5

เข้าถ้ำเสือ


5

เข้าถ้ำเสือ

 

วันฟ้าใหม่เดินตัวลีบลัดเลาะระเบียงบ้านหลังใหญ่ขนาดสองชั้นที่เธอเคยพักอาศัย สอดส่ายสายตาหาเจ้าของร่างสูง ทว่าบ้านทั้งหลังกลับเงียบกริบราวกับไม่มีคนอยู่ อุตส่าห์พยายามตัดใจเรื่องโทรศัพท์อยู่ทั้งคืน สุดท้ายเธอก็รู้ว่าโทรศัพท์นั้นสำคัญกับเธอมากกว่าที่คิด ข้อมูลสำคัญทั้งเบอร์โทร. ภาพถ่าย ข้อความ ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ควรพยายามสักครั้งเพื่อให้ได้ของคืนมา คิดไตร่ตรองดูแล้ว อาทิตย์คงหวังแกล้งให้เธอลำบากเล่นๆ ให้พอได้หายแค้นใจ

หญิงสาวเดินลงไปชั้นล่าง ตรงไปยังส่วนของห้องครัวเพื่อขอร้องให้ใครสักคนไปแจ้งอาทิตย์ว่าเธอต้องการพบเขา

“มาที่นี่ทำไม” มะปรางเท้าเอวถามเสียงดัง มือข้างหนึ่งถือตะหลิว ใบหน้ามันเยิ้มเพราะความร้อนจากหน้าเตายิ่งทำให้เธอดูน่ากลัวมากไปอีก

“นังมะปราง จะเอะอะโวยวายให้ได้อะไรขึ้นมา” หญิงวัยหกสิบห้าหันไปทำเสียงดุ

คราแรกวันฟ้าใหม่ใจชื้น คิดว่าทองคำคลายความโกรธเกลียดเธอลงไปบ้างแล้ว แต่พอนางพูดประโยคต่อมา เธอถึงได้รู้ว่าไม่ใช่เลย

“ทำเป็นมองไม่เห็นเสียก็สิ้นเรื่อง” ว่าแล้วก็กลับไปสนใจหม้อแกงตรงหน้า ทำเป็นเหมือนไม่เห็นวันฟ้าใหม่จริงๆ

มะปรางทำตาขวาง ทำท่าฮึดฮัด ก่อนจะหันไปดูอาหารในหม้อที่กำลังเดือด

วันฟ้าใหม่กลอกตาเป็นครึ่งวงกลม เอาเข้าไปสิ...จะหามิตรสักคนนี่ยากยิ่งกว่างมเข็มในดาวไซเบอร์ตรอน

“ฉันอยากจะรบกวนไปบอกพี่อาทิตย์ให้หน่อยว่าฉันมาหา”

“คนอะไร้” มะปรางหันกลับมาถามเสียงสูงปรี๊ด “ก็รู้อยู่ว่าเขาไม่ชอบ ยังจะมาหาอีก ไม่รู้ว่าหน้าทำด้วยอะไรถึงได้ด้านขนาดนี้”

วันฟ้าใหม่เม้มปาก หน้าคว่ำ คนเราจะมาพบกันด้วยเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เพราะความพิศวาสบ้างไม่ได้หรือไร หรือว่าหน้าเธอมีตราประทับว่า ‘แรด’ คนบ้านนี้ถึงต้องคอยระมัดระวังนายน้อยของตนจนเกือบจะกลายเป็นหวาดระแวง

คิดไปคิดมา ใช้ความระแวงให้เป็นประโยชน์บ้างก็ดีเหมือนกัน

“ก็ได้ ถ้าไม่ตามให้ ฉันไปหาพี่อาทิตย์เอง เขาอยู่ที่ห้องนอนใช่หรือเปล่า” เธอแกล้งถาม และก็ได้ผลดังคาด เพราะมันทำให้ทั้งป้าทั้งหลานตวัดสายตาวาววับมามองเธอ

วันฟ้าใหม่ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรกับแววตาดังกล่าว “ไปดีกว่า”

“ไม่ต้อง!” มะปรางประกาศเสียงเข้ม หล่อนถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินกระแทกเท้ามาหยุดตรงหน้าศัตรู ยังจำเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่คนตรงหน้าย่องเข้าห้องเจ้านายได้ดีว่ามันนำมาซึ่งความวินาศสันตะโรแค่ไหน “ฉันจะไปบอกนายอาทิตย์ให้ก็ได้ว่าเธอมาหา แต่เตรียมตัวผิดหวังกลับบ้านไปได้เลย เพราะใครๆ ก็รู้ว่านายไม่อยากเห็นหน้าเธอ ไม่มีทางออกมาเจอเธอแน่ๆ”

“ขอบใจนะ ฉันจะรออยู่ที่ระเบียง”

วันฟ้าใหม่ยิ้มแล้วหันหลังเดินออกไป มะปรางพูดถูกที่บอกว่าหน้าเธอหนา เพราะเธอทนต่อคำถากถางได้มากชนิดที่คนด่าต้องหยุดด่าเพราะเหนื่อยไปเอง เธอเตรียมใจเตรียมกายฝึกวิทยายุทธ์มาอย่างดีก่อนมาที่นี่

หัวใจเธอแข็งแกร่งดั่งหินผา ทว่า...ร่างกายไม่ทนต่อความเจ็บปวดทุกชนิด ฉะนั้น ด่าได้แต่อย่าทำร้ายร่างกายกันเท่านั้นพอ

 

แทนที่มะปรางจะไปบอกกับอาทิตย์เรื่องที่วันฟ้าใหม่มาขอพบ กลับกลายเป็นเข้าไปรายงานกับทับทิมแทน นายหญิงแห่งไร่ตะวันฉายต้องเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้รับรายงานจากคนรับใช้ที่มีความจริงอยู่ครึ่งและใส่สีตีไข่อีกครึ่ง

“นายหญิงขา แม่นั่นยังบอกอีกนะคะ ว่าถ้าหนูไม่ไปตามนายอาทิตย์ให้หล่อนจะเข้าไปหาถึงห้องเอง ไม่ว่ายังไงก็จะเอานายอาทิตย์เป็นผัวให้ได้”

“ยายเด็กนั่นกล้าพูดแบบนั้นเชียวเหรอ” ทับทิมยกมือทาบอก ใจเต้นโครมครามด้วยโกรธระคนวิตก นางสวดมนต์ทุกวันให้สามีเลิกคิดเรื่องคลุมถุงชนลูกชายกับเด็กนิสัยเสียคนนี้ ผ่านไปหลายปีก็คิดว่าคำอธิษฐานเป็นผล แต่เปล่าเลย...มันแค่เป็นการยืดเวลาออกไปเท่านั้นเอง

“เราต้องหาวิธีทำให้แม่นั่นกระเด็นออกไปจากไร่นะคะ ไม่อย่างนั้นนายอาทิตย์อาจจะไม่รอดแน่ค่ะ”

“ลูกชายฉันไม่มีทางคว้าแม่นั่นมาเป็นเมียหรอกย่ะ”

“แต่ถ้าเกิดวันไหนนายพลาดอีกล่ะคะ แล้วคราวนี้มันเลยเถิดไปไกลกว่าครั้งก่อนจะทำยังไง นายหญิงก็เห็นว่านังแป้งกลับมาคราวนี้เป็นสาวสวยเต็มตัว ทั้งขาวทั้งอวบ เกิดนายหน้ามืดตามัว...แล้ว...”

“หยุดพูดเลยนังปราง” ทับทิมอยากจะหาอะไรอุดปากเด็กรับใช้ช่างพูดนัก แค่คิดเธอก็ขนลุกไปทั้งตัว “ผู้หญิงที่เหมาะสมคู่ควรกับตาอาทิตย์คือหนูนาง ทั้งสวยทั้งฉลาด เรียบร้อย น่ารัก ตาอาทิตย์จะตาบอดคว้ากรวดแทนที่จะคว้าเพชรได้ยังไง แกไม่ต้องไปตามตาอาทิตย์เลย ฉันจะไปคุยกับแม่นั่นเอง” ทับทิมบอกก็ผลุนผลันลุกออกไปอย่างรวดเร็ว

มะปรางทำหน้าตื่นรีบเดินตามไปติดๆ หวังจะได้ทันดูชอตเด็ดนาทีที่วันฟ้าใหม่ต้องกระเด็นออกจากไร่ตะวันฉายไป

 

วันฟ้าใหม่นึกอยู่แล้วว่ามะปรางต้องไม่ไปตามอาทิตย์ให้ตามที่เธอร้องขอ หญิงสาวเผลอถอนหายใจเมื่อเห็นใบหน้าของทับทิมที่เรียบตึงเหมือนเพิ่งฉีดโบทอกซ์

ร่างบางลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม “สวัสดีค่ะคุณป้า”

“กองไว้ตรงนั้นแหละย่ะ”

โอ้โห! ไม่ได้พบกันแค่สี่ปี ทับทิมผู้แสนสุภาพพัฒนาวาจาได้ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ

อันที่จริงเมื่อตอนที่เธอยังเรียนมหาวิทยาลัย ครองประทีปก็เคยเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกันว่าภรรยาของตนปากร้ายขึ้นมาก นัยว่าเพราะแต่ก่อนต้องลับฝีปากกับเธอบ่อยๆ จนติดนิสัยปากร้ายมาด้วย เรื่องนี้ทำให้เธอคิดถึงหลายเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้

‘นั่นถือข้าวของ จะเอาไปไหนกันหรือ’ ทับทิมร้องถามเมื่อเห็นว่าวันฟ้าใหม่ถือถาดนมและขนมผ่านหน้าไป

‘แป้งจะเอานมไปให้พี่อาทิตย์ค่ะ’ วันฟ้าใหม่บอกพลางทำหน้าเหนื่อยหน่ายเพราะรู้ว่าต้องโดนสกัดดาวรุ่งอีกแน่

‘ไม่ต้องเลยนะ พี่เขาสั่งไว้ว่าไม่ให้ใครเข้าไปกวน’

‘ดึกแล้ว คนอายุอย่างคุณป้าน่าจะเอาเวลานี้ไปสวดมนต์ทำสมาธิไม่ดีกว่าหรือคะ มานั่งเฝ้าลูกชายอยู่ได้ ขอตัวนะคะ’

คิดแล้ววันฟ้าใหม่ก็อยากจะกลับไปตบปากตัวเองในตอนนั้นนัก เธอต้องมีปัญหากับคนอื่นไปทั่วเพราะต้องการครอบครองผู้ชายที่ชื่อ อาทิตย์ สุริยะสกุล ลูกชายคนเดียวของบ้านนี้ที่มีคนคอยห่วงคอยหวงหนักหนา

เพราะตอนนั้นเธอยังไม่รู้จักโลกนี้มากพอ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วยังมีผู้ชายอีกมากที่เหมาะกับเธอ ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งให้ได้ผู้ชายคนนี้มาเพียงเพราะคิดว่าไม่มีใครดีเท่าเขา

ความไม่รู้...เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะโดยแท้

“กลับไปได้แล้ว อาทิตย์ไม่ต้องการพบเธอ”

“คุณป้าคะ แป้งขอเวลาแค่ห้านาที แป้งมีธุระกับพี่อาทิตย์น่ะค่ะ”

“โกหก อย่างเธอหรือจะมีเรื่องงาน ที่อ้างโน่นอ้างนี่ก็แค่อยากจะอ่อยลูกชายฉันเท่านั้นแหละ ทำไมหรือวันฟ้าใหม่ ที่กรุงเทพฯ มันไม่มีใครถูกใจเธอหรือยังไง ถึงได้ตามรังควานลูกชายฉันไม่เลิก” ทับทิมกล่าวเสียงแข็ง แววตาที่มองมีแต่ความเป็นปรปักษ์

วันฟ้าใหม่อยากจะขอถอนคำพูดเรื่องที่เธอบอกว่าอดทนต่อคำถากถางได้มากพอ ตอนนั้นเธอเริ่มสะเทือนแล้วเพราะรับรู้ถึงความเกลียดชังอันมากล้นจากหญิงตรงหน้า

เธอรู้ว่าทับทิมก็คับแค้นใจมากไม่แพ้ความเจ็บแค้นที่อาทิตย์มี หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะครั้งหนึ่งเคยเกือบเสียลูกชายไปเพราะเธอ จริงอยู่ว่าเธอไม่ใช่คนไปขวางรถให้คว่ำ หรือขับรถพาเขาไปประสบอุบัติเหตุ แต่ต้นเหตุก็เป็นเพราะเธออยู่ดี

แต่ทุกคนไม่เคยรู้ว่า...เธอเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่ากัน

“คุณป้าคะ แป้งอยากขอโทษสำหรับทุกๆ เรื่องที่แป้งเคยทำไม่ดีกับคุณป้าเอาไว้” วันฟ้าใหม่ยกมือไหว้หญิงสูงวัยอีกครั้ง แต่ก็ยังได้รับความเมินเฉย

“ไม่ต้อง เธอก็อยู่ส่วนเธอ ฉันก็อยู่ส่วนฉัน ไม่จำเป็นต้องมาญาติดีกันหรอก ฉันทำใจยอมรับเธอไม่ได้จริงๆ ขอร้องเถอะนะ อย่ามาทำอะไรให้มันแย่ลงไปเลย”

วันฟ้าใหม่รับฟังทุกถ้อยคำด้วยความสะเทือนใจ ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปว่าเธอเสียใจเรื่องที่อาทิตย์กับพนิตนันท์กำลังรักกัน แต่เธอจะพูดอย่างไรดีว่าจริงๆ แล้วเรื่องนั้นไม่ได้กระทบกระเทือนความรู้สึกของเธอเลย ในใจของเธอมีแต่ความรู้สึกผิด ความละอายใจ ตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการกลับมาเพื่อทำสวนกล้วยไม้นั้นเป็นการตอบแทนคุณหรือทำให้ทุกอย่างแย่ลงกว่าเดิมกันแน่ ครอบครัวของครองประทีปกำลังมีความสุข ไม่ควรเลยที่จะต้องมาหวาดระแวงเพราะเธอ

“งั้นแป้งขอตัวก่อนนะคะ” เธอจนใจที่จะพูดหรืออธิบายอะไร เพราะรู้แก่ใจว่าคำพูดจากคนอย่างเธอมันยากที่จะเชื่อถือ

หญิงสาวยกมือปาดน้ำตาเพราะดันเผลอไปคิดถึงพ่อเข้า หากจะมีใครสักคนที่พร้อมจะให้อภัยเธอไม่ว่าเธอจะทำผิดมากเพียงใด คนคนนั้นก็คงมีแค่พ่อคนเดียว ซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้ว

วันฟ้าใหม่ก้มหน้าเช็ดน้ำตา ตั้งท่าจะเดินออกจากบ้านไป แต่พอก้าวเท้าก็ต้องปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคน

หญิงสาวชะงักไปก่อนเงยหน้าขึ้นมา และพบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังมองเธออยู่

“พี่อาทิตย์” เธอเรียกเขาแล้วก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ

“เป็นอะไร” เขาถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังร้องไห้ เธอไม่ตอบเขาจึงเลื่อนสายตาไปมองหน้ามารดา

“อย่าไปสนใจเลยอาทิตย์ เด็กเลี้ยงแกะคงอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่ลืมไปว่าคนที่นี่ไม่ใช่ครอบครัวของเธอ จะเรียกร้องอะไรก็ดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง”

วันฟ้าใหม่เช็ดน้ำตาอีกรอบ เอากับเขาสิ...ทำอะไรก็โดนมันทั้งขึ้นทั้งล่อง

“แป้งกราบขอโทษคุณป้าอีกครั้งนะคะ ขอตัวกลับแล้วค่ะ”

หญิงสาวหมุนตัวจะกลับเพราะขืนอยู่ไปก็รังแต่จะถูกค่อนแคะถากถาง อยู่นานกว่านี้อีกนิดคาดว่าเลือดเธอคงหมดตัว

“เดี๋ยว!” อาทิตย์คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนแบบบางของวันฟ้าใหม่

คนถูกคุกคามตกใจหน้าซีดเผือด สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความร้อนจากมือหนาที่ส่งมายังผิวเนื้อบอบบาง หญิงสาวสะบัดมือเขาแล้วรีบถดกายหนีจนร่างไปชิดกับขอบระเบียง แววตาตื่นตระหนก

“นี่เธอเป็นอะไรของเธอ”

“อย่ามาแตะตัวแป้งนะคะ แป้งสู้จริงๆ ด้วย” หญิงสาวมองอีกฝ่ายตาเขียว สองมือโอบกอดตัวเองไว้ราวกับว่ามันสามารถปกป้องตัวเองได้

อาทิตย์ไม่พูดอะไรนอกจากมองใบหน้าซีดของหญิงสาวด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ใช่แค่เขา ทั้งทับทิมและมะปรางก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน

วันฟ้าใหม่ก้าวถอยหลังช้าๆ ก่อนหมุนตัววิ่งลงบันไดไปทันที

 

“แปลกมากจริงๆ เลยค่ะคุณ แค่อาทิตย์จับตัวนิดเดียวก็ทำท่าเหมือนจะถูกเอาไปต้มยำทำแกง”

ทับทิมกล่าวขึ้นกลางห้องนั่งเล่น หลังจากที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ครองประทีปฟัง แต่นายใหญ่แห่งไร่ตะวันฉายหาได้มีทีท่าแปลกใจไม่ เขารู้ดีว่าจริงๆ แล้ววันฟ้าใหม่เป็นอย่างไร ดีเหมือนกัน...ไม่อยากให้เข้าใกล้นักก็กลัวไปเลย จะได้สบายใจว่าวันฟ้าใหม่จะอยากได้ลูกชายบ้านนี้เป็นสามีอีก

“หนูแป้งเขาต้องกลัวน่ะถูกแล้ว ก็เจ้าอาทิตย์มันทำหน้าอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแบบนั้น ไม่กลัวสิแปลก”

“กลัวเกินไปหรือเปล่าครับพ่อ ยืนตัวลีบจนกลัวว่ากระดูกจะผิดรูปเอาได้” อาทิตย์รู้ว่าตนขู่หญิงสาวเอาไว้มาก และปรารถนาให้เธอกลัว แต่วันฟ้าใหม่โตขนาดนี้น่าจะแยกแยะได้ว่าขู่หรือเอาจริง นี่กลัวเขาเหมือนกลัวยักษ์กลัวมาร

“กลัวก็ดีแล้ว เขาจะได้อยู่ห่างๆ แก ไม่ต้องกังวลว่าน้องคิดจะจับแกทำผัวอีก ไม่ดีหรือไง”

“มันดีอยู่แล้วครับพ่อ แต่วางใจไม่ได้” อาทิตย์พูดตามที่คิด “ทะเลสงบเพื่อหลีกทางให้พายุ”

“นี่แกคิดว่าผู้หญิงหน้าซื่อๆ อย่างหนูแป้งจะกลายเป็นพายุได้หรือ” อาทิตย์คงไม่รู้ว่าในชีวิตจริงวันฟ้าใหม่กลัวพายุมากเพียงใด เมื่อไรที่เกิดฝนฟ้าคะนอง วันนั้นละหายนะของเธอเลย

“ตอนนี้อาจจะดูซื่อ แต่เมื่อก่อนไม่ใช่ พ่อไม่คิดว่าแปลกหรือครับ พฤติกรรมของคนเราจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้นไปได้ยังไง อย่างกับคนละคน มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ”

ครองประทีปยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบพลางคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ วันฟ้าใหม่คนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เป็นวันฟ้าใหม่คนเดิมที่บาดแผลจากเรื่องเลวร้ายในชีวิตหายดีแล้วต่างหาก ส่วนใครอยากจะเข้าใจเธอนั้นคงจะฟังจากคำพูดเขาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลองที่จะเรียนรู้ดูเองว่าแท้จริงแล้ว...เธอเป็นอย่างไร

“คนเราก็ต้องรู้จักปรับตัว ถ้าหนูแป้งเขากลับตัวกลับใจได้ ไม่มีนิสัยเหมือนก่อน เราทุกคนก็ควรจะให้อภัย การให้อภัยเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ จริงไหมคุณทับทิม” ครองประทีปหันไปพูดกับภรรยา ทับทิมศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา เขาทราบในข้อนั้นดี และหากเขายกเรื่องนี้มาพูดก็คงพอจะเปลี่ยนความคิดของภรรยาได้บ้าง

“แต่อย่างที่ลูกบอก ฉันเห็นหน้าแล้วใจคอไม่ค่อยดี นึกกลัวว่าเธอจะมีแผนร้ายอะไรหรือเปล่า”

“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่นะ แต่อย่างน้อยก็อย่าลืมว่าหนูแป้งเป็นเด็กกำพร้า ชีวิตไม่เหลือใครแล้วนอกจากพวกเรา และเราเองที่มีวันนี้ได้ ไม่ต้องลำบากตรากตรำหาเช้ากินค่ำก็เพราะความช่วยเหลือจากคุณธราเทพพ่อของเขา อย่าให้ผมตายไปสู้หน้าคุณธราเทพไม่ได้เลย ช่วยเหลือเด็กกำพร้าเด็กด้อยโอกาสมานับร้อยนับพันยังช่วยได้ กับคนที่มีพระคุณต่อบ้านเราก็อย่าแล้งน้ำใจกันนักเลย”

คราวนี้อาทิตย์และทับทิมพูดไม่ออก ที่ครองประทีปกล่าวมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ต่อให้เกลียดอย่างไร ครอบครัวสุริยะสกุลก็คงผลักไสวันฟ้าใหม่ออกไปไม่ได้อยู่ดี

 

วันฟ้าใหม่ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่รินไหลไม่หยุด เธออยากหายตัวไปจากที่นี่วันนี้พรุ่งนี้ ติดอยู่อย่างเดียว

...ตรงที่เธอไม่มีที่ไป

แต่ถึงเธอจะมีที่ไป เธอก็ทิ้งสวนกล้วยไม้ไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเธอจะไม่มีวันเห็นคุณค่าในตัวเอง

‘อดทนนะลูก ลูกพ่อไม่ต้องเก่งมาก แต่ต้องมีความอดทนให้มาก ผลลัพธ์จากความอดทนมันหอมหวานกว่าอะไรทั้งหมด สวนดอกไม้จะสวยได้ยังต้องใช้เวลาเลยใช่ไหม’

คำสอนของพ่อเคยหล่อเลี้ยงชีวิตเธอ แต่มันกลับไม่เคยย้อนไปสอนตัวพ่อเองเลย ขนาดคนพูดยังไม่อดทน แล้วคนฟังอย่างเธอจะทนไปเพื่ออะไร

ถึงวันนี้หากธราเทพมีความอดทนอย่างที่พูด เขาคงไม่ฆ่าตัวตาย

วันฟ้าใหม่คิดไม่ตก สุดท้ายจึงรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือก พ่อทิ้งเธอไป แต่ครองประทีปไม่เคยปล่อยมือจากเธอ เธอคงต้องอยู่ต่อเพื่อทำตามสัญญา

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก หันไปหยิบกระดาษเขียนแบบออกมากางแล้วเริ่มทำงานต่อจากที่ค้างไว้ เธอปรึกษากับครองประทีปถึงเรื่องการเพาะกล้วยไม้โดยใช้วิธีการเพาะเมล็ด ดังนั้นจึงต้องมีห้องปลอดเชื้อ เธอเขียนข้อความลงในสมุดบันทึก แต่ไม่ทันไรเสียงร้องไห้ของเด็กก็ดึงความสนใจไปจากเธอ

วันฟ้าใหม่เดินออกมาที่ระเบียงบ้าน มองหาต้นเสียงไม่นานก็พบกับเจ้าของเสียงร้องไห้อันน่าสงสาร

“ยายเด็กแสบมะยมกับนายมะเดี่ยวนี่เอง ร้องไห้กับเขาเป็นเหมือนกันเหรอ” วันฟ้าใหม่ย่นจมูก เพราะเธอเคยเจอฤทธิ์เด็กแสบสองพี่น้องนี้มาแล้ว

ถึงแม้จะหมั่นไส้อยู่พอแรง แต่นางงามรักเด็ก รักธรรมชาติ และรักโลกอย่างวันฟ้าใหม่ก็อดเดินไปดูให้แน่ใจไม่ได้ว่าเด็กน้อยเป็นอะไร เหตุใดจึงร้องไห้หนักเพียงนั้น ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งรับรู้ว่าเจ้าของเสียงโฮนั้นกำลังเสียใจมากเพียงใด

“มะยมเป็นอะไรไปเหรอ”

ภาพที่เห็นคือมะเดี่ยวกำลังนั่งมองน้องสาวตัวเองร้องไห้อยู่ห่างๆ แบบห่วงๆ วันฟ้าใหม่เดาสาเหตุว่าอาจจะมีเรื่องทะเลาะกัน แย่งของเล่น หรือผิดใจกันตามประสาเด็กๆ แต่คำตอบของเด็กประถมผู้เป็นพี่ชายกลับทำให้เธอถึงกับอึ้งไป

“มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี พูดไปก็ไม่เข้าใจหรอก”

“ศักดิ์ศรีเหรอ”

วันฟ้าใหม่แน่ใจว่าสีหน้าของตัวเองต้องผิดปกติไปจากเดิมมาก เธอมั่นใจแล้วว่าครอบครัวเด็กสองคนนี้ต้องติดละครหลังข่าวแน่ๆ ลูกถึงได้เลียนแบบพฤติกรรมมามากขนาดนี้

“ฮือ...” มะยมร้องไห้หนักขึ้นอีกเมื่อพี่ชายพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรี

วันฟ้าใหม่ทำตาโตมองเด็กหญิงที่ใบหน้าเลอะไปด้วยคราบน้ำตา ในใจลังเลว่าจะหันหลังกลับหรือจะอยู่ต่อดี แต่สุดท้ายแล้วบทสนทนาของสองพี่น้องก็เปรียบเหมือนเชือกรัดขาเธอไว้

“แม่ใจร้าย แม่ไม่รักมะยม แม่ใจร้ายใจดำ”

“แม่รักมะยมนะ แต่แม่ไม่มีเงินใช้กับเรื่องฟุ่มเฟือย”

“แต่มะยมอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์นี่ เค้กก็ยังได้เป็นเลยด้วย”

“เอาไว้พี่โตขึ้นพี่จะซื้อชุดสวยๆ ให้มะยมนะ”

“ไม่เอา จะเอาตอนนี้ ฮือ...”

ผู้ใหญ่หนึ่งเดียวในที่นั้นพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้วว่า ที่เด็กมะยมร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่านั้นเพราะเหตุใด เธอเข้าใจเด็กผู้หญิงอย่างมะยมดี ตอนเด็กๆ เธอก็ได้รับเลือกให้ใส่ชุดสวยๆ ทำการแสดงบ่อยเหมือนกัน ความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งมันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แต่อาจจะต่างกันตรงที่เธอมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะร่วมทุกกิจกรรมของโรงเรียน ที่แปลกใจก็คือเหตุใดบ้านของมะยมจึงไม่มีเงินเพียงพอสำหรับชุดเชียร์ลีดเดอร์ของเด็ก ป. หนึ่ง

“เอาละ เงียบได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะซื้อชุดเชียร์ลีดเดอร์ให้เธอเอง”

ราวกับปิดสวิตช์ มะยมที่แหกปากร้องไห้อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเงียบลงทันที นัยน์ตาใสที่เอ่อล้นไปด้วยคราบน้ำตามองวันฟ้าใหม่อย่างมีความหวัง

“แม่เราบอกว่าตัวเป็นผู้หญิงนิสัยไม่ดี นายอาทิตย์ก็ไม่ชอบตัว”

“งั้นเหรอ ถ้าเธอไม่ชอบหน้าฉันก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันไปก็ได้” วันฟ้าใหม่แกล้งจะเดินกลับ

เด็กหญิงมะยมที่นั่งจุมปุ๊กอยู่บนม้านั่งทำหน้าตื่น รีบกระโดดลงมาขวาง “เดี๋ยวสิ เราจะยอมให้ตัวซื้อชุดให้เราก็ได้”

วันฟ้าใหม่แทบจะปั้นหน้าไม่ถูก สรุปว่าเธอมีน้ำใจหรือสะเหล่อเกินไปกันแน่ เด็กมะยมคนนี้เธอยกให้เป็นเด็กแสบประจำปีสองพันสิบแปดเลย

“แม่เธออยู่ไหน ฉันจะเข้าไปคุยด้วย”

 

วันฟ้าใหม่เดินตามเด็กทั้งสองไปยังทางเดินอันทอดยาวสู่บริเวณบ้านพักคนงาน ลักษณะเป็นห้องแถวสองชั้น แบ่งออกเป็นสิบห้อง ไร่ตะวันฉายมีบ้านพักลักษณะนี้อยู่หกหลัง วันฟ้าใหม่เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ลักษณะภายนอกดูสะอาดสะอ้านดีแม้ว่าจะมีคนอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก

หญิงสาวไม่มีเวลาสำรวจสถานที่มากนักเพราะขณะที่เธอเดินผ่านห้องพักแต่ละห้อง ก็มีตาหลายคู่มองมาราวกับเธอเป็นตัวประหลาด บ้านพักคนงานแห่งนี้เป็นที่พักของคนเก่าแก่ที่อยู่มานาน ทุกคนล้วนแต่รู้จักเธอ และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้วีรกรรมของเธอเป็นอย่างดีเช่นกัน

“นี่คุณ ทำอะไรลูกฉันเนี่ย”

เพราะมัวแต่สนใจสายตาคนอื่นอยู่ วันฟ้าใหม่จึงไม่ทันรู้ตัวว่าเดินมาหยุดที่บ้านของมะเดี่ยวและมะยมแล้ว ทิพวรรณเห็นใบหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาของลูกสาวก็รีบคว้าตัวลูกทั้งสองมาชิดตัว และมองผู้มาเยือนอย่างไม่ไว้วางใจ

วันฟ้าใหม่ตกใจจนหน้าซีดเมื่อถูกตวาดเสียงดัง เธอยืนตัวแข็งทื่อพูดไม่ออกไปสักยี่สิบวินาทีได้กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ

“คือ...ฉันเปล่าทำอะไรนะ แค่อยากคุยกับแม่ของสองคนนี้ ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วมะเดี่ยวกับมะยมเป็นลูกของพี่ทิพนี่เอง”

ทิพวรรณงงไปเล็กน้อยที่เห็นว่าวันฟ้าใหม่จำตนได้ ซ้ำยังพูดจาเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ก่อนนั้นหลานสาวของนายใหญ่ไม่เคยยิ้ม ไม่เคยพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับคนรอบข้าง หากจำเป็นต้องพูดก็จะพูดแต่น้อยคำ ตัวนางเองยังไม่แน่ใจด้วยว่าเคยสนทนาพาทีกับวันฟ้าใหม่สักคำหรือไม่ รู้แค่ว่าหญิงผู้นี้เคยหวังจับนายน้อยของตนจนทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตมาแล้ว ชาวไร่ตะวันฉายก่นด่ากันไปเป็นปีเรื่องที่สาวเจ้าเข้าไปปล้ำนายถึงในห้องนอน เรื่องปล้ำนั้นสำเร็จหรือไม่ต่างก็พูดกันไปคนละทางสองทาง แต่ที่แน่ๆ นายน้อยของพวกนางเสียใจมากถึงขนาดขับรถออกจากไร่ไปประสบอุบัติเหตุเกือบตาย

ผู้หญิงคนนี้แค่เห็นหน้าก็เหมือนมีป้ายติดเตือนว่า ‘ห้ามเข้าใกล้’ แล้ว

“ลูกของฉันเองค่ะ ไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว แกสองคนก็เหมือนกัน บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้า”

วันฟ้าใหม่หน้าชาไปอีกระลอก ถึงเธอจะไม่ได้สนิทสนมกับคนงานในไร่ แต่เธอก็เคยอยู่ที่นี่ตั้งสามปี ไม่คิดเลยว่าศักดิ์ศรีของหลานสาวเจ้าของไร่จะไร้ความหมาย

ทิพวรรณคว้าแขนลูกทั้งสองก่อนจะดึงเข้าบ้าน แต่มะยมรั้งตัวไว้เพราะยังปักใจกับชุดเชียร์ลีดเดอร์ เด็กน้อยหันไปมองวันฟ้าใหม่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ

วันฟ้าใหม่ไม่รู้จะทำอย่างไร อันที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอมาที่นี่เพื่อทำสวนกล้วยไม้ให้ครองประทีป เสร็จแล้วก็ต้องไปไม่ควรเสียเวลาแวะทำโน่นนี่ระหว่างทาง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้จริงๆ

“พี่ทิพคะ แม่ของพี่ทิพเป็นยังไงบ้าง หายป่วยหรือยัง”

หญิงสาวตั้งใจจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพื่อรั้งให้ทิพวรรณอยู่คุยกับตนก่อน แต่ไม่คิดเลยว่าคำถามของเธอจะแทงใจดำคนฟังอย่างรุนแรงจนทิพวรรณหันมามองหน้าเธอทั้งน้ำตา

“คุณรู้เหรอ”

“รู้สิ ฉันจำได้ว่าแม่ของพี่ป่วยเป็นโรคไต อาการดีขึ้นไหม”

“คุณจำได้” เสียงนั้นอ่อนลง แต่น้ำตาไหลหนักขึ้นจนถึงกับสะอื้นตัวโยน

วันฟ้าใหม่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่ทิพวรรณกำลังเผชิญ เธอเดินเข้าไปใกล้ ถามด้วยเสียงแผ่วเบาจริงใจ “พี่มีอะไรให้ฉันช่วยมั้ย ฉันช่วยได้นะ”

 

ตอนแรกตั้งใจจะไปช่วยลูก สุดท้ายได้ช่วยแม่

วันฟ้าใหม่คิดแค่นั้นก็ทิ้งศีรษะลงกับหมอน ครอบครัวของทิพวรรณน่าสงสารจริงๆ เธอจำได้ว่าเมื่อตอนที่ตนเรียนอยู่ ม. ห้า ทิพวรรณเคยมาขอความช่วยเหลือจากครองประทีปเรื่องที่มารดาป่วยเป็นโรคไตระยะแรก ค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง ตอนนั้นเธอไม่ได้พูดหรือแสดงความใส่ใจใดๆ เลยก็จริง แต่แท้จริงแล้วเธอสนใจเอามากๆ มนุษย์เกิดมามีพ่อแม่แค่คนเดียว หากเสียไปแล้วก็ไม่ต่างจากถูกตัดแขนขา ไม่มีวันงอกขึ้นมาใหม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ลูกทุกคนจะกลัวการเสียพ่อแม่ไป

เธอภาวนาขอให้มารดาของทิพวรรณปลอดภัย แต่ผ่านไปหลายปี ไม่คิดว่าการรักษาจะไม่ได้ผลดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับแย่ลงเกินกว่าจะรักษาให้หาย ซ้ำยังต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่าเจ้าของไร่แห่งนี้จะใจกว้างดั่งแม่น้ำก็คงไม่สามารถดูแลพนักงานในไร่ที่มีร่วมสองร้อยคนได้อย่างทั่วถึง นางจึงต้องอยู่อย่างยากลำบากมาตลอด เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ต้องเอาไปทุ่มเทกับการรักษามารดาทั้งหมด มะเดี่ยวกับมะยมจึงต้องลำบากไปด้วย

เธอช่วยค่าฟอกไตด้วยเงินจำนวนหนึ่ง และสัญญาว่าจะดูแลเรื่องชุดเชียร์ลีดเดอร์ในงานวันสถาปนาโรงเรียนของเด็กทั้งสอง ทิพวรรณซาบซึ้งใจ ไม่คิดว่าจะได้รับน้ำใจไมตรีจากผู้หญิงที่นางตั้งป้อมรังเกียจ ท่าทีแข็งกระด้างในคราแรกจึงอ่อนลง

กระนั้นวันฟ้าใหม่ก็ยังเป็นกังวลว่าเงินของตนนั้นช่วยค่าฟอกไตได้เพียงแค่ครั้งเดียว ครั้งต่อไปทิพวรรณจะต้องลำบากอีกเช่นเดิม

หากอาทิตย์รู้เรื่องนี้ เธอเชื่อว่าเขาจะต้องไม่ปล่อยให้ทิพวรรณลำบากแน่ เขาจะต้องช่วยโดยไม่ลังเลเช่นเดียวกับที่เธอทำ และอาจช่วยได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่ยากคืออาทิตย์จะรับฟังเธอได้อย่างไร ในเมื่อเขาเกลียดเธอเข้ากระดูกดำ

คิดแล้วภาพใบหน้าเรียบเฉยติดเคร่งขรึมของเขาก็ลอยมา

ครั้งหนึ่งเธอเคยรักเขา เคยฝันว่าสักวันจะได้ร่วมหอลงโรงกับเขา และเชื่อเสมอว่าเขาจะทำให้แผลใจจากการสูญเสียครอบครัวไปทุเลาลงได้ แต่กลับกลายเป็นว่าอาทิตย์ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้แผลเก่าหายไป เขายังกลายเป็นแผลใหม่ที่รักษาไม่หายมาจนถึงทุกวันนี้ ในขณะที่แผลเดิมตกสะเก็ดไปนานแล้ว...มันคือแผลแห่งความรู้สึกผิด

สรุปก็คือ...เธออย่าไปยุ่งกับเขาเลยจะดีกว่า

 

“พรุ่งนี้จะเริ่มสร้างเรือนเพาะชำได้”

วันฟ้าใหม่ฟังแล้วพยักหน้ายิ้มๆ เธอเดินตามชายสูงวัยไปตามทางเดินที่ทอดยาวผ่านแปลงองุ่น คนงานเห็นผู้เป็นนายก็หยุดภารกิจของตนแล้วยกมือไหว้ก่อนหันกลับไปทำงานต่อ ดังนั้นระหว่างการสนทนาทั้งคู่จึงต้องคอยหยุดรับไหว้อยู่นั่นเอง

“งั้นก็ดีแล้ว หนูอยากได้เจ้าพงษ์ เจ้าแก้ว เจ้าอ๊อดไปช่วยงานใช่ไหม พรุ่งนี้จะให้พวกมันไปหาก็แล้วกัน”

“ขอบพระคุณคุณลุงค่ะ” ระหว่างรอการอนุมัติจากฝ่ายงบประมาณ เธอค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจนมากพอที่จะลงมือแล้ว

“ลุงทำให้หนูต้องเหนื่อยหรือเปล่า” พอขี้เกียจรับไหว้ นายใหญ่แห่งไร่ตะวันฉายก็หยุดยืนคุยตรงนั้นเสียเลย

“เรื่องอะไรคะ”

“เรื่องที่ลุงขอให้หนูมาทำสวนกล้วยไม้ให้ คนวัยหนุ่มสาวมีสิ่งที่ต้องทำตั้งมากมาย สิ่งที่เป็นความฝันของหนู อันที่จริงลุงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากหนูเลยด้วยซ้ำ เพราะพ่อของหนูให้ลุงมามากพอแล้ว”

วันฟ้าใหม่ก้มหน้านิ่งคิด หากไม่มาที่นี่แล้ว ในหัวเธอก็ว่างเปล่า การได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน ซ้ำยังเป็นคนเดียวบนโลกที่ยังห่วงใยเธอย่อมดีกว่าการอยู่ไปวันๆ ฉะนั้นแล้วการทำสวนกล้วยไม้จึงเป็นประโยชน์กับเธอมากกว่าการไม่ทำอย่างแน่นอน

“คุณลุงทราบว่ามันจะดีกับแป้ง แป้งก็คิดแบบนั้นค่ะ”

สองลุงหลานจ้องหน้ากันนิ่งอยู่หลายวินาที ก่อนทั้งคู่จะหัวเราะออกมา ในความคิดของครองประทีป ตอนนี้วันฟ้าใหม่คือลูกสาวของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ จึงไม่มีทางเลยที่จะรั้งหญิงสาวให้อยู่ที่นี่ได้ตลอดชีวิต เว้นเสียแต่ว่าวันฟ้าใหม่จะแต่งงานกับอาทิตย์ผู้เป็นลูกชายเขา ซึ่งเรื่องนั้นหมดหวังไปแล้ว

เสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ

“ขอบใจหนูมาก ที่เชื่อใจลุง”

“มันดีกับแป้ง แต่แป้งกลัวว่าจะไม่ดีกับคุณลุงน่ะสิคะ เพราะไม่แน่ว่ามันอาจจะพังเละ ไม่เป็นสวนกล้วยไม้แบบที่คุณลุงหวัง แต่อาจจะกลายเป็นสวนกล้วยน้ำว้าแทน”

ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกัน คนงานที่ได้ยินก็พลอยขำตามไปด้วย ถ้าสวนกล้วยไม้กลายเป็นสวนกล้วยน้ำว้าก็คงดูไม่จืด

“ไม่ต้องกลัว ลุงจะให้พี่อาทิตย์เขาช่วย เจ้านั่นมันเก่ง ไม่มีอะไรที่ทำไม่สำเร็จ” แม้หมดหวังไปเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังหวังว่าทั้งสองจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ เขาอยากให้วันฟ้าใหม่สบายใจและต้องการอยู่ที่นี่ต่อไป

รอยยิ้มบนใบหน้าวันฟ้าใหม่ค่อยๆ จางหายไป ครองประทีปคงไม่เข้าใจความเกลียดชังที่ลูกชายของเขามีต่อเธอ มันมากเกินกว่าที่จะเลือนหายไปง่ายๆ หรือไม่...ก็อาจจะไม่มีวันนั้นเลยด้วยซ้ำ

“อย่าให้พี่อาทิตย์ต้องลำบากใจค่ะ คุณลุงก็ทราบดี ระหว่างแป้งกับเขาเกิดอะไรขึ้น”

“ลุงจะพูดกับพี่อาทิตย์ให้เขาเข้าใจ”

“จะเข้าใจว่าอะไรล่ะคะ ที่แป้งทำ...มันเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้เลย” วันฟ้าใหม่บอกเสียงแผ่วเบาเพื่อให้ได้ยินกันสองคนกับครองประทีป

“เรื่องนี้ลุงก็มีส่วนผิด”

“มันผ่านไปแล้วค่ะ” วันฟ้าใหม่รีบพูด ไม่ต้องการให้รื้อฟื้นเรื่องเก่าที่เธอพยายามจะลืม เธอยิ้มกระจ่างให้ผู้เป็นลุงเหมือนว่าตนไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องที่ผ่านมา “เห็นแป้งเป็นแบบนี้ แป้งเก่งมากนะคะ ทำเองได้สบายมาก แล้วแป้งก็จะภูมิใจมากกว่าด้วย”

“มีปัญหาอะไรกันอีกล่ะสิ” ชายสูงวัยคาดเดาได้จากเรื่องที่อาทิตย์กับทับทิมเล่าให้ฟังเมื่อวาน “กลัวอะไรพี่เขานักหรือ ถ้ากลัว ลุงจะบอกให้แป้งได้รู้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า อาทิตย์มันชอบทำหน้าดุไปอย่างนั้นแหละ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว ยิ่งกลัวเจ้านั่นจะยิ่งได้ใจ”

“แป้งก็ไม่ได้กลัวนี่คะ แต่ถ้าคุณลุงจะหาคนมาช่วยแป้งทำงาน ขอคนหล่อๆ ได้มั้ยคะ”

“ลูกชายลุงมันไม่หล่อหรือ” ครองประทีปถามด้วยสีหน้าฉงน แต่นัยน์ตาระยิบระยับขบขัน

“ไม่เลยค่ะ เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้...ดูแก่ลงไปมาก ไม่เป๊กค่ะ” วันฟ้าใหม่บอกก่อนจะหัวเราะคิกคัก

ครองประทีปฟังแล้วอดหัวเราะตามไม่ได้ “เอาไว้ลุงจะรับสมัครผู้ช่วยให้ คัดหน้าตาเป็นพิเศษเลยนะ”

“ขอล่ำๆ กล้ามแน่นๆ ด้วยค่ะ”

ครองประทีปทำตาโตเมื่อได้ยินความประสงค์ของหลานสาว แต่ก็ยังยิ้มออกมาได้ด้วยความยินดีที่เห็นว่าสุขภาพจิตของเธอดีขึ้นมาก มือเหี่ยวย่นวางลงบนศีรษะของเธอแล้วโยกเบาๆ อย่างเอ็นดู ในใจอธิษฐานถึงธราเทพ

เขาอยากให้วันฟ้าใหม่อยู่ที่นี่ตลอดไปเหลือเกิน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น