10

หมาจนตรอก

บทที่ ๑๐

หมาจนตรอก

 

ดนตรีฟ้อนรำเล่นทำนองเพลงช่วงสุดท้าย ช่างฟ้อนย่อตัวลงไหว้ลา ผู้ชมปรบมือเกรียวกราว เดือนเด่นยิ้มกว้าง บอกมารดาเป็นรอบที่ห้าว่าเธออยากใส่ชุดช่างฟ้อน

“รอมึงโตก่อน ได้เป็นแน่ๆ อ้าว! แล้วอีดาว มึงมัวชะเง้อดูอะไร” แสงหล้าสงสัย ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่ลูกสาวคนโตเอาแต่ลุกลี้ลุกลน ไม่สนใจความบันเทิงตรงหน้า

“ข้าเป็นห่วงน้าดาหวัน”

“อีนี่ จะเป็นห่วงมันทำไม หรืออยากจะติดเชื้อผีพรายจากมัน”

ดาวเหนือไม่สนใจคำแม่ ยังชะเง้อมองต่อ

“คนชื่อดาหวันนี่ ดูท่าคนทั้งหมู่บ้านจะกลัว” จำรัสหันมาถาม เพราะได้ยินแต่คนนินทาชื่อนี้

แสงหล้ายักไหล่ “คนไม่ดี ใครๆ ก็ไม่รัก” พูดจบก็ชวนลูกกับผัวใหม่เดินชมหอระฆังใหม่ พลันเหลือบเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาในวัด

พรเทพ...

ใจหายวูบ ผัวเก่าแต่งตัวดีผิดหูผิดตา แถมผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ก็ดูดีมีฐานะ หรือจะเป็นเมียใหม่ของเขา จังหวะนั้นได้สบตากันโดยบังเอิญ ทว่าต่างคนต่างเบือนหน้าหนี พรเทพรีบพาเมียใหม่เข้าไปในวิหารวัด เพราะไม่อยากเจอหน้าแสงหล้าในงานบุญเช่นกัน

มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจนทุกคนหันไปมอง ชาวบ้านแตกตื่นเมื่อเห็นดาหวันแหวกฝูงชนเข้ามา 

“น้าดา” ดาวเหนือดีใจจะเข้าไปหา แต่แสงหล้าจับแขนห้ามไว้

ดาหวันแววตาแข็งกร้าว เดินมาประจันหน้ากับแสงหล้าทันที

“มึงเป็นอะไรกับกูนักหนา อีแสงหล้า!” เสียงตะคอกดังทำให้คนทั้งวัดหันมามอง 

แสงหล้าตกใจ แต่ก็เชิดหน้าสู้ “พูดอะไร”

“มึง!” ดาหวันชี้หน้า “หาเรื่องกูมาตลอด แล้วยังมีหน้ามาบอกให้กูไปตัดพรายกับเจ้าพ่อคำสะหลีอีกงั้นเหรอ”

แสงหล้ายิ้มมุมปาก “กูก็พูดแทนชาวบ้าน มีงานบุญแท้ๆ แทนที่จะได้สนุกสนาน กลับต้องมากลัวติดเชื้อผีพรายจากมึง มึงควรไปให้เจ้าพ่อช่วยตัดพรายนะ”

“แม่อย่า...” ดาวเหนือพยายามห้าม แต่ไม่มีใครฟัง

“กูไม่ได้เป็นผีพราย” ดาหวันเถียงเสียงขาดหาย น้อยใจในชะตาชีวิต 

“มึงติดเชื้อจากแม่มึงมาแน่ๆ อีดาหวัน มึงเชื่อที่แสงหล้าพูดดีกว่า ไปหาเจ้าพ่อท่านซะ” 

ชาวบ้านที่มุงดูเริ่มออกความคิดเห็น แถมคนอื่นๆ ยังเริ่มผสมโรง

“เห็นหรือยังว่ามึงควรทำตามที่กูบอก ก่อนที่จะอยู่บ้านสันทรายไม่ได้”

คำพูดของแสงหล้าราวกับน้ำมันที่รดใส่เพลิงแค้นในอก ดาหวันไม่ทนอีกต่อไป เดินเข้าไปหาและง้างมือตบหน้าดารางานบุญทันที

เผียะ!

ร่างแสงหล้าเซล้ม ทุกคนแตกตื่น พ่อหลวงสุชาติเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี

ดาหวันชี้หน้า ดวงตาแข็งกร้าว “ถ้ากูเป็นผีพราย อีแสงหล้า มึงก็เป็นผีกะ...ผีกะหรี่ไงมึง”

แสงหล้าหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอลุกขึ้นเข้าไปตบสวนทันที “อีดาหวัน อย่าอยู่เลยมึง”

ทุกคนแตกตื่น ยังไม่ถึงกลางคืนก็มีมวยคู่เอกให้ชมหน้าวิหาร สองสาวชุลมุนคลุกวงใน จำรัสห้ามไม่ไหวจนพ่อหลวงต้องเข้ามาช่วย 

“หยุดได้แล้ว งานบุญงานวัดแท้ๆ พวกมึงยังกล้ามีเรื่อง”

“ก็เพราะอีดาหวันนั่นแหละ มาหาเรื่องตบแสงหล้าก่อน” ศรีมอยรีบรายงาน ทุกคนต่างเห็นด้วย

“อีแสงหล้ามันปากหมา มันใส่ร้ายบอกทุกคนว่าข้าเป็นผีพราย” ดาหวันพยายามเถียง

“มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เหรอพ่อหลวง ข้าว่าอีดาหวันมันเป็นตัวอันตราย จับมันไปให้เจ้าพ่อคำสะหลีตัดพรายเถอะ” แสงหล้าตีหน้าเศร้า

“ข้าไม่ไป ข้าไม่ได้เป็นผี!”

“มึงเป็น เพราะติดเชื้อมาจากแม่มึง” ศรีมอยเถียงแทน

“อีดาหวัน ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ข้าคงต้องใช้กำลังนะ” ผู้ใหญ่บ้านพูดแล้วหันไปมองหน้าไอ้อิ่น

กลุ่มลูกน้องรู้ทันที รีบเข้ามาจับแขนทั้งสองข้างของดาหวัน

“ปล่อยกู!” หญิงสาวพยายามสะบัดหนี แต่ไม่อาจสู้แรงชายไหว

“มึงมันหัวแข็ง ไม่เชื่อฟังคำพ่อหลวง” ไอ้อิ่นเอ่ย

“น้าดา” ดาวเหนือหน้าเสียเมื่อเห็นดาหวันถูกจับ แต่ชาวบ้านกลับเห็นชอบ

ที่สุดผู้ใหญ่บ้านก็สั่งเด็ดขาด “เอามันไปที่หอเจ้าพ่อ”

ร่างของแสงหล้าถูกฉุดกระชาก เธอขัดขืนแต่ก็สู้ไม่ได้ ทุกคนเฮลั่นที่เห็นอีผีพรายถูกจับตัวออกจากงานวัด มีบางส่วนวิ่งตามเพื่อจะไปดูพิธีสำคัญที่หอทรงผีเจ้านาย

แสงหล้าบอกจำรัสว่าเธอต้องการไปที่หอเจ้าพ่อ จึงจูงแขนลูกทั้งสอง เดินตามกลุ่มพ่อหลวงไปทันที รู้สึกสะใจที่ได้เห็นดาหวันถูกพิพากษาจากทุกคนอีกครั้ง 

พรเทพเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างจากในวิหาร แต่เขากลับห้ามหงษ์ทองไม่ให้ออกไปดู

“ชาวบ้านทะเลาะกัน อย่าไปสนใจเลย”

เมียใหม่ยิ้มเหยียด “สมกับเป็นบ้านนอก”

พอทุกอย่างสงบเขาจึงหันมายิ้มให้

“ดูเหมือนพ่อหลวงจะจัดการเสร็จแล้ว เราออกไปเที่ยวต่อกันเถอะ”

หงษ์ทองยิ้มตาหยี เธอรีบควงแขนเขาเดินออกจากประตูวิหาร ทุกคนต่างเหลียวมอง ชื่นชมว่าพรเทพช่างโชคดี ได้เมียใหม่ที่ร่ำรวย ชีวิตเป็นดั่งหนูตกถังข้าวสาร

 

“กูบอกให้ปล่อยกู!” ดาหวันตะโกนจนเสียงแหบ แต่กลุ่มไอ้อิ่นกลับไม่สนใจ 

ภาพวันนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง วันที่พวกมันแบกร่างแม่ไปให้เจ้าพ่อคำสะหลีฆ่า

‘แม่จ๋า...ช่วยข้าด้วย เหตุใดชาวบ้านพวกนี้ถึงมีใจโหดร้ายนัก เราไม่ได้ผิดที่เราเป็นคนไม่ดี แต่ผิดที่เราเป็นคนจนสินะ’

พวกเขาฉุดร่างดาหวันขึ้นไปยังศาลาทรงเจ้า อัมพรรับแจ้งเรื่องจากพ่อหลวงก็พยักหน้า สั่งน้อยโหน่งจุดเทียน ส่วนตนเองก็ยกมือไหว้สาที่หิ้ง แต่งตัวทำพิธีให้เจ้าพ่อทรงร่าง

“มึงอยู่นิ่งๆ เจ้าพ่อท่านจะได้เมตตา” สุชาติสั่งลูกอีผีพรายให้คุกเข่า

แสงหล้าขึ้นศาลาตามมา สีหน้ากังวล “ดาหวัน อดทนไว้นะ อีกเดี๋ยวสูก็จะหายแล้ว”

ทุกคนชื่นชมที่แสงหล้ายังเป็นห่วงแม้จะเพิ่งทะเลาะกันหมาดๆ 

ดาหวันเงียบลง เธอสูดหายใจลึก ในที่สุดก็หันไปบอกพ่อหลวง “เอาละ ข้ายอมแล้ว ปล่อยข้าเถอะ”

สุชาติหันไปสั่งลูกน้องให้ปล่อยตัวหญิงสาว ดาหวันนั่งสงบ ยอมจำนนแล้วต่อทุกสิ่ง ใครจะฆ่าจะแกงอะไรก็ตามใจ

“มึงพูดรู้เรื่องแบบนี้ก็ดี ข้าเองก็ไม่อยากลำบากใจ” พ่อหลวงส่ายหัว หันไปยกมือไหว้ร่างทรงที่บัดนี้สั่นหงึกๆ คาดว่าเจ้าพ่อคำสะหลีคงลงประทับแล้ว

“เจ้าพ่อ ข้าพาอีดาหวันมาให้เจ้าพ่อได้ตัดผีพราย ขอเจ้าพ่อได้โปรดช่วยมันที”

                “ครั้งนี้ขอไล่ผีพรายไปให้พ้น อย่าได้กลับมาทำร้ายใครได้อีก” แสงหล้าเห็นชอบด้วย

                ร่างทรงนั่งชันเข่าข้างเดียว ก่อนที่น้อยโหน่งจะยื่นหมากให้เคี้ยวหยับๆ แล้วจึงหันมาจ้องหน้านางผีพราย

                “ผีพรายบ้านดงหลวง พอออกจากตัวแม่มันไปก็ยังมารังควานลูก ข้าเห็นว่ามันกำลังเกาะคอสูอยู่” เจ้าพ่อชี้ร่างดาหวัน คนทั้งศาลาฮือฮา

                ดวงตะวันที่เคยเปล่งแสงจ้า บัดนี้กลับหนีลับเข้ากลีบเมฆ ยังผลให้รอบตัวดูมืดมัว บนศาลาหอทรง เจ้าพ่อคำสะหลีหยิบมีดหมอออกมาจากขันเงิน ก่อนจะอมน้ำมนต์และพ่นใส่ใบมีด

มีลมพัดโชยเข้ามาในตำหนัก ผู้คนฮือฮาถึงความอัศจรรย์

“เอาเลยเจ้าพ่อ ฆ่าผีพรายให้อีดาหวันเสีย มันจะได้ปลอดภัย ข้าไม่อยากให้มันตายไปเหมือนกับแม่มัน หรือเหมือนกับไอ้สมบัติ” แสงหล้าทำทีเห็นใจ 

เจ้าพ่อยืนนิ่งและหัวเราะออกมา

“ไอ้สมบัติมันสมควรตายอยู่แล้ว เพราะมันมาลบหลู่กู กูเลยส่งงูไปฆ่ามัน”

ทุกคนต่างยกมือไหว้สา เอ่ยเสียงสาธุเซ็งแซ่ ดาหวันได้ยินเช่นนั้นก็นึกสงสารคนที่ล่วงลับ

สมบัติอาจจะตายด้วยเรื่องบังเอิญ แต่การตายของเขา เจ้าพ่อคำสะหลีก็สมอ้าง เอามาหาผลประโยชน์ให้ชาวบ้านหวั่นเกรง

หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอก ทั้งแม่และสมบัติต่างก็มาตายเพราะเจ้าพ่อคำสะหลี

ที่ผ่านมาเธอพยายามเป็นคนดีมาโดยตลอด เธอเชื่อว่าวันหนึ่งองค์พระปฏิมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเห็นใจและทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ดูเอาเถอะ ตอนนี้เธอมีชะตาชีวิตไม่ต่างจากแม่เลยสักนิด

เจ้าพ่อย่างเท้าเข้ามาใกล้และใช้มีดจิ้มกลางศีรษะดาหวัน ไม่ถึงกับมีเลือดออก แต่ก็พอรู้สึกเจ็บ แม่เธอก็คงเคยรู้สึกเช่นนี้ และสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดเจียนตายคือสายตาของทุกคนที่มองมา ให้เธอยอมรับคำพิพากษาของผีเจ้านายไปเสีย

อยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกว่า หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยมีจริง แล้วเจ้าพ่อคำสะหลีจะมีจริงได้อย่างไร...

“กรี๊ด!” พลันดาหวันก็กรีดร้องลั่นจนทุกคนสะดุ้งโหยง

“อีผีพรายบ้านดงหลวง ออกจากร่างอีดาหวันไปซะ” เจ้าพ่อเสียงแข็งและจิ้มมีดแรงกว่าเดิม ดาหวันร้องดังขึ้นอีกก่อนจะเป็นลมล้มพับไป

ทุกอย่างเงียบกริบ

“มันตายแล้วเหรอ” พ่อหลวงสีหน้าเลิ่กลั่ก เกรงประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

“ยังไม่ตาย ข้าแค่เอามีดจิ้มหัว ยังไม่ได้แทง” เจ้าพ่อเอ่ย

ทันใดนั้นร่างของดาหวันก็สั่นสะท้านพร้อมเสียงหัวเราะลั่น

“ผีเข้ามันแล้ว จับมันไว้” แสงหล้ารีบบอก

น้อยโหน่งและไอ้อิ่นจับร่างดาหวันให้ลุกขึ้นนั่ง หญิงสาวก้มหน้า ผมเผ้ากระเซิงยุ่งเหยิงและยังหัวเราะไม่หยุด

“ถ้ายังไม่ออกจากร่างอีดาหวัน กูจะเอามีดแทงสูให้ตาย” 

เจ้าพ่อกำลังจะเดินเข้าหา ทันใดนั้นดาหวันก็เงยหน้าขึ้นและแสยะยิ้ม

“ข้าไม่ใช่ผีพรายที่สิงแม่ข้า แต่ข้าคือผีกะ”

เจ้าพ่อหยุดนิ่ง ขณะที่พ่อหลวงก็ผงะ ผีกะมีฤทธิ์กว่าผีพรายอยู่มากโข ผีพรายแค่สิงร่างคนป่วย แต่ผีกะคล้ายกับผีปอบ ถูกเลี้ยงไว้เพื่อผลประโยชน์ หากปล่อยให้หิว มันก็จะเข้าสิงหรือแปลงกายไปทำร้ายคนอื่นได้

“เห็นหรือยังทุกคน อีดาหวันมันต้องเลี้ยงผีกะไว้ที่บ้านแน่ๆ” แสงหล้ารีบเอ่ย แม้จะแปลกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ ดาหวันดันรับว่ามีผีร้ายอีกตนสิงสู่ แต่ก็เป็นผลดี ทุกคนจะได้เข้าใจเช่นนั้น เธอรีบหันไปบอกสุชาติ “ถ้าเป็นแบบนี้ มันก็ไม่สมควรที่จะอยู่บ้านสันทรายแล้วนะพ่อหลวง”

“ไม่ต้องไล่ข้าหรอก อีแสงหล้า” ผีกะดาหวันเสียงดังสู้ “จำไม่ได้เหรอว่าข้าก็คือผีกะที่สูเลี้ยงไว้”

ทั้งศาลาแตกฮือ หันไปมองแสงหล้าทันที

“อีดาหวันมันโกหก ข้าไม่เคยเลี้ยงผีกะ” แสงหล้าปฏิเสธพัลวัน “รีบทำพิธีฆ่ามันเถอะเจ้าพ่อ”

“ฮ่าๆ อีแสงหล้า ถ้าไม่ยอมรับ งั้นผีกะตนนี้จะขอสาปแช่งมึง นับจากนี้ไปมึงจะไม่มีความเจริญ สิ่งใดไม่ดีที่มึงเคยทำกับคนอื่นไว้ มันจะย้อนกลับคืนมึงหมด”

“กูไม่กลัว ยังไงบารมีเจ้าพ่อก็ปกป้องกู” แสงหล้าเชื่อมั่นในศรัทธาตน

ทันใดนั้นเองดาหวันก็ถ่มเสมหะใส่เต็มหน้าอีกฝ่าย สร้างความตกตะลึงให้ทุกคนในศาลา 

“กรี๊ด!” แสงหล้าใช้มือเช็ดออกด้วยความขยะแขยง

ดาหวันหัวเราะลั่น “ถ้าอย่างนั้นมึงก็ต้องเป็นผีกะเหมือนกู กูจะทำให้ทุกคนในบ้านสันทรายเป็นผีกะ ใครมาจับตัวกูก็จะได้เป็นผีกะเหมือนกับกู ฮ่าๆ” 

ไอ้อิ่นกับน้อยโหน่งรีบปล่อยมือจากร่างดาหวันทันที อีผีกะได้โอกาสลุกขึ้นฟ้อน หัวเราะเสียงแหลม แถมถ่มน้ำลายไปทั่ว ชาวบ้านแตกตื่น กรีดร้องและหนีลงศาลากันจ้าละหวั่น

“เจ้าพ่อคำสะหลี ทำอะไรสักอย่างสิ” พ่อหลวงเอ่ย 

เจ้าพ่อสีหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะจับมีดเข้าสู้ แต่อีผีกะไวกว่า กระโดดหลบ ถ่มน้ำลายรดและถีบหลังเจ้าพ่อจนหน้าคว่ำ น้อยโหน่งอ้าปากค้าง มุ่งเข้ามาจะคว้าตัว ดาหวันก็ถ่มน้ำลายใส่จนมันต้องถอยหนี แถมยังโดนผีกะหยิบกระโถนน้ำหมากของเจ้าพ่อมาสวมหัวจนเจ้าตัวร้องลั่น วิ่งหนีลงศาลาไป 

มีดดาบเล่มยาวของเจ้าพ่อที่อยู่บนหิ้ง นางดาหวันก็ฟ้อนแอ่นไปหยิบจับมา ไล่ฟันแท่นบูชา ตุงกระดาษ หรือแม้แต่หลอดไฟ เทียนที่ถูกจุดล้มระเนระนาด เกิดไฟลุกโกลาหล

“อีผีกะมันเผาเรือนเจ้าพ่อแล้ว” 

ทุกคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด ดาวเหนือจูงแขนน้องวิ่งลงศาลาไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย แสงหล้ารีบประคองร่างทรงลงจากหอ กลุ่มควันลอยโขมง พ่อหลวงรีบสั่งให้คนช่วยกันหาน้ำมาดับ

“มีใครโดนน้ำลายมันบ้าง” พ่อหลวงถาม

“มันไม่ใช่เวลามาถาม พ่อหลวง รีบไปช่วยกันดับไฟและจับอีผีกะเถอะ” แสงหล้าเถียง เพราะเธอเป็นคนแรกที่โดนดาหวันถ่มน้ำลายใส่หน้าเต็มๆ

“แล้วใครจะจับมันล่ะ” พ่อหลวงตอบ เพราะตอนนี้ทุกคนกลัวติดเชื้อผีด้วยกันทั้งนั้น

กลุ่มควันเริ่มกระจายไปทั่ว ชาวบ้านหยิบถังน้ำคนละใบช่วยกันสาดไปที่ศาลาทรงเจ้า ดาวเหนือพยายามเพ่งเข้าไปในเพลิง กลับไม่เห็นดาหวันอยู่ในนั้นแล้ว

คนในงานวัดต่างแตกตื่นเมื่อได้ข่าวว่าไฟไหม้หอเจ้าพ่อ เมฆก้อนใหญ่ขยายตัวกว้างขึ้น บรรยากาศยามบ่ายดูอึมครึมกว่าเดิม

ไฟลามไปกว่าครึ่ง ทุกคนช่วยกันดับไฟอย่างอลหม่าน ไม่มีใครคิดจะตามหาดาหวันที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ประตูเรือนไม้หลังเก่าเปิดออก ร่างบางเดินเข้ามาข้างในด้วยท่าทางปกติทุกอย่าง ดาหวันเดินเข้าไปในห้องนอน เก็บข้าวของใส่กระเป๋า เสร็จแล้วจึงมายืนมองรูปแม่บนผนังบ้าน

ใช่...เรื่องเมื่อครู่ไม่มีผีห่าตนใดสิงเธอหรอก มีแต่ผีในใจอีดาหวันเท่านั้นแหละที่มันอดรนทนไม่ไหว ระเบิดออกมาจนเผาศาลาผีเจ้านายประจำหมู่บ้าน

รูปขาวดำของทองใบเหมือนจะส่งยิ้มให้...และกระซิบข้างหูว่ายังไงแม่ก็จะอยู่ข้างลูกเสมอ และแล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ร่วงหล่นราวกับทำนบพัง

“ฮือๆ” ดาหวันสะอื้นตัวโยน เอื้อมมือไปหยิบรูปใบใหญ่มากอดไว้แน่น

“ข้าไม่เชื่ออีกแล้วนะแม่ ทำดีแล้วจะได้ดีตอบ ข้าไม่ทนอีกแล้ว ข้าต้องสู้ ถ้าไม่สู้ ข้าก็จะตายเหมือนแม่” 

นานทีเดียวกว่าเธอจะหยุดร้องแล้วบอกมารดา “ไปเถอะแม่”

ดาหวันหิ้วกระเป๋า ถือรูปแม่เดินออกจากเรือน แล้วก็พบร่างเล็กรออยู่ที่บันได 

“น้าดาหวัน จะไปไหน” ดาวเหนือคงเป็นคนเดียวที่รู้ว่าดาหวันกำลังทำอะไร

ดาหวันเดินลงบันไดมาลูบหัวเด็กน้อย “มึงไม่กลัวกูเหรอ กูเป็นผีกะนะ”

ดาวเหนือส่ายหัว “ข้ารู้ว่าน้าดาหวันโกหก”

หญิงสาวดวงตาแดงก่ำ แต่ยังพยายามยิ้ม “คนสันทรายรังเกียจกู กูต้องไปที่อื่น”

“ไปที่ไหน น้าดาจะทิ้งข้าไปอีกคนแล้วเหรอ” 

คำอ้อนวอนของเด็กน้อยทำเอาเธอพูดไม่ออก ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก

“อีดาว โลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรจะอยู่กับมึงไปตลอดชีวิต กูเองก็เหมือนกัน จากกันวันนี้ วันข้างหน้าอาจจะเจอกันอีกก็ได้...” เสียงขาดหายเพราะจุกในอก

“จำไว้นะดาวเหนือ มึงจงเชื่อในความดีของมึงนะ ทำดีต่อไป ความดีก็จะเหมือนดวงดาว ที่ไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน มึงก็จะรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น...ในหัวใจมึง” เธอหวังจะถ่ายทอดคำพูดที่แม่เคยบอกในความฝันให้ดาวเหนือเข้าใจ

“และแม้ใครจะมาทำไม่ดีกับมึง ก็ไม่ต้องโกรธ ให้ทำดีกับเขาต่อ ซึ่งไม่ใช่เพราะมึงแพ้เขา แต่เป็นเพราะมึงเป็นคนดี”

เมฆใหญ่เปลี่ยนสีกลายเป็นสีเทา เริ่มมีเสียงฟ้าร้องมาแต่ไกล

“มึงจงเชื่อที่กูบอก แต่อย่าเชื่อในสิ่งที่กูคิดจะทำ” 

ดาหวันหอมหน้าผากเด็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวเดินจากไป

ดาวเหนือมองตามหลัง พยายามตะโกนเรียกทั้งน้ำตา...แต่น้าสาวไม่หันมา

ฝนลงเม็ดและตกหนักขึ้น ดาหวันเดินไปตามถนน ได้ยินเสียงชาวบ้านโห่ร้องยินดีที่บารมีเจ้าพ่อคำสะหลีเสกฝนวิเศษลงมาช่วยดับไฟที่กำลังไหม้ศาลาร่างทรง

ดาหวันเดินแหวกม่านฝน กอดรูปแม่แน่นไว้ในอ้อมอกแล้วบอกตัวเอง

‘ลาก่อน...พวกจัญไร ต่อไป...กูจะไม่เชื่อในความดีอะไรอีกแล้ว’


 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น