10

รัก...เมื่อแม่เหล็กต่างขั้วมาบรรจบ จึงพบ...จูบ!

๑๐
รัก...เมื่อแม่เหล็กต่างขั้วมาบรรจบ จึงพบ...จูบ!
 
แล้วนี่เธอจะหงุดหงิด อารมณ์เสียเพราะเขาทำไม
มาร์เซียมองหน้าคนเจ็บ แม้มีปลาสเตอร์ปิดแผลตรงหางคิ้วและหน้าตาอิดโรย แต่แววตาของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นต้องการรู้ที่อยู่ของจี้บ้าๆ นั่น ดูเขาตอนนี้สิ ช่างแตกต่างราวกับเป็นคนละคนกับผู้ชายแววตาอ่อนโยน คนที่เธออยู่ด้วยที่ชายหาดคืนก่อนจนเธออดไม่ได้ที่อยากอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของเขาและขอจูบเขาก่อน
นึกเคืองตัวเองที่คิดว่าเขาคงมีใจ ถึงได้เสี่ยงพาเธอหนีวงล้อมอันแข็งแกร่งของพี่ชายออกมาจากงานหมั้น แต่พอได้ยินเขามาถามหาจี้ทันทีที่ตื่นและทั้งๆ ที่ตัวเขาเองยังเจ็บขนาดนี้ เธอชักเริ่มสงสัยว่าเขามาประเทศนี้และดึงเธอออกมาจากกรอบ คงเพราะอยากได้ประโยชน์อย่างอื่นจากเธอมากกว่า เจ็บใจตัวเองที่มัวแต่เป็นห่วงเป็นใยเขาจนโมโหและมีปากเสียงกับพี่ชายที่ส่งคนมาลอบทำร้ายเขา...นึกพาลมาร์กุส ถ้าเขาปล่อยให้เธอมีประสบการณ์คบกับเพื่อนต่างเพศอย่างอิสระเหมือนสาวลาตินฯ ทั่วไป เธอก็คงจะควบคุมตัวเองและรับมือโคสึเกะได้ดีกว่านี้
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อนและคิดไปเอง แต่ตอนนี้หัวใจทรยศของตัวเองก็ยังเต้นแรงเหมือนทุกครั้งที่อยู่กับเขาสองต่อสอง
“คุณอยากคุยเรื่องจี้ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่ยังเจ็บอยู่หรือ” มาร์เซียปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่น พยายามไม่ปล่อยให้หัวใจกำหนดการกระทำและความคิด...เมื่อคืนหลังจากทะเลาะกับพี่ชายตัวดีของเธอทางโทรศัพท์แล้ว มาร์เซียย่องกลับมายังห้องนอนของโคสึเกะ เฝ้าดูอาการเขาจนเผลอหลับและฝันฟุ้งซ่านถึงเหตุการณ์น่ากลัวจนสะดุ้งตื่น เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นกับเธอจนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าชีวิตอันสงบของเธอต้องวุ่นวายมากขนาดนี้ได้ยังไง หากลองทบทวน มันก็วุ่นตั้งแต่เธอเจอเขาและเก็บจี้ของเขาได้นั่นแหละ มันอาจถึงเวลาที่ต้องเคลียร์กันเสียที
ชายหนุ่มพยักหน้านิดๆ
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอให้เราเปิดใจและพูดความจริงต่อกัน” มาร์เซียภูมิใจนิดๆ ที่เอ่ยเสียงแข็งได้ บ่งบอกว่าเธอเริ่มควบคุมอารมณ์อ่อนไหวได้แล้ว
“ถ้าคุณทำตามนั้น ผมก็ยินดีให้ความร่วมมือ”
มาร์เซียหยิบหมอนหนุนสอดเข้าด้านหลังชายหนุ่มที่พยายามดันตัวขึ้นพิงพนักเตียง แล้วถอยมานั่งห่างไม่กี่คืบตรงหน้าบนเตียงเดียวกับเขา
“จี้นั่นเป็นของคุณ คุณยอมรับใช่ไหม”
เขาพยักหน้า
“แล้วตอนแรกทำไมคุณถึงปฏิเสธ”
“ผมไม่มีทางเลือกมากนัก จี้นั่นเป็นของสำคัญมาก เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษตระกูลผมและผมไม่ควรทำมันหาย และสำคัญที่สุดคือผมยอมให้คุณย่ารู้ไม่ได้ว่าคุณคือผู้ที่เก็บมันได้”
“ทำไม” เธอย้อนถาม
“เสียใจมันเป็นข้อห้ามที่ผมบอกคุณไม่ได้จริงๆ”
“ตลกน่ะ เราเพิ่งตกลงกันเมื่อกี้ว่าต้องเปิดใจกันนะ” เธอร้องอย่างไม่สบอารมณ์ที่เขาไม่รักษาคำพูด
“ผมเองก็พยายามอย่างเต็มที่อยู่นะ แต่คนเราไม่ใช่ว่าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการนี่” ชายหนุ่มหยิบหมอนอีกใบมาวางบนหน้าท้อง ยกสองมือวางประสานบนนั้น เหม่อมองไปทางอื่นพลางถอนหายใจเบาๆ “สักวันผมคงบอกคุณได้ แต่ตอนนี้ผมต้องการจี้คืนเร็วที่สุด คุณคืนให้ผมได้ไหม”
“ฉันขว้างทิ้งวันที่คุณปฏิเสธว่าไม่ใช่ของคุณนั่นแหละ”
“คุณจำได้แม่นหรือเปล่าว่าขว้างไปตรงไหน”
“ก็...ในป่ารกหลังบ้านน่ะแหละ...แถวๆ นั้น แต่ฉันหาไม่เจอจริงๆ”
“คุณชี้จุดที่ทำมันหายให้ผมได้ไหม”
“ก็คงได้ แต่คงต้องหลังจากคุณปกติดีก่อน และคงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่เพราะฉันยังไม่อยากกลับไปเจอพี่มาร์ก” มาร์เซียเห็นกรามเขาขยับ แววตาแข็งกระด้างกว่าเดิม
“คุณกลับมาบราซิลอีกครั้งด้วยเหตุผลนี้ใช่ไหม เพราะจี้นั่น” บ้าที่สุด...ทำไมหางเสียงเธอต้องปร่าแบบนั้นด้วย
เขาไม่ตอบ
“ฉันนึกว่า...คุณ...” ...คิดถึงฉัน เป็นห่วงฉันซะอีก...เธอยั้งปากไว้ทัน ถอนหายใจเบาๆ “งั้นช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะว่าคุณพาฉันหนีงานหมั้นมานี่เพราะอะไร”
ชายหนุ่มหันมามองเธอด้วยแววตาที่เธออ่านไม่ออก เขานิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ “เพราะผมยังไม่อยากให้คุณหมั้นหมายหรือแต่งงานกับใครในช่วงนี้”
คำพูดเขากระทบใจเธออย่างแรง...เขาไม่อยากให้เธอหมั้นหรือแต่งกับใครมีความหมายอื่นแฝงหรือเปล่านะ
“ในช่วงนี้...หมายถึง...” แทนที่จะถามสิ่งที่อยากรู้มากที่สุด แต่ปากกลับไพล่ไปถามเรื่องรอง
“อย่างน้อยก็ชั่วระยะหนึ่งคงไม่กี่เดือนหรอก”
“ไม่กี่เดือน” เธอพูดทวนคำพูดเขาอย่างสงสัย “หมายความว่าหลังจากนั้นฉันจะหมั้นจะแต่งกับใครก็ได้งั้นเหรอ”
หงุดหงิดชะมัดที่ผู้ชายตรงหน้ายังคงนั่งเงียบเก๊กท่า ไม่โต้ตอบ
“ทำไม...ถ้าตอนนี้ฉันจะหมั้นจะแต่งกับใคร ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับคุณตรงไหน” มาร์เซียเริ่มเหวี่ยง
“เกี่ยวสิ เพราะเราต้องทำงานร่วมกันในโพรเจกต์ใหม่ที่นี่ไง ถ้าคุณหมั้นหมายหรือแต่งงาน คุณก็อาจจะทำงานกับผมได้ไม่เต็มร้อย”
และแล้วเขาก็โพล่งความจริงออกมาจนได้ ความคาดหวังของเธอหล่นวูบ เธอไม่ได้รอคอยคำตอบแบบนี้จากเขา “อ๋อ...ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง นี่คุณ...ฉันไม่เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกันหรอกนะ ผู้บริหารอย่างฉันแยกแยะได้”
“คุณเสียใจที่หลวมตัวหนีมากับผมเหรอ หรือว่าคุณอยากหมั้นหมายเกี่ยวดองกับไอ้นายตำรวจเพื่อนพี่ชายคุณ”
พระเจ้า...เธออยากจะเข้าข้างตัวเองเหลือเกินว่าน้ำเสียงของเขามีความไม่สบอารมณ์แฝงอยู่
“คนเราใช่ว่าจะได้คำตอบทุกอย่างที่ต้องการหรอกนะ” มาร์เซียเอาคำพูดของเขามาย้อนคืน ไม่หวั่นที่จะจ้องตาเขากลับ แต่เขาดูไม่ยี่หระหรือสนใจอยากจะได้คำตอบสำหรับคำถามนี้สักเท่าไร
“ถ้างั้น พรุ่งนี้เรามาเริ่มลุยงานโพรเจกต์ใหม่กัน พอวางแผนจนเริ่มเห็นเป็นโมเดลขึ้นมาบ้าง เราจะกลับไปเซาเปาลูด้วยกัน โอเคไหม”
“กลับไปช่วยกันหาจี้ งั้นสิ” เธอยื่นปากย้อนถามงอนๆ โดยไม่รู้ตัว
“ถูกต้อง”
“ถามหน่อย ทำไมฉันต้องช่วยคุณหาด้วย ไอ้จ้งจี้นั่นน่ะ”
“ไหนว่าเป็นผู้บริหาร แล้วคุณจะไม่รับผิดชอบทั้งๆ ที่เป็นคนขว้างมันทิ้งกับมือหรือ”
“อ้าว...ก็คุณอยากปฏิเสธตอนฉันคืนให้ ฉันก็นึกว่ามันไม่สลักสำคัญน่ะสิ”
คราวนี้เขาอึ้ง...คงเถียงไม่ออกละสิ โคสึเกะทำได้แค่เถียงสู้เธอด้วยดวงตายาวรีคู่คมคู่นั้น
“โอเค เห็นแก่ญ่า...พี่สะใภ้ที่แสนดีของฉัน ฉันรับผิดชอบเองก็ได้ ฉันจะไปช่วยคุณหา”
“ไม่ใช่ฉันรับผิดชอบเองก็ได้...” เขาแกล้งเลียนเสียงเธอ “มันต้องเป็นคุณเลยละมาร์เซียที่ต้องรับผิดชอบ”
มาร์เซียค้อนปะหลับปะเหลือก “งั้นขอเชิญคุณพักผ่อนนอนหลับรีบพักฟื้นให้หายเร็วๆ คุณจะได้ไม่เสียเวลามาติดแหง็กกับฉันที่นี่นาน” เธอเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง
“ฉันขอตัวกลับห้องนอนตัวเองมั่งแล้วละ ถ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรืออยากได้อะไร ก็ค่อยตะโกนเรียกฉันแล้วกัน” เธอเอ่ยก่อนก้าวออกจากห้องนอนของเขาไป พลางดึงประตูปิด
“อ้อ” มาร์เซียดันบานประตูเปิดแง้ม โผล่เฉพาะหน้าเข้ามา “ตะโกนดังๆ หน่อยล่ะ ฉันเป็นคนนอนขี้เซา และก็...ฝันดี ราตรีสวัสดิ์”
เธอทิ้งท้ายก่อนงับประตูปิดบอกราตรีสวัสดิ์เขาทั้งๆ ที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว
มาร์เซียอารมณ์บูดกลับมาที่ห้อง ทิ้งตัวคว่ำลงบนเตียง กดใบหน้าลงกับหมอนตะโกนอู้อี้
“โอ๊ย! เบื่อผู้ชายพวกนี้จริงๆ เล้ย...”
เธอยอมรับแล้วว่าญศกาพูดถูกมาร์กุสกับโคสึเกะไม่ต่างกันเลย เอาตัวเองเป็นใหญ่และพยายามควบคุมผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอให้อยู่ในอาณัติ แล้วเธอก็มักยอมพวกเขาทุกครั้งด้วย...เธอรู้สึกทึ่งพี่สะใภ้ ญศการับมือผู้ชายสองคนนี้ได้ยังไงนะ
หรือมันถึงเวลาแล้วที่เธอต้องปฏิวัติตัวเอง เอาญศกาเป็นต้นแบบ
คืนนั้นไม่มีเสียงร้องเรียกจากห้องโคสึเกะ เขาไม่ได้ออกมาจากห้องนั้นเลยด้วยซ้ำจนถึงเช้า ช่างปะไร จะปวดจะเจ็บจนตายเธอก็ไม่ใส่ใจเขาแล้ว หยูกยาหยิบหากินเอาเองแล้วกัน หญิงสาวตัดสินใจออกไปซื้อข้าวของอย่างที่ควรจะทำตั้งแต่คืนก่อนถ้าไม่เกิดเรื่องร้ายนั้น หากเธอไม่ไป เช้านี้ทั้งเขาและเธอต้องหิวท้องกิ่วแน่
ใช้เวลาแต่งตัวไม่นานมาร์เซียก็คว้ากุญแจรถออกจากห้องพักไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินแค่ช่วงเวลาที่เธอกดสัญญาณปลดล็อก หันหน้าเข้าหารถ เปิดประตูเตรียมขึ้นที่นั่งคนขับ เธอรู้สึกเหมือนมีเงาเคลื่อนไหววูบวาบจึงหันไปตามสัญชาตญาณ จังหวะนั้นกลับถูกผู้ชายสองคนร่างใหญ่และหนาล้อมกรอบไว้ มาร์เซียผวาตกใจถอยหลังเซไปดันประตูรถ แย่แล้ว...เธอเสร็จ...ไม่รอดแน่คราวนี้
 
‘ท่านเจ็บครานี้ไม่ใช่น้อยแต่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลท่านเอง’
เสียงหวานของหญิงสาวดังเป็นภาษาญี่ปุ่นสำเนียงแปร่งหู เขายิ้มมุมปากขณะหลับตามีคนเช็ดเนื้อตัวให้จนรู้สึกสบายแม้จะเจ็บๆ ยอกๆ บ้าง ขณะเดียวกันเสียงสัญญาณแปลกๆ ซ้อนขึ้นมาดังติดกันถี่จนเขารำคาญต้องลืมตา แล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มฝันถึงอดีต โดยมีโทรศัพท์ซึ่งส่งเสียงร้องเป็นจังหวะนั่นเองที่ปลุกเขาจากฝัน
โคสึเกะกดปากของเขาแนบกระบอกโทรศัพท์ กรอกเสียงงัวเงียรับสาย มันแหบพร่าจนเขาแทบจำเสียงตัวเองไม่ได้
“ฮัลโหล พี่โค่ ฉกคู่หมั้นชาวบ้านไปแล้วหายจ้อยเลยนะ ไม่ส่งข่าวน้องนุ่งบ้างเลย รู้ไหมว่าคนเขาเป็นห่วง โหพี่...เสียงอย่างนี้ เพิ่งตื่นชัวร์” เสียงหวานแจ่มใสลอดผ่านคลื่นสัญญาณมาเป็นชุด
“ญ่าจังเหรอ...” โคสึเกะตอบงึมงำ “รู้เบอร์ที่นี่ได้ไง เอ้อ...ลืมไป เราเป็นคนหาห้องนี้ให้นี่หว่า...ซู้ด...” เขาสูดปากเจ็บยามขยับตัว
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า เสียงซี้ดซ้าด”
“เดินสะดุดบันไดล้ม เลยยอกนิดหน่อย” พับผ่าสิ เขาโกหกได้คล่องปากจริงๆ ช่วงนี้
“แหม...ญ่านึกว่าโดนใครสอยร่วงซะแล้ว พี่โค่ต้องระวังนะ เมืองรีโอเดจาเนโรน่ะชื่อเสียงไม่แพ้เซาเปาลูหรอกนะจะบอกให้ ถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวแต่ก็สารพัดผู้คน ร้อยพ่อพันแม่มาจุกอยู่ด้วยกัน อัตราอาชญากรรมก็สูง มีทั้งปล้นใหญ่ลักเล็กขโมยน้อย ถ้าจะถ่ายรูปไม่ต้องยกกล้องมายืนแอ็กนาน รีบๆ กดชัตเตอร์ เคยมีคนโดนกรรไกรตัดสายคล้องกล้องขาดแล้วฉกวิ่งไปคาตามาแล้ว” ญาติผู้น้องเล่าเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วอย่าลืมที่บอกนะ อย่าไปที่ที่คนบางตาหรือสถานที่เปลี่ยวล่ะ มันอันตราย อาจโดนใครเอามีดจิ้มพุงได้”
“เออ ขอบใจที่เตือน แต่ช้าไปหน่อยว่ะ ขนาดอยู่ที่ไม่เปลี่ยวยังโดนซะน่วมเลย” เขาบ่นพึมพำประโยคท้ายๆ
“อะไรนะ พี่โดนใครจิ้มไปแล้วเหรอ”
“เฮ้ย...อย่าแช่งสิ ว่าแต่ ทางโน้นเป็นไงบ้างล่ะ”
“คุมอยู่อยู่แล้ว มาร์กเขาก็เข้าใจที่ญ่าให้เหตุผลดีนะ พี่โค่ทำโพรเจกต์กับมาร์ซีนญ่าได้ตามสบายเลย”
โคสึเกะไม่อยากบอกญาติผู้น้องของเขาให้เสียความมั่นใจที่คิดว่าคุมสามีตัวดีอยู่หมัด ว่าหารู้ไม่...มันแอบส่งคนมาตีกบาลเขาจนต้องนอนซม
“ญ่าจัง เราหาจี้ของพี่เจอหรือยัง”
“ไม่เจอเลยพี่โค่”
“รึว่ามาร์เซียเก็บไว้แล้วไม่บอก แกล้งหลอกพวกเราหรือเปล่าหว่า” ชายหนุ่มระแวง
“คงไม่หรอก มันอาจเป็นอาถรรพ์อะไรก็ได้นะพวกเราเลยหาไม่เจอสักที” ญศกาคาดเดาสุ่ม “ว่าแต่ว่า...พี่โค่กลับไปค้นข้อมูลที่โตเกียวได้เรื่องว่าไงบ้างล่ะ”
“ไม่รู้ว่าจะเชื่อบันทึกดีหรือเปล่า มีข้อห้ามเป็นหน้า” โคสึเกะบ่นกระแทกเสียงท้ายประโยค
“เล่าหน่อยสิ” ญศการ้องขอด้วยน้ำเสียงอยากรู้
“ก็อย่างเช่น...จะบอกความสำคัญของจี้ให้มาร์เซียรู้ไม่ได้เด็ดขาดและให้แต่งงานกันด้วยความรักเท่านั้น”
“อืม...อันนี้ญ่าเคยได้ยิน”
“และที่เด็ดนะ ญ่าจังว่ามันตลกไหม คุณปู่บอกว่าห้ามมีเซ็กซ์จนกว่าจะทำพิธีแต่งงาน และพี่ก็จะไปมีอะไรกับใครก็ไม่ได้ด้วย เพราะถือว่าพี่เป็นสมบัติของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ตูจะบ้าตาย”
“จริงน่ะ” ญศกาหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ “แล้วพี่เคยลอง...เอ่อ...ลองอย่างว่าก๊ะผู้หญิงที่คบๆ กันบ้างหรือยัง แบบจึ๊กจึ๋ย...ดึ๊กดึ๋ย...หลังทำจี้หายน่ะ”
ญาติผู้น้องเขาถามไปหัวเราะขำไปจนน่ายื่นมือลอดกระบอกโทรศัพท์ไปเขกหัวสักโป๊กสองโป๊ก
“ไอ้ทะลึ่ง หัวเราะดังเกินไปหน่อยแล้วไอ้น้อง” โคสึเกะเลี่ยงไม่ตอบคำถาม แต่ปรามเสียงแข็งแทน “แต่ที่เล่นเอาพี่ช็อก ขำไม่ออกก็คือในนั้นระบุว่าถ้าพี่ไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่เก็บจี้ได้ เธอจะเจ็บป่วยหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต”
“ถึงชีวิตเลยเหรอ” ญศกาหยุดหัวเราะแล้วตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัว “มิน่าล่ะ มาร์ซีนญ่าถึงเจ็บออดๆ แอดๆ ช่วงหลังๆ”
“แล้วมันมีกำหนดเวลาด้วยนะ”
“เวลาอะไร”
“ถ้าพี่รู้ว่าจี้อยู่ที่ใครแล้วไม่แต่งงานภายในเจ็ดเดือน ก็จะเป็นอย่างที่บอก”
“เจ็ดเดือน มีบันทึกไว้อย่างนั้นเหรอ แหม...lucky seven เลขนำโชคของชาวญี่ปุ่นซะด้วย เหลือเวลาอีกกี่เดือนล่ะนี่...อืม...”
เขาเดาได้เลยว่าญศกาคงยกมือขึ้นมานับนิ้ว “จำได้ไหม พี่รู้ว่าจี้ที่หายไปอยู่ที่มาร์เซียในงานแต่งงานของเธอ...ญ่าจัง”
“อืม...ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้ว แล้วเหตุผลนี้ใช่ไหมทำให้พี่รีบมาบราซิล” ญศการีบถามต่อ
“ไม่รู้ว่ะ แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากให้แม่นั่นหมั้นหมายกับใครไปก่อน แล้วก็บวกกับเรื่องที่คุณย่าบอกเรื่องป้ายบรรพบุรุษ เรื่องวุ่นๆ ของพี่กับผู้หญิงที่พี่คบหาในฮาวายด้วย เลยตัดสินใจรีบมาบราซิลก่อน”
“มาถึงนี่แล้ว พี่โค่ก็รีบแต่งงานกับมาร์ซีนญ่าสิ ไม่เห็นยาก ช่วงนี้ได้ใกล้ชิดก็หมั่นทำคะแนนหน่อย เธอน่ารักจะตาย สวย เรียบร้อย ไม่ใช่คนปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับผู้ชายอย่างสาวๆ ลาตินฯ ...”
“เราไปรู้เขาได้ยังไง” โคสึเกะแทรกคำพูด
“อ้าว รู้สิ ถ้าบวชชีได้ เธอคงบวชไปแล้ว พี่รู้หรือเปล่า มาร์ซีนญ่าน่ะพกไบเบิลไว้ในกระเป๋าเชียวนะ”
“ไม่เชื่อ ไม่มีทาง” เขาส่ายหน้า
“มาร์ซีนญ่าน่ะเป็นสาวช่างฝันที่มีจิตใจดี บริสุทธิ์และขี้อาย ลองพิสูจน์ดูสิ” พูดจบเงียบไปห้าวินาทีอย่างใช้ความคิด แล้วเอ่ย “จะบอกอะไรให้นะ เพื่อล้างคำสาปอาถรรพ์อะไรก็ตาม ซึ่งจริงไม่จริงเราไม่รู้หรอก จีบเธอแล้วขอแต่งงานเสีย ลองอาศัยช่วงทำงานโพรเจกต์เวดดิงด้วยกันให้เป็นประโยชน์สิพี่ชาย”
โคสึเกะอึ้งกับคำพูดญศกา...ใช่ทำไมเขาคิดไม่ถึงนะ ถ้าเขาทำตัวเป็นผู้ชายเห็นแก่ได้สักระยะก็ไม่เห็นว่าจะต้องทำคะแนนอะไรมากมาย ดูจากค่ำคืนที่เขาโดนตีหัวสิ มาร์เซียน่าจะมีใจให้เขาอยู่บ้าง ผู้หญิงลาตินฯ คงไม่ถือสาอะไรมากมาย ทำพิธีแต่งงานเสร็จเขาได้จี้คืนแล้วค่อยเลิกกันก็ได้ สาวสมัยใหม่สายเลือดแซมบ้าอย่างเธอไม่น่ามีปัญหาเรื่องนี้ ก็แค่แต่งงานกันหลอกๆ เขาไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวลึกซึ้งจนผูกพันกับเธออยู่แล้ว
แต่หากทำเช่นนั้นมันก็เสียศักดิ์ศรีที่สุด ใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือ...โคสึเกะเผลอส่ายหน้า แบะปากหยันความคิดทุเรศของตัวเองเขาเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจเผยความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้ญาติผู้น้องคนสนิทได้รู้
“การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ เธอมีครอบครัวแล้วก็น่าจะรู้ดี” เขาถอนหายใจ “พี่ยอมรับว่าน้องสาวไอ้มาร์...เอ่อ สามีเราน่ะเป็นคนสวยรูปร่างหน้าตาดี นิสัยก็น่ารัก...ใช้ได้ แต่ชีวิตคู่จะยืนยาวหรือไม่มันไม่ใช่แค่นั้นนะ แต่งงานกันแล้วจะอยู่ที่ไหน ผู้หญิงลาตินฯ ก็เหมือนผู้หญิงตะวันตกจะมาเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีเคร่งครัดของคนญี่ปุ่นอย่างเราๆ ได้ไง”
“อ้าว ทีญ่ายังแต่งกับมาร์กไม่เห็นมีปัญหานี่”
“ก็แหงสิ เรามันแต่งออกมาอยู่บราซิล แต่งเข้าตระกูลเขานี่ แล้วธรรมเนียมเขาก็ไม่เฮี้ยบอย่างของญี่ปุ่นเรา อย่างระบบอาวุโส การอ่อนน้อมถ่อมตน อดทน หรือยอมถอยทั้งๆ ที่อยากจะเถียงกลับ สาวลาตินฯ อย่างมาร์เซียจะเข้าใจ ยอมรับและจะทนได้หรือ” เขาจงใจเว้นช่วงให้ญศกานึกภาพตาม “หากลองคบๆ กันไป แล้วถ้าเกิดรู้ตัวภายหลังว่าไปกันไม่ได้ต้องเลิกรากัน พี่เกรงว่าจะทำให้ผิดใจกับมาร์ก ญ่าจังก็จะตกที่นั่งลำบากน่ะสิ ครั้งนี้ที่พี่ทำก็แค่ดึงมาร์เซียให้เลี่ยงงานหมั้นไปก่อน อ้าวทำไมเงียบไป ฟังอยู่หรือเปล่าญ่าจัง”
“ฟังอยู่ กำลังอึ้ง ญ่าคิดไม่ถึงจริงๆ ตอนแรกนึกว่า...”
“นึกว่าอะไร” เขาย้อนถาม แล้วหยุดกึก เหมือนนึกขึ้นได้ “อ๋อ...” แล้วหัวเราะหึอย่างขันกึ่งสมเพช
‘ชีวิตคงจะดีถ้าไม่มีความรัก’ คือประโยคที่เขาเคยหลุดปากไปตอนกรึ่มเหล้าในคราวหนึ่งที่ดื่มกับญศกา
เธอจึงเป็นญาติสนิทคนเดียวที่รู้ว่า เขาเคยถูกเพื่อนรักที่ไว้ใจแย่งแฟนสาว เขายอมรับว่ารู้สึกหดหู่และว่างเปล่าจนต้องหันไปหาเหล้าในช่วงนั้นมันทำให้เขาไม่เชื่อและไว้ใจใครง่ายๆ ทุ่มเทเวลาไปกับคอมพิวเตอร์ที่เขาถือเป็นเพื่อนสนิท เชื่อในโปรแกรมที่เขาสร้าง มากกว่าความสัมพันธ์ของชายหนุ่มหญิงสาวอันจอมปลอม
“สมกับที่เป็นพี่โค่” เสียงของญศกาดึงเขากลับมา “เพราะพี่เป็นคนแบบนี้ละถึงคิดลึกซึ้งมองการณ์ไกลได้ แล้วพี่โค่คิดจะทำไงต่อล่ะ”
เขาถอนหายใจก่อนตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน คงช่วยทำงานของญ่าจัง...ไอ้โพรเจกต์เวดดิงสร้างชาเปลอะไรนั่นให้เสร็จก่อน แล้วกลับไปตรวจเช็กระบบโปรแกรมที่ทำไว้ของโรงแรมเราในฮาวาย ถ้าอยู่ตัว พี่ว่าจะออกเดินทางไป...”
“อะไรกัน” ญศกาขัดเสียงแหวทั้งที่เขายังพูดไม่จบ “ยังอยู่ช่วยที่ฮาวายไม่ถึงสามปีเลย จะหนีไปไหนอีกแล้ว”
“เหอะน่า เอาเป็นว่าระหว่างนี้พี่จะช่วยสร้างชาเปลที่รีโอฯ ของเราให้เสร็จแล้วกัน ในระหว่างที่ยังหาจี้ไม่เจอพี่ก็ดูว่า จะเกิดอะไรแปลกๆ กับมาร์เซียหรือตัวพี่ไหม ตอนนี้คงทำได้เท่านี้มั้ง” 
“แต่ญ่าก็อยากให้พี่โค่แฮปปีกับมาร์ซีนญ่าอยู่ดีแหละ รู้หรือเปล่า มาร์กเขาโมโหใหญ่เลยที่พี่พาน้องสาวเขาหนีไปหนนี้ เขาฮ้วง...หวงเธอมากและก็อยากให้แต่งงานกับสารวัตรแบตโต้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่ามาร์ซีนญ่าไม่ได้ชอบสารวัตรแบบนั้น แล้วเธอยังเก็บจี้ของพี่ได้ด้วย ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งกี่หน ยังไงญ่าก็เชียร์พี่โค่มากกว่า”
“ก็เรามันพี่น้องกันนี่ ยังไงเราก็ต้องนึกถึงพี่ก่อนอยู่แล้ว...”
“ใช่” ญศกาขัดขึ้นทั้งที่เขายังพูดไม่จบอีกครั้ง”แล้วถ้ามาร์ซีนญ่ารักกับพี่โค่ซะอย่าง ต่อให้สิบมาร์กก็ขัดไม่ได้หรอก แล้วนี่เธออยู่ไหม ขอคุยด้วยหน่อยสิ ญ่าช่วยพูดทำคะแนนให้ได้นะ”
“น่าจะอยู่ห้องนอนของเธอนะ แต่พี่ไม่...”
“ไปตามมาทีสิพี่”
“เอ๊า เราโทร. เข้ามือถือเธอก็ได้นี่” เขาปฏิเสธอย่างหงุดหงิดเพราะไม่อยากลากขาเดินไปตาม
“ติดต่อไม่ได้เลย ไม่มีสัญญาณไม่ก็ปิดเครื่องหลบมาร์กแหงเลย”
“งั้นเดี๋ยวพี่ให้เธอโทร. กลับแล้วกัน ไม่อยากอมขี้ฟันไปเรียก ว่าแต่เราเหอะ ดูแลหลานๆ ในท้องให้ดีล่ะ”
“พี่โค่ก็ระวังหน่อยนะ นี่ก็กลัวใจมาร์กเหมือนกัน แต่เขาคงไม่ทำอะไรพี่หรอก อย่างน้อยก็ต้องเกรงใจเมียบ้าง”
“จ้า...มันโคตรเกรงใจเธอเลย” เขาหัวเราะหึ “เออ...ถ้ามันอยู่ใกล้ๆ ฝากบอกมันด้วยว่าพี่จะเอาคืน”
“เอาคืนอะไร...อ๋อ เอาคืนที่เขามาแต่งงานกับญ่า เลยจะแต่งงานกับน้องสาวเขาบ้างเพื่อเอาคืนว่างั้นเถอะ”
โคสึเกะส่ายหน้ากับการมองโลกในแง่ดีของญาติผู้น้อง แต่พอเขารู้ว่ามาร์กุสหวงน้องสาวมาก ยิ่งรู้อย่างนี้เขายิ่งอยากแกล้งยั่ว “บอกมันแค่นี้แหละ พวกผู้ชายเขารู้กัน”
“ฝากดูแลโพรเจกต์ด้วยนะ โดยเฉพาะมาร์ซีนญ่า เมืองนั้นไม่เหมาะกับการที่ผู้หญิงสวยๆ จะไปไหนคนเดียวหรอก” ญศกาส่งเสียงจูบล่ำลา
โคสึเกะมองนาฬิกา ค่อยๆ ลุกจากเตียงแล้วก็เหมือนถูกพระเจ้าลงโทษที่คิดอยากแกล้งคนอื่น เพราะเขาเดินหามาร์เซียทั่วห้องพักจนปวดเมื่อย แต่ไม่เจอแม้แต่ร่องรอย กระดาษโน้ตสักแผ่นก็ไม่ทิ้งไว้...นี่แม่ตัวดีหายไปไหน ไปเดินซุ่มซ่ามเป็นอันตรายที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้
 
คนที่ถูกนึกถึงกำลังนั่งหน้ามุ่ยตรงข้ามกับชายหนุ่มร่างใหญ่ซึ่งนั่งแบะขาเอามือพาดพนักโซฟาหน้าบูดบึ้งไม่แพ้กัน เธอกับพี่ชายนั่งเถียงกันเป็นชั่วโมงแล้วในห้องทำงานของเธอ มาร์เซียโมโหที่มาร์กุสให้คนของเขาไปเอาตัวเธอมาพบเขาที่รออยู่ที่โรงแรมและยังบังคับให้เธอกลับเซาเปาลูพร้อมกับเขาเดี๋ยวนี้อีกด้วย
“พี่ต้องงดประชุมเพื่อบินมาตามเธอถึงนี่โดยเฉพาะเลยนะ เสียเวลาแค่ไหนก็น่าจะรู้ ทำไมเราถึงไม่ยอมกลับไปกับพี่”
นอกจากส่งสายตาดุแล้ว พี่ชายเธอยังพูดเสียงแข็งและดุกว่าสีหน้าอีก
“จะให้ฉันทิ้งคนเจ็บไว้ที่นี่คนเดียวเหรอ เขาเป็นคนต่างชาติต่างถิ่นนะ อย่างน้อยฉันต้องรับผิดชอบผลงานของพี่ชายตัวเอง”
“มันต้องรับผิดชอบผลงานของมันต่างหาก โทษฐานลักพาตัวเธอมา”
“ลักพาที่ไหนกัน ฉันเต็มใจมากับเขาเห็นๆ และฉันก็มาทำงานโพรเจกต์ใหม่ที่พี่ก็เซ็นอนุมัติแล้ว”
“เบื่อจะเถียงด้วย พูดไปพูดมาก็วนกลับมาเรื่องเดิมอีกแล้ว มาเมยเป็นห่วงเธอรู้ไหม”
“ฉันโทร. คุยเรียบร้อยแล้ว มาเมยดีใจด้วยซ้ำที่โคสึเกะบินจากฮาวายมาช่วยงานฉันโดยเฉพาะ”
“ยังไงเธอก็ต้องกลับ ทำไมหนนี้เธอถึงกล้าดื้อกับพี่นะ อย่าถึงกับต้องให้คนของพี่อุ้มเธอกลับเลยนะมาร์ซีนญ่า” เขาขู่
“เอะอะก็จะใช้กำลัง ฉันโตแล้วนะ พี่ต้องให้ฉันเลือกใช้ชีวิตเองบ้าง ฉันจะอยู่ที่นี่กับเขา...ฉันหมายถึงทำงานร่วมกับเขา” เธอต้องรีบเสริมเมื่อเห็นพี่ชายขึงตา “พี่ต้องให้อิสระปล่อยให้ฉันทำงานโพรเจกต์ที่ใฝ่ฝันเต็มที่ได้อย่างภาคภูมิใจ”
“แต่พี่ไม่ยอมให้เธออยู่กับมันสองต่อสองหรอก ไม่งั้นพี่จะจัดการขั้นเด็ดขาดกับมันเอง”
“เขามาที่นี่เป็นเหมือนตัวแทนเมียพี่ ถ้าพี่ทำร้ายเขา ฉันจะทำตามที่พูดกับพี่ไว้เมื่อวันก่อน” เธอขู่ “และถ้าพี่ไม่ยอมให้ฉันอยู่นี่ ฉันจะบอกเรื่องที่พี่ส่งคนมาทำร้ายโคสึเกะจนน่วมให้เมียพี่รู้”
“เฮ้ย! ไม่ได้นะ ยัสก้ากำลังท้องอยู่”
“ไม่รู้ละ งั้นพี่ต้องยอมปล่อยฉันกับโคสึเกะ เลือกเอา”
พี่ชายเธอคงรู้ตัวว่าทำพลาดไปแล้วที่ทำร้ายพี่เมียตัวเอง และเรื่องพลาดๆ แบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสำหรับจระเข้ร้ายอย่างมาร์กุส จุดอ่อนของเขาคือภรรยาคนสวยนั่นเอง
“เธอกล้าขู่พี่เหรอ” ตาดุคมส่องประกาย
“ไม่ขู่ ฉันทำจริง”
“แต่เมืองนี้อันตราย นี่ก็เพิ่งมีข่าวลักพาตัวและลอบทำร้ายคนตระกูลซานโตส” มาร์กุสพูดถึงตระกูลหนึ่งซึ่งร่ำรวยและมีชื่อเสียงในเมืองนี้ “ยังไงพี่ก็ต้องส่งคนมาดูแลความปลอดภัยของเธอ มันจำเป็น”
“ได้แต่ฉันขอดาวี่” เธอเลือกเขาเพราะเป็นบอดีการ์ดที่โคสึเกะสนิทที่สุด
“แต่ดาวี่ดูแลยัสก้าอยู่”
“ก็เพราะเขาเป็นคนสนิทเมียพี่นั่นแหละ ฉันถึงขอ หรือจะให้ฉันโทร. ขอเมียพี่เอง” มาร์เซียหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะกดปุ่ม
“โอเคๆ พวกผู้หญิงนี่มันน่า...โธ่โว้ย!” มาร์กุสโบกมือพลางสบถอย่างหัวเสีย หน้าบึ้งตึง “แต่เธอต้องสัญญากับพี่ด้วย”
“อะไร” มาร์เซียแกล้งทำเสียงระอา
“ห้ามยุ่งเกี่ยวหรือไปรักชอบมัน...เอ่อ ไอ้โคสึเกะนั่นแหละ ไม่ว่าทั้งทางใจหรือร่างกาย”
“ของพรรค์นี้ตบมือข้างเดียวดังซะที่ไหน โคสึเกะเขาคงไม่อยากมาเป็นน้องเขยพี่หรอก” พี่ชายเธอจะรู้ทันไหมว่าเธอไม่ได้รับปากสัญญา และเธอกำลังภาวนาให้มาร์กุสรีบๆ ผ่านข้อนี้ไป
“เธอต้องรีบปิดโพรเจกต์นี้ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี อยากได้คนอยากได้งบเท่าไรบอกมา พี่จะรีบพิจารณาให้ด่วน จะได้จบๆ และถ้าจบ ไอ้โคสึเกะมันต้องกลับฮาวายทันที”
มาร์เซียลอบถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบ จึงรีบฉวยโอกาสเถียงต่อเพื่อตรึงให้มาร์กุสอยู่กับเรื่องนี้
“ฉันจะไปบังคับให้เขากลับอย่างใจพี่ได้ไง เก่งนักก็สั่งเขาเองสิ”
“เธอเปลี่ยนไปนะมาร์ซีนญ่า”
อุปาทานหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงเหมือนเขากำลังตัดพ้อ
“ฉันโตแล้วต่างหาก ไม่ต้องห่วงน้องสาวคนนี้หรอก พี่เอาเวลาที่เหลือจากงานไปดูแลเมียที่กำลังท้องดีกว่า ฉันอยู่ที่นี่ดูแลตัวเองได้” เธอมองหน้าพี่ชาย ยิ้มให้แล้วลุกขึ้น “กลับละนะ ต้องไปซื้อข้าวซื้อของอีก และชักคิดถึงคนป่วยแล้วด้วย ป่านนี้หิวแย่แล้ว ฉันไม่รอส่งพี่นะ”
“เดี๋ยว”
เสียงเรียกของมาร์กุสทำให้หญิงสาวชะงักเท้าทั้งๆ ที่เปิดประตูห้องแล้ว...พระเจ้า ขออย่าให้มาร์กุสเปลี่ยนใจ กักตัวเธอไว้เลย
“เธอต้องย้ายมาพักที่โรงแรมของเรา จะอยู่กับมันข้างนอกสองคนไม่ได้”
“แล้วพี่ชายเมียของพี่ล่ะ”
“โตป่านนี้แล้วหาที่ซุกหัวไม่ได้ก็ช่างหัวมัน” 
“ก็จริง ขอสักสองสามวันแล้วกัน รอให้เขาหายดีแล้วฉันจะย้ายกลับมาพักที่นี่ โอเคนะ” พูดจบเธอก็ดึงประตูเปิด “อ้อ...ถ้าพี่ไม่อยากได้น้องเขยเร็วนักละก็ อย่าเผลอไปทำร้ายเขาอีกนะ เพราะฉันเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร”
มาร์เซียยักคิ้วยิ้มยั่วพี่ชายก่อนเดินออกไป เดาได้เลยว่าพี่ชายเธอคงนั่งหน้าแดงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แน่
 
“I’m home.”
เสียงตะโกนดังมาจากหน้าประตูทำเอาโคสึเกะลุกพรวดอย่างลืมตัวแล้วต้องนิ่วหน้าเพราะเจ็บหลัง
“คุณหายไปไหนมา”
อารามเจ็บและร้อนใจ ครั้นเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงที่ยิ้มระรื่นในขณะที่เขาเป็นห่วงเธอแทบแย่ จึงตวาดออกไป
“ฉันก็ไปซื้อข้าวของเข้าบ้านน่ะสิ” เธอตอบเสียงเรียบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“ของเท่านี้เอง ไม่น่าจะต้องใช้เวลาซื้อนานขนาดนี้” คนพูดทำหน้าดุ เอื้อมมือไปดึงถุงกระดาษสีน้ำตาลก้นลึกใบโตซึ่งใส่ของที่เธอหอบมาเต็มอ้อมแขน แล้วยังหิ้วถุงใบใหญ่อีกมือด้วย
“ไม่ต้อง!” มาร์เซียกระชากกลับและเบี่ยงตัวหนี “ของแค่นี้ฉันถือเองได้ คุณเจ็บอยู่ก็ไปไกลๆ เลย ไม่หลบฉันกระแทกโดนคุณไม่รู้นะ”
“เอามานี่เถอะน่า จะชนผมก็เพราะถือข้าวถือของจนมองทางเดินไม่เห็นมากกว่า ผมแปลกใจจริงๆ นี่คุณไขกุญแจห้องเข้ามาเองได้ไงนะ ทำไมถึงไม่รอออกไปซื้อของพร้อมผม เหลือเกินจริงๆ คุณนี่”
เขาบ่นและพยายามแย่งของจากเธอ แต่เรื่องอะไรจะบอกเขาว่าเธอให้ลูกน้องของพี่ชายช่วยขนมาส่งหน้าห้องเมื่อกี้นี้เอง...หญิงสาวคิดว่าถ้าปล่อยให้เขาช่วยตรงนี้ ข้าวของอาจหลุดหล่นได้ตอนเปลี่ยนมือ จึงเดินหน้าต่อไปอย่างไม่สนใจเพราะอีกแค่สองสามก้าวก็ถึงเคาน์เตอร์วางของแล้ว
แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดอย่างนั้น เขายืนขวางและยื่นมือมาขณะที่เธอเร่งฝีเท้าเพื่อรีบวางของหนักเต็มมือ ด้วยความอยากเอาชนะคะคานกันของทั้งคู่ ถุงกระดาษก็เอียงกระเท่เร่จนของด้านบนสุดร่วงจากปากถุงทีละอย่างสองอย่าง มาร์เซียสะดุดเท้าเหยียบส้มที่ร่วงกราวจนเซแซ่ดๆ หญิงสาวกรีดร้องอย่างตกใจ ปล่อยของหลุดมือโดยสัญชาตญาณเพื่อคว้าหลักเกาะ มือไม้วาดสะเปะสะปะกวาดร่างหนาของโคสึเกะ ในขณะที่เขาก็พยายามยึดเธอไว้ ทั้งคู่จึงเสียหลักล้มไปกองบนโซฟาใกล้ๆ  หญิงสาวที่ตัวเบากว่ากระดอนทับบนร่างใหญ่ที่ทอดยาวของเขา แขนแข็งแรงของชายหนุ่มโอบหลังเธอไว้เพื่อปกป้องไม่ให้ร่วงไปกองบนพื้น ส่วนมือเจ้ากรรมอีกข้างซึ่งตั้งใจจะยึดไหล่ดันผ่าไปวางแปะบนเสื้อยืดโนบราของหญิงสาวและเกาะกุมอกอวบหยุ่นนุ่มมือพอดิบพอดี 
และไม่มีใครคาดคิด จมูกกับริมฝีปากของสองหนุ่มสาวทาบทับกันอย่างเหมาะเจาะราวกับมีใครมาจัดวาง
อารามตกใจ เมื่อหญิงสาวทิ้งตัวลงมาเขาจึงชักมือหนี ยิ่งขยับมือก็ยิ่งเหมือนบีบขยำ ไล้ปัดยอดอกหญิงสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ เหมือนนิ้วโป้งอันซุกซนของเขาจะพบของต้องใจจนเกาะติดไม่อาจผละจากได้ จึงเผลอวนนิ้วคลึงไล้ยอดอกนุ่มซึ่งดันเสื้อยืดจนเป็นตุ่มนูน...ได้ยินเสียงครางอย่างแผ่วเบาของหญิงสาวลอดอู้อี้ออกมา
ดั่งแม่เหล็กต่างขั้วมาบรรจบ คู่ต่างซึ่งฉาบด้วยสายใยแห่งความพึงใจของสองหนุ่มสาวได้ดึงดูดซึ่งกันและกันติดแน่นจนยากที่จะผละออกได้ไม่มีใครสนว่าฝ่ายไหนเริ่มก่อน รับรู้แต่ว่ากระแสไฟแห่งความปรารถนาไหลผ่านอย่างรวดเร็วเมื่อมีลิ้นนุ่มแตะเลียริมฝีปาก แล้วปฏิกิริยาเคมีของทั้งคู่ก็ทำงาน ยามนี้เมื่อลิ้นอุ่นสัมผัสกันแล้ว ต่างก็รัดร้อยเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกันอย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นจูบของการเรียกร้อง...วิงวอน และเป็นจูบแห่งการค้นหาตัวตนของกันและกันอย่างหอมหวาน ทั้งคู่ลืมข้อห้ามและความตั้งใจเดิมที่เคยมีทั้งหมด ต่างถ่ายทอดความรู้สึกและแรงปรารถนาต่อกัน โดยไม่รู้ว่าจะหยุดจูบนี้ได้ไหม...และเมื่อไร
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น