6

บทที่ ๖

บทที่ ๖

 

เช้าวันต่อมา ก้องกิตติ์ไปยังงานสตาร์ตอัปเฟสติวัลซึ่งจัดขึ้นย่านมหาวิทยาลัยเอดินบะระ ส่วนดั่งฟ้าเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศในเมือง ทั้งสองไม่มีนัดกันในวันนี้เพราะก้องกิตติ์น่าจะกินข้าวเย็นที่งาน และดั่งฟ้าก็ตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงเย็นในการปีนเขาอาร์เธอส์ซีต ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองเอดินบะระเพื่อขึ้นไปชมวิวเพียงคนเดียว

ทั้งบ่ายนั้นราบรื่นและน่ารื่นรมย์สำหรับดั่งฟ้า เพราะงานทุกอย่างไม่ติดขัด จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ เธอได้รับข้อความจากก้องกิตติ์

Kong: ฟ้าเป็นไงมั่ง (เอียง)

Fah: ก็ดี วันนี้ทุกอย่างโอเค แล้วก้องเป็นไงมั่ง (เอียง)

หญิงสาวยิ้มให้หน้าจอ 

Kong: งานก็โอเคดี (เอียง)

จากนั้นเขาก็เงียบไปพักใหญ่ ดั่งฟ้ายังไม่ได้ตอบทันที จนกระทั่งชายหนุ่มส่งข้อความต่อมา

Kong: เราเจอซีที่งานนี้ (เอียง)

ดั่งฟ้ามองหน้าจอแล้วเบิกตากว้าง มั่นใจว่าซีที่ทั้งก้องกิตติ์รู้จักและเธอรู้จักน่าจะมีอยู่แค่คนเดียว แล้วก็เป็นซีคนที่เชิญทั้งเธอและก้องกิตติ์ไปงานแต่งนั่นเอง

หญิงสาวพิมพ์กลับไปด้วยความเร็วแสง

Fah: ซี...เพื่อนเราใช่มั้ย (เอียง)

รู้ทั้งรู้ว่าเป็นใคร แล้วก็รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่เพื่อนของเธอ แต่เขาก็ไม่อาจเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากคนที่เธอไม่อยากรู้จักอีกต่อไป ดังนั้นแค่คำว่าเพื่อนที่ให้เขาในยามนี้ก็ถือว่าใจดีมากพอแล้ว

Kong: ใช่ เพราะซีก็ทำแอปเหมือนกัน อย่างที่ฟ้ารู้นั่นละ และเขาก็ได้รับเชิญมางานนี้ วันนี้เรายังได้คุยกันอยู่

แล้วชายหนุ่มก็เงียบไปอีกครั้ง ตามมาด้วย

Kong: ...บ้าง (เอียง)

แปลก ทั้งที่เจอเพื่อนเก่าในต่างแดน แต่ในบทสนทนาของเธอและเขากลับไม่มีข้อความตรงไหนที่แสดงถึงความดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าแม้แต่น้อย แบบที่เธอก็สัมผัสได้แบบไม่ได้คิดไปเอง

Fah: จริงเหรอ (เอียง)

ดั่งฟ้าเกือบพิมพ์ต่อไปแล้วว่า ‘ก็ดีนะ’ แต่เพราะความตะลึงที่มาโดยไม่คาดฝันทำให้เธอคิดอะไรไม่ออกนอกจากโชคชะตาเล่นตลก 

อันที่จริงถ้าถามความเป็นไปได้ ก้องกิตติ์กับสมุทรก็น่าจะมีโอกาสบังเอิญเจอกันหลายครั้งอยู่แล้วเพราะทำงานอยู่ในแวดวงเดียวกัน รวมถึงสมุทรเองก็เชิญก้องกิตติ์ไปงานแต่งด้วยความที่ทำงานในสายงานเดียวกันแม้ไม่สนิทกันก็ตาม แต่นั่นยังไม่ตลกเท่ากับการที่เขาโคจรมาเจอก้องกิตติ์อีกครั้งในเมืองที่เธอเองก็อยู่ในขณะนี้

โลกกว้างใหญ่ และความบังเอิญนั้นก็น่าจะใหญ่พอๆ กับขนาดของโลกเช่นกัน

Kong: จริง (เอียง)

หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไรนัก ยิ่งนึกก็ยิ่งมีแต่ความไม่พอใจ ความร้อนรุ่มที่เขาเคยทำให้เธอรู้สึกมาก่อน

Kong: ซีรู้ด้วยว่าฟ้าอยู่ที่เอดินตอนนี้ (เอียง)

ถ้อยคำต่อมาทำเอาหญิงสาวถึงกับกุมขมับ รู้สึกหนักใจชอบกล นิ้วเร่งพิมพ์หาคู่สนทนา

Fah: เขารู้ได้ไง ก้องบอกเขาหรือเปล่า (เอียง)

Kong: เปล่าเลย เขาบอกว่ามีเพื่อนบอก (เอียง)

เพื่อนที่ว่าก็คงเป็นเพื่อนสักคนที่เรียนเตรียมอุดมมาด้วยกัน เพราะดั่งฟ้าอันเฟรนด์สมุทรไปตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว เธอเลยไม่ได้เห็นความเป็นไปของเขา ไม่มีโอกาสรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรหลังจากเธอตัดสินใจจบความสัมพันธ์อันทำร้ายหัวใจเธออย่างร้ายกาจ

เธอผ่อนลมหายใจออกมา ย้อนอ่านข้อความแล้วก็ตระหนักได้ว่า...ตนแสดงออกไปอย่างชัดเจนทีเดียวว่าไม่ดีใจที่สมุทรมาที่นี่ หญิงสาวเลยส่งสติกเกอร์เป็นคำว่าขอบคุณไป ทั้งที่ถ้าเป็นเพื่อนปกติคงถามก้องกิตติ์ว่าจะไปนัดเจอเพื่อนในแดนไกลกันไหม แต่เธอไม่คิดชวน ส่วนก้องกิตติ์นั้นเขาไม่ได้สนิทกับสมุทรเท่าไร เธอทราบดีอยู่แล้ว 

Fah: แล้วเดี๋ยวก้องจะได้เจอซีอีกไหม (เอียง)

Kong: น่าจะนะ เพราะเดี๋ยวมีงานสตาร์ตอัปอีก แต่งานที่เราจะไปรับรางวัล ซีไม่ได้ไปร่วมงานนั้น (เอียง)

Fah: แล้วซีเขาอยู่กี่วัน (เอียง)

Kong: ไม่ได้ถามนะ แต่เห็นว่าอยู่แถวๆ จอร์จสตรีต (เอียง)

ดั่งฟ้ามองหน้าจอด้วยแววตานิ่งๆ ดวงตาคู่กลมโตของเธอไม่ฉายประกายใด ในเมื่อขณะนี้เธอนั่งอยู่ในออฟฟิศของอาคารที่ตั้งอยู่ริมถนนจอร์จ ด้านหลังถนนปรินเซสซึ่งเป็นถนนย่านการค้าชื่อดังของเมืองเอดินบะระ และเป็นย่านที่แบ่งเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ออกจากกัน

Fah: โลกกลมนะ (เอียง)

ดั่งฟ้าตอบ ปิดล็อกหน้าจอแล้วคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ เธอหันกลับมามองจอคอมพิวเตอร์ แต่ตั้งสมาธิไม่ได้เลย พลันเสียงเตือนจากไลน์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวเดาว่าน่าจะเป็นก้องกิตติ์

แต่เธอคิดผิด

เมื่อพบว่าหน้าจอปรากฏชื่อของคนที่เธอยังมีไอดีไลน์อยู่ แต่ไม่ได้ติดต่อกันมาสี่ปีแล้ว

Sea: ฟ้า (เอียง)

Sea: อยู่เอดินใช่ไหม (เอียง)

Sea: เรา...ออกมาพบกันดีไหม (เอียง)

ดั่งฟ้ามองข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอที่ล็อกไว้แล้วนิ่งงัน คำตอบแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองคือไม่

แต่ในฐานะคนที่เคยผูกพันกันมาเกินสิบปี ในใจส่วนลึกก็ยังอยากรู้ความเป็นไปว่า...นับตั้งแต่จากกันไป เขาได้ละอายใจไหมกับสิ่งที่เคยทำลงไปกับเธอ 

ไม่ได้เป็นห่วง ไม่ได้เหลือใย แค่อยากเห็นว่าเขาไม่ได้มีความสุขกับเส้นทางที่เลือก

                ทว่าดั่งฟ้าผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วเสมองท้องฟ้าสีเทาของสกอตแลนด์ รู้สึกเย็นเยียบพิกลทั้งที่ข้างในนี้ปรับอุณหภูมิจนอุ่น หญิงสาวกดปิดเสียงแจ้งเตือน ทว่าหลังจากนั้นโทรศัพท์ก็สั่น ตามมาด้วยข้อความของสมุทรอีกครั้ง

Sea: ไปจิบกาแฟกันสักมื้อ อัปเดตชีวิตกันหน่อย ฟ้ายังสบายดีใช่มั้ย (เอียง)

หญิงสาวนิ่ง ได้ยินเสียงความเงียบดังที่สุดในยามนี้ 

และดั่งฟ้าก็ยังเงียบต่อไป แม้จะผ่านไปแล้วสองวันก็ตาม

 

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความสงบ เรียบง่ายจนดั่งฟ้าเกรงว่าอาจจะมีคลื่นใต้น้ำตามมา แต่หญิงสาวก็พยายามไม่ใส่ใจเรื่องที่กวนใจ หลังจากพบแล้วว่า...เธอไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดสมุทร แต่แค่ไม่อยากเจอ เนื่องจากรู้ดีว่าถึงเจอก็คงกระอักกระอ่วนน่าดู เพราะคราวนี้ไม่เหมือนกับงานแต่งงานของเขาที่เธอยังมีเพื่อนไปด้วย

                การกลับไปคุยกันแบบปกติราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นของคนเคยรักกันนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็น เพราะแม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่แผลในใจที่เคยถูกกระทำไว้ก็ยังทิ้งรอยจางๆ อยู่ในส่วนลึก

                อากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบาย สายลมเย็นพัดมาจนผมสยายไปกับแรงลม ดั่งฟ้าค่อยๆ ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเมื่อเสียงร้องเตือนดังขึ้น หน้าจอปรากฏข้อความจากก้องกิตติ์ ผู้ที่เธอคุยด้วยทุกวันในช่วงนี้

                ‘วันนี้ทานอะไรดี’ (เอียง)

                เรื่องอาหารการกินคือประเด็นหลักที่เธอกับเขามักจะคุยกันเสมอ หลังจากออกไปกินข้าวกับเขาในวันแรกที่ชายหนุ่มมาถึงเอดินบะระ ดั่งฟ้าก็ไม่ได้ออกไปพบเขาอีก เพราะชายหนุ่มยุ่งอยู่กับการเตรียมพิตช์ต่อหน้านักลงทุนในระดับนานาชาติที่สนใจจะลงทุนในแอปพลิเคชันมือถือด้านการออกแบบของเขา เทคโนโลยีล้ำสมัยที่วางแผนกันไว้ก็คือระบบเออาร์ซึ่งสามารถจำลองภาพที่ออกแบบไว้ซ้อนทับกับห้องของจริงได้เมื่อยกกล้องขึ้นมา เพื่อให้ออกแบบผ่านแอปพลิเคชันได้อย่างสมจริงและง่ายดาย และก้องกิตติ์ก็ต้องทำการบ้านหนัก เพราะเป็นความหวังของทีมซึ่งยังอยู่เมืองไทยกันทุกคน

                Fah: วันนี้เหรอ เราว่าจะกินมาม่าเกาหลี ตอนนี้กำลังเดินไปซื้อที่ร้านจีน ก้องเอาอะไรไหม เดี๋ยวเราซื้อเผื่อ (เอียง)

                หลังจากอยู่เอดินบะระมาได้เป็นสัปดาห์ ดั่งฟ้าก็คิดถึงอาหารเอเชีย เพราะเริ่มเบื่อแซนด์วิชเย็นๆ และจืดชืดในซูเปอร์มาร์เกต เบื่อฟิชแอนด์ชิปส์ซึ่งเป็นอาหารจานหลักของสหราชอาณาจักร พอเบื่อฟิชแอนด์ชิปส์ เธอก็ลองแฮกกิส อันเป็นอาหารประจำชาติสกอตแลนด์ เป็นพุดดิงเครื่องในแพะ ประกอบไปด้วยหัวใจ ตับ และปอด รสชาติเหมือนตับบดหอมๆ ฉ่ำซอสเคี่ยวข้น ในความคิดเธอว่าอร่อย แต่คนเอเชียหลายคนพอกินเสร็จก็จะโหยหาความเผ็ดมาล้างปากเพื่อดับคาว 

                ร้านจีนจึงเป็นทางเลือกของเธอ ดีที่ห้องพักขนาดสตูดิโอของเธอมีครัวและอุปกรณ์ทำครัวครบครัน พอที่เธอจะประกอบอาหารง่ายๆ เพื่อประทังชีวิตได้ ดั่งฟ้าจึงรีบค้นหาร้านจีนที่อยู่ใกล้ที่พัก ซึ่งก็ยังค่อนไปทางถนนจอร์จอันเป็นที่ตั้งของสำนักงานที่เธอมาทำงานด้วย

                แม้จะเรียกกันว่าร้านจีน แต่จริงๆ แล้วร้านจีนที่ว่าขายผลิตภัณฑ์อาหารที่มาจากประเทศในทวีปเอเชีย มีอาหารที่ต้องการครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเกี๊ยวซ่าแช่แข็ง ติ่มซำ บะหมี่กี่งสำเร็จรูปครบทุกชาติตั้งแต่จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย หรือหมี่โกเร็งของอินโดนีเซีย น้ำมันหอย น้ำมันงา น้ำปลา น้ำส้มสายชูมิริน วัตถุดิบทำซูชิ 

                ช่วงเวลาในการยืนเลือกซุปมิโสะว่าจะเอาแบบก้อนใหญ่ แบ่งส่วนละลายน้ำ หรือแบบผงที่มีสำเร็จรูปดี คือหนึ่งในความสุขของหญิงสาว ดั่งฟ้าคิดถึงตอนอยู่เมืองไทย เธอมักจะไปเดินซูเปอร์มาร์เกตเพียงลำพังเพื่อเลือกสรรอาหารที่อยากทำกิน หลายครั้งที่ซื้อมาเยอะไปจนหมดอายุก่อนจะกินหมดก็มี บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือเธอควรจะมีคนมาแชร์กับข้าวด้วยกัน แต่ความคิดนั้นก็มักจะหายไปอย่างรวดเร็วในสองวินาทีให้หลังเมื่อภาพจำที่สมุทรเคยทำกับเธอไว้ย้อนกลับมา

                พลันร่างสูงของใครบางคนก็มายืนข้างเธอ ไม่ประชิด แต่ก็ใกล้พอที่ทำให้เธอต้องหันไปมอง

                ดั่งฟ้านิ่งสนิท...หนาวเหน็บราวสายลมเย็นข้างนอกพัดเข้ามาในร้านซึ่งเปิดฮีตเตอร์ไว้จนอุ่นแล้ว

“ฟ้า”

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรที่ทำให้เธอต้องคอยแหงนมองเขาเสมอ ใบหน้าขาวสะอาดซึ่งเธอคุ้นเคยเป็นอย่างดีติดแดงระเรื่อ ขณะที่นัยน์ตาดำขลับในกรอบตาเรียวมองเธอนิ่ง

นิ่งเสียจนเธอเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้นหลังจากไม่ได้เห็นมาราวๆ สี่ปีได้แล้ว

“บังเอิญนะ เจอกันที่นี่”

สมุทรส่งยิ้มกว้างให้เธอก่อนจะเหลือบมองตู้เย็น “เลือกมิโสะอยู่เหรอ เราช่วยเลือกไหม เราทำอร่อยนะ”

ในคอดั่งฟ้าจุกไปด้วยคำถาม อยากถามเหลือเกินว่าแล้วมาโผล่ที่นี่ได้อย่างไร แอบสะกดรอยตามมา หรือเป็นเรื่องบังเอิญ ทว่านั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าตอนนี้โลกได้เหวี่ยงให้เขาโคจรกลับมาพบเธอ ในเมืองที่ห่างจากเมืองที่เคยมีความทรงจำร่วมกันนับสิบปีถึงครึ่งโลก

“นั่นสิ บังเอิญมากที่ได้กลับมาเจอกันที่นี่” หญิงสาวหายใจเข้า กลืนความรู้สึกทั้งหมดลงคอไปแล้วยิ้มบางๆ เหมือนกับวันที่เจอเขาตอนใส่ทักซิโดรับแขกในงานแต่งที่เธอไม่ใช่เจ้าสาว

“โลกกลมมาก เราส่งไลน์ไปหา ฟ้าเห็นหรือเปล่า”

“ไลน์? ส่งมาด้วยเหรอ เราไม่เห็นเลย” ดั่งฟ้าเลิกคิ้วสูง

“สงสัยเพราะฟ้าบล็อกเราแน่” สมุทรพูดให้เหมือนติดขำ แต่น้ำเสียงไม่ขำตาม

หญิงสาวไม่ได้ตอบเขา “แล้วซีมาเที่ยวเหรอ”

เธอตัดสินใจไม่กล่าวถึงก้องกิตติ์ แม้รู้ดีว่าจุดประสงค์ของสมุทรในการมาเมืองนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเที่ยว

“มาเรื่องงาน อยู่พักใหญ่เลย”

ดั่งฟ้าไม่ถามต่อว่านานเท่าไร กลับกัน เขาเป็นฝ่ายถามแทน 

“แล้วฟ้าล่ะ อยู่นานเท่าไหร่”

“กลับช่วงต้นพฤศจิกายน” หญิงสาวว่า หยิบซุปมิโสะก้อนมาแบบไม่เลือกแล้ว ก่อนจะกล่าว “งั้นเดี๋ยวเราไปจ่ายเงินก่อนนะ”

สมุทรเดินตามมากับเธอด้วย หญิงสาวมองเขา ไม่พูดอะไร ไม่ไล่ ให้ความเงียบของเธอเป็นกำแพงกั้นแทน

“สบายดีไหม”

ดั่งฟ้าพยักหน้าแล้วถามกลับ “แล้วซีล่ะ สบายดีไหม”

ไม่มีคำตอบชายตรงหน้าที่เธอคุ้นหน้าค่าตาดี คำถามว่าสบายดีไหมไม่เคยใช่คำถามของเธอกับเขา ในเมื่อเคยใช้วันเวลาร่วมกันและรู้ความเป็นไปจนคำถามนี้ไม่เคยจำเป็น

“เอาจริงๆ เลยไหม ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่หรอก”

ดวงตาคู่เรียวมีรอยคล้ำ ใบหน้าคมสันหมองกว่าคราวที่แล้วที่เจอที่งานแต่งงานของเขา ดั่งฟ้าถอนหายใจเบาๆ เจอเรื่องเข้าไปขนาดนั้นถ้าพูดถึงแล้วหน้าไม่หมองก็คงแปลก

“เอาใจช่วยนะ” ดั่งฟ้าไม่รู้จะเอ่ยอะไรได้ดีกว่านั้น 

“ขอบคุณมาก”

เธอพยักหน้าให้คำขอบคุณของสมุทร แล้วหันไปยื่นเงินให้พนักงานแคชเชียร์ ไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร เธอได้ยินจากเพื่อนว่าเขากับชลธรจบกันไม่สวยเท่าไรในคืนวันแต่งงานนั่นเอง และงานแต่งงานอัปยศครั้งนั้นก็นำมาซึ่งการลาออกจากงานของอดีตเจ้าสาว และย้ายไปทำงานบริษัทอื่นในสิงคโปร์ถาวร

                หลังรับของทุกอย่างลงถุงผ้าเนื่องจากในอังกฤษหากใช้ถุงพลาสติกจะต้องจ่ายเพิ่มห้าเพนนีแล้ว ดั่งฟ้าก็หันไปถามสมุทรน้ำเสียงเรียบๆ 

“ไม่ซื้ออะไรหน่อยเหรอ”

“อ๋อ...ว่าจะมาซื้อน้ำมันหอยน่ะ”

หญิงสาวเลิกคิ้ว “เดี๋ยวนี้ทำอาหารได้บ้างแล้วเหรอ”

และดั่งฟ้าก็รู้สึกว่าเธอไม่น่าเผลอหลุด เพราะเขายิ้มบางๆ กลับมา 

“ฟ้ายังจำได้ว่าเราทำอาหารไม่เป็น”

หญิงสาวเงียบ ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น เมื่อสมุทรได้ความเงียบเป็นคำตอบ เขาก็เดินไปหยิบน้ำมันหอยลีกุมกี่มาจ่ายเงิน 

“จริงๆ แม่ทำ แม่มาอยู่ด้วยมาพักนึง ได้วีซาผู้ติดตาม”

“แล้วคุณแม่สบายดีไหม”

“สบายดี ตอนนี้รู้แล้วว่าฟ้าอยู่ที่นี่”

ทั้งสองก้าวออกจากร้านขายวัตถุดิบเอเชีย ดั่งฟ้ารู้สึกลำคอแห้งพอๆ กับอากาศข้างนอก ถ้าเป็นปกติเธอคงตอบไปแล้วว่าไว้มีโอกาสจะไปสวัสดี แต่ในกรณีนี้เธอขอชั่งใจดูก่อน หญิงสาวรออยู่ด้านหน้า เสมองตึกสีน้ำตาลหม่นตรงหน้าด้วยแววตาเลื่อนลอย สายลมโชยมาต้องผิวหน้าเย็นจัดจนเธอไม่รู้สึกอะไร ข้างในโหวงๆ เบาๆ รู้สึกราวกับว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องจริง

“ฝากสวัสดีท่านด้วยนะ”

“ไว้มีโอกาสก็มาเจอกันนะ แม่เราคิดถึงฟ้า”

ดั่งฟ้าหันกลับมามองชายหนุ่มแล้วเงียบ และความเงียบนั่นเองที่ทำให้สมุทรต้องเปลี่ยนเรื่อง

“ฟ้าอยู่ที่นี่นานแค่ไหน”

“เราอยู่ถึงต้นพฤศจิกา แล้วซี...”

“กลางพฤศจิกา”

ดั่งฟ้าทำหน้าไม่ถูกเมื่อรู้แล้วว่าต้นฤดูใบไม้ร่วงในปีนี้...กำลังจะมีแฟนเก่าของเธอมาเป็นหนึ่งในความทรงจำ อันที่จริงเรื่องระหว่างเธอกับสมุทรผ่านไปนานแล้ว เรื่องราวก่อนเลิกกันก็กลายเป็นฝันร้ายที่ผ่านไปนานแล้วเช่นกัน แต่การโกหกที่เขาคบซ้อนมาเป็นเวลาสามปีก่อนเลิกกับเธอต่างหากที่ทำให้เธอยังรู้สึกเหมือนคนหน้าโง่มาจนถึงทุกวันนี้ 

“งั้นคงได้เจอกันอีกบ่อย” สมุทรพูดอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา

ดั่งฟ้าดวงตาวาววับ แต่ปากยิ้มน้อยๆ “นั่นสิ”

...ถามสักคำไหมว่าอยากเจอหรือเปล่า

“แล้วพี่ฝันเป็นไงมั่ง”

พี่ฝันผู้จงเกลียดจงชังอดีตว่าที่น้องเขยคนนี้จับใจ...“ก็ยังสบายดี”

“มีหลานแล้วนี่”

คำถามของเขาบ่งบอกความสนิทที่เคยผันผ่าน หญิงสาวยิ้มมุมปาก ไม่ตอบรับอะไร เพียงแค่พยักหน้า

“เดี๋ยวเรากลับแล้ว แยกกันตรงนี้เลยนะ”

“แน่ใจเหรอว่าไปคนเดียวได้” ชายหนุ่มยังไม่วายเป็นห่วง  

“ตลอดเวลาที่เราอยู่กรุงเทพฯ หรือที่ไหนก็ตาม เราก็ไปไหนมาไหนคนเดียวอยู่แล้ว ขอบคุณมากนะซีที่หวังดี แต่เรากลับได้ งั้นก็แยกย้ายกันเลยเนาะ ฟ้าครึ้มละ”

                ดั่งฟ้าชี้ขึ้นฟ้า แล้วหันหลังให้ก่อนเดินออกมา ทว่ายังไม่ทันได้โล่งใจ เสียงฝีเท้ากลับไล่หลังมาจนทัน สมุทรวิ่งมาหยุดตรงหน้าเธอ

“ฟ้ากลับคนเดียวได้จริงเหรอ”

ดั่งฟ้าหน้าตึง ไม่ประหลาดใจ “เรากลับได้”

น้ำเสียงเธอเย็นเยียบไม่ต่างจากอุณหภูมินอกกายในตอนนี้ หญิงสาวกระชับมือในเสื้อแจ็กเกตหนังแล้วเงยหน้ามองเขาเต็มตา ใบหน้าคนเคยรักกัน...เต็มไปด้วยแววเว้าวอนไม่ต่างจากวันที่เคยขอคบ

ดั่งฟ้ารู้สึกเหมือนอะไรกำลังเคลื่อนไหวในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ไม่ใช่ความหวั่นไหวที่ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว ทว่าคือความวูบโหวง ไม่เข้าใจที่คนตรงหน้าพยายามใช้กุญแจงัดประตูที่ปิดตายไปแล้ว

“ซีคงจำได้...ว่าเราเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ถ้าเราบอกว่าเรากลับได้ ก็คือเรากลับได้จริงๆ ไปละ”

                หญิงสาวเดินเบี่ยงร่างใหญ่ แต่สมุทรกลับคว้าแขนเธอไว้หมับ 

“ฟ้าไม่คิดว่าตัวเองใจดำไปหน่อยเหรอ ที่ได้เจอกันทั้งทีแต่ไม่คิดจะคุยกันดีๆ”

“ปล่อย” ดั่งฟ้าเสียงแข็ง สะบัดแขนให้หลุดจากการจับของเขา “ซีอยากคุยกับเราเป็นการส่วนตัวใช่มั้ย เลยคิดจะไปส่ง”

เขาไม่ตอบ ดวงตาคู่โตจ้องมองเธอประหนึ่งหาว่าเธอเป็นคนหัวดื้อ

“ถ้าซีอยากคุยอะไรก็คุยกันตรงนี้เลย ไม่ต้องตามไปส่งเราหรอก”

“จะกี่ปีผ่านไป...ฟ้าก็ยังไม่ค่อยให้เราไปส่งเหมือนเดิม” 

สมุทรเสยผมลวกๆ แล้วกล่าวเสียงอ่อนลง ดั่งฟ้านึกย้อนไปยังตอนที่คบกับเขา ไม่บ่อยนักที่เธอให้เขาไปส่งที่คอนโดมิเนียม ในเมื่อเธออยู่อโศก ส่วนเขาอยู่ลาดพร้าว แถมตารางเรียนกับเวลางานก็ไม่ค่อยตรงกัน ส่วนใหญ่เธอเลยชอบขอแยกตั้งแต่บนรถไฟฟ้ามากกว่า หรือถ้าเขาขับรถ เธอก็จะยืนกรานขอลงตรงทางผ่านเสมอ เพราะเธอสามารถขึ้นรถไฟฟ้ากลับที่พักได้สะดวก ส่วนเขา กว่าจะฝ่าแต่ละแยกจนถึงบ้าน ใช้เวลาพอๆ กับขับรถไปชลบุรี 

“ตอนนั้นมันลำบากซีจะตาย”

“แต่ตอนนี้ไม่ลำบากแล้ว” สมุทรย้ำคำเดิม 

“แต่ตอนนี้เราไม่ได้คบกันแล้วซี ไม่ว่าจะลำบากหรือไม่ลำบาก มันก็ไม่มีเหตุผลใดที่ซีต้องไปส่งเราอีกแล้วละ”

สายลมเย็นพัดโชยมาต้องแก้มให้ดั่งฟ้ารู้สึกเย็นไปถึงข้างใน 

“แยกกันตรงนี้ เพราะเราไม่มีเหตุผลให้เดินด้วยกันอีกแล้ว โชคดีนะ”

เธอยิ้มให้สมุทร เป็นยิ้มที่ไม่มีความอบอุ่นหรือความรู้สึกใดหลงเหลืออยู่ หญิงสาวหันหลังให้แล้วสาวเท้าเดินออกมาโดยไม่คิดหันกลับไปมอง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น