9

บทที่ ๙

บทที่ ๙

 

วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อุณหภูมิราวๆ สิบห้าองศาเซลเซียส อุ่นพอที่ดั่งฟ้าจะใส่แค่แจ็กเกตยีนได้ หญิงสาวเดินถือกระเป๋าคอมพิวเตอร์แลปทอปพร้อมกับฟังเพลงเลียบไปบนถนนปรินเซสซึ่งเป็นถนนชอปปิงสายหลักของเมืองเอดินบะระ ปลายทางคือคาลตันฮิลล์ซึ่งเป็นเนินเขาไม่สูงนัก หากขึ้นไปจะมองเห็นวิวเมืองได้สุดลูกหูลูกตาตลอดทั้งย่านเมืองเก่าและย่านเมืองใหม่ เพียงแต่วันนี้คาลตันฮิลล์ยังไม่ใช่จุดหมายของดั่งฟ้า เธอสาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังร้านไอทีของบริษัทวรากิตติ์ตรงย่านลีท เพื่อนำงานไปคุยกับลูกค้าของเธอ

          ปกติแล้วเธอจะเจรจากับพนักงานคนไทยที่รับผิดชอบโครงการปรับปรุงอาคารเพื่อทำร้านอาหารขนาดใหญ่ซึ่งมีหลายโซน ทว่าวันนี้มีการเปลี่ยนตัวผู้เจรจามาเป็นสามีเจ้าของโครงการ 

          ‘คุณอธินายังไม่มาจากเบอร์ลินก็จริง แต่ให้คุณดั่งฟ้ามาคุยกับผมได้เลยครับ เพราะเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัย ม. ปลาย’

เพราะศรัณย์ติดต่อกับซูเปอร์ไวเซอร์เธอเช่นนั้น สตีเฟนเลยยิ่งวางใจว่าโครงการร้านอาหารจะเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของโครงการกับตัวสถาปนิกสาว

ร้านไอทีของศรัณย์อยู่ห่างจากที่พักของดั่งฟ้าไปไม่กี่บล็อก สุดหัวมุมเป็นสามแยกใหญ่ที่มีห้างจอห์นลูวิส คาลตันฮิลล์ และโบสถ์คาทอลิกทรงกอทิกสีน้ำตาลเก่าแก่อย่างโบสถ์เซนต์แมรี่ หญิงสาวเหลือบมองโบสถ์แล้วหันกลับมาเปิดประตูร้าน ด้านในกว้างขวางด้วยขนาดถึงสองห้อง ตกแต่งเรียบง่ายทันสมัยผิดกับภายนอกอาคารที่เป็นอิฐน้ำตาลเข้ากับเมือง จัดจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กนำเข้าจากเยอรมนี รวมถึงอะไหล่เล็กๆ ที่นำเข้าจากโรงงานที่เมืองไทย นอกจากขายสินค้าไอทีแล้วยังให้บริการซ่อมคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แท็บเล็ต แถมยังขายคอมพิวเตอร์ที่ผ่านการซ่อมแซมเพื่อนำมาขายใหม่ ตั้งแต่แมคบุ๊คยันเครื่องปฏิบัติการวินโดว์ 

ดั่งฟ้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก เธอรีบบอกพนักงานหนุ่มหนวดเฟิ้มที่ยืนเช็กสินค้า

“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะขอเข้าไปพบคุณสนได้ไหมคะ ฉันชื่อฟ้าค่ะ เป็นเพื่อนของคุณสน”

“อ้อ คุณฟ้านี่เอง เชิญด้านในเลยครับ” 

เขาผายมือไปยังประตูไม้บานใหญ่ด้านข้าง หญิงสาวยิ้มรับแล้วเคาะประตูเบาๆ สองครั้งก่อนเปิดเข้าไป

         หลังร้านเป็นออฟฟิศย่อมๆ ตกแต่งโทนขาวดำเป็นหลักเหมือนส่วนหน้าร้าน ชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะสีดำยาว ต่างคนต่างจดจ่อกับคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ทว่าเมื่อเห็นเธอปุ๊บ ทั้งศรัณย์และก้องกิตติ์ก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้

ดั่งฟ้าโบกมือทักทั้งสอง ศรัณย์ยืนขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาเธอ เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวจัดกับตาเรียวคมบ่งบอกสายเลือดจีนร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ไหลอยู่ในตัว หญิงสาวตวัดสายตาไปทางก้องกิตติ์ โครงหน้าได้รูปขาวสะอาดของเขามีเค้าจีนแผ่นดินใหญ่เหมือนกัน แต่ก็ก้องกิตติ์คมเข้มกว่าเล็กน้อย เพราะดวงตาที่โตกว่าและคิ้วที่เข้มกว่านิดหน่อย 

          “สน! ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ”

         ดั่งฟ้าร้องด้วยความดีใจ ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นแล้วทักทาย 

         “นั่นสิ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฟ้าเป็นไง สบายดีไหม” 

“ดีสิ สนล่ะ” เธอถามกลับ

“ดีเหมือนกัน” 

หญิงสาวยิ้มตาหยี “บังเอิญจังที่เราทำงานให้ทางสน ไม่คิดว่าจะได้เจอกันแบบนี้ ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอ ตั้ง...กี่ปีนะ ตั้งแต่ ม. หกใช่มั้ยที่ไม่ได้เจอ” 

ศรัณย์พยักหน้าหงึกๆ “ใช่ๆ ฟ้านั่งก่อนสิ”

“จ้ะ ขอบคุณมาก” หญิงสาวตรงไปนั่งข้างก้องกิตติ์ ยิ้มให้เขาที่ยังไม่ได้พูดอะไรกับเธอสักคำ ก่อนหันไปคุยกับศรัณย์ต่อ

“ไม่ได้เจอสนตั้งนาน หล่อขึ้นนะเนี่ย”

เธอแซวด้วยรอยยิ้มเผล่ ไม่ได้พูดเกินความจริงหรือชมตามมารยาท ศรัณย์ในวันนี้หล่อเหลาและมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ ส่วนตอน ม. หกติดซีดไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้น เพราะเรียนเก่งจัดรวมถึงเป็นประธานตึก เลยทำให้มีสาวๆ แอบชอบไม่น้อย

“ฟ้าก็เหมือนกัน สวยอยู่แล้วก็สวยขึ้นมาก” ศรัณย์ยกนิ้วโป้ง “ว่าแต่เย็นนี้เราจะไปกินบุฟเฟต์ที่ร้านคอสโมฝั่งตรงข้ามนี้ ฟ้าติดอะไรหรือเปล่า ไปด้วยกันสิ”

“ไปแน่นอน” ดั่งฟ้าตอบรับอย่างไม่ลังเล แม้ชายหนุ่มทั้งสองจะไม่เคยเรียนร่วมชั้นกับเธอและไม่ได้สนิทกันมาก แต่ก็สบายใจเวลาได้เจอ

คิดแล้วก็พลอยอดไม่ได้ที่จะเปรียบกับคนบางคนซึ่งเกือบจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน นับตั้งแต่วันที่พบกับสิมา เธอก็ไม่ได้พบกับสมุทรอีก ซึ่งนั่นถือว่าดีแล้ว

ก้องกิตติ์โทร. มาบอกว่าศรัณย์มาถึงเอดินบะระเมื่อเย็นวาน กว่าจะลงตัวก็วันนี้ โดยที่อธินา ภรรยาจะเดินทางตามมาทีหลัง

“ว่าแต่คุณเอื้อมจะลงมาช่วงไหนเหรอสน”

ดั่งฟ้าไม่เคยเจออธินาตัวเป็นๆ เคยแต่วิดีโอคอลคุยกันเพื่อรับบรีฟงานจากเจ้าของโครงการ เธอเคยฟังแค่จากปากก้องกิตติ์ว่าหญิงสาวทำงานหัวเป็นเกลียวตัวเป็นนอต ตระเวนบินไปประเทศนั้นประเทศนี้ในยุโรปเพื่อริเริ่มโครงการใหม่ให้บริษัทตัวเองอยู่เรื่อยๆ

“ปลายๆ ตุลานั่นเลย เพราะตอนนั้นฟ้าคงงานเสร็จพอดี”

         คนฟังพยักหน้า ขณะที่ศรัณย์ว่าต่อ “คุณเอื้อมเองก็อยากเจอฟ้าเหมือนกัน พอเราเล่าให้ฟังว่าเป็นเพื่อนเราเองยิ่งอยากเจอ บอกว่าคราวหน้าเดี๋ยวมีงานจะฝากให้ดูอีก”

         หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “อย่าเพิ่งไว้ใจเราขนาดนั้นเลย รอดูงานก่อนก็ได้”

         “เราเชื่อว่าเพราะยิ่งเป็นเพื่อนกัน ฟ้าจะยิ่งตั้งใจทำให้เรา ใช่มั้ย” ศรัณย์ยิ้มมุมปาก “เจอสถาปนิกที่งานดีทั้งที แถมยังบังเอิญเป็นเพื่อนอีก โลกมันกลมจริงๆ ก้องนี่คือเรานัดกันแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอฟ้าอีกครั้ง” 

         ดั่งฟ้ายิ้มกว้าง “เรา...ก็ไม่คิดว่าจะเจอสนที่นี่เหมือนกัน ตอนเจอก้องที่เมืองไทยก็บังเอิญมาก”

“แล้วฟ้ากับก้องกลับมาเจอกันได้ไง”

สิ้นคำ ดั่งฟ้าก็เงียบแล้วปรายตาไปทางก้องกิตติ์ที่มองมาทางเดียวกัน ผ่านไปหลายวินาที เธอยังไม่ตอบอะไรจนชายหนุ่มพูดขึ้น

“เจอกันที่งานแต่งเพื่อน”

“งานใครเหรอ” ศรัณย์ใคร่รู้ 

“ซี” หญิงสาวตอบเรียบๆ รอยยิ้มยังอยู่บนหน้า 

ศรัณย์พยักหน้าเบาๆ เป็นการพยักหน้าที่ดั่งฟ้าไม่รู้ว่า เขารู้อยู่แล้วหรือเปล่าว่าเธอเคยคบกับสมุทร 

แต่...ก็อาจจะรู้พอๆ กับที่ก้องกิตติ์รู้ และเธอก็ไม่รู้อีกว่าก้องกิตติ์รู้ขนาดไหน เพราะเธอไม่เคยเล่า และเขาก็ไม่เคยแสดงออกว่ารู้

“แล้วซีเป็นไงบ้าง ยินดีด้วย” น้ำเสียงศรัณย์ไม่ได้มีความตื่นเต้น ไม่น่าแปลกใจ เพราะตอน ม. หก ทั้งสองไม่ได้สนิทกัน 

“ซีก็โอเค” ก้องกิตติ์ตอบเสียงเรียบๆ พอกัน  

“แล้วใครเป็นเจ้าสาว” 

“เพื่อนร่วมงานบริษัทเดียวกัน ในงานมีเพื่อนเยอะมาก อย่างกับงานเลี้ยงรุ่น”

ก้องกิตติ์เปลี่ยนเรื่อง ดั่งฟ้าได้ทีพยักหน้า 

“นั่นสิ เพื่อนสนทั้งนั้น”

ศรัณย์ยิ้มจางๆ แล้วไม่ได้ว่าอะไรต่อ เท่าที่ดั่งฟ้าจำความได้ เขาเป็นคนพูดน้อยพอๆ กับเพื่อนสนิท

         “ไว้เราเจอกันเองก็ได้ กลับไทยเมื่อไรก็นัดมา”

         ระหว่างที่ศรัณย์ยังคุยกับก้องกิตติ์ หญิงสาวก็เหลือบมองหน้าจอคอมพิวเตอร์แลปทอปของก้องกิตติ์ที่เต็มไปด้วยโค้ดจนตาลาย เมื่อหันกลับมาทางเจ้าของคอมพิวเตอร์อีกครั้งก็เห็นว่าเขามองมาอยู่แล้ว 

         “ฟ้าสนใจใช้แอปเรามั้ย”

พอเข้าเรื่องงาน ดั่งฟ้าก็ยิ้มแป้น “ยังเลย แต่ก็เห็นข่าวอยู่นะ สนใจอยู่ เผื่อคราวหน้าเราจะได้ใช้แอปของก้องช่วยทำงานบ้าง”

เขาหยิบไอแพดขึ้นมาแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย แตะไอคอนแอปพลิเคชันที่เป็นรูปสเกตช์บ้านกับดินสอ หน้าตาของแอปพลิเคชันออกไปในโทนสีขาวดำเทา เรียบง่าย เครื่องมือและแถบคำสั่งอยู่ด้านข้าง หน้าตาเรียบง่ายน่าใช้งาน 

“แอปนี้ไม่ได้เอาไว้สเกตช์หรือออกแบบตั้งแต่แรกแบบออโตแคดหรอก ด้วยข้อจำกัดที่ยังเป็นแพลตฟอร์มมือถือกับแท็บเล็ต แต่เอ็มอาร์คของเราเป็นตัวเสริมให้งานฟ้าง่ายขึ้นในขั้นต้นหรือขั้นสุดท้าย ฟ้าจะถ่ายภาพ แล้วสเกตช์แบบซ้อนเลเยอร์กันในนี้ก็ได้ หรือจะเจเนอเรตแบบไฟนัลเลยก็ได้ ลิงก์กับออโตแคดได้โดยมีคลาวด์ร่วมกัน ส่วนใหญ่ลูกค้าเอาไว้ใช้กับงานปรับปรุง”

คำอธิบายคร่าวๆ ทำให้ดั่งฟ้าสนใจไม่น้อย เธอลองแตะเครื่องมือก่อนจะถาม “มีฟีเจอร์เฉพาะของอินทีเรียร์ด้วยนี่”

“ใช่ แต่ยังพัฒนาไม่ดีเท่าไหร่หรอก ยังขาดอินทีเรียร์เก่งๆ มาให้คำปรึกษา”

        “แล้วจะพัฒนาต่อไหมก้อง” ศรัณย์ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ทำต่อ”

“งั้นก็ถามฟ้าสิว่าฟ้าเต็มใจให้ถามหรือเปล่า”

ใครจะคิดว่าศรัณย์ซึ่งเธอคิดว่าเล่นมุกไม่ค่อยเป็นสมัยเรียนจะโยนงานเข้าเธอแบบนี้ หญิงสาวยิ้มหวาน 

         “เต็มใจสิ ถ้าก้องอยากถามนะ”

         “อยากสิ แต่ก็เกรงใจฟ้า” ชายหนุ่มตอบรวดเร็ว

         “ไม่ต้องเกรงใจหรอก เรายินดี ชั่วโมงละห้าพัน”

         ก้องกิตติ์ขมวดคิ้วมุ่น ดั่งฟ้าเลยยิ้ม

“แต่ถ้าเป็นก้อง เราต่อให้ ชั่วโมงละสองพันพอ” 

คำตอบของเธอเรียกรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าน่ามอง ก้องกิตติ์ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ 

“ได้เลยครับคุณฟ้า ขอบคุณที่ลดลงมาตั้งสามพัน”

“ค่ะคุณก้อง ไว้ถ้ามาปรึกษาจริงเมื่อไร จะลดราคาให้อีกสองพันนะคะ”

         ศรัณย์กระแอมก่อนเสริม “ปรึกษาฟรีก็แลกกับข้าวหลายๆ มื้อนะก้อง”

         “ได้เลย” ก้องกิตติ์รับคำ “ก่อนหน้าจะเลี้ยง ฟ้ารับปากเราแล้วว่าจะมางานรับรางวัลเรา เดี๋ยวเสร็จงานนี้แล้วเราไปฉลองกันสามคนตามประสาเพื่อนเก่า”

งานรับรางวัลของก้องกิตติ์จัดขึ้นในวันศุกร์นี้ และเธอก็ได้รับเกียรติจากก้องกิตติ์ให้ไปเข้าร่วมด้วย ศรัณย์เองต้องไปอยู่แล้ว แต่ที่น่ายินดีไม่น้อยคือเธอได้มีสิทธิ์ไปงานของเขาด้วย

         ทั้งบ่ายยาวไปจนถึงค่ำผ่านไปอย่างน่ารื่นรมย์ หลังออกจากร้านบุฟเฟต์อาหารจีนตรงหัวถนนลีท ตรงข้ามโบสถ์เซนต์แมรี่ ศรัณย์จะเดินไปส่งดั่งฟ้าซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรด้วย แต่ก้องกิตติ์ยืนกรานว่าเขาเดินไปส่งดั่งฟ้าได้ แล้วค่อยเดินกลับ ให้ศรัณย์กลับแฟลตซึ่งอยู่ใกล้ๆ โบสถ์ไปได้เลย

         “จริงๆ เรากลับคนเดียวก็ได้นะก้อง ไม่เห็นต้องไปส่ง ลำบากก้องกลับคนเดียวอีก” หญิงสาวว่าเช่นนั้นจริงๆ

         “เราไม่ลำบากที่ต้องกลับคนเดียวหรอก สบายมาก” ก้องกิตติ์ยักไหล่ “แล้วที่ไปส่งก็ไม่ใช่เพราะมารยาท แต่เพราะค่ำแล้ว”

“ให้ก้องไปส่งนั่นละดีแล้วฟ้า ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก”

         ก้องกิตติ์ส่งสายตาที่ดั่งฟ้าอยากจะเรียกว่าค้อนควักให้เพื่อนสนิท ศรัณย์ยักไหล่แล้วเอ่ยต่อน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

         “ฝากฟ้าดูแลก้องด้วยนะ เดินกลับดีๆ”

         ดั่งฟ้าตะเบ๊ะรับคำ “ได้เลย จะดูแลระหว่างทางเป็นอย่างดี”

         ศรัณย์ยิ้มน้อยๆ “ได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ ฟ้าถึงเมื่อไหร่รีบโทร. มาหาเรานะ ก้องด้วย”

“โอเค ไม่ต้องห่วง เพราะฟ้าบอกจะดูแลแล้ว” ก้องกิตติ์กล่าวเสียงอ่อนโยน แล้วหันมาทางดั่งฟ้า ดวงตาเต็มไปด้วยแววล้อเล่น “ใช่ไหมฟ้า”

“จ้ะ”

        หญิงสาวว่าแล้วโบกมือลาศรัณย์ จากนั้นจึงเดินเคียงก้องกิตติ์ไปตามถนนลีทซึ่งยังสว่างด้วยแสงไฟ สายลมต้นฤดูใบไม้ร่วงเย็นลง พัดใบไม้ที่ยังเขียวให้ไหวไปตามลม เสียงเสียดสีกันของใบไม้ขับกล่อมให้ยามราตรีของเมืองหลวงแห่งสกอตแลนด์ยังมีเสียงของธรรมชาติ

          ดั่งฟ้าเอามือถูแก้มที่เริ่มเย็นเพราะต้องลม ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อก้องกิตติ์ถาม

          “ว่างๆ ไปขึ้นคาลตันหรืออาร์เธอส์ซีตกันไหม”

          “ขึ้นสิ เอาจริงตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่ได้เที่ยวเลย จริงๆ อยากไปกลาสโกว์กับไฮแลนด์ด้วย”

          “งั้นต้องหาช่วงไปเที่ยวกัน”

          “ดีเลย”

          ดั่งฟ้ายิ้มให้เขา มองดวงหน้าคมสันของก้องกิตติ์แล้วก็ได้แต่คิด ในชีวิตนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้อีกไหม...ได้โคจรมาเจอกับรักครั้งแรกที่ห่างหายไปนานในเมืองแห่งมนตร์ขลังที่เต็มไปด้วยความโรแมนติกแห่งนี้ แบบที่เล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เหล่าเพื่อนก็พากันเชียร์อย่างออกนอกหน้า

          ‘ไหนๆ ไม่มีใครทั้งคู่ ก็เต๊าะไปเลย เต๊าะให้ติด’ ออกนอกหน้าที่สุดคือของขวัญ

          ‘บ้าเหรอ ใครเขาจะจีบง่ายๆ’

          ‘เออ เพราะแกไม่ยอมจีบใครง่ายๆ นี่แหละ เลยได้กินไอ้น้ำเค็มจนน้ำตาร่วง แล้วถ้าก้องไม่มีใครอะ แกจะลองดูมั้ยล่ะ แก่ๆ กันแล้ว จีบไปเหอะ’ ตั้งดาวกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ

          นั่นสิ...ถ้าเขาไม่มีใครจริงๆ เธอจะลองจีบก้องกิตติ์ดูไหม

          สตาร์ตอัปหนุ่มอนาคตไกล จริงจังกับงาน ความรับผิดชอบสูง สุภาพบุรุษ อบอุ่น ดูท่าว่าจะไม่ได้สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เท่าไร

          ไม่ต่างจากเขาตอน ม. หก มุ่งมั่นจะเข้าคณะที่หวัง จริงจังกับการเรียน สุภาพบุรุษ อบอุ่น แม้คนอื่นจะว่าเขาพูดน้อย แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เวลาเธอเดือดร้อนแล้วเขาโผล่มาช่วย หรือเดินสวนกันที่ตึกเรียนแล้วยิ้มน้อยๆ ให้กัน

         เพียงเท่านั้นมันก็ชวนให้ประทับใจเหลือเกิน 

รักครั้งแรกที่เกิดขึ้นในวัยเด็กไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่ได้แอบมอง ได้ส่งยิ้มให้ ได้หัวใจเต้นตึ้กตั้กแล้วเก็บไปนอนฝัน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้แต่ละวันสดใสและเจิดจ้า

         แต่การเริ่มต้นความรักในวัยสามสิบกว่าจะไม่ใช่แบบนั้น สังคม ครอบครัว การงาน ฐานะ ที่อยู่ ทัศนคติ รายได้รูปแบบการใช้ชีวิต ความเอาใจใส่ ไม่ว่าอะไรก็กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อชีวิตคู่ทั้งนั้น ความเข้าใจและยอมรับปัจจัยเหล่านั้นคือสิ่งที่ดั่งฟ้าเรียกว่าความรัก

หัวใจเต้นตึ้กตั้กนั้นกลายเป็นแค่ภาพมายา ความมั่นคงและความอุ่นใจจากการมีคนเข้าใจและพร้อมจะดูแลกันในวันทุกข์และสุขกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับเธอ

แต่...ในเมื่ออยู่ได้ทั้งในวันทุกข์และสุข อยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด อยู่ได้โดยไม่ได้คิดแคร์คนรัก ไม่เอาใจใส่แบบที่ควรจะเป็น...ดั่งฟ้าก็รู้ตัวทันที

‘เอาจริงฉันอาจไม่เหมาะที่จะไปคบกับใคร ฉันกลัวว่าฉันต้องเจ็บ เพราะทุกอย่างมันแตกหักจากการกระทำของตัวฉันเอง และอีกฝ่ายก็เจ็บ...ที่ฉันดูแลไม่ดีพอและไม่เข้าใจเขา’

‘ตั้งป้อมไปก่อนมันเหมือนกลัวไปนะฟ้า’ ภานินีว่า

‘ตั้งป้อมนี่แหละดีแล้ว ไม่อยากเริ่มแล้วพบว่าต้องทำร้ายใคร’

‘แต่ถ้าไม่เริ่ม แกจะไม่มีวันรู้ได้เลยว่าตัวเองจะรักใครสักคนได้หรือเปล่า ลองคิดเรื่องงานให้น้อยลง แล้วให้หัวใจได้นำมั่ง’

ดั่งฟ้าเงียบ ขณะที่ภานินีว่าต่อ

‘ถ้าแกรักใครจริงๆ แล้ว เชื่อเถอะว่าแกจะหาทางให้ชีวิตมันปรับมาลงตัวกันได้อยู่ดี’

        ดั่งฟ้าเหลือบมองก้องกิตติ์ ใบหน้าด้านข้างของเขาที่ต้องแสงไฟทำให้หัวใจเธอสงบลง คนคนนี้...คือคนที่เคยวนเวียนอยู่ในความฝันของเธออยู่หลายต่อหลายคืนแบบไม่ต้องใช้ความพยายาม และเธอก็อยากให้ความสัมพันธ์เป็นแบบเพื่อนเก่าที่เพิ่งกลับมาเจอกันใหม่ต่อไปเรื่อยๆ

         แค่โลกหมุนเธอมาเจอกับเขาอีกครั้ง มันก็ดียิ่งกว่าสิ่งไหนแล้ว

         หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด สดชื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาและเธอเดินกันไปเงียบๆ อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเสียงข้อความเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ ดั่งฟ้าหยิบขึ้นมาดูและพบข้อความจากสิมาว่าอยากชวนไปกินข้าวด้วยกันในวันศุกร์

         ดอกไม้ตูมในตอนแรกพลันเหี่ยวเฉา ดั่งฟ้าเม้มปากแน่นแล้วรีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋า กลับไปแล้วเดี๋ยวค่อยปฏิเสธ

         ทั้งที่คิดว่าโลกหมุนมาให้เจอสิ่งดีๆ แล้ว ก็ยังมีสิ่งที่เธออยากลืมตามมาหลอกหลอนด้วย

         ดั่งฟ้าจมลงไปในความคิดของตัวเองจนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ก้องกิตติ์ทัก

         “มีอะไรหรือเปล่าฟ้า” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง 

ดั่งฟ้าส่ายหน้าแทบจะทันที “ไม่มีอะไรหรอก”

         ก้องกิตติ์พยักหน้าง่ายๆ “ไม่มีก็ไม่มี”

         การปล่อยประเด็นง่ายเกินไปทำให้ดั่งฟ้าถามขึ้น 

“ไม่ถามต่อเหรอ”

เธอเผลอเปรียบเทียบกับสมุทร เพราะเวลาที่เธอมีอะไรในใจแล้วบอกว่าไม่มี รายนั้นจะซักไซ้จนเธอต้องเดินหนีไปเสียทุกที

ทว่าก้องกิตติ์กลับส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ “เพราะถ้าฟ้าอยากเล่า ฟ้าก็คงเล่าให้เราฟังเอง”

         สายลมเย็นพัดผ่านหน้าไป แต่แปลกที่มันทิ้งความอุ่นไว้ในหัวใจ ดั่งฟ้าไม่ได้ยินเสียงรถที่แล่นผ่านหรือเสียงใบไม้กระทบกัน ในหัวเริ่มมีคำถามที่สงสัยมาตลอดทั้งวันแต่ไม่คิดถาม

        และ...มันจะดูแปลกสำหรับก้องกิตติ์ แต่เธอก็อยากรู้เพื่อให้ตัวเองกระจ่าง

        “ทำไมก้องแทบไม่พูดถึงซีเลย”

        ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่ารอยยิ้มยังอยู่ที่เดิม 

“เพราะฟ้าไม่พูดถึงซีเลย”

         หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เมื่อได้ยินคำตอบที่ผิดคาด เธอคาดว่าเขาอาจจะแง้มๆ หน่อยว่าจริงๆ แล้วรู้เรื่องของเธอกับสมุทร  

“แต่ก็ใช่ว่าก้องจะเลี่ยงไม่พูดถึงเขาเลย ก้องอยากเล่าให้สนฟังก็เล่าได้”

         “เรื่องอะไรที่ไม่สำคัญ เราก็ไม่อยากพูดเท่าไร”

         คำตอบของก้องกิตติ์ทำให้ดั่งฟ้าเลิกคิ้ว ชัดเจนแล้วว่าก้องกิตติ์มองสมุทรอย่างไร 

         “อาจจะเหมือนฟ้านั่นแหละ...ที่คงไม่เห็นประโยชน์อะไรในการพูดถึงซีแม้ซีจะอยู่ที่นี่ เรารู้สึกว่าฟ้าไม่ค่อยสบายใจที่ซีอยู่ที่นี่ และเราก็ไม่อยากให้ฟ้าไม่สบายใจอีก...ก็แค่นั้นละ”

                


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น