๗
The Moon: เทพีแห่งแสงเดือน
การซ่อนเร้นอำพราง เล่ห์เหลี่ยม หักหลัง ภาวะวิตก สับสน การงานผันผวน
“นี่คงเป็นร้านที่พี่หมูยืมเงินจากแม่ของนายกำยำมาลงทุนสินะ” คุณโชคปรารภ เอี้ยวเงยกลับไปอ่านป้ายชื่อร้าน ฟรอนเทียร์ ไทย เรสเตอรอง “ทั้งค่าเช่า ค่าตกแต่ง คงหลายตังค์อยู่”
“แล้วพี่หมูก็ชอบใช้เวลาในออฟฟิศติดต่องานของร้านนี้แทนสามีเธอด้วยค่ะ เอกสารส่วนใหญ่ก็พรินต์ในบริษัท” งานที่เป็นของแอ๊กซ์จริงๆ พี่หมูจึงต้องเดินออกมาใช้เครื่องพรินต์ข้างนอกห้อง เพราะเก็บโควตาในห้องพรินต์งานของตัวเอง
“กะจะใช้ข้อมูลนี้เป็นอาวุธลับ?” ชายหนุ่มข้างกายเลิกคิ้ว
น้องกี้สั่นหน้า “ตราบใดพี่หมูไม่มายุ่งกับการชิ่งไปไหว้พระหาหมอดูของน้องกี้ น้องกี้ก็จะถือซะว่าเรื่องพวกนี้น้องกี้ไม่รู้ไม่เห็น”
คนพูดหยุดหลบเพราะประตูร้านถูกผลักเปิด คุณพรมแดน สามีวัยอ่อนกว่าพี่หมูราวสิบปีก้าวออกมาแขวนป้ายเมนูที่หน้าประตูร้าน ลักษณาการก้าวดูผิดปกติ เมื่อสังเกตดีๆ จะพบว่าซ่อนจังหวะกะเผลกไว้เล็กน้อย
คุณโชคหมุนตัวบังเธอไว้ ไม่วายกังขา “ถ้าทุกคนตอดหาผลประโยชน์อย่างนี้ สักวันที่ที่ให้ข้าวให้น้ำเธอจะมิแย่เหรอ”
“คนตัวเล็กๆ อย่างน้องกี้คงทำไม่ได้ ถ้าคนที่รักษากฎตัวใหญ่ๆ ไม่เริ่มเองซะก่อน อีกอย่าง ถึงน้องกี้กับพี่หมูไม่ทำ แผนกอื่นๆ เขาก็ทำกันอยู่ดี”
“ตรรกะบ้าบออะไร ไม่รู้สึกว่านี่มันดูบิดเบี้ยว ลักลั่นย้อนแย้งไปหน่อยเหรอ”
เสียงเป่านกหวีดลั่นขึ้นกลางถนน นายตำรวจจราจรโบกเก๋งคันหนึ่งเข้าเลียบบาทวิถีไม่ไกลจากจุดที่น้องกี้กับคุณโชคบดียืนคุยกันอยู่ คนรอรถเมล์กลุ่มใหญ่ตรงป้ายใกล้ๆ ประตูสุนทรทิศาฝั่งตรงข้ามยังหันมองตามเป็นตาเดียว
“คุณโชคว่าน้องกี้ซ้ำๆ แบบนี้ไม่เบื่อบ้างรึไงคะ น้องกี้ไม่เห็นจะรู้สึกว่าตัวเองแปลกตรงไหน ดูสิ คุณตำรวจคนนั้นโบกเรียกคนขับเพราะกะจะไถเงินชัดๆ นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่ที่ให้ข้าวให้น้ำเลี้ยงเขาโตมาแท้ๆ ก็ยังไม่เกรงกลัวเลย” คนพูดไม่ทันสังเกตว่านายตำรวจผู้ถูกพาดพิงหันขวับมา “น้องกี้ซะอีกยังศรัทธา แต่พอมาไหว้พระขอพรบ่อยๆ คุณโชคก็ท้วงว่าทำไมไม่รู้จักพึ่งแล้วก็มั่นใจในตัวเองอีก” คนพูดยังคงไม่ทันสังเกตว่า คนเดินถนนหลายคนกำลังเตรียมเข้าไปทำบุญที่วัด
“ฉันเชื่อในความสามารถของตัวเอง และในฐานะโปรแกรมเมอร์ ฉันเชื่อในระบบ ถ้าเราแข่งขันกันตามกฎของระบบที่ถูกเซตไว้อย่างถูกต้องดีแล้ว คนที่มีศักยภาพจริงๆ ก็จะได้รับชัยชนะ ใครอยากชนะก็ต้องหาทางพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าเราพยายามโกงระบบด้วยการแทรกแซงกฎ ถึงชนะ ต่อไปกฎก็จะเริ่มรวน เพราะคนอื่นๆ ที่อยากชนะบ้างย่อมหาทางโกงเหมือนกัน แล้วสุดท้ายสิ่งที่ถูกเซตไว้แต่แรกก็จะป่นปี้ ทีนี้ทุกอย่างก็จะวุ่นวายไปหมด แล้วคนที่อยู่ข้างบนสุดก็จะไม่ใช่คนที่เก่งจริงๆ หรือเก่งมากพอที่จะมาทำประโยชน์ให้คนอื่นๆ ได้”
น้องกี้ไม่ตอบอะไร พยักไปยังคนขับรถที่ตะโกนออกมาเสียงดังว่า “คุณไม่รู้เหรอว่าผมเป็นหลานของท่าน ระวังตัวไว้หน่อยเถอะ!...” แล้วก็ปิดกระจก ขับรถต่อไปโดยนายตำรวจผู้โบกได้แต่ยืนหงอ
คุณโชคก็ไม่ตอบอะไรเช่นกัน พยักไปยังรถเมล์ที่เพิ่งเข้ามาจอดหน้าป้าย ผู้โดยสารเฮละโลขึ้นไปไม่มีใครยอมใคร พอคนแรกขึ้นไม่ได้ก็ไม่ยอมให้คนต่อไปขึ้น ยืนเถียงกันจนสุดท้ายรถเมล์ขับหนีไป ไม่มีใครได้ขึ้นรถสักคน
น้องกี้สะบัดหน้ากลับ “ที่แท้คุณฐิตารู้และมาเอาหน้ากับพี่หมูที่นี่นี่เอง ทำท่าเหมือนบังเอิญ ทั้งที่แท้เมื่อกี้เดินหาอยู่ชัดๆ!”
คู่สนทนายิ้มขันการเสกลบเกลื่อนของเธอ ต่อเมื่อน้องกี้จะก้าวไปคว้ามือจับประตู คนขันก็ร้องขึ้น “เฮ้ย จะทำอะไร!” ว่าพลางรั้งเธอห่างออกมาจากหน้าร้านเหมือนเดิม
“ก็เข้าไปไงคะ” น้องกี้งงงวย “จะบอกบ้างว่าเราก็เผอิญมาเจอและจะแวะอุดหนุนพี่หมูเหมือนกัน!”
คุณโชคปล่อยมือจากแขนน้องกี้ จ้องพี่หมูที่เคลื่อนไหวอยู่ในร้านด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “อย่าดีกว่า” เขาสรุป “ไม่งั้นเธอก็เข้าไปคนเดียว”
“แน่ะ” หญิงสาวหรี่ตา ยกนิ้วชี้ มียิ้มแตะที่มุมปาก “คุณโชคเป็นห่วงน้องกี้ กลัวพี่หมูจะเข้าใจเรื่องของเราผิดแล้วเอาไปฟ้องพี่เก่งใช่มั้ยล่ะ...”
คำขาดตอนไป เพราะโทรศัพท์มีสายเข้ามา หญิงสาวหยิบขึ้นดูแล้วขมวดคิ้ว...พี่เก่ง
“สวัสดีค่ะ” น้องกี้จบคำทักโดยยื่นโทรศัพท์ห่างหู
คุณโชคที่ยืนอยู่ข้างๆ บ่นว่า “ฉันกลัวตัวเองเสียชื่อต่างหาก”
“น้องกี้! นั่นเสียงใคร” ปลายสายตะคอกเสียงดังทะลุหูจนคุณโชคยังได้ยิน
เขากลอกตาให้ “ยัยตัวแสบ”
น้องกี้กระหยิ่ม อันที่จริงรู้อยู่แล้วว่าถ้าเธอเงียบหาย สุดท้ายแฟนหนุ่มจะต้องเป็นฝ่ายโทร. มา เพราะไม่มั่นใจว่าเธอจะกลับไปหาคุณโชคอีกรึเปล่า เสียงคุณโชคเมื่อกี้จะทำให้คราวนี้เขาไม่กล้าตัดสายไปโดยพลการเช่นคราวก่อน
“พี่เก่ง. โทรหาน้องกี้มีอะไรรึเปล่าคะ”
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง! เมื่อกี้พี่ได้ยินนะ เสียงของผู้ชาย ไอ้ชั้นต่ำนั่นอีกแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ” เสียงตอบหวานราวกับกำลังคุยกันคนละโหมด “พอดีเย็นวันก่อนนั้นงานเข้าเขาซะก่อน เราก็เลยยังไม่ได้ไปไหน วันนี้คุณโชคพาน้องกี้มาทำบุญไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลค่ะ”
“สิริกับผี!...”
“จุ๊ๆ พี่เก่งอย่าบริภาษสิคะ น้องกี้กำลังอยู่ใกล้ๆ เขตวิสุงคามสีมา เดี๋ยวพี่เก่งจะบาป!”
ปลายสายทำเสียงจึ๊กจั๊ก “เอาอย่างนี้ น้องกี้เลิกยุ่งกับมันเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้พี่จะพาน้องกี้มาฉลองที่บ้าน”
“กับคุณพ่อคุณแม่พี่เก่ง?”
“กับคุณพ่อคุณแม่ของพี่!”
“แล้วถ้าน้องกี้จะพาคุณแม่กับน้องไปด้วยพี่เก่งก็จะไม่ว่า”
“อย่าต่อรองให้มันมากนัก!”
หญิงสาวยื่นโทรศัพท์ห่างหู “ฮัลโหลๆ พี่เก่งคะน้องกี้ไม่ได้ยินเลย ไว้เราติดต่อกันอีกทีนะคะ”
แล้วโดยฉับพลันทันใด ปลายนิ้วของเธอกดตัดสาย คุณโชคที่ยืนกอดอกมองเอือมๆ อยู่ตลอดส่ายหน้า “ไหนว่าอยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเธอไม่ทำผิดแน่นอน”
“ผิดตรงไหนคะ น้องกี้ไม่ได้โกหกอะไรนี่ ยกโทรศัพท์ห่างหูซะขนาดนี้ใครมันจะไปได้ยิน จริงมั้ยคะ”
“ตัวแสบ!”
“เอาเป็นว่าน้องกี้เชื่อคุณโชค เราจะไม่เข้าไปในร้านพี่หมู”
“เพราะตอนนี้เธอดูจะมีอำนาจต่อรองสูงขึ้นไปอีกขั้น และเดี๋ยวพี่หมูก็จะรู้ข้อนั้น?”
“ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้คำขอพรของน้องกี้สัมฤทธิผลค่ะ สาธุ”
ทั้งคู่ข้ามแยกมหาราชมาหาอะไรกินกลางวันกันแถวท่าช้าง วันนี้ลานหน้าท่าเรือดูโปร่งตากว่าแต่ก่อนเนื่องจากการจัดระเบียบใหม่ ตึกแถวทรงนีโอคลาสสิคอยู่ถัดไปเพิ่งเสร็จสิ้นการบูรณะ จากสีขาวเก่าคร่ำกลายเป็นเหลืองลออตา ขับให้หน้าต่างและบานเฟี้ยมสีฟ้าสดโดดเด่น
คุณโชคเลือกร้านริมน้ำ แม้ลมชายฝั่งอู้ตลอด แต่แดดก็ร้อนจนเหงื่อซึม เปลวของมันเลียยอดคลื่นวิบวับอยู่ในฉากหน้าของวัดระฆังโฆษิตาราม ซึ่งการจราจรทางน้ำขวักไขว่
ลูกค้าในร้านมีไม่มาก พัดลมตั้งโต๊ะเก่าแก่ส่ายลมร้อนให้ร้อนยิ่งขึ้น น้องกี้เลือกเส้นใหญ่ราดซอสหมูสับ แต่กวยจั๊บเครื่องในน้ำข้นของคุณโชคมาถึงก่อน มองเขาโซ้ยนำแล้วหญิงสาวน้ำลายสอ ขอชิมหมูกรอบ เจ้าตัวก็เจียดให้แค่เศษหนึ่งส่วนสี่ ขอชิมไข่ต้มก็หั่นให้แค่เศษหนึ่งส่วนสี่ ในที่สุดขณะจานของน้องกี้มาถึงแล้วเขาหันไปขอบคุณบริกร เธอจึงฉวยโอกาสช้อนเห็ดหอมกับหมูกรอบที่เหลือเข้าปากตัวเองเคี้ยวดังกร้วมๆ
“นี่!” เขาฟาดมือเธอด้วยตะเกียบ พอน้องกี้หดมือไปลูบป้อยๆ คนฟาดก็เอาคืนบ้างโดยคีบเส้นใหญ่ของเธอขึ้นชิม “เออ อันนี้อร่อย”
“ฮ่า!” คนหิวตาเป็นประกาย ตั้งท่าจะใช้ช้อนจ้วง ทว่าจานที่ตัวเองสั่งก็ถูกเลื่อนไปที่คนนั่งฝั่งตรงข้ามแทน
“เธอกินของฉันแล้ว เปลี่ยนกันเลยละกัน”
“คุณโชค!”
“เป็นอะไร หน้ามุ่ย ยังไม่หายปวดขาเหรอ” เขายียวน เย้ยหยามด้วยการรีบสาวเส้นใหญ่เข้าปาก
เจ้าของเมนูทำเสียงหึ แต่ก็ยอมรับกวยจั๊บที่เขากินไปแล้วเกือบครึ่งมาเป็นของตัวเองแต่โดยดี “น้องกี้สารภาพก็ได้ว่าวันนี้เพิ่งเคยมาวิ่งครั้งแรก”
“คิดว่าฉันไม่รู้?”
“คุณโชคหาว่าน้องกี้อ้วนเหรอคะ” เธอจับหน้าท้อง
เขายักไหล่ พูดโดยอาหารยังเต็มปาก “ผู้หญิงอ้วนแล้วยังไง ถ้าตัวเองพอใจแล้วสุขภาพไม่เสียหายก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
เธอยักไหล่ตามบ้างทั้งที่เป็นกิริยาไม่งาม ก้มลงเตรียมตักอาหารเข้าปาก “อ้วนแล้วไม่ยังไงหรอกค่ะ อ้วนแล้วก็จะไปฟิตเนสกับคุณโชคตอนเย็นๆ”
คุณโชคเลื่อนสลับจานเส้นใหญ่มาให้เหมือนเก่า “ใครเชิญ”
“ไม่อยากให้น้องกี้แข็งแรงเหรอคะ”
“เรื่องของฉันรึเปล่าล่ะ”
“ถ้าน้องกี้แข็งแกร่ง ก็จะได้มีแรงไปตระเวนขอพรไหว้พระ”
“ถามจริงๆ ได้มะ” เขาหยุดกลืนตับหมู “ทำไมจะต้องไปขอพรบ่อยๆ ชีวิตเธอก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไรนี่”
“เวลาน้องกี้ได้ทำบุญขอพรแล้ว น้องกี้จะเกิดความมั่นใจในชีวิตนี่คะ อีกอย่าง คุณแม่จะชมทุกครั้งที่น้องกี้ไปไหว้พระทำบุญแล้วขยายผลให้คนในครอบครัว เพราะคุณแม่กับน้องลาภไม่ค่อยมีเวลา”
ชายหนุ่มก้มหน้า เขี่ยตะเกียบลงในกลุ่มเส้นก๋วยเตี๋ยวไปมาลักษณะคล้ายใช้ความคิด เหมือนกำลังหวนนึกถึงบางเรื่องในอดีต
คำใหม่เขายังไม่เงยหน้า และน้ำเสียงก็ขรึมลงกว่าประโยคก่อนๆ “เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพื่อให้ใครมารักหรอกนะ”
ช้อนของน้องกี้ชะงักก่อนถึงปาก
มันสั่นตามจังหวะร่างแข็งที่กลับระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้ ราวกับถูกอะไรบางอย่างกะซวกใจ เป็นความรู้สึกคล้ายๆ ตอนที่เขาบอก ‘พอดีวันพฤหัสหน้าจะไม่เจอกัน เลยมาฉลองกันก่อน’ แล้วน้องกี้พลันระลึกรู้ว่ายังมีหนึ่งคนบนโลกจำวันเกิดของเธอได้...เขาจำวันเกิดของเธอได้!
มันคืออารามที่บางอย่างข้างในสั่นโคลง ขยับขยายจนร้อนรื้นขึ้นในตา ถึงกระนั้นเจ้าของความรู้สึกก็คงพยายามปรุงหัวเราะ ประหนึ่งสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องไร้สาระ
“ถ้า...ถ้าน้องกี้ไม่ไหว้ คุณพระคุณเจ้า...ท่าน...ท่านก็อาจจะไม่...”
“ฉันหมายถึง...” เขาเงยหน้า จ้องตาด้วยแววจริงจังเห็นใจ “เธอไม่จำเป็นต้องทำ...ทั้งหมดนี้...”
ทั้งหมด ของคุณโชค สะท้อนความหมายด้วยสายตา
ทั้งหมด อันมีความหมายมากกว่าแค่ไหว้พระขอพร
ทว่า...ทั้งหมด...ปลิ้นปล้อน เพทุบาย เห็นในสิ่งที่ไม่จริง เพื่อจะดำเนินการต่อในสิ่งที่หาความจริงไม่ได้...
“เธอไม่ต้องทำเพื่อให้ใครมารัก เพราะเธอมีดีมากพอ มากพอที่ควรจะเชื่อในตัวเอง!”
เขาจบคำพูดโดยคีบบางอย่างจากชามกวยจั๊บเครื่องในยื่นให้ มันคือหัวใจ
น้องกี้ยิ่งหัวเราะ แต่จู่ๆ น้ำตาก็คลอและหยดแหมะ เสียงหัวเราะปนปร่าจนกลายเป็นสะอึกสะอื้นออกมาโดยไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร แต่มันมากเหลือเกิน หนักเหลือเกิน ราวกับความรวดร้าวที่ฝังลึกในใจกลับลอยฟ่องอัดแน่นขึ้นมาพร้อมกันจนแทบหายใจไม่ได้ น้ำตาไหลแทบไม่ทัน
คุณโชควางมืออุ่นหนาบนบ่าน้องกี้ มืออีกข้างยื่นทิชชูให้
“ขะ...ขอบคุณค่ะ” เธอยังพยายามยิ้มเหมือนเห็นขัน “น้องกี้เป็นอะไรไม่รู้ จู่ๆ ก็ร้องไห้”
เขาดึงมือกลับไป หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดถ่ายรูปน้องกี้ หน้าตาเหยเกแดงก่ำที่บันทึกได้เรียกเสียงหัวเราะทุ้มๆ ของเขา
“คุณโชค!” น้องกี้โวยวาย น้ำตาหยุดไหล แต่ตาบวมเป่ง ยื่นมือไขว่คว้าโทรศัพท์ของเจ้าตัวมาลบรูปทิ้ง พลอยให้เห็นรูปที่เจ้าตัวถ่ายไว้ก่อนหน้า
“จำได้มั้ย” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นเธอมองภาพนั้นนิ่งๆ
“...”
“เนื้อแพร”
“เนื้อแพรไหนคะ น้องกี้ไม่เห็นจะ...” คำพูดสะดุดแค่ริมฝีปาก เพราะในใจเริ่มคราง หืม...และแล้วขยับเพ่งใกล้เข้าไปอีกนิด
กรี๊ด! “เนื้อแพร! คุณแพร!”
ไม่อยากจะเชื่อ จากเด็กสาวขาเท่าฮิปโปชุบแป้งทอดเมื่อสิบปีก่อน คุณแพรกลายเป็นหญิงสูงผอม ขายาว ขาว และเนียนสุดๆ ชนิดหาหนังลายเพราะการลดความอ้วนไม่เจอ
ผมหร็อมแหร็มติดกิ๊บแฉะแหมะหัว บัดนี้กลับยาวตรงดำขลับรับคิ้วโก่งและลูกตาโตแป๋ว เรียกว่าแบ๊วโดยไม่ต้องพึ่งบิ๊กอายส์! เป็นความแบ๊วที่ดูฉลาด มั่นใจ (เธอทำได้ยังไงคะ!) จมูกบี้บานพานปีกเล็กและโด่งขึ้นเพราะผอมลง ทรงปากก็เข้ารูป กระนิดๆ สีน้ำตาลในวันนี้ ทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์และเก๋แบบเป็นตัวของตัวเอง
ทำไมคนในชั้นเรียนเดียวกันโตมาถึงเลิศขึ้นทุกคนเลย (วะ) คะ! น้องกี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาดที่ไม่เคยไปรียูเนี่ยน บางทีคนพวกนี้อาจหนีไปชุบบ่อลงอ่างที่ไหนกันมาบ้างแน่ๆ
“ใช่...” คุณโชคลากเสียง มองภาพในโทรศัพท์มือถือของตนด้วยสายตาชิดเชื้อ ชื่นชม เกือบถึงกับช้อบชอบ “อีกไม่นานแพรจะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุด เชิญไปงานด้วยนะ”
“...คะ?”
จู่ๆ น้องกี้รู้สึกหูอื้อ และเป็นอีกครั้งที่คล้ายบางอย่างกะซวกเข้ากลางใจ ปลายมือปลายเท้าชาและเย็นเฉียบ
คุณโชคหันไปรูดซิปหยิบบางอย่างจากกระเป๋า เมื่อยกมือกลับมา น้องกี้พบว่ามันเป็นซองสีชมพู!
ความกลัวที่ค่อยกร่อนแกนกลางข้างในพรายฟองขึ้นฟอดๆ พร้อมกันนั้นคืออาการแสบในตา หูยินถ้อยบทสนทนาจากกาลก่อน
‘หมายความว่าแพรมันไม่รับรักนายกำยำ แต่หมอนี่ก็ยังมาทำชีกอจนแพรต้องขอให้ฉันทำเป็นแฟน’
‘แล้วพี่เก่งก็เชื่อ?’
‘ถึงเธอจะคิดว่าฉันสู้หมอนั่นไม่ได้ แต่ใช่...มันเชื่อ สุดท้ายก็เลยเลิกมาวอแว’
น้องกี้บังคับมือไม่ให้สั่นขณะแกะซองดึงการ์ดแข็งข้างในออกมา หรือว่าที่แท้ ที่แท้นั่นคือจุดเริ่มต้น!
พัดลมเก่ากึ้กหันมาพอดี ลมร้อน ๓๘ องศาเซลเซียสพัดการ์ดเด้งเปิด ข้อความตัวหนาที่โผล่กระแทกตาถึงกลับทำน้ำตาไหลย้อน
...เนื้อแพร & ยิ่งชีพ...
น้องกี้ถอนหายใจ ยิ้มแก้มปริ
นั่นสิ เราจะถอนหายใจ ยิ้มแก้มปริทำไม
ความรู้สึกอีกอย่างซ่านขึ้นแทนที่ ดวงตาของน้องกี้กลับเป็นประกายจรัสขณะกวาดสำรวจรูปถ่ายคู่บ่าวสาวที่พิมพ์ลงมาด้วย “คุณยิ่งชีพในชุดเจ้าบ่าวหล่อมากๆ คุณเนื้อแพรในชุดเจ้าสาวก็สวยมากๆ ทรงผม ช่อดอกไม้ ทุกอย่างงดงามล้ำโลกมากๆ ค่ะ ฮิฮิ ฮะฮะ...”
“เขาไม่ได้ใส่กัญชาในก๋วยเตี๋ยว ไม่ต้องทำท่ามีความสุขขนาดนั้น”
“ก๋วยเตี๋ยวก็อร่อยมากๆ ร้านนี้ก็บรรยากาศดีมากๆ ค่ะ ฮิฮิ ฮะฮะ...”
คุณโชคถอนหายใจระอา กลับมากินเส้นใหญ่ต่อ “ฉันจะไม่บอกแพร จะให้เจอเธอในงานเลยแล้วกัน ที่นั่นมีเพื่อนเราไปเยอะ ทุกคนคงเซอร์ไพรส์ที่เห็นเธอมาด้วย” หมดคำแล้วเขาก็ดูดน้ำกระเจี๊ยบก่อนพูดต่อ “ถึงแพรจะไม่ค่อยสนิทกับเธอ แต่แพรดีใจแล้วก็ตื่นเต้นมากนะ ตอนที่ฉันเล่าให้ฟังว่ามาเจอเธอในที่ทำงาน เขาถึงฝากซองมาให้นี่ไง”
สงสัยจะกลัวแขกโหรงเหรง ได้ยินเสียงตัวเองในใจ น้องกี้ก็สะดุ้งเพราะนึกขึ้นได้
ไม่เอาๆ สัญญากับคุณโชคแล้วว่าจะเป็นคนดี ต่อไปนี้คนดีต้องคิดแต่สิ่งดีๆจำไว้!
น้องกี้ยังคงรักษาความดีไว้ได้ตั้งแต่วันจันทร์จวบอังคารเช้า หญิงสาวเข้างานก่อนเวลา รับผิดชอบหน้าที่จนคนรอบด้านรู้สึกเหมือนปาฏิหาริย์อุบัติ ขณะเดียวกัน พี่หมูผู้ไม่ถูกลับคมเลยกลับรู้สึกกระสับกระส่ายและเริ่มระแวงภัย ต่อเมื่อหยั่งเชิงจนแน่ใจว่าลูกน้องตัวร้ายคล้ายจะปลดเขี้ยวเล็บ คนเป็นหัวหน้าก็เริ่มนิ่งตรึก
ยัยน้องกี้เปลี่ยนไปเพราะอะไรแน่
และแล้วสายตาใต้แว่นกรอบกระก็ได้ประสบ ภาพลูกน้องสาวหอบหิ้วเอกสารและสัมภาระไปนั่งทำงานคู่กับซัปพลายเออร์หนุ่มในห้องประชุมเล็ก เป็นการหอบหิ้วตัวเอียงทั้งใบหน้าสะรอยยิ้ม!
ท่ามกลางความเงียบประหนึ่งคลื่นใต้ผิวน้ำ พี่หมูแอบเรียกรักเร่มาคุยอีกครั้ง แต่นอกจากไม่คืบ แววตาของพนักงานน้องเล็กวันนี้ยังเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
‘พี่แอ๊บไม่สั่งงานอะไรเร่เพิ่มสักอย่าง เอาสกิลกลับไปทำเองจนเสร็จ แถมช่วยสอนเร่ใช้สูตรเอกซ์เซลด้วยนะคะ’
‘เขาตั้งใจจะให้งานใหม่เรารึไง’
‘ไม่ใช่ค่ะ’ สีหน้าคนฟังชื่นชมหนักแน่น ‘พี่แอ๊บเห็นว่าเร่เอาแต่ทำมือแล้วมันช้า แถมเหนื่อยด้วย พอใช้สูตรแล้วเร็วขึ้นตั้งเยอะแน่ะ...’
ตอนนั้นผู้บังคับบัญชาพยักยิ้มในสีหน้า ระงับอารมณ์เสียไว้ในใจ
เด็กนี่มันโง่แท้ แต่ยัยน้องกี้กลับฉลาดเป็นกรด ทำไมหล่อนทำเหมือนรู้ทันแล้วแก้ลำเรา
ในที่สุดสายตาเจ้าของความคิดสบเข้ากับข้อความเตือนการประชุมที่แสดงขึ้นจากโปรแกรมไมโครซอฟท์เอาท์ลุกบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
‘เดี๋ยวเร่ออกไปแล้วฝากบอกพี่เขาที อีกครึ่งชั่วโมงไปประชุมกับพี่ที่ห้องชั้นสาม’
ห้องที่ว่าเป็นห้องประชุมใหญ่ โดยมากใช้กับงานรวมกลุ่มหลายฝ่าย เช่นกันกับวาระในวันนี้ งานที่พี่หมูรู้ว่าน้องกี้จะชิงชังเป็นที่สุด!
“ขายังไม่หายอีกเหรอจ๊ะน้องกี้” คนเป็นหัวหน้าซุ่มอยู่ในซอกข้างห้อง ทำเป็นยืนชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง แท้จริงเพื่อรอปะหน้าลูกน้องสาวและสังเกตสีตาของหล่อน
“คงอีกสักสองวันค่ะ” ฝ่ายที่ถูกทักก้าวกะโผลกกะเผลกขึ้นมาจากบันไดพร้อมสมุดจดงานกับปากกา
“ไปวิ่งกับใครมานะ พี่จำได้ว่าพี่เก่งเขาชอบว่ายน้ำ”
ถ้าเป็นทุกที ยัยน้องกี้คงทำหน้าแบ๊วแล้วส่อกิริยาบางอย่างในทาง ‘งัดข้อ’ ทว่าวันนี้กลับทำแค่เพียงผายมือไปที่ประตู “เชิญพี่หมูก่อนค่ะ”
หัวหน้าเป็นฝ่ายต้องรู้มารยาท กระนั้นจึงแสร้งลื่นไหล “พี่ขอโทษด้วยนะที่ต้องเรียกน้องกี้ ฐิตาเขากำลังเตรียมงานซีเอสอาร์ไปคุยกับโรงงานมะรืนนี้ แล้วรักเร่ก็ยังเด็กไป พี่ไม่ไว้ใจเขา น้องกี้รู้ใช่มั้ยว่างานนี้แผนกเราเป็นแกน”
“ค่ะ” คำตอบสั้นยิ่งทำให้หัวหน้าขัดใจ โดยเฉพาะเมื่อพบว่าในห้องยังแทบไม่มีใคร ทั้งที่เจียนเวลานัดหมายอีกแค่สามนาที “เดี๋ยวน้องกี้จะโทร. ไปตามคนในลิสต์นะคะ”
พนักงานที่ถูกตามมาทั้งหมดเกือบ ๒๐ คนคละกันตั้งแต่กลุ่มน้องใหม่ไปถึงอาวุโส แต่เหมือนกันตรงที่แต่ละรายล้วนก้าวเฉื่อยไม่รู้ร้อน ตอนที่น้องกี้ละโทรศัพท์ตรงมุมห้องกลับมา ด้านข้างที่นั่งของพี่หมูซึ่งน้องกี้ควรได้อยู่ในฐานะผู้ช่วย ก็กลับถูกใครบางคนแย่งไปอีก
พี่ยา-มารยาท พนักงานซูเปอร์ซีเนียร์จากฝั่งบัญชี ดีกรีย่นตั้งแต่โคนผมถึงนิ้วหัวแม่เท้า แต่สวมชุดเปรี้ยวแบบเดียวกับลูกสาววัยเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย พี่ยานั่งไขว่ห้าง หน้าบอกบุญไม่รับ ปล่อยให้น้องกี้ต้องขยับเก้าอี้ห่างมาเพื่อไม่ให้ปลายเท้าของหล่อนชี้ถูก
“ดีจัง ได้นั่งข้างคนสวย” เสียงทักดังจากอีกฝั่ง-ฝั่งซ้าย เฮียคลัง เจ้าหน้าที่แผนกขาย ทีม A ซ่อนร่างเตี้ยพุงป่องอยู่ในเชิ้ตลายพร้อยมันแผล็บ ความมันของเสื้อยังไม่เท่าหน้าผากขนาดเก้าแสนเก้า และความมันของหน้าผากก็ยังไม่เท่าวาวตากะลิ้มกะเหลี่ย
นี่เป็นตัวอย่างสาเหตุของความชิงชังในงานประเภทนี้ของเธอ พนักงานส่วนใหญ่ในแอ๊กซ์ปราศจากจิตสาธารณะ แต่ละคนคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว ครั้นถูกร้องขอให้เป็นตัวแทนมาทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมก็มักอิดออด นัดไม่เป็นนัด ฝ่ายประสานงานแทบจะต้องจุดธูปเรียก ต่อเมื่อเรียกมาได้ก็ไม่มีใครสนใจใคร หรือสนใจแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ปกติน้องกี้จึงมักหลีกหนีงานที่ต้องติดต่อคนเยอะแยะ
อันที่จริง อาจพูดได้ว่าเธอมักหลีกหนีงานทุกประเภทนั่นละ เพียงแต่งานนี้คือลำดับต้นๆ
ในที่สุดที่ประชุมก็มาครบ แต่พี่หมูก็ยังไม่พูด พยักหน้ามาทางน้องกี้แทนคำ...น้องกี้ต้องพูดเชิญพี่เปิด
เพื่อความราบรื่นตามคำเตือนของคุณโชค หญิงสาวเพียรสูดลมเข้ายาวลึก เป็นการฝึกเพื่อต่อสู้กับเรื่องงี่เง่าปัญญาอ่อนทั้งมวล “ขอบคุณทุกท่านที่มากันพร้อมหน้าในการประชุมเรื่องงานเลี้ยงอำลาท่านประธานนะคะ น้องกี้ขออนุญาตเชิญพี่หมู คุณมุททา ผู้จัดการแผนกบริหารทั่วไปและงานบุคคล กล่าวกับที่ประชุมในฐานะตัวแทนของบริษัทค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ” หัวหน้าทำตัวพอง ยิ้มอ่อน และหันซ้ายขวาเหมือนว่ามีคนปรบมือให้ทั้งที่จริงไม่มี
น้องกี้อายในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา อยากจะกลอกตา แต่ว่าคำสั่งคุณโชคยังค้ำคอ จึงจำนั่งฝังอมยิ้มน้อยๆ ไว้ที่มุมปาก ระหว่างที่พี่หมูอธิบายความเป็นไปด้วยเสียงเรียบเฉื่อยจนสมาชิกบางรายหาวหวอด
“...งานจะจัดขึ้นปลายเดือนกันยา เดี๋ยวน้องกี้จะคอนเฟิร์มวันกับเวลาที่ท่านประธานสะดวกแล้วมาแจ้งพวกเราอีกที...” คนพูดหันมาที่น้องกี้ และน้องกี้ต้องทำเป็นจดบันทึกลงในสมุดทั้งที่จริงในใจแอบบ่น
‘ทำไมหล่อนไม่ปรึกษาท่านประธานก่อนเชิญทุกคนมานั่งเสียเวลาประชุมกันวันนี้!’
ปากกาชะงักเพื่อพบว่าบนที่นั่งฝั่งขวา พี่ยาหันหน้าบูดมาหาเธอราวกับเสียงปากกาดังรบกวนโสตประสาทของหล่อน
“...ภายในงานจะประกอบไปด้วยสองส่วนคือ อำลาคุณพาที ท่านประธานคนปัจจุบัน กับต้อนรับคุณพันธกานต์ ลูกชายคนโตของท่านที่จะเข้ามารับงานต่อจากคุณพ่อทันที งานครั้งนี้น้องกี้จะเป็นตัวแทนของพี่ในการประสานกับทุกฝ่าย...”
พี่ยาหันมาทางเธออีก คราวนี้ถอนหายใจหนักๆ
“พี่อยากให้เราช่วยกันรวบรวมความคิดว่าจะจัดงานกันที่ไหน ธีมงานเป็นยังไง และจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง...”
ในที่สุดคนที่นั่งยุกยิกมาได้สักพักส่งเสียงจึ๊กจั๊กดังมาก พี่ยาก้มหัวลงไปใต้โต๊ะจนน้องกี้สะดุ้งตกใจ ยังไม่ทันร้องว้ายหล่อนก็ทะลึ่งพรวดกลับขึ้นมาพร้อมหน้าตาเหมือนจะระเบิด “เซ็กซ์ชวลฮาร์ราสเมนต์นี่เป็นยังไง!”
ทั้งห้องเงียบ พี่หมูที่อ้าปากอยู่ก็ยังต้องเงียบ ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตก
“การล่วงละเมิดทางเพศ!” หญิงเหี่ยวจากฝั่งบัญชีขึ้นเสียงสูง วาดนิ้วชี้มาทางน้องกี้ก่อนตวาด “ไอ้ผู้ชายอุบาทว์ที่มันนั่งเอามือเขี่ยขาผู้หญิงเนี่ย ควรจะโดนบทลงโทษยังไงบ้าง”
ฉับพลัน พี่คลังรีบมุดใต้โต๊ะ ไม่ใช่เพราะอาย แต่ตั้งใจสำรวจความจริง ต่อเมื่อตระหนักว่าขาสาวที่ตัวเองเล้าโลมมาพักใหญ่หาใช่ขาของน้องกี้ หน้ามันวับกลับพะอืดพะอม พี่ยาแหกปากตวาด แต่ไม่ทันที่เจ้าตัววิ่งกุมปากออกไปโอ้กอ้ากข้างนอก
ท่ามกลางความตะลึงของคนในห้อง เสียงหัวเราะคิกดังขึ้นจากมุมหนึ่งของโต๊ะ
“ขอโทษฮะ ขอโทษฮะ” เจ้าของเสียงขันเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มือถือ “คลิปมันขำจนนพทนไม่ไหว นี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแล้ว พูดต่อได้เลยฮะ”
ความคิดเห็น |
---|