสันกรามไม่มีหนวดเครารกครึ้มแสดงให้เห็นถึงการเอาใจใส่เรื่องความสะอาดรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างดี ริมฝีปากบนหยักได้รูปแถมเชิดนิดๆ บ่งบอกถึงความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ส่วนริมฝีปากล่างหนาและน่า...มาร์เซียเลียริมฝีปากเมื่อนึกถึงตรงนี้ ไม่...เธอต้องเลิกมองปากเขา!
ครั้นมองต่ำลงมาก็พบไหล่กว้างที่แนบกับเสื้อยืด จินตนาการได้ถึงมัดกล้ามและแผงอกบึกบึนภายใต้เสื้อตัวนั้น เมื่อทุกอย่างมารวมอยู่ด้วยกันและพินิจนานๆ ผู้ชายคนนี้มีใบหน้าชวนมองดูสบายตาเป็นอย่างยิ่ง ใช่แล้ว...ยิ่งมองเธอยิ่งยอมรับว่าเขาเป็นหนุ่มหล่อและมีเสน่ห์ที่ยากจะละสายตาไปได้ง่ายๆ แต่มันน่าแปลกตรงที่ผู้ชายที่มีใบหน้าดูเป็นมิตรอย่างเขาไม่ลงรอยกับพี่ชายเธอ สารวัตรโฮแบร์โตเคยเล่าว่าโคสึเกะกับมาร์กุสเคยไว้วางใจกันและกัน เคยร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือญศกาและมารดาเธอตอนโดนลักพาตัวเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน...แต่อะไรกันนะที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ลงจนจูนกันไม่ติดแบบนี้
มาร์กุสไม่ใช่คนไร้เหตุผล แต่สำหรับโคสึเกะ เธอชักไม่แน่ใจ แค่เขากับเธอเคยพบเจอกันมาก่อน เขายังเอามือล้วงกระเป๋ายืนหลังตรงขี้เก๊กตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธเลย...นอนคิดมาหลายคืนแล้วว่าทำยังไงถึงจะทำให้เขายอมรับได้ และในที่สุดมาร์เซียก็พบทางออก คอยดูสิ เธอจะทำให้เขายอมรับในวันนี้ให้ได้ เพราะวันนี้ฤกษ์ดีจะตาย...หญิงสาวเอามือจับคอเสื้ออย่างมาดมั่น
ในงานเลี้ยงแต่งงานของพี่ชายเธอกับญาติผู้น้องของเขา ทุกคนตื่นเต้นและตื้นตันใจกับงานมงคล ไม่มีใบหน้าผู้ใดขาดรอยยิ้มเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการทั้งหลาย และเธอมีโอกาสพักจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ทำในฐานะเพื่อนเจ้าสาวแล้ว เธอจึงมานั่งดื่มกับญาติและเพื่อนๆ ที่โต๊ะ พวกสาวๆ หลายคนมองไปที่ฟลอร์ สนใจหนุ่มเอเชียร่างสูงคนนั้น...โคสึเกะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและสวมทับด้วยสูทแจ็กเกตสีดำเน้นช่วงไหล่กว้างผึ่งผาย หูกระต่ายสีขาวทำให้เขาดูเท่และสง่ากว่าเดิม
เขารู้ได้อย่างไรว่าสูทยี่ห้อนี้ทำให้เขาดูดีได้ถึงขนาดนี้ ไม่ได้พูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าถ้าไม่นับเจ้าบ่าว...พี่ชายเธอซึ่งโดดเด่นที่สุดในงานวันนี้แล้ว โคสึเกะเป็นชายหนุ่มที่ดึงดูดสายตาสาวๆ ได้มากที่สุดของงานทีเดียว โดยเฉพาะบรรดาสาวทั้งโสดและไม่โสด หลายนางเดินมากระซิบถามไถ่เธอว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ยังโสดใช่ไหม จนเธอทั้งเบื่อและเอียนที่จะตอบคำถามเหล่านั้น ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องหงุดหงิดเวลามีใครมาถามเรื่องเขา
“เขาเป็นญาติผู้พี่ของเจ้าสาว...ก็พี่สะใภ้ฉันนั่นแหละ ท่าทางจะเป็นหนุ่มรักสงบ ถือตัวและน่าจะโสดเพราะไม่สวมแหวน ทำงานเป็นจีเอ็มโรงแรมที่ฮาวาย และหนุ่มญี่ปุ่นคนนี้เป็นเกย์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันไม่เห็นเขาสุงสิงกับผู้หญิงคนไหน และสำคัญที่สุดก็คือ เขาเกลียดผู้หญิงลาตินฯ อย่างพวกเรา...จบข่าว!”
เป็นประโยคที่เธอบอกสาวๆ...ญาติห่างๆ ของเธอคนนี้เป็นคนที่ยี่สิบได้แล้วมั้งที่มาสะกิดถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ตอบไปแบบนั้น...แต่ดูสิ อีตานี่ไม่เคยทำอะไรตรงตามคำกล่าวของเธอเลย
ชายหนุ่มที่เธอบอกทุกคนไปว่ารักสงบ หยิ่ง และไม่ชอบสาวลาตินฯ กำลังระรื่นเริงร่าสนุกสนานเฮฮา เต้นรำโยกย้ายส่ายสะโพกเสียดสีกับผู้หญิงลาตินฯ หลายคนที่ห้อมล้อมข้างกายเขาอยู่กลางฟลอร์ในจังหวะเร่าร้อน
“เธอกะจะเก็บเขาไว้คนเดียวหรือไง แม่ผีเสื้อน้อยมาร์ซีนญ่า ถึงบรรยายสรรพคุณของเขาแบบนั้นน่ะ ผู้ชายอะไร้...ดูตาเรียวๆ คู่นั้นของเขาสิ ช่างเป็นมิตร” ญาติสาวคนหนึ่งของเธอทำเสียงเหมือนเพ้อ “แถมหล่อล่ำน่ามองมากๆ ยิ่งเวลายิ้มนะมีเสน่ห์ที่สุด ไม่เห็นท่าว่าเขาจะรังเกียจผู้หญิงลาตินฯ ตรงไหน ดูเขาแฮปปีกระดี๊กระด๊ากับสาวๆ ที่นี่จะตาย”
“เออๆ ฉันคงเข้าใจผิด ผู้หญิงทั้งหมดบนโลกใบนี้ เขาคงจะเกลียดฉันอยู่คนเดียวละมั้ง” เธอหลุดปากตวาดออกไป แล้วได้แต่นั่งหน้างอมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ห่างๆ
อีตาหยิ่งขี้เก๊กนั่นออกไปวาดลวดลายกี่เพลงแล้วนะ...เธอนับนิ้ว สี่ห้าเพลงรวดได้ แล้วเธอเป็นบ้าอะไร ถึงมาคอยสังเกตเขาเกือบทุกชอตทุกตอน แม้กระทั่งเมื่อสิบนาทีที่แล้วตอนที่ชายผู้นี้ถูกบรรดาเพื่อนหญิงของมาร์กุสโอบเอวพาออกไปส่ายสะโพกโยกเอวอยู่กลางฟลอร์โดยมีแก้วแชมเปญอยู่ในมือ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแก้วเปล่าไปเรียบร้อยแล้ว
เธอกวักมือเรียกพนักงานให้เข้าไปรับแก้วจากเขาที ไม่อยากให้มีของตกแตกในงานมงคลของพี่ชายเธอในวันนี้ แล้วจึงลุกขึ้นเกือบจะทันทีที่เห็นเขาจูงมือสาวสะคราญนางนั้นเดินมาที่โต๊ะญาติๆ ของเขา...ดูเอาเถอะ เขาหน้าระรื่นฉีกยิ้มปากกว้าง เอียงคอเข้าไปใกล้ราวกับกำลังตั้งใจฟังผู้หญิงคนนั้นพูดแข่งกับเสียงดนตรีและทรุดตัวลงนั่ง
“เซญญอร์โคสึเกะ ขอคุยอะไรหน่อยสิคะ” เธอเอ่ยปากทันทีเมื่อหย่อนก้นลงนั่ง รอบๆ โต๊ะนั้นมีหลายคนนั่งอยู่รายล้อม ทั้งคุณย่าเขา แกรนด์มา...คุณยายของเจ้าสาว นายศุภกิจ...บิดาเจ้าสาวจากเมืองไทยซึ่งมางานนี้พร้อมสามพี่ชายต่างมารดาของเจ้าสาว นางอันนา...แม่ยายพี่ชายเธอ และอัลแบร์โต...อดีตผู้บริหารมือขวาของอี๊กเบกรุ๊ปที่ลาออกไปอยู่ฮาวายหลังแต่งงานกับนางอันนา
โคสึเกะหยุดยิ้ม และหันมามองเธออย่างเบื่อหน่าย
“ฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมบอกอะไรคุณไป”
“คุยกันวันอื่นได้ไหม ตอนนี้เสียงดนตรีดังมาก” เขาขมวดคิ้ว โบกมือนิดๆ เหมือนรำคาญ
“ฉันไม่ค่อยได้เจอคุณ เลยอยากพูดวันนี้ ฉันตะโกนแข่งเสียงเพลงได้” เธอตะโกนพูดให้ดังขึ้น
“โอเค้...ก็ได้ หวังว่ามันคงจะสำคัญนะ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะสำคัญพอไหม” เธอเหยียดปากยักไหล่เล็กน้อย แล้วถอดสร้อยออกจากคอ กำสายสร้อยไว้ในอุ้งมือและเขย่าเบาๆ จนเห็นจี้สี่เหลี่ยมรูปหยินหยางสามอันกอดเกี่ยวกัน ซึ่งห้อยแกว่งไกวอยู่กลางโต๊ะ “ฉันเก็บสร้อยเส้นนี้พร้อมจี้อันนี้ได้นานแล้ว ในวันเกิดระเบิดตอนที่เราเจอกัน ฉันรู้ว่ามันเป็นของคุณ และฉันเอามาคืน”
หรือจะเป็นอุปาทาน เธอเห็นสีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป ปากที่เม้มตรงเป็นเส้นราวกับยิ้มเหยียดห่อจนเป็นรูปตัวโอ ดวงตาสีนิลที่เคยหรี่มองเธออย่างดูแคลนอยู่เป็นนิตย์พลันเบิกกว้าง
เธอได้ยินเขาครางเบาๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า “ฉิบหายแล้ว...”
แล้วหันใบหน้าคมสันซึ่งเริ่มซีดมองทุกคนรอบโต๊ะอย่างล่อกแล่กในขณะที่สมองของเธอแปลปฏิกิริยาตอบสนองของเขาได้ทันที ตอนนี้งานเข้าแล้วละซี...เซญญอร์โคสึเกะ
หญิงสาวสะใจและสุขใจที่เห็นอาการเหวอ...เอ๋อไปเลยของเขาตอนนี้ ทั้งที่ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมเขาถึงต้องทำหน้าเหมือนแอบทำความผิดแล้วโดนจับได้ด้วย อยากจะถามต่อด้วยซ้ำว่า...พี่โค่ที่รัก ไม่ทราบว่าคุณรู้จักมาร์ซีนญ่าดีพอหรือยังคะ
“นี่ค่ะ สร้อยคุณ ฉันคืนให้ เซญญอร์โคสึเกะ”
ประโยคกระชากหัวใจจากสาวหน้าแฉล้มที่มายืนโชว์หุ่นเซียะที่โต๊ะกลางงานเลี้ยง แม้จะไม่ใช่เวลามาชื่นชม แต่มาร์เซียในวันนี้ก็ดูดีมากขึ้นไปอีกในชุดเพื่อนเจ้าสาวสีลาเวนเดอร์เรียบหรูซึ่งเผยให้เห็นรูปร่างอวบอิ่มสวยงาม
มาร์เซียเรียกชื่อหน้าเขาตามญาติๆ เธอแอ่นอกยืนโพสท่าสวย ยื่นแขนกำสร้อยเผยให้เห็นจี้ห้อยอยู่กลางโต๊ะ...ไอ้จี้นั่นก็อยากจะโชว์ออฟเสียเหลือเกิน แกว่งไกวหมุนให้ทุกคนรอบโต๊ะเห็นเหลี่ยมมุมรอบทิศ ช่วยไม่ได้ที่เขารู้สึกพาลทั้งคนทั้งของ มาร์เซียเองน่ะหรือที่เป็นคนเก็บสร้อยได้ ดูสีหน้าเธอตอนนี้สิ เปื้อนรอยยิ้มพราวราวกับกำลังท้าทายเขา นี่เธอรู้ความสำคัญของจี้นี้หรือเป็นเรื่องบังเอิญกันแน่
ชายหนุ่มสายเลือดซามุไรเหมือนถูกหมัดน็อกจังๆ จนเผลออ้าปากหวอนั่งงงงวย แล้วสัญชาตญาณก็บอกให้เขายกมือขึ้น ยื่นออกไปหมายจะไขว่คว้าสร้อยนั้นจากมือเล็กๆ ของหล่อน แต่เขารู้สึกตัวเสียก่อนจึงชะงักทัน รีบเปลี่ยนเป็นลูบท้ายทอยตัวเองแทน
“คุ...คุณ...พูดเรื่องอะไรไม่ทราบ นี่เป็นเซอร์ไพรส์งานแต่งวันนี้หรือไง” เขาแถไปดื้อๆ...เอาวะ! งานนี้สีข้างจะถลอกปอกเปิกไปบ้างก็ต้องยอมกันละ!
“แล้วคุณเซอร์ไพรส์ไหมล่ะคะ”
ฟังน้ำเสียงยียวนกวนอารมณ์ของเจ้าหล่อนสิ เขาเห็นใบหน้ายิ้มเยาะสะใจของมาร์กุสลอยเด่นซ้อนดวงหน้าหวานของมาร์เซียอย่างช่วยไม่ได้...พี่น้องคู่นี้เหมือนกันเกินไปหรือเปล่า ท่าทางจะไม่มีวันญาติดีกันได้เสียแล้ว แต่ตอนนี้เขาจะทำอะไรได้ นอกจากเซย์โนลูกเดียว เขาแกล้งยื่นหน้าเข้าไปดูจี้ใกล้ๆ เบิกตาเพ่งมองอย่างจริงจัง แล้วแบะปาก ส่ายหน้าก่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกแขนวางพาดพนักเก้าอี้ซึ่งมีหญิงสาวที่เขาลากออกมาจากฟลอร์เต้นรำแต่ดันจำชื่อไม่ได้นั่งอยู่ มือวางบนไหล่หล่อนแล้วดึงให้เอนมาทางเขา ทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่มาร์เซียนำเสนอ
“ตกลงไม่อยากได้หรือไง ไอ้สร้อยเส้นนี้ของคุณเนี่ย” มาร์เซียหรี่ตาถาม ยิ้มเยาะอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
โคสึเกะส่ายหน้าปฏิเสธ “เฮ้ย! ผมจะเอาทำมั้ย...” บอกเสียงสูงอย่างไม่สนใจ “ก็มันของของคุณ”
“ไม่ใช่ นี่มันของของคุณต่างหาก ฉันเก็บได้ตอนเราเจอกันครั้งแรกไง ที่คุณโดนเปเป้เหวี่ย...”
“หยุดๆๆ!” เขายกมือห้าม “พอ...พอเลยคุณ ไม่ตลกนะ ไอ้สร้อยแบบนี้น่ะผมมีอยู่ที่คอนี่ เนี่ย...คุณไม่เห็นหรือไง”
เขาทำหน้ายียวนดึงสร้อยคอเพื่อโชว์ให้ทุกคนเห็นจี้
“เหมือนกันเลย เหมือนๆ...” เสียงฮือฮาเบาๆ จากคนในโต๊ะดังขึ้น
“คุณเลิกล้อเล่นกับผมดีกว่า มาร์เซีย”
“ฉันพูดจริง ไม่เชื่อถามพี่มาร์กก็ได้ พี่ชายฉันยืนยันได้ว่าตอนเกิดระเบิดฉันล้มหัวฟาดสลบไป แต่มือฉันยังกำสร้อยเส้นนี้ไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเพราะตั้งใจจะคืนคุณ ถามเขาได้เลย พี่มาร์ก...พี่...” หญิงสาวหันซ้ายขวามองหาพี่ชายที่ยังยืนแจกขนมและโดนชวนชนแก้วดื่มฉลองอยู่อีกด้าน
“ผมก็คิดว่าคุณคงจะพูดจริง คือล้มฟาดแล้วสมองกระทบกระเทือน ความจำเลอะเลือนเพ้อคิดไปเองเป็นตุเป็นตะน่ะซี สร้อยของผม...นี่” เขาสอดนิ้วดันสายหนังสีดำโชว์ “ก็ต้องห้อยอยู่กับตัวผม จะไปอยู่ที่คุณได้ยังไง และสร้อยเส้นนี้ผมห้อยคอตั้งแต่ตอนอยู่ฮาวายแล้ว ใช่ไหมครับคุณย่า”
เขาหันขวับไปหาพยานบุคคล ซึ่งญาติผู้ใหญ่ของเขาก็พยักหน้ายอมรับอย่างงงๆ
“นี่...แม่ผีเสื้อน้อย ฉันว่าเธอคงจำผิดนะ เธอไปหาซื้อสร้อยนี้มาจากที่อื่นแล้วจำสับสนหรือเปล่ามาร์ซีนญ่า จี้แบบนี้ที่ไหนก็มีขาย ฉันว่าเคยเห็นตามบาซาร์ทั่วไปนะ”
ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์...สาวรุ่นราวคราวเดียวกับมาร์เซียซึ่งเขาพาออกมาจากฟลอร์ช่วยพูด หล่อนเข้าข้างเขา
“ไร้สาระ ชอบมาเรียกร้องความสนใจเหมือนเคยนะเธอน่ะ” หล่อนกลอกตาส่ายหน้าอย่างระอาใจ “อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ นั่งพักตั้งนานแล้ว เราไปเต้นรำกันต่อเถอะนะคะ เพลงช้าๆ โรแมนติกแบบนี้ ฉันไม่อยากพลาดที่จะอยู่ในอ้อมแขนคุณค่ะ เซญญอร์มะเอะดะ” หล่อนเอียงมากระซิบประโยคสุดท้ายข้างหู แล้วยึดท่อนแขนเขา
มีหรือที่โคสึเกะจะปฏิเสธ เขารีบคว้าทุ่นชูชีพที่หล่อนโยนมาให้ด้วยการลุกขึ้นยืน เดินออกจากโต๊ะเพื่อไปวาดลวดลายท่ามกลางเสียงดนตรีทันที รู้สึกโล่งใจที่รอดตายในคราวนี้ เมื่อเดินไปได้สามสี่ก้าว เขาก็อดเหลียวกลับไปมองมาร์เซียไม่ได้ แม่จอมจุ้นยืนกัดปากหน้าง้ำหงิก แม้อยู่ห่างก็ยังเห็นว่าหญิงสาวหน้าแดงก่ำ...จะมีอะไร้ คงโมโหที่เล่นงานเขาไม่ได้นั่นเอง
โชคดีเหลือเกินที่เขาทำจี้อันใหม่ทัน เสียดายเหมือนกัน ถ้าเขารู้ว่ามาร์เซียเก็บได้แต่แรกคงเจรจาขอคืนจากเธอดีๆ แต่ตอนนี้จี้เก่าอันนั้นนอกจากจะไม่มีประโยชน์ต่อเขาแล้ว ยังจะพาให้เขาซวยไปด้วย...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามเผลอยอมรับว่าเป็นเจ้าของเครื่องประดับชิ้นนั้นเด็ดขาด และต่อแต่นี้ก็จงอยู่ห่างจากหญิงสาวสุดอึ๋มนามว่ามาร์เซียตลอดกาลด้วย จำใส่กะโหลกไว้เลยโคสึเกะ!
หลังจากเสร็จสิ้นภาระหน้าที่ในฐานะเพื่อนเจ้าสาว มาร์เซียร่วมกับแขกเหรื่อและญาติพี่น้องส่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่ฮอตแห่งปีขึ้นรถสปอร์ตหรูสีขาวที่เหล่าเพื่อนเจ้าบ่าวช่วยกันตกแต่งด้วยริบบิ้น ดอกไม้ ลูกโป่ง แถมท้ายด้วยกระป๋องโลหะเปล่าหลายใบผูกติดท้ายรถและมีคำว่า ‘Recém Casados๒’ ตัวโตแปะอยู่ ทั้งคู่มุ่งตรงไปยังโรงแรมของตระกูลเพื่อพักผ่อน จากนั้นวันรุ่งขึ้นคู่แต่งงานใหม่ก็จะบินไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่เมืองรีโอเดจาเนโร เดาได้เลยว่าพี่ชายจอมดุของเธอคงทำให้ทะเลชายหาดโคปาคาบานาหวานเยิ้มจนมดยิ้มเป็นแน่ ก็เขาหลงรักและทะนุถนอมญศกา พี่สะใภ้ของเธอจะตายไป จนเธออดจะอิจฉาไม่ได้
แล้วดูตัวเธอเองสิ ในวันที่เปี่ยมสุขของมารดาและพี่ชาย เธอกลับไม่มีอะไรได้ดังใจสักอย่าง แม้โฮแบร์โตจะพยายามดูแลเอาอกเอาใจอย่างไร เธอก็ไม่รู้สึกดี ติดจะรำคาญด้วยซ้ำ หยิบจับอะไรก็ไม่สบอารมณ์ไปหมด ยิ่งเห็นสีหน้าระรื่นชื่นบานของโคสึเกะเวลาหยอกล้อกับผู้หญิงอื่นตลอดงานด้วยแล้ว อยากจะรีบให้งานพิธีการและงานเลี้ยงจบๆ ไป เธอจะได้กลับบ้านเสียที
ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจเธอจึงสั่งให้คนเตรียมรถ และบึ่งกลับคฤหาสน์ทันที แขกเหรื่อที่เป็นญาติของเจ้าสาว เธอปล่อยให้อาอัลแบร์โตกับโคสึเกะช่วยดูแลกันเอาเอง มาร์กุสจะโกรธหรือเปล่าไม่รู้ ก่อนขึ้นรถไป เขาฝากฝังให้เธอดูแลญาติๆ ของภรรยาให้ด้วย ตลอดชีวิตเธอไม่เคยฝืนคำสั่งเขาสักครั้ง แต่วันนี้ต้องขอขัดคำสั่งเขาลับหลังเพราะอารมณ์บูดเสียแล้ว
เจ็บใจนัก อุตส่าห์คิดแผนมาดีแล้วเชียว หลงวาดภาพใบหน้าตอนโคสึเกะจำนนต่อหลักฐานต้องยอมรับไว้หลายเวอร์ชัน แต่ทำไมเขากลับลอยนวลไปได้ หรือว่าเธอเข้าใจผิดจริงๆ สร้อยและจี้อันนี้ไม่ใช่ของเขา แค่บังเอิญตกอยู่แถวนั้น...ในวันนั้น แต่ถ้ามันบังเอิญ แล้วทำไมลวดลายของจี้ถึงเหมือนกันมากราวกับก๊อบปี้กันมาอย่างนี้ และที่เธอคิดถึงเรื่องจี้นี้ได้ ก็เพราะวันก่อนเห็นจี้ที่คอเขานั่นแหละ เข้าใจว่ามันเป็นของเขาและเขาคงชอบลวดลายแบบนี้จริงๆ ถึงได้มีแบบเดียวกันหลายอัน
แล้วทำไมเขาต้องปฏิเสธ...สาบานได้ เธอไม่ได้ตาฝาดแน่ ตอนแรกเขาตกใจหน้าซีดก่อนจะบอกละล่ำละลักว่าไม่ใช่นี่นา...โอย..ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
“คนบ้า มาหาว่าเราหัวฟาดพื้นจนสมองเลอะเลือนความจำเสื่อม ยังกะตัวเองสมองดีนักนี่ ก็เพราะเป็นคนปากแบบนี้ถึงไม่ถูกกับพี่มาร์ก...” มาร์เซียบ่นพึมพำหงุดหงิด พลันดวงตาฉายประกายวาววับ ยกสองมือแกะสร้อยออกจากท้ายทอย
“ดี ในเมื่อไม่ใช่ของใคร จะเก็บไว้ทำไมกัน...โธ่โว้ย! ทำไมแกะยากแกะเย็นนักนะ”
เธองึมงำอย่างหัวเสียที่ถอดสร้อยไม่ออก และเมื่อถอดสำเร็จอะดรีนาลินในกายจึงพุ่งสูง
“นี่แน่ะ!” หญิงสาวเขวี้ยงสร้อยและจี้ที่กำไว้สุดแรง เครื่องประดับทั้งชุดลอยหวือไปไกลกว่าที่คาดคิดและแยกกันคนละทิศคนละทาง ตกในพงรกในพุ่มไม้ตรงไหนก็ไม่รับรู้แล้ว
“ไอ้สร้อยบ้า ไปตายพร้อมเจ้าของเลยไป๊!” มาร์เซียเท้าเอวโน้มตัวไปข้างหน้าสาปส่งสุดเสียง “แล้วไม่ต้องโผล่มาหาฉันในฝันอีกนะ ทั้งจี้ทั้งคน ไม่ต้องม้า...ดี จบๆ ไป จะได้เลิกคิดถึงอีตาบ้านั่นซะที...”
มาร์เซียควรจะรู้สึกดีที่ปลดปล่อยสิ่งที่เธอคิดว่าเป็น ‘อะไร’ ที่เชื่อมกับเขาไว้ ทว่าในใจกลับโหวงๆ แปลกๆ ชอบกล เหมือนกำลังทำร้ายตัวเอง เหมือนมีอะไรสักอย่างเร้นลับซ่อนอยู่
ไม่ได้...เธอควรจะมุ่งมั่นกับอนาคต ยังคงมีภารกิจที่ต้องทำ มาร์กุสกำชับนักหนาให้ดูแลญาติๆ ของญศกาอย่างดี นับจากพรุ่งนี้ เธอ อาอัลแบร์โต และเหล่าบอดีการ์ดต้องพาคุณย่า แกรนด์มา น้าอันนา บิดา พี่ๆ ญาติและเพื่อนของเจ้าสาวจากญี่ปุ่น ฮาวาย และไทย นับสิบชีวิตทัวร์เมืองเซาเปาลูหลายวัน และแน่นอน เธอคงต้องเจอกับโคสึเกะอีก พบกันครั้งหน้าเธอจะไม่ญาติดีด้วยแล้ว ต่างคนต่างอยู่ จะยอมทำหน้าที่ที่พี่ชายมอบหมายให้จบๆ แล้วรอวันจากลาแยกย้ายกันไป...ชั่วนิรันดร์
ความคิดเห็น |
---|