5

ขิงก็รา ข่าก็แรง

บทที่ ๕

ขิงก็รา ข่าก็แรง

 

วัวทั้งสองตัวเร่งฝีเท้าตามแรงฟาดไม้เรียวของชายชรา เกวียนเล่มเก่าพุ่งไปตามถนนอย่างรวดเร็ว ผ่านหนทางขรุขระก็ทำคนโดยสารกระเด้งกระดอนไปมา ดาวเหนือกอดน้องสาวไว้แนบอก ปลอบขวัญคนตัวเล็กไม่ให้ตื่นกลัว ก่อนจะหันไปพยายามถามผู้เป็นตาว่าแม่ของเธอจะมาหาแน่หรือ แต่บุญคงก็ไม่ตอบ ยังคงจดจ้องหนทางข้างหน้า เด็กหญิงนึกในใจ หากเป็นเรื่องจริงก็คงเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอหลับตาวอนไหว้

‘สาธุ คุณพระคุณเจ้า ช่างศักดิ์สิทธิ์นัก ข้าอธิษฐานยังไม่ทันข้ามวัน ท่านก็เมตตาให้แม่มารับข้ากับน้องไปอยู่ด้วยแล้ว คอยดูเถอะ ข้าจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจทำงาน ไม่ทำให้แม่และพ่อใหม่ต้องเดือดร้อนใจ’

“อดทนอีกนิดเดียวนะอีเดือน เดี๋ยวเราจะได้ไปอยู่กับแม่แล้ว” เธอบอกน้องทั้งๆ ที่ตัวสั่น

 

ที่ดินร้างริมน้ำฝาง ไม่ห่างจากที่นาของบุญคง 

แสงหล้ายืนกอดอก มองผัวรักเจรจากับเจ้าของที่ เห็นสามีตัวเองแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ ผัวใหม่คนนี้ทำให้เธอมีความสุขเหลือเกิน เอาใจเธอสารพัดทั้งยามกินและยามนอน ยังไม่นับเรื่องบนเตียงที่แสนร้อนแรงตามประสาคนวัยกลัดมัน

ไม่เหมือนพรเทพ ขานั้นยิ่งอยู่ แสงหล้าก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตเธอนั้นแสนเหี่ยวเฉา ถามว่ารักหรือเปล่า ยังคงตอบว่ารัก พรเทพเป็นรักแรกที่งดงามและประทับใจ แต่จะให้กลับไปหา...คงไม่มีทาง

จากที่เคยมีแต่คนเอาใจ กลับต้องทำงานหนัก ดูแลครอบครัว แถมบุญคงก็แสนตระหนี่ ไม่ยอมแบ่งเงินทองให้เธอใช้ บิดาให้เหตุผลว่าอยากให้ลูกสาวเริ่มต้นเก็บออมด้วยตัวเอง นั่นจึงเป็นเหตุผลให้แสงหล้าไม่ทนอยู่อีกต่อไป

พูดคุยกับเจ้าของที่สักพัก ชายหนุ่มก็เดินมาบอกว่าเขาตกลงจะซื้อที่นาตรงนี้แล้ว โดยจะจ่ายเงินมัดจำไว้ส่วนหนึ่ง แค่นั้นก็ทำให้แสงหล้ายิ้มกว้างขึ้นอีก

“พี่จำรัสนี่ช่างเก่งแท้ๆ” เธอชมสามี

“ข้าถึงบอกหากสูอยากได้อะไรก็บอกข้า คนอย่างข้าหามาให้ได้หมด” 

คำพูดเหมือนโอ้อวด แต่แสงหล้ารู้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตั้งแต่แรกคบ เขาก็ไม่เคยผิดคำพูดแม้แต่น้อย

“ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากปลูกบ้านที่นี่”

จำรัสยิ้ม เข้าใจความหมายที่เธอพูด การมีบ้านใหม่ที่สันทรายคือการเอาชนะทุกคนที่เคยปรามาสว่าเธอเป็นหญิงสองใจ ไปไหนก็ไม่รอด 

จำรัสนึกขำ สองใจแล้วมันเป็นเช่นไรหนอ ถ้าหากหัวใจดวงที่สองมันพบรักแท้

“เอาไว้ข้ามีเงินอีกสักก้อน ข้าจะปลูกบ้านที่นี่แน่ๆ”

แสงหล้ากอดเขาเพื่อเป็นการขอบคุณ ทันใดนั้นเอง เสียงเกวียนบดมาตามถนนลูกรังก็ดังมาแต่ไกล กระดิ่งที่คอของวัวสั่นตามแรงวิ่งราวกับสัญญาณเตือนว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แสงหล้าตกใจเมื่อเห็นว่าเกวียนเล่มนั้นเป็นของบิดาเธอเอง

“ระวัง!” จำรัสดึงแขนให้เธอหลบพ้นทาง เพราะเกวียนกำลังพุ่งเข้ามาชน

ฝุ่นดินฟุ้งกระจายไปทั่ว เมื่อมันจางลง บุญคงและแสงหล้าก็ได้เผชิญหน้ากัน

“ใจคอจะชนให้ข้าตายไปเลยเหรอพ่อ” ลูกสาวเปิดฉากทักทายก่อน ทำเอาบิดาซึ่งกำลังลงจากเกวียนกำมือแน่น

“แค่ลูกคนเดียว ทำไมกูจะฆ่าไม่ได้” บุญคงชี้หน้าด้วยความโมโห

“พ่อมีธุระอะไรกับข้า” แสงหล้ากอดอก ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด

บุญคงขบกรามแน่น เดินไปที่หลังเกวียนและคว้าตัวเด็กหญิงทั้งคู่ลงมา

“อีดาว อีเดือน” แสงหล้าหน้าเสีย 

บุญคงผลักให้หลานสาวเข้าไปหาผู้เป็นแม่

“ลูกมึง เอาไปอยู่กับมึงเสีย กูไม่อยากเลี้ยงให้มันเปลืองข้าวเปลืองน้ำ แล้วพวกมึงจะไปอยู่ไหนก็เชิญ แต่ห้ามมาอยู่สันทรายบ้านกู”

ลูกสาวเชิดหน้า “พ่อมีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า และจะบอกให้รู้ไว้นะว่าข้ากำลังจะสร้างบ้านอยู่ที่นี่ จะเอาให้ใหญ่กว่าบ้านพ่อแน่นอน!” 

แสงหล้าไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ข้างๆ มีจำรัสคอยให้ชีวิตใหม่ ขณะที่ในใจก็ศรัทธาเจ้าพ่อคำสะหลี ขอเพียงแค่เธอต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุญคง พรเทพ ดาวเหนือ และเดือนเด่น...เจ้าพ่อเคยบอกเช่นนั้น พอเธอทำตามทุกอย่างก็ดีขึ้น

“อีแสงหล้า อีลูกระยำ” บุญคงหมดความอดทน

“อีดาว อีเดือน ไปอยู่กับตาของมึง แม่มึงยังเอามึงมาอยู่ด้วยไม่ได้” แสงหล้าดันหลังลูกสาวให้ห่างจากตัว 

“แม่” แค่เห็นแม่กับตาเถียงกันก็ใจเสียแล้ว ตอนนี้เธอกับน้องยังเหมือนสิ่งของที่ถูกผลักไสไปมา ไม่มีใครต้องการ 

“กูไม่เอา กูไม่เลี้ยงแล้ว” บุญคงยื่นคำขาด

“ถ้าไม่เลี้ยง ก็ให้มันเป็นเด็กเร่ร่อนไปสิ” ลูกสาวประชด “อ้อ หรือให้มันไปอยู่กับอีดาหวันก็ได้ จะได้กลายเป็นลูกหลานผีพรายไปเสีย”

“อีแสงหล้า!” 

บิดาเหลืออด เดินไปหยิบมีดพร้าจากในเกวียน ตั้งใจเข้าไปจะทำร้ายเลือดในอก แสงหล้าเบิกตาโพลง รีบถอยห่างแล้วผลักดาวเหนือและเดือนเด่นให้หลบไปอีกทาง เด็กทั้งสองร้องไห้จ้า จำรัสทนไม่ไหว รีบเอาตัวเข้ามาขวางและชักปืนที่เหน็บเอวออกมา

บุญคงชะงัก

“หยุดเถอะลุง” เขาเล็งปืนมือนิ่ง

“หลีกไป ข้าจะสั่งสอนอีแสงหล้า” บุญคงยังไม่อยากยอมแพ้

“ลุงนั่นแหละหลีกไป ข้าจะพาแสงหล้ากลับแล้ว ต่างคนต่างอยู่ อย่ามารบกวนกัน” จำรัสเอ่ย นักเลงเช่นเขามีหรือจะไม่พกอาวุธเพื่อป้องกันตัว

“พวกมึงสองคนไม่ได้ตายดีแน่” ชายชราเจ็บใจ

จำรัสเก็บปืน ก่อนจะหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมายื่นให้ “เงินนี้ถือว่าเป็นค่าเสียผีหรือค่าสินสอดก็ได้ ลุงรับไว้เถอะ เอาไปเลี้ยงดูเด็กสองคนนั้นเสีย”

สิ่งที่จำรัสเอ่ยเหมือนดูถูกน้ำใจของบุญคง 

“กูไม่เอา” บุญคงปัดเงินปลิวกระจาย “ถ้าจะให้ยกโทษ มึงส่งตัวอีแสงหล้าให้กูตบหน้าสักทีสิ”

เขาพุ่งตัวไปหาลูกสาว แต่จำรัสเร็วกว่า รีบขวางและผลักชายชราหน้าหงาย ร่างคนแก่เซล้มไปที่ขาวัวซึ่งกำลังหงุดหงิดจากการวิ่งมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เมื่อมีอะไรมาเกะกะ สัญชาตญาณก็สั่งให้มันเตะเต็มแรง

ตุ้บ!

ร่างของบุญคงกระเด็นไปไกลกว่าสามเมตร ดาวเหนือและเดือนเด่นกรีดร้องลั่นทุ่ง แสงหล้าจะเข้าไปหา แต่จำรัสดึงแขนไว้

“พ่อสูกำลังโกรธ เข้าไปอาจจะฆ่าสู” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับดึงแขนเธอให้ซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์

“อีแสงหล้า อีลูกทรพี” ชายชรามองด้วยความอาฆาต “คนอย่างมึงยังไงก็ไม่เจริญ”

ดาวเหนือและเดือนเด่นเข้าไปหาบุญคง ร้องไห้เสียงระงม สมบัติและดาหวันมาถึงพอดี ต่างตกใจเมื่อเห็นบุญคงนอนลุกไปไหนไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นแสงหล้า” ดาหวันถามขณะที่แสงหล้ากำลังขึ้นรถ

“พ่อข้าโดนวัวดีด” สาวสวยตอบเสียงห้วน

“แล้วสูจะไปไหน ไม่พาพ่อสูไปหาหมอเหรอ”

“ข้าไม่มีเวลาแล้ว ถ้ามึงมีเวลาสาระแนเรื่องคนอื่นนัก ก็ช่วยพาไปละกัน” 

“แสงหล้า นี่พ่อสูนะ”

แสงหล้ามองตาเขียว “มึงไม่ต้องมาสอนกู ไปดูแลแม่ผีพรายมึงไม่ให้ออกมากินไก่บ้านคนอื่นดีกว่า” 

แสงหล้าตัดสินใจบอกจำรัสให้เร่งรถออกไปทันที

“อีแสงหล้า อีห่าปันตาย คอยดูกูนี่แหละ จะคอยสาปแช่งมึง” บุญคงตะโกนตามหลัง ทว่าเสียงเครื่องยนต์และกิเลสตัณหาคงครอบงำไม่ให้ลูกสาวได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้ว

สมบัติเข้าไปดูอาการบุญคง ชายชราเจ็บขาและลุกขึ้นยืนไม่ได้

“ดาหวัน ขับรถไปบอกพ่อหลวง ขอให้เอารถยนต์ไปส่งลุงคงหาหมอในเวียงที”

บุญคงเจ็บปวดขาเหมือนกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็ยังไม่เท่าเจ็บปวดหัวใจที่ถูกลูกสาวย่ำยีอีกครั้ง

 

โรงพยาบาลประจำอำเภอ แพทย์ดูอาการของบุญคงแล้วพบว่ากระดูกขาขวาร้าว ต้องใส่เฝือกและนอนพักรักษาที่โรงพยาบาล ระหว่างนั้นคนที่มาส่งก็จับกลุ่มสนทนากันนอกห้องตรวจ

“เรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมบุญคงมันถึงโดนวัวตัวเองดีดได้” ‘สุชาติ’ ผู้ใหญ่บ้าน หรือพ่อหลวงบ้านของทุกคนถามสมบัติ เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ข้าก็ไม่ทันเห็นเหตุการณ์ มาถึง ลุงบุญคงก็นอนโอดโอย ส่วนอีแสงหล้ากับผัวใหม่ก็ขับรถหนีไปแล้ว” 

“หรือจะทะเลาะกันอีก” สุชาติคิด หลังจากดาหวันมาแจ้งข่าว เขาก็รีบนำรถกระบะมารับบุญคงส่งโรงพยาบาล ชายชราบอกเพียงว่าเขาถูกวัวดีดที่ขา แต่เรื่องอื่นกลับเงียบ หลานสาวทั้งสองก็เอาแต่ร้องไห้ ต้องให้ดาหวันคอยปลอบ

“อีแสงหล้านี่มันระยำแท้” พ่อหลวงส่ายหัว รู้ดีว่าลูกสาวบ้านนี้หนีไปกับผัวใหม่ ไม่นึกว่ามันจะเลวได้ถึงขั้นไม่สนใจบุพการี

“กำลังพูดถึงข้าหรือเปล่า พ่อหลวง” 

ทุกคนหันไปตามเสียงนั้น แสงหล้าเชิดหน้า ชายตามองทุกคน

“มาแล้วเรอะ กูนึกว่ามึงไม่สนใจพ่อมึงแล้ว” สุชาติเท้าสะเอว

“ที่ข้าต้องหนีออกมาก่อน เพราะว่าพ่อข้ากำลังสติแตก เอามีดมาไล่ฟันข้า แต่ไปสะดุดล้มจนโดนวัวดีด”

เพราะไม่มีใครเห็นเหตุการณ์จริงๆ ทุกคนจึงเงียบกริบ

“พ่อหลวงต้องเข้าใจนะ ถ้าข้าอยู่ต่อ พ่อคงฟันคอข้ากับผัวแน่” หญิงสาวเสียงสั่นก่อนจะเข้าไปกอดลูกสาวทั้งสอง

“อีดาว อีเดือน ขวัญเอ๊ยขวัญมานะ”

สมบัติกับดาหวันอ้าปากค้าง แสงหล้าเปลี่ยนบทบาทให้ตัวเองเป็นคนน่าสงสารเหมือนหนังคนละม้วนกับตอนเกิดเหตุ

“เมื่อกี้มึงไม่เห็นพูดแบบนี้” ดาหวันต่อว่า

“โธ่ ดาหวัน พ่อข้า ลูกข้า ข้าก็รัก” เธอหันไปทางผู้ใหญ่บ้าน “พ่อหลวงเห็นใจเถอะ ข้าถูกมองว่าเป็นคนไม่ดีมาตลอด แต่เรื่องนี้ให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย อย่าให้คนอื่นมาตัดสินว่าข้าไม่รักลูกรักพ่อตัวเองเลย”

ดาหวันตัวสั่น หน้าชาด้วยความโกรธ เธอสูดลมหายใจลึกและเดินหนี สมบัติรีบวิ่งตาม แสงหล้าได้ทีจึงเขยิบเข้าไปใกล้ผู้นำหมู่บ้าน

“พ่อหลวง” เธอหยิบเงินจำนวนหนึ่งให้สุชาติ “ถือว่าเป็นค่ารถ ค่าเสียเวลานะ”

พ่อหลวงรับเงินมาอย่างงงๆ “ถ้างั้นสูก็ดูแลพ่อสูให้ดีๆ ละกัน”

แสงหล้ารับคำ แต่ก็มีบางสิ่งที่อยากบอกผู้ใหญ่บ้าน “พ่อหลวง ข้ามีเรื่องไม่สบายใจอีกเรื่อง”

คนแก่กว่าขมวดคิ้ว “เรื่องอะไร”

“เรื่องอีดาหวันกับแม่มันที่อยู่ข้างบ้าน ข้าได้ยินมาว่าแม่มันโดนผีพรายสิง”

“ข้าได้ยินมาเหมือนกัน” เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับทองใบ ในฐานะผู้นำหมู่บ้าน ย่อมมีคนมาบอกอยู่แล้ว

“พ่อข้าชอบบ่นว่าไก่ที่เลี้ยงไว้มักหายไป กลางค่ำกลางคืนได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบๆ บ้าน ตอนนี้พ่อก็มาขาหัก แถมเด็กๆ อายุยังน้อย ข้ากลัวว่าผีพรายที่บ้านอีดาหวันมันจะมา...”

“เหลวไหลน่าอีแสงหล้า มึงเป็นห่วง มึงก็มานอนเฝ้าพ่อมึงเสีย” พ่อหลวงเอ่ย

แสงหล้าหยิบธนบัตรมายัดใส่มือผู้นำหมู่บ้านอีกใบ

“อย่างน้อยก็แค่ช่วยไปดูบ้านข้า บ้านอีดาหวัน พ่อหลวงไม่กลัวเหรอว่าหากผีพรายมันออกอาละวาดขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านจะเดือดร้อน”

สุชาติชะงัก หันไปมองนอกโรงพยาบาล เห็นสมบัติพาดาหวันซ้อนท้ายจักรยานออกนอกรั้วไปแล้ว

 

บุญคงนอนพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลสามคืน โดยมีหลานสาวนอนเฝ้า ส่วนลูกคนอื่นสับเปลี่ยนมาเยี่ยมบ้าง จนถึงวันที่ได้ออกจากโรงพยาบาล พ่อหลวงก็ถูกไหว้วานให้มารับชายชราอีกครั้ง

บุรุษพยาบาลเข็นรถเข็นบุญคงออกมารอจ่ายเงินหน้าตึก ชายชรายังสงบปาก ไม่พูดจากับใคร โดยเฉพาะกับลูกสาวคนสุดท้องที่แม้แต่หน้าเขาก็ไม่อยากเห็น

“พ่อเจ็บหนักอย่างนี้ กลับไปอยู่บ้านใครจะมาดูแล บ้านข้าก็อยู่ไกล งานในนาข้าก็ละทิ้งไม่ได้” บุญภพ ลูกชายคนเดียวรีบออกตัวว่าคงไม่มีเวลาดูแลบิดา “พ่อก็ไม่น่าเลย ไปทำยังไงให้วัวมันดีดได้”

“เป็นเพราะพ่อไปหาอีแสงหล้านั่นแหละ” บัวเรียวตำหนิคนเป็นพ่อ

“กูไม่ได้ไปหาใครทั้งนั้น เอากูกลับบ้าน!” บุญคงตะโกนลั่นจนทุกคนสะดุ้งโหยง

“แล้วใครจะมาเฝ้าสู” สุชาติเข้ามาช่วยเจรจา

“ไม่ต้องห่วง พ่อหลวง ข้าอยู่กับหลานข้าได้ อีดาว อีเดือน” ชายชราเรียกโดยไม่หันไปมองหลานสาว

แสงหล้าถอนหายใจก่อนจะก้มลงบอกลูกๆ “ดูแลตาให้ดีๆ นะ แม่ฝากด้วย”

“แต่แม่...” เดือนเด่นยังคิดว่าแสงหล้าจะมารับไปอยู่ด้วย ส่วนดาวเหนือนั้นเริ่มเห็นใจผู้เป็นตา

“ไปเถอะ อีเดือน ตากำลังไม่สบาย ไปอยู่กับตาดีกว่า” เด็กน้อยจูงแขนน้องสาวออกมาทันที 

“พ่อหลวง พาข้ากับหลานกลับบ้านที” บุญคงร้องขอ

“พวกมึงก็เปลี่ยนกันไปนอนเฝ้าพ่อมึงละกัน” พ่อหลวงบ้านตัดสินใจแทน ก่อนจะขอให้คนเข็นรถเข็นพาบุญคงไปที่รถ 

“มึงนั่นแหละอีบัวเรียว ไปนอนเฝ้าพ่อ” บุญภพโพล่งทันทีเมื่ออยู่เพียงสามพี่น้อง

“อ้าว นั่นก็พ่อมึงเหมือนกันนะ” บัวเรียวตาเขียว ภาระเธอไม่ใช่น้อยๆ ไหนจะผัว ไหนจะลูกอีกสี่ หมูที่เลี้ยงไว้อีกห้า

“อีแสงหล้า มึงทำบาปกับพ่อไว้ มึงควรมานอนเฝ้าพ่อ เผื่อแกจะยกโทษให้” บุญภพหันมาทางน้องสาวคนสุดท้อง

“ทำไมพูดอย่างงี้ ข้าก็ให้ลูกข้าสองคนเฝ้าแล้วนี่” แสงหล้าเถียง

“อ้าว อีนี่ ลูกมึง ทิ้งไว้ให้เป็นภาระของพ่อต่างหาก” บุญภพโวยวาย

“เอาเถอะ ถ้างั้นก็เปลี่ยนกันมานอนยามว่างละกัน ใครจะมานอนคืนนี้คืนแรก” บัวเรียวห้ามทัพ 

ทุกคนกลับเงียบกริบ พี่คนโตจึงได้แต่ถอนหายใจ

“ข้าจะเป็นคนส่งข้าวให้ แต่ให้นอนด้วยคงไม่ได้”

ทั้งสามยังพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองต่อว่าไม่สามารถดูแลบุญคงได้ กระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องเดินเข้ามาเตือนเพราะสนทนากันเสียงดังเกินไป

 

ดาหวันเตรียมตัวเข้านอน ได้ยินเสียงรถยนต์ตามด้วยเสียงพูดคุยดังมาจากข้างบ้าน ก็เข้าใจว่าบุญคงคงกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว ปกติเธอคงออกจากบ้านไปเพื่อไถ่ถามอาการ แต่ดูจากสิ่งที่แสงหล้าทำกิริยาใส่ หญิงสาวขอเลือกปิดประตูนอนเสียดีกว่า

หยิบตะเกียงกระป๋องเข้าห้อง สวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานให้พระคุ้มครองให้มีความสุข อย่างน้อยก็ขอให้มารดาหายเป็นปกติ

พลิกตัวลงนอนหงาย หันไปมองแม่ที่นอนข้างๆ กลับพบว่าหญิงชรามองเธอตาแป๋ว

“แม่ยังไม่หลับอีกเหรอ” เธอถามเพื่อข่มความตกใจ

“กูนอนไม่หลับ มึงหลับเถอะ กูไม่เป็นอะไร” ทองใบเสียงแจ่มใส แต่ดาหวันกลับรู้สึกว่าไม่ใช่เสียงของแม่

“งั้นข้าดับไฟก่อนนะ” 

เธอเป่าลมดับไฟตะเกียงและนอนกุมมือไว้ที่ท้อง หลับตา จิตยังฟุ้งซ่าน วิ่งไปมาไม่ยอมนิ่งเหมือนลิงป่า บางทีมันก็กระโดดมาเรื่องนั้น บางครั้งก็กลับมาเรื่องนี้ 

แม่จะหลับหรือยังนะ ขอให้หลับเถิด ตอนกลับถึงบ้านเธอก็เอาข้าวเอาน้ำให้กิน ทองใบกินได้สองสามคำก็บอกว่าอิ่มแล้ว หรือตอนนี้จะเริ่มหิวจนอยากลุกจากที่นอนไปไหนอีก

ที่สุดก็ใช้คำพระสอน ภาวนาแต่พุทโธ กำหนดจิตที่ลมหายใจเข้าออก หญิงสาวจึงดำดิ่งสู่นิทรา ในฝันจิตที่เหมือนลิงป่ายังพาเธอเดินทางไปเรื่อยเปื่อย

เห็นพรเทพกำลังไถนา เขายิ้มและกวักมือเรียกเข้าไปหา ดาหวันเห็นเหงื่อพี่แล้วสงสาร จะใช้มือน้อยเช็ดให้ แต่ก็เกรงจะไม่งาม

“ปีนี้ถ้าข้าวราคาดี พี่มีเงิน จะมาขอสูและพาลูกไปอยู่ด้วยกัน”

ดาหวันยิ้ม ตื้นตันใจ ไม่กลัวสักนิดที่จะได้มีผัวเป็นพ่อม่ายลูกติด กำลังจะตอบตกลงพรเทพก็หายไป หันไปรอบๆ ก็ไม่พบ ก่อนที่จะมีร่างหนึ่งเดินมาตามคันนา มองอย่างไรก็เหมือนเมียเก่าของพรเทพ

“กูเห็นนะอีดาหวัน ว่ามึงยังรอผัวกู”

ดาหวันพยายามจะเถียง แต่ในฝันนั้นเหมือนมีอะไรมาอุดปาก แสงหล้าหัวเราะลั่นทุ่ง แถมแปลงกายเป็นเงามืดดำพุ่งเข้าหา

ดาหวันกรีดร้องด้วยความกลัว แต่ยังกระโดดหลบได้ เห็นแสงหล้าวิ่งไปทางคันนา กำลังข้ามสะพาน พลันก็หยุดกึกและถลกผ้าถุงขึ้นมา

ดาหวันเพ่งมองชัดๆ แสงหล้าหัวเราะตัวสั่นแล้วค่อยๆ หันมา

ใบหน้านั้นกลับเปลี่ยนเป็นทองใบที่ส่งยิ้มให้ แต่ไร้ลูกตาดำ!

ดาหวันกรีดร้องสุดเสียง ทองใบมีเขียดในมือ ก่อนจะกัดหัวมันขาดคาปาก เลือดกระจายเต็มหน้า

ตุ้บ!

เสียงดังจากนอกห้องทำคนนอนฝันร้ายสะดุ้งตื่นเหงื่อโซมกาย เธอรีบยกมือไหว้พระเพื่อให้หายกลัวจากฝันร้าย

ว่าแต่...เสียงดังเมื่อครู่ มันเสียงอันใดหนอ 

ตั้งสติได้ก็ลุกขึ้นนั่ง จุดตะเกียงแล้วหันไปมองที่ที่ทองใบควรนอนอยู่ ก็พบว่าหญิงชราไม่ได้นอนอยู่บนฟูกอีกแล้ว

“แม่!” 

เธอเรียกหา แต่ไร้เสียงตอบรับ หัวใจเต้นตึ้กตั้ก ได้ยินเสียงกุกกักมาจากห้องครัว ดาหวันหยิบตะเกียงเดินออกจากห้อง ความมืดแหวกเป็นทางยามไฟสีส้มส่องผ่าน ยังไม่เห็นร่างของหญิงชรา ทว่ากลับได้กลิ่นสาบ

ดาหวันใจคอไม่ดี สายตาเหลือบไปเห็นเงาดำขยับอยู่ตรงมุมเสา

“แม่เหรอ” เธอถามเสียงสั่น แต่ร่างนั้นไม่หันมา

ดาหวันสูดลมหายใจ ‘สาธุ...พระคุณเจ้า พระธรรม ผีปู่ผีย่า มาช่วยลูกด้วยเถอะ’

เธอตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้และตะโกนสุดเสียง

“แม่!”

ร่างเล็กนั้นหันมา ใช่...ที่อยู่ตรงนั้นคือทองใบ และกลิ่นเน่าคละคลุ้งก็มาจากปลาร้าที่หมักอยู่ในโอ่ง หญิงชรายิ้มให้ลูกสาว แต่มือยังจกปลาร้าดิบยัดปากเหมือนคนที่อดอยากมานาน


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น