177

ลอบสังหาร

หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ด

ลอบสังหาร

 

ซูลั่วเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนจะเห็นแสงสว่างวาบที่แสนจะบาดตา นางยกมือซ้ายขึ้นเพื่อปิดบังดวงตาเอาไว้ ตอนที่พินิจมองอีกครั้งถึงได้พบว่าที่แท้ประกายแสงเหล่านั้นมาจากคมมีดนั่นเอง!

ยามนี้เหนือศีรษะของซูลั่วเต็มไปด้วยคมมีดนับหมื่นที่ค้างอยู่กลางอากาศ และพร้อมจะกระหน่ำลงมาทุกเมื่อ! ใบหน้าของหญิงสาวขาวซีด หัวใจเต้นรัว เพราะนางรู้ดีว่าเวลานี้มิใช่เพียงการทดลองหรือเรื่องล้อเล่น แต่เป็นการทดสอบที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน!

หลังจากข่มขู่ให้ซูลั่วตระหนกตกใจได้แล้ว น้ำเสียงราบเรียบและเย็นชาของระบบก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าต้องตอบคำถามสามข้อภายในสามสิบนาที เริ่มคำถามข้อที่หนึ่ง”

“ใช้โอสถสามชนิดปรับโอสถจิตตะวันจันทราชั้นอาจารย์เป็นโอสถจิตกระจ่างชั้นอาจารย์ เริ่มได้”

ตอนที่คำถามดังขึ้น ซูลั่วยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ฉับพลันนั้นดวงตาของผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่อยู่ด้านนอกก็เป็นประกายวาบขึ้นมา คำถามนี้น่าสนใจยิ่งนัก

โอสถจิตตะวันจันทราชั้นอาจารย์ประกอบด้วยสมุนไพรหกสิบสามชนิด ขณะที่โอสถจิตกระจ่างชั้นอาจารย์ประกอบด้วยสมุนไพรเจ็ดสิบสามชนิด ซ้ำสรรพคุณของโอสถทั้งสองขนานก็ยังแตกต่างกันลิบลับ ชนิดแรกเป็นโอสถฟื้นฟูพลังจิต ชนิดหลังเป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บภายใน จะต้องใช้สมุนไพรเพียงสามชนิดเพื่อปรับโอสถจิตตะวันจันทราชั้นอาจารย์ให้เป็นโอสถจิตกระจ่าง

ความยากระดับนี้... เรียกว่าไม่ธรรมดา เพราะการทดสอบนี้เกี่ยวข้องกับความรู้เรื่องสรรพคุณของโอสถอย่างกว้างขวาง

การปรับเปลี่ยนโอสถสองชนิดนี้ประกอบด้วยตัวแปรนับพัน สำหรับผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์แล้ว การจะวิเคราะห์และศึกษาในคราเดียวกันนั้น โดยทั่วไปจำเป็นต้องใช้เวลาหลายวันหลายคืนกว่าจะสำเร็จลุล่วงได้

สงเทียนผิงเอ่ยขึ้น “ฮ่าๆๆ นังหนูผู้นั้นตะลึงงันไปเลยสิ โจทย์ข้อนี้ช่างซับซ้อนเสียจริง แม้แต่ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิมากประสบการณ์อย่างพวกเราเองก็เถิด ต่อให้ขจัดตัวแปรที่เป็นไปไม่ได้ออกส่วนหนึ่ง แต่ตัวแปรอีกมากมายนับร้อยที่เหลือก็ทำให้กระอักได้เลยทีเดียว”

หนิวหรูจื่อเอ่ยเสริม “เพราะเหตุนี้ผู้ปรุงโอสถที่ผ่านด่านหุบเจ้าสมุนไพร จึงได้รับการยกย่องนับถือมากกว่าผู้ปรุงโอสถทั่วไปอย่างไรเล่า ผู้ปรุงโอสถในระดับเดียวกันและผู้ปรุงโอสถที่ผ่านการทดสอบในด่านปกติยังต้องคารวะผู้ปรุงโอสถที่ผ่านด่านหุบเจ้าสมุนไพร”

หมี่ฟู่กุ้ยหัวเราะอย่างสำราญก่อนกล่าว “ฮ่าๆๆ ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องคารวะข้าน่ะสิ”

สงเทียนผิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ชิ เจ้าผ่านด่านหุบเจ้าสมุนไพรในชั้นปรมาจารย์เท่านั้น เจ้ากล้าเข้ารับการทดสอบในชั้นจักรพรรดิหรือ”

หมี่ฟู่กุ้ยขึงตาใส่สงเทียนผิง “พูดอะไรไม่พูด มาพูดเรื่องนี้ทำไมกัน พูดจาเป็นหรือไม่”

กงซุนจื้อหรูที่อยู่ในอาการปกติสุดเอ่ยบ้าง “พวกเจ้าคิดว่านังหนูผู้นี้จะผ่านด่านได้หรือไม่”

สงเทียนผิงได้ยินดังนั้นก็รีบกล่าว “ผู้เฒ่าซุน เจ้าล้อเล่นอะไรกัน นางจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไร เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว”

แม้หนิวหรูจื่อจะไม่เอ่ยคำใด แต่เขากลับโคลงศีรษะเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับสงเทียนผิง

หมี่ฟู่กุ้ยเองก็ส่ายหน้าเช่นกัน “ไม่ได้อยู่แล้ว มีคนเคยติดอยู่ที่ด่านชั้นอาจารย์ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ซ้ำนังหนูผู้นี้ก็ยังดวงกุดนัก มาเจอกับคำถามยากระดับนี้ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือรีบยอมแพ้ทันที ไม่เช่นนั้นหากคมมีดหมื่นเล่มกระหน่ำลงมาพร้อมกัน นังหนูคนงามมีหวังได้ถูกสับละเอียดเป็นแน่”

“ไฉนข้าถึงรู้สึกว่านางต้องผ่านได้แน่” ผู้ปรุงโอสถกงซุนลูบปลายคาง ขณะนึกถึงตอนที่ซูลั่วบรรยายวิธีการปรุงโอสถจิตอัคคีสีชาดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนหน้านี้

“หึๆ” ผู้ปรุงโอสถที่เหลือทั้งสามไม่เชื่อ

สงเทียนผิงลุกพรวดขึ้น “ไปได้แล้วๆ ต้องมามองนังหนูคนงามถูกสับเป็นชิ้นเนื้อต่อหน้าต่อตา แบบนี้โหดเหี้ยมเกินไป ข้าทนดูไม่ไหว”

ทว่าตอนนั้นเอง... ซูลั่วที่เดิมยืนนิ่งไม่ขยับ ก็ยกหางคิ้วขึ้นนิดๆ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ “เปลี่ยนโอสถจิตตะวันจันทราเป็นโอสถจิตกระจ่างจะยากตรงไหนกัน ก็แค่ต้องใช้ใบวิญญาณหมอกม่วงเป็นส่วนประกอบ จากนั้นก็ใส่สมุนไพรสองชนิด... ต้นไหมเทวะน้ำแข็งกับน้ำตาพระเกตุเข้าไปก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”

ตอนที่ซูลั่วเอ่ยสมุนไพรสามชนิดนี้ออกไป สงเทียนผิงที่ลุกขึ้นยืนก็ชะงักกึก “อ๊ะ! นังหนูผู้นี้ตอบถูก”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิอีกสามคนพยักหน้ารับ

เหนือศีรษะคือคมมีดนับหมื่นที่สาดรังสีสังหารคุกรุ่น สร้างความกดดันต่อจิตใจได้ไม่น้อย คำถามในด่านทดสอบนี้ต้องใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งสำหรับคิดวิเคราะห์ โดยทั่วไปแม้แต่ผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์สามัญก็ยังทดสอบไม่ผ่านด้วยซ้ำ ทว่าซูลั่วกลับผ่านด่านมาได้ เพราะเหตุนี้ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามจึงตกตะลึงไม่น้อย

“ต่อไปเริ่มคำถามข้อที่สอง…”

คำถามข้อที่สองซึ่งยากในความคิดของผู้อื่น ทว่าซูลั่วกลับตอบได้ถูกต้องด้วยอาการสงบนิ่ง

“น่าสนใจนัก” เวลานี้ผู้ปรุงโอสถอาวุโสทั้งสี่นั่งหลังตรง พลางจ้องมองซูลั่วที่อยู่ในฉากภาพไม่วางตา

ปากบอกว่าน่าสนใจ ซ้ำนัยน์ตาวับวาวของแต่ละคนยังเผยความมาดมั่นที่ซ่อนเร้นในใจออกมา

ยามนี้ผู้ปรุงโอสถกงซุนรู้สึกร้อนรนราวกับคนที่ยกหินทุ่มใส่เท้าตนเอง เขารู้ว่าซูลั่วโดดเด่น แต่คิดไม่ถึงว่านางจะโดดเด่นถึงขั้นนี้…

“นี่ ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ก่อน นังหนูผู้นี้ต้องมาเป็นศิษย์ของข้า พวกเจ้าห้ามแย่งตัวนางเด็ดขาด” ผู้ปรุงโอสถกงซุนชิงประกาศ

“นังหนูรู้แล้วหรือ”

“คารวะอาจารย์แล้วหรือ”

“นังหนูเห็นด้วยแล้วหรือ”

คำถามรุกไล่จากผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามทำให้ผู้ปรุงโอสถกงซุนถึงกับสะอึก

คุณชายฉู่มองท่านลุงของตนด้วยสีหน้าเห็นใจ ดูเถิด ก่อนหน้านี้แต่ละคนแสดงท่าทีอวดโอ้หยิ่งทะนง มาตอนนี้กลับแย่งกันรับซูลั่วเป็นศิษย์ ท่านลุงของเขาต้องเผชิญกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งถึงสามคน เฮ้อ...

“เหลือเวลาอีกสิบห้านาที เริ่มคำถามข้อที่สาม…” เสียงราบเรียบดังขึ้นอีกครั้ง

คำถามข้อที่สามยากกว่าคำถามสองข้อก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว! เป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีในระดับผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ ซ้ำยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร คมมีดหมื่นเล่มที่อยู่เหนือศีรษะซูลั่วก็ยิ่งเคลื่อนต่ำลงมาด้วยความเร็วคงที่

ติ๊กต็อก ติ๊กต็อก

เวลาผ่านไปทีละนิด คมมีดหมื่นเล่มก็เข้าใกล้ศีรษะซูลั่วมากขึ้นทุกที เพราะเหตุนี้เองหญิงสาวจึงสัมผัสได้ถึงรังสีดุดันหนักหน่วงที่แผ่ซ่านออกมาจากคมมีดมากมายเหล่านั้น

“คำถามนี้แม้แต่ผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ก็ยังนับว่ายากเต็มที” สงเทียนผิงนิ่วหน้า

หนิวหรูจื่อจ้องซูลั่วด้วยสายตาจริงจังพลางเอ่ยออกมาช้าๆ “ด่านทดสอบหุบเจ้าสมุนไพรมิใช่ด่านที่คนธรรมดาสามัญจะผ่านได้ หวังว่านังหนูจะยืนหยัดไหว ขอเพียงนางผ่านด่านนี้ ข้าจะรับนางไว้เป็นศิษย์เอง”

“ผู้เฒ่าหนิว ไม่ว่านางจะผ่านด่านนี้หรือไม่ ศิษย์ผู้นี้ต้องเป็นของข้า... ผู้เฒ่าหมี่ เจ้าห้ามแย่งข้า!”

ทว่าตอนที่คมมีดอยู่ห่างจากซูลั่วเพียงหนึ่งเมตร ซูลั่วก็ตอบคำถามข้อที่สามได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง

แปะๆๆ!

สงเทียนผิงปรบมือพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเหลือเกิน! ข้าจะรับนางเป็นศิษย์!”

หนิวหรูจื่อรีบเอ่ย “ศิษย์ผู้นี้เป็นของข้า”

หมี่ฟู่กุ้ยยอมไม่ได้จึงกล่าวบ้าง “นังหนูผู้เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ต้องทำให้โอสถพิษของข้าเกรียงไกรไปมากกว่านี้ได้แน่ พวกเจ้าอย่าชิงตัวนางไปจากข้า!”

กงซุนจื้อหรูแย้งขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าเป็นคนหมายตานังหนูผู้นี้ก่อน พวกเจ้าไม่ยึดถือหลักคุณธรรมน้ำมิตรแล้วหรือไร ถึงได้คิดจะแย่งตัวศิษย์ของข้า”

สงเทียนผิงเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจ “ไฉนนังหนูถึงต้องเป็นศิษย์ของเจ้าด้วย นางต้องเป็นศิษย์ของข้า!”

หนิวหรูจื่อกล่าวกับสงเทียนผิง “ผู้เฒ่าสง เจ้าอารมณ์ร้อนเกินไป จะทำให้นังหนูตกใจเสียเปล่าๆ”

“ผู้เฒ่าหนิว เจ้าก็ไม่ได้เหมือนกัน” สงเทียนผิงเริ่มโจมตีกลับ “เพราะเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์เกินไป!”

หมี่ฟู่กุ้ยรีบเอ่ยแทรก “เพราะฉะนั้นถึงต้องให้ข้ารับเป็นศิษย์อย่างไรเล่า ข้าเป็นถึงรองประมุขสมาคมเชียวนะ ต่อไปข้าจะยกตำแหน่งนี้ให้นาง”

“ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น ต่ำช้าหน้าไม่อาย ข้าคัดค้าน!” ผู้ปรุงโอสถสามคนที่เหลือเอ่ยออกมาพร้อมกัน เรื่องนี้จะยอมอ่อนข้อให้ไม่ได้เป็นอันขาด!

ซูลั่วยังไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น ขณะที่ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่กำลังทะเลาะกันใหญ่โตเรื่องแย่งรับนางเป็นศิษย์

คุณชายฉู่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ก่อนหน้านี้ไม่นานหญิงผู้นี้ยังไม่มีสถานะใดๆ เวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยามกระมัง นางกลับทำให้ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่แย่งชิงกันรับตัวนางไว้เป็นศิษย์! ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ซึ่งยามปกติวางตัวสูงศักดิ์ เข้าถึงยาก... เกือบจะลงมือกันเพราะหญิงสาวผู้นี้ หากเรื่องนี้… แพร่ออกไป ผู้คนภายในเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกลางต้องคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน!

สุดท้ายไม่ว่าใครจะรับนางไว้เป็นศิษย์ คุณชายฉู่ก็มั่นใจว่าหลังจากมีผู้หนุนหลังระดับนี้แล้ว แม้อาจจะไม่ถึงขั้นวางกร่างไปได้ทั่วทั้งจักรวรรดิกลาง แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้าข่มเหงนางอย่างแน่นอน

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่โต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ข้อสรุป จังหวะนี้คุณชายฉู่ก็เสนอขึ้น

“อย่างไรเสีย... รอให้นางออกมาก่อนแล้วค่อยเลือกเองว่าจะคารวะใครเป็นอาจารย์”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ซึ่งมีสถานะสูงส่งราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ถูกต้อง ถึงตอนนั้นค่อยให้นังหนูเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง!

ตกลงเช่นนี้ก็แล้วกัน

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ชะเง้อชะแง้รอให้ซูลั่วออกมาจากด่านทดสอบ ทว่ารอแล้วรอเล่าก็เห็นเพียงแค่ซูลั่วรับป้ายผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์เอาไว้ ทว่าไม่เห็นนางกลับออกมา ตอนที่พวกเขาเพ่งมองภาพฉากอีกครั้ง ทันใดนั้นก็พบว่า...

เส้นทางที่นังหนูกำลังก้าวเดินไปไม่ใช่ทางออกจากด่านทดสอบ นางกำลังจะบุกตะลุยด่านผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ!

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่มองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนไปแทบจะในทันที 

“ไม่ได้การ!”

“การทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์ยังอันตรายถึงเพียงนี้ ด่านผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ไม่อาสัญหรือไรกัน ไม่ได้ ศิษย์รักของข้าจะเสี่ยงอันตรายนี้ไม่ได้!”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิคนอื่นๆ พากันมองสงเทียนผิงตาขวาง

หนิวหรูจื่อเอ่ยขึ้นทันใด “การทดสอบในหุบเจ้าสมุนไพรนั้นยากนัก หากไม่ระมัดระวังเพียงนิดก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ ถึงตอนนั้นข้าจะไปหาศิษย์อย่างนังหนูผู้นี้ได้จากที่ใดอีก ข้าต้องรีบคิดหาวิธียับยั้ง”

กงซุนจื้อหรูกล่าวอย่างเห็นด้วย “อย่างไรเสียเราบุกเข้าไปช่วยนางดีหรือไม่”

หมี่ฟู่กุ้ยโคลงศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เข้าไม่ได้ หลังจากเข้าสู่ด่านผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์แล้ว แนวป้องกันของหุบเจ้าสมุนไพรจะเปิดระบบขึ้นเอง พวกเราทำลายไม่ได้ เข้าไปก็ไม่ได้”

“หากนังหนูเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตเล่า!” ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามพากันจ้องรองประมุขหมี่ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย

หมี่ฟู่กุ้ยถอนหายใจยาว “พวกเราก็ทำได้เพียงมองนางมอดม้วยไปต่อหน้าต่อตา”

“เจ้า!” ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามถลึงตาใส่หมี่ฟู่กุ้ยอย่างขัดเคืองใจ ปากก็บอกออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “หากศิษย์ของข้าเป็นอะไรไป ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าเป็นคนแรก!”

หมี่ฟู่กุ้ยผายมือด้วยสีหน้าจนใจ เขาก็เสียดายเช่นกันที่ผู้ปรุงโอสถเปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้จะต้องดับดิ้นไป

ในตอนนั้นเอง...

 

ซูลั่วหารู้ไม่ว่าผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ที่อยู่ด้านนอก กำลังร้อนรนเพราะเป็นกังวลในเรื่องความปลอดภัยของนาง หลังจากเดินผ่านเส้นทางดำมืดมาระยะหนึ่งแล้ว ซูลั่วก็ปรากฏตัวขึ้นกลางด่านทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ ด่านที่แล้วทดสอบความรู้ทางทฤษฎี ส่วนด่านนี้ไม่เพียงแต่ทดสอบความสามารถด้านการปรุงโอสถ แต่ยังทดสอบพลังยุทธ์อีกด้วย!

เพราะทันทีที่ซูลั่วปรากฏตัวขึ้น นางก็เห็นว่าสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนที่อยู่บนทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตาเงยหน้าขึ้นมองมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

สัตว์อสูรฝูงนี้คืออสูรหมอกทมิฬเขาเดียว! มีร่างใหญ่กำยำ เคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ จุดศูนย์รวมพลังยุทธ์ของมันอยู่ที่เขาท่อนเดียวบนศีรษะนั่นเอง เดิมพวกมันอยู่กลางทุ่งหญ้าอย่างสำราญใจ บ้างก็นอนหงายผึ่งพุงรับแดด บ้างก็กินน้ำอยู่ริมธาร อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวอายุน้อยจับกลุ่มกันวิ่งไล่ไปมา ท่าทางเพลิดเพลินยิ่งนัก ทว่าซูลั่วกลับเป็นผู้ทำลายความสงบสุขในเวลานี้ของพวกมันลง

นัยน์ตาของอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวฉายแววระแวดระวัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมในเวลาอันรวดเร็ว

“โฮกกก!”

อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวจ่าฝูงคำรามก้องประหนึ่งร้องเรียกลูกฝูง พริบตานั้นอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวจำนวนมหาศาลก็ดาหน้าเข้าใส่ซูลั่ว

ซูลั่วตกตะลึงพรึงเพริด ทว่าไม่มีเวลาเหลือพอให้ตระหนกตกใจได้ เพราะความเร็วของอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวฝูงนี้ไม่ต่างอันใดกับลมสลาตัน หากมันประชิดตัวเมื่อใด พวกมันต้องขย้ำนางเป็นอาหารจนไม่เหลือซากอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่การแสดงหรือการทดลอง แต่เป็นการต่อสู้ที่แท้จริง!

หญิงสาวยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ ทว่าผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ที่อยู่ด้านนอกกลับหน้าซีดเผือดอย่างที่ไม่อาจจะซีดได้มากกว่านี้แล้ว

“ไอหยา อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวฝูงนี้ไฉนถึงได้น่าชิงชังนัก! ศิษย์รักของข้าเจอหายนะเข้าแล้ว!” สงเทียนผิงตบหน้าขาดังฉาดด้วยความตื่นเต้น “นังหนู รีบวิ่งเร็ว! ใกล้จะตามมาทันแล้ว! เร็วเข้าๆ!”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่เหลือมองอีกฝ่ายตาขวาง ‘ศิษย์รักของข้าอะไรกัน? นางเป็นศิษย์ข้าต่างหาก!’

“ผู้เฒ่าหมี่ เจ้าวิสัยทัศน์ดีกว่าใคร เจ้าบอกทีว่านังหนูผู้นี้จะรอดหรือไม่”

“นั่นสิ ผู้เฒ่าหมี่ ด่านนี้มีเจ้าคนเดียวที่เคยผ่าน รีบบอกพวกเราเร็วเข้า!”

หมี่ฟู่กุ้ยจ้องภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “นังหนูผู้นี้นับว่ามีโชคมากอยู่ ทิศทางที่นางหนีถูกต้องแล้ว ขอเพียงนางไม่เปลี่ยนทิศ และไม่ถูกไล่ทันเสียก่อน วิ่งต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้ สถานการณ์ย่อมพลิกผัน”

“พลิกผันอย่างไรกัน” คนอื่นๆ พากันถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

“หากนังหนูวิ่งต่อไปอีกสิบนาที ข้างหน้าจะมีบึงน้ำแห่งหนึ่ง จุดพลิกผันอยู่ที่บึงน้ำนั้น” หมี่ฟู่กุ้ยเผยสีหน้าเป็นกังวลออกมา “สิ่งที่ข้ากังวลตอนนี้ก็คือด้วยความเร็วระดับนี้ของนังหนู จะให้วิ่งไปถึงบึงน้ำแล้วพบเรือนไม้ ยากแท้... ถึงต่อให้พบเรือนไม้ สรุปแล้วก็คือ... จะผ่านด่านนี้ได้เรียกว่ายากเย็นเข็ญใจยิ่งนัก!”

 

เวลานี้ซูลั่วที่ถูกอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวไล่ล่าอยู่ในหุบเจ้าสมุนไพรแทบจะร่ำไห้ออกมา เจ้าอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวน่าชิงชังพวกนี้แค่ไล่ล่ายังไม่เท่าไร พวกมันกลับไล่กวดพลางปล่อยไอพิษออกมา ยามนี้ลมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังพัดมา ดังนั้นมันจึงหอบไอพิษเข้าปะทะใส่ซูลั่วอย่างเต็มที่

ไอพิษนี้... แค่จากอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเดียวก็ยังเข้มข้นและหนักหน่วง แล้วนับประสาอะไรกับอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวนับพันที่ปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน มันคลุ้งไปทั่ว รมควันซูลั่วเสียจนแทบจะหมดลมหายใจ

เหม็นคลุ้งไปหมด…

ซูลั่วปิดจมูก นางใช้วิชา เคลื่อนไหวไร้เงา ด้วยอาการโงนเงนโซเซ ความเร็วดูจะลดลงกว่าก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ยังดีที่นางปลุกสายเลือดในกายได้ถึงเจ็ดส่วนร้อย ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้วิชา เคลื่อนไหวไร้เงา ปราดเปรียวขึ้นกว่าเดิม เพราะเหตุนี้อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวจึงทิ้งระยะห่างคงที่กับนาง ทว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ไอพิษในอากาศก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นจนแทบก้าวย่างไม่ออกอีกต่อไป

ไม่เกินสิบนาที ซูลั่วต้องถูกอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเหยียบย่ำจนกลายเป็นก้อนเนื้ออย่างแน่นอน ในด่านการทดสอบนี้ หากซูลั่วถูกสัตว์อสูรเหยียบตายไปเสียก่อนที่จะได้ทดสอบความรู้ด้านการปรุงโอสถ… แบบนี้เรียกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างใหญ่หลวง

จู่ๆ ซูลั่วก็นึกถึงเคล็ดวิชาสำหรับโจมตีที่นางเพิ่งเรียนรู้มาได้ไม่นาน อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวปล่อยไอพิษออกมาได้เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นนางจะใช้ เสียงแห่งมรรคา โจมตีพวกมันบ้างได้หรือไม่ ซูลั่วตัดสินใจจะทดสอบในทันที นางหมุนตัวกลับมา จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก พลางขับเคลื่อนพลังจากจุดตันเถียนแล้วเปล่งเสียงก้องออกมา

เสียงแห่งมรรคา ขั้นหนึ่ง ปะทะ!”

คลื่นเสียงหนักหน่วงแผ่ซ่านออกไปทุกทิศทุกทาง โดยมีซูลั่วเป็นจุดศูนย์กลาง อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวมากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกคลื่นเสียงปะทะพากันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง บ้างก็เลือดไหลออกจากหู บ้างก็เลือดทะลักทลายออกทางจมูก บ้างก็โงนเงนจนทรงตัวไม่อยู่

ซูลั่วใช้พลังทั้งหมดที่มีในกายสำแดงพลังคลื่นเสียงนี้ออกมา เพราะเหตุนี้มันจึงทรงพลังอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายามนี้หญิงสาวไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้ว นางรีบฉวยจังหวะที่สติของอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวกำลังเตลิดทะยานหนีอย่างรวดเร็ว

ตอนที่อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวรู้สึกตัวอีกครั้ง พวกมันก็เห็นซูลั่ววิ่งไปไกลลิบจนเป็นเพียงจุดดำเล็กๆ จากนั้นก็ตะลุยไล่ล่าต่ออีกครั้ง เมื่อไร้พลังโจมตีจากคลื่นเสียง ความเร็วของอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวก็ฟื้นคืนเป็นปกติ

ไม่นานระยะห่างระหว่างซูลั่วกับพวกมันก็ขยับเข้าใกล้ขึ้นทุกทีๆ

“คิดไม่ถึงเลยว่านอกจากจะมีพรสวรรค์ด้านการปรุงโอสถแล้ว พลังยุทธ์ของนังหนูก็ยังล้ำเลิศอีกด้วย” หมี่ฟู่กุ้ยกล่าวชื่นชม

สงเทียนผิงทำท่าลำพอง “แน่อยู่แล้ว ไม่ดูบ้างเล่าว่านางเป็นศิษย์รักของใคร”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามมองค้อนสงเทียนผิง ‘นางเป็นศิษย์รักของข้าต่างหาก!’

ในตอนนี้อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเข้าใกล้ซูลั่วมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาใกล้ทุกที! หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ซูลั่วใช้ เสียงแห่งมรรคา ยับยั้งพวกมันเอาไว้ได้ชั่วคราว ป่านนี้ซูลั่วคงถูกอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวไล่ตามทัน ร่างถูกบดขยี้เป็นก้อนเนื้อไปนานแล้ว

เวลานี้อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเข้าใกล้ซูลั่วมากขึ้นทุกทีๆ

หนึ่งพันเมตร

ห้าร้อยเมตร

หนึ่งร้อยเมตร...

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียงด้วยอาการกระสับกระส่าย ฝ่ามือกำเข้าหากันแน่น สายตาจับนิ่งที่ฉากภาพไม่ผละไปทางใด

“ผู้เฒ่าหมี่! ไฉนยังไม่ถึงบึงน้ำที่เจ้าบอกอีกเล่า!”

“หรือว่าเจ้าหลอกพวกเรา? ศิษย์รักของข้าวิ่งนานขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังไปไม่ถึงบึงน้ำช่วยชีวิตนางอีก!” สงเทียนผิงกระวนกระวายเสียจนเดือดดาล

หมี่ฟู่กุ้ยปรายตามองสงเทียนผิงที่กำลังร้อนใจหนักด้วยสีหน้าจนปัญญา ‘วิตกกังวลจนขาดสติ’ เป็นอย่างไรก็ดูจากอาการอีกฝ่ายในตอนนี้เถิด ตอนแรกดูแคลนนังหนู ปากพร่ำไม่หยุดว่าจะไปๆ แค่เหลือบมองก็ยังนึกรังเกียจว่าเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เป็นห่วงเป็นใยราวกับคนในครอบครัวอย่างไรอย่างนั้น

จังหวะนี้เองกงซุนจื้อหรูก็ร้องลั่นออกมา “พวกเจ้าดูนั่น แถบดำมืดด้านหน้าใช่บึงน้ำของผู้เฒ่าหมี่หรือไม่!”

สงเทียนผิงตื่นเต้นจนแทบจะเขย่าคอหมี่ฟู่กุ้ยยามตะโกนถาม “ผู้เฒ่าหมี่! ผู้เฒ่าหมี่! ใช่หรือไม่ ใช่หรือไม่! ผู้เฒ่าหมี่ ผู้เฒ่าหมี่ เจ้าบอกเร็วเข้า!”

หมี่ฟู่กุ้ยผลักสงเทียนผิงที่เอะอะโวยวายออกไป แต่เพราะถูกอีกฝ่ายดึงมือเอาไว้ ซ้ำสงเทียนผิงยังตื่นเต้นเสียจนแทบจะหักแขนเขา เจ้าตัวสูดลมหายใจ “คำนวณเวลาดูแล้วก็น่าจะใช่”

สงเทียนผิงผลักหมี่ฟู่กุ้ยไปอีกทาง จากนั้นก็เข้ามายืนเกาะอยู่ด้านหน้าสุดของขอบฉากภาพ ร่างกายกำยำสูงใหญ่บดบังการมองเห็นของคนอื่นๆ แทบจะในทันที

“หลีกไป!”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามออกแรงกระชากพร้อมกัน ผู้ปรุงโอสถสงที่ยามปกติได้รับการยกย่องจากผู้คนมากมายถูกรั้งให้ถอยหลัง จนแผ่นหลังกระแทกกับกำแพง หากไม่ใช่เพราะคุณชายฉู่หลบได้ทันท่วงที มีหวังเขาคงถูกปะทะไปด้วยอีกคน ผู้ปรุงโอสถสงเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเยือก เขาแยกเขี้ยวออกมา จากนั้นก็ก้าวยาวๆ กลับมาผลักผู้ปรุงโอสถทั้งสามไปอีกทาง แล้วแทรกตัวไปอยู่ด้านหน้าสุดของฉากภาพ

เวลานี้เองซูลั่วทะยานร่างขึ้นเหนือบึงน้ำ ปลายเท้าจดผิวน้ำอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเหาะตรงไปกลางบึง

“ฮ่าๆๆ! พวกเจ้าดู! พวกเจ้ารีบดูเร็ว! ศิษย์รักของข้าปราดเปรื่องหรือไม่เล่า” สงเทียนผิงอวดโอ้ออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามพากันขึงตาใส่เขาอย่างจนคำพูด

พอเห็นว่าซูลั่วเข้าไปในเรือนไม้กลางบึงน้ำแล้ว ขณะที่อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวกลับทำได้เพียงกระจายตัวรายล้อมรอบบึง ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่ถึงได้พรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันมาจ้องหน้าหมี่ฟู่กุ้ย

หมี่ฟู่กุ้ยเอ่ย “พอเข้าไปในเรือนไม้ ด้านในจะมีสมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนประกอบของโอสถ จะปรุงอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของนางแล้ว”

เป็นไปตามคาด พอซูลั่วผลักบานประตูไม้เข้าไป นางก็เห็นชั้นวางของตั้งอยู่ด้านใน บนชั้นวางเต็มไปด้วยสมุนไพรกว่าสามร้อยชนิด

หมี่ฟู่กุ้ยนิ่วหน้ายามพูด “สมุนไพรเหล่านั้นปรุงออกมาได้สามขนาน หนึ่งคือโอสถพิษที่สามารถสังหารอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวได้หนึ่งตัว สองคือโอสถบำรุงกำลังที่ช่วยให้พละกำลังเพิ่มทะยานขึ้นเป็นห้าเท่าได้ในเวลาหนึ่งชั่วยาม สามคือโอสถลวงจิตที่ทำให้ศัตรูเสียสติได้”

สงเทียนผิงถาม “โอสถพิษมีปริมาณสังหารอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวได้เพียงตัวเดียว?”

หมี่ฟู่กุ้ยตอบทันควัน “ถูกต้อง”

หนิวหรูจื่อเอ่ย “โอสถบำรุงกำลังเพิ่มพละกำลังได้เพียงห้าเท่า เช่นนั้นก็ยังเอาชนะอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวฝูงใหญ่ไม่ได้อยู่ดี”

หมี่ฟู่กุ้ยตอบเช่นเดิม “ถูกต้อง”

กงซุนจื้อหรูถามขึ้นบ้าง “โอสถลวงจิตก็ทำให้อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเสียสติได้เพียงตัวเดียวเช่นกัน?”

หมี่ฟู่กุ้ยย้ำคำตอบเดิม “ถูกต้อง”

“นี่มันเรื่องเหลวไหลอะไรกัน! สังหารหรือลวงจิตอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวได้เพียงตัวเดียวจะไปมีประโยชน์อันใดกันเล่า” สงเทียนผิงถามด้วยความร้อนใจ “ผู้เฒ่าหมี่ ครานั้นเจ้าผ่านด่านชั้นปรมาจารย์มาได้ เจ้าบอกทีว่าครานั้นเจ้าทำเช่นไร”

ผู้ปรุงโอสถหนิวและผู้ปรุงโอสถกงซุนเองก็หันมาให้ความสนใจแก่หมี่ฟู่กุ้ย เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของศิษย์รัก พวกเขาหวั่นวิตกจนว้าวุ่นใจไปหมดแล้ว

หมี่ฟู่กุ้ยตอบข้อสงสัย “ตอนแรกข้าเลือกโอสถพิษ เรื่องนี้ต้องใช้เล่ห์กลเล็กน้อย ไม่ใช่นำโอสถพิษมาจัดการอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเดียว แต่ล่อพวกมันให้เข้ามาในบึงน้ำ จากนั้นก็ใส่ยาพิษลงไป เท่านี้ก็จะเปลี่ยนบึงน้ำธรรมดาให้เป็นบึงน้ำที่มีพิษ”

“คิดไม่ถึงเลยว่าผู้เฒ่าหมี่ตอนหนุ่มๆ จะฉลาดเฉียบแหลม” สงเทียนผิงเอ่ยพลางพยักหน้า

หมี่ฟู่กุ้ยขึงตาขุ่นใส่อีกฝ่าย จากนั้นก็พูดต่อ “ตอนแรกก็สังหารอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวได้มากจริง แต่อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวที่รอดมาจากบึงน้ำนั้นร้ายกาจมาก ซ้ำพวกมันยังปรับตัวต้านพิษได้มากขึ้น”

“หลังจากนั้นเล่า?” คนที่เหลือถามออกมาพร้อมกัน

“หลังจากนั้นข้าจำต้องยอมแพ้” หมี่ฟู่กุ้ยถอนหายใจอย่างหมดปัญญา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครั้งที่สองข้าเลือกปรุงโอสถบำรุงกำลัง สุดท้ายก็สำเร็จ แต่ว่าข้าในเวลานั้นมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่านังหนูผู้นี้มากนัก ข้าใช้วิธีบุกตะลุยสังหารอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวมาตลอดทาง เพราะฉะนั้น …” เพราะฉะนั้นศิษย์รักของพวกเขาก็ยังต้องเสี่ยงอันตรายมากอยู่ดี

ซูลั่วเลือกที่จะยอมแพ้ได้ ทว่าพวกเขามองอุปนิสัยของนางออก หญิงสาวที่เอาแต่บุกทะลวงไปข้างหน้า ดูทีแล้วคงไม่รู้หรอกว่าการยอมแพ้คือสิ่งใด

ตอนที่ทุกคนกำลังร้อนใจอยู่นั้น ซูลั่วก็เริ่มปรุงโอสถ ฝ่ามือปานหยกขาวเกลี้ยงเกลาของซูลั่วหยิบจับสมุนไพรที่นางต้องการอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พอซูลั่วเลือกสมุนไพรมาสามชนิด ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ผู้มีสายตาเฉียบไวก็มองออกในทันที

ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน “นางจะปรุงโอสถบำรุงกำลัง!”

สงเทียนผิงสะบัดฝ่ามือใส่กำแพง “โอสถบำรุงกำลังไม่ได้! ต่อให้พละกำลังของนางจะทะยานขึ้นสูงห้าเท่าในเวลาหนึ่งชั่วยาม แต่อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวมีมากมายถึงเพียงนั้น นางจะรับมือพวกมันไหวหรือ สองกำปั้นยากจะต้านทานสี่บาทา!”

หนิวหรูจื่อส่ายหน้าพลางถอนหายใจเฮือก “นังหนูผู้นี้ไฉนถึงได้ดื้อดึงนัก เลือกยอมแพ้ไม่ได้หรือไรกัน”

กงซุนจื้อหรูและหมี่ฟู่กุ้ยพยักหน้าพร้อมกัน พวกเขารู้สึกว่าซูลั่วฝืนจะฝ่าด่านนี้โดยที่พลังยุทธ์ยังไม่ถึงขั้นนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง ถ้าอย่างไรก็ยอมแพ้เสีย รอให้พลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่านี้ แล้วค่อยเข้ารับการทดสอบอีกครั้งย่อมดีกว่า ทว่านังหนูผู้นี้ดื้อดึงนัก ชวนให้ขัดเคืองและเจ็บปวดใจในเวลาเดียวกัน

พอทุกคนเห็นซูลั่วกำลังปรุงโอสถอย่างมุ่งมั่นอยู่นั้น พวกเขาก็ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง

ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด ในที่สุดซูลั่วก็ปรุงโอสถนิพพานชั้นปรมาจารย์สำเร็จ

“นังหนูมีความสามารถด้านการปรุงโอสถอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเจ้าดูโอสถนิพพานชั้นปรมาจารย์ที่นางปรุงออกมาเถิด เม็ดกลมเกลี้ยง ผิวมันวาว นี่เรียกว่าโอสถชั้นหนึ่งก็ว่าได้!”

“ก็หมายความว่านังหนูบรรลุถึงระดับผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ระดับสูงแล้ว หากนางเข้าร่วมการทดสอบสามัญ แค่ไม่กี่นาทีก็ได้ครอบครองตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ แต่ที่นี่... เฮ้อ”

“นังหนูผู้นี้มีความมุ่งมั่น สมกับเป็นศิษย์รักของข้า... สงเทียนผิง ฮ่าๆๆ!”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่เหลือพากันมองค้อนสงเทียนผิง เวลาเดียวกันนี้ซูลั่วก็ถือโอสถนิพพานไว้ในมือ สายตาสาดประกายเจ้าเล่ห์มองอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวฝูงใหญ่ซึ่งกำลังขู่คำรามใส่นาง

คนที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์พากันหดหู่ทันใด

“อย่านะ อย่ากินศิษย์รักของข้า!”

“รีบยอมแพ้เถิด!”

“รอให้ครั้งหน้าพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่านี้ แล้วค่อยเข้าทดสอบไม่ได้หรือไร”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่คนยามปกติมีสถานะสูงศักดิ์เพียงไร ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสจากแปดสกุลใหญ่ คนเหล่านั้นก็ยังต้องยกย่องและให้เกียรติพวกเขา ทว่าเวลานี้ผู้ปรุงโอสถทั้งสี่กลับว้าวุ่นกระวนกระวายใจแทนซูลั่ว จนผมแทบจะขาวหงอกไปทั้งศีรษะอยู่แล้ว

 

ในที่สุดฝูงอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวก็ข่มกลั้นความหวาดเกรงที่มีต่อบึงน้ำอันมืดมิดแห่งนี้เอาไว้ แล้วพากันกระโจนลงไปด้านใน

โครม!

ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ซัดโถมในบึงน้ำ หลังจากที่พบว่าซูลั่วหาได้วางกับดักใดไม่ อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวก็ยิ่งไม่ครั่นคร้าม พวกมันพากันมุ่งหน้าไปยังเรือนไม้หลังเล็กและตีวงโอบล้อมรอบด้าน

“แย่แล้ว!” ความสิ้นหวังและเจ็บปวดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่

ทว่ายามนี้ซูลั่วกลับกวาดตามองฝูงอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวด้วยสีหน้าจริงจัง เจ้าตัวที่รุกไล่ตามมารวดเร็วที่สุดเห็นได้ชัดว่าเป็นจ่าฝูงของอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเหล่านี้ พลังยุทธ์ของมันย่อมแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากสังเกตอยู่ครู่ ซูลั่วก็พบว่าอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวฝูงนี้เหมือนกับหมาป่าไม่มีผิด ลูกฝูงทุกตัวล้วนแต่เชื่อฟังคำสั่งของจ่าฝูง ถ้าเช่นนั้น... หากจ่าฝูงของพวกมันไม่ใช่ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดอีกต่อไป แบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น

แววเจ้าเล่ห์ผุดวาบขึ้นในดวงตาของซูลั่ว ขณะกำลังเล็งไปที่อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กที่อ่อนแอที่สุด และถูกตัวอื่นๆ ในฝูงมองข้ามไป

เจ้าอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวนี้มีรูปร่างผอมแห้ง ทว่าแววตาของมันกลับดุดันเหี้ยมเกรียมผิดปกติ อาจเป็นเพราะอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวทุกตัวที่ทะยานผ่านมันมักจะทิ้งบาดแผลหรือร่องรอยจากการข่มเหงให้มันเสมอ เนื่องจากมีรูปร่างเล็กและอ่อนแอที่สุดในฝูง มันจึงถูกกันให้อยู่แถวหลังสุด

มุมปากของซูลั่วยกสูงขึ้นเล็กน้อย นางฉวยจังหวะที่บรรดาอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเงยหน้าคำรามก้อง โยนโอสถนิพพานที่มีในมือใส่ปากของเจ้าอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็ก กว่าอีกฝ่ายจะได้สติคืนมา มันก็พบว่าโอสถเม็ดนั้นหลุดลงไปในลำคอเสียแล้ว

“โฮกกก!”

อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กตะกุยลำคอของตนพลางร้องครางออกมา มันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย ภายในร่างกายร้อนวูบวาบราวกับถูกเผาไหม้

เวลานี้ฝูงอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเข้าใกล้เรือนไม้ขึ้นเรื่อยๆ จังหวะนี้เอง... อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กที่กายร้อนปานไหม้ไฟก็เงยหน้าคำรามสะท้าน 

“โฮกกก!”

เสียงกังวานกระจ่างใสบอกให้รู้ถึงพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งอย่างมากของมัน

พริบตานั้นอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวทั้งฝูงก็หยุดชะงักลงทันที พวกมันหันมามองอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กเป็นตาเดียวกัน…

อ๊ะ! เสียงคำรามที่เจ้าอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กเปล่งออกมา เหมือนจะร้ายกาจกว่าจ่าฝูงของพวกมันเสียอีก อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวอื่นๆ ยังรู้สึกเช่นนี้ แล้วมีหรือที่เจ้าตัวจ่าฝูงจะไม่สำเหนียก? มันตระหนักได้ถึงภัยคุกคามอันแข็งแกร่ง เพราะเหตุนี้มันจึงหันหลังกลับแล้วกระโจนเข้าใส่อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กด้วยหวังว่าจะตะปบอุ้งเท้าใส่อีกฝ่ายให้มอดม้วยไปเสีย 

อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กสัมผัสได้ถึงอันตรายคร่าชีวิต มันจึงตอบโต้กลับทันทีด้วยสัญชาตญาณกลัวตาย อสูรหมอกทมิฬเขาเดียวสองตัวเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด!

พอจ่าฝูงอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวเห็นว่ากำลังจะตกเป็นรอง มันจึงคำรามเรียกลูกฝูงให้เข้ามาสมทบ ทว่าอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวตัวเล็กที่เพิ่งกลืนโอสถนิพพานเข้าไปมีพละกำลังมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นมันก็ต้องเป็นจ่าฝูงมิใช่หรือไรกัน

ด้วยเหตุนี้ฝูงอสูรหมอกทมิฬเขาเดียวจำนวนมหาศาลจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย จากนั้นก็เข้าต่อสู้ปะทะกัน ทะเลเลือดสาดกระจาย กลิ่นคาวคลุ้งลอยตามลม บรรยากาศชุลมุนมืดฟ้ามัวดิน

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่และคุณชายฉู่ที่อยู่ในห้องสังเกตการณ์พากันอ้าปากค้างตกตะลึงพรึงเพริด ร่างกายแข็งทื่อเป็นท่อนหิน

“โอสถนิพพานมีฤทธิ์เช่นนี้ด้วยหรือ” ในบรรดาทั้งหมด หมี่ฟู่กุ้ยดูจะตระหนกกว่าใคร

“พวกเราเข้าใจว่าโอสถนิพพานมีไว้ใช้กับตนเองเสียอีก แบบนี้เรียกว่าจำกัดกรอบความคิดของตัวเองโดยแท้…”

“นังหนูผู้นี้ช่าง…”

ครานี้ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ไหวพริบปฏิภาณของซูลั่วและท่าทีสงบนิ่งยามเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนี้ ก็ทำให้พวกเขาต้องมองนางในมุมใหม่แล้ว ยามนี้ผู้อาวุโสทั้งสี่ยอมหมอบราบคาบแก้วกับความร้ายกาจของซูลั่วแล้ว พวกเขาพากันรุดหน้าไปที่ทางเข้าหุบเจ้าสมุนไพรเพื่อรอต้อนรับนางออกมา ขณะเดียวกันก็แย่งกันเป็นอาจารย์ของนางไม่หยุดปาก

คุณชายฉู่เป็นคนแรกที่พบความผิดปกตินี้

“ไม่ถูกต้อง นาง… เหมือนนางจะยังไม่ออกมา” ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยอาการตะลึง

“อะไรนะ!” ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ก็สะท้านไปตามๆ กัน

“นางผ่านด่านผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์แล้ว เวลานี้ยังคิดจะทำอะไรอีก”

“นางคงไม่ได้คิดจะเข้ารับการทดสอบด่านผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิหรอกกระมัง?” 

“ด่านผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ยังโหดหินถึงเพียงนี้ นางแทบจะอาสัญอยู่แล้ว จะเข้าทดสอบด่านผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิอีกได้อย่างไรกัน”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่จ้องฉากภาพสีดำสนิทด้วยความร้อนใจ ทว่าฉากภาพนั้นก็ยังคงดำมืดอยู่เช่นเดิม ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น

“นางอยู่ที่ใดแล้ว” คุณชายฉู่แปลกใจเช่นกัน

นังหนูผู้นั้นประกาศชัดแจ้งว่าจะคว้าตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิมาให้ได้ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่านางจะหยุดอยู่ที่ด่านทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นสูง แต่ผลกลับผิดไปจากที่คาดไว้ไกลลิบ เพราะซูลั่วไม่ได้เข้ารับการทดสอบด่านผู้ปรุงโอสถชั้นต้น ชั้นกลาง และชั้นสูงด้วยซ้ำ แต่ตรงไปที่ด่านทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นสูงพิเศษเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ผ่านด่านผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์ ด่านผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์…

ใครจะคิดเล่าว่านางจะก้าวมาถึงขั้นนี้ได้!

ทุกคนพากันดึงมือหมี่ฟู่กุ้ยด้วยความร้อนใจ “ผู้เฒ่าหมี่! รีบหาวิธียับยั้งเร็วเข้า หากปล่อยให้นางเข้ารับการทดสอบด่านผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจริงๆ ละก็ นางต้องซี้แหงแก๋แน่!”

“นั่นสิ ผู้เฒ่าหมี่ ศิษย์ที่เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนี้ หากดับดิ้นไป จิตใจของเจ้าจะสงบได้หรือ!”

สายตาตำหนิทุกคู่ปราดมองมาที่หมี่ฟู่กุ้ย ทว่าหมี่ฟู่กุ้ยกลับจนปัญญาจะทำเช่นไรได้ “เมื่อถึงด่านผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์ พวกเราก็มิอาจติดต่อสื่อสารกับคนด้านในได้อีก พวกเจ้าก็รู้ดีว่านี่เป็นการทดสอบโดยเจ้าสมุนไพร พวกเราจะทำอะไรได้เล่า”

ในตอนนี้เอง แสงจ้าก็สว่างวาบขึ้นบนฉากภาพ จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าซูลั่วก้าวย่างไปตามเส้นทางอันมืดมิด ผู้ปรุงโอสถทั้งสี่เห็นภาพตรงหน้าดำมืด นัยน์ตาของพวกเขาสะท้อนแววสิ้นหวังออกมา หมดกัน! ผู้ปรุงโอสถอายุน้อยที่เปี่ยมพรสวรรค์ระดับนี้กำลังจะดับดิ้นแล้ว

เรื่องที่ทำให้พวกเขาร้อนรนยิ่งกว่าก็คือ ด่านทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดินั้นเป็นด่านปิดตาย นอกจากซูลั่วที่เข้ารับการทดสอบแล้ว คนอื่นไม่มีทางรู้ได้เลยว่านางกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดอยู่

ผู้อาวุโสทั้งสี่กระสับกระส่ายอย่างหนัก คนหนึ่งเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องสังเกตการณ์ อีกคนก็ยกสองมือขึ้นกุมศีรษะ ทั้งยังมีคนจิกทึ้งเส้นผมด้วยความอัดอั้น

คุณชายฉู่มองผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่แล้วตะลึงงันในใจ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาซึ่งมีสถานะสูงศักดิ์จะให้ความสำคัญแก่หญิงสาวผู้นั้นถึงขั้นนี้ นางไม่ธรรมดาจริงๆ สายตาของคุณชายฉู่จับมองไปที่ฉากภาพดำมืด ซูลั่วที่อยู่ด้านในกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่

 

ด่านทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ

ตอนที่ซูลั่วก้าวเข้ามาก็พบว่ารอบกายมีเพียงความมืดมิด ความสว่างเดียวที่ปรากฏขึ้นคือวงแสงที่สาดจ้าอยู่เบื้องหน้า ราวกับมีพลังบางอย่างที่ควบคุมร่างกายของนางให้ก้าวย่างเข้าไปตรงกลางวงแสง และบีบให้นั่งขัดสมาธิ

ซูลั่วหลับตา สัมผัสได้ถึงลมเย็นระลอกหนึ่งเหนือศีรษะ เจ้าตัวจึงลืมตาขึ้นในทันที ดีที่ซูลั่วเป็นคนกล้า ไม่เช่นนั้นนางคงกรีดร้องออกมาอย่างแน่นอน เพราะยามนี้มีสตรีในอาภรณ์สีแดงเพลิงปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้านาง อีกฝ่ายมีดวงตาเรียวดั่งตาหงส์ นัยน์ตาสะท้อนประกายวิบวับแวววาว กลางหน้าผากแต้มจุดสีแดง ริมฝีปากแดงสด งดงามอย่างไร้ที่เปรียบ ซูลั่วนิ่วหน้ายามมองสตรีในชุดสีแดงเพลิง

สตรีในชุดสีแดงเพลิงลอยอยู่กลางอากาศ ชายเสื้อพัดพลิ้วแม้ไร้แรงลม หางตาเรียวยกสูงขึ้นเล็กน้อยขณะมองประเมินซูลั่วด้วยความเนิบนาบ ก่อนจะแค่นเสียง “ฮึ เจ้าเองหรือที่รบกวนเวลาพักผ่อนของข้า? ไม่มีผู้ใดมาเยือนดินแดนแห่งนี้เป็นเวลาหลายปีแล้ว”

“เจ้าเป็นใคร” ซูลั่วปรายสายตาเรียบเฉยมองอีกฝ่าย

“ข้า? เจ้าไม่รู้หรือไรว่าข้าคือใคร” สตรีในชุดสีแดงเพลิงผู้มีท่าทางผยองนิ่วหน้าพลางถลึงตาใส่ซูลั่ว

“เจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือหรือไรกัน” ซูลั่วกลับมองอีกฝ่ายด้วยความไร้เดียงสาปนฉงน

สตรีในชุดสีแดงเพลิงจนคำพูดเพราะวาจานี้ของซูลั่ว หลังจากได้สตินางก็จ้องมองซูลั่วเขม็ง “เจ้าไม่รู้จักเจ้าสมุนไพรวิหคเทพสีชาด?”

“วิหคเทพสีชาด?” ซูลั่วมองอีกฝ่ายแล้วโคลงศีรษะปฏิเสธ “ไม่เคยได้ยิน”

“…” วิหคเทพสีชาดเอ่ยอันใดไม่ออก  จากนั้นก็สูดลมหายใจลึกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนสุดท้ายจะทนไม่ไหว นางสะบัดแขนเสื้อแล้วลดตัวลงจากกลางอากาศมาหยุดอยู่เบื้องหน้าซูลั่ว “เจ้า เอ่ยวาจาน่าขันอยู่กระมัง”

ซูลั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจ “ข้าหาได้เอ่ยวาจาน่าขันไม่ แต่ข้าไม่เคยได้ยินนามวิหคเทพสีชาดจริงๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าวิหคเทพสีชาดคือผู้ใด…” พอมองใบหน้าที่เริ่มบิดเบ้ ซูลั่วก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “อย่าบอกนะว่าเจ้าคือเจ้าสมุนไพรวิหคเทพสีชาด?”

วิหคเทพสีชาดสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะถลึงตาใส่ซูลั่ว “เจ้าไม่รู้จักวิหคเทพสีชาดแล้วบุกมาดินแดนหุบเจ้าสมุนไพรเพื่ออะไรกัน!” สตรีในชุดสีแดงเพลิงขัดเคืองใจยิ่งนัก จึงดีดหน้าผากซูลั่วอย่างแรงไปทีหนึ่ง

“เจ็บ!” ซูลั่วซึ่งเจ็บปลาบตรงหน้าผากกุมศีรษะตนเอาไว้ แล้วขึงตาใส่วิหคเทพสีชาดอย่างขุ่นขึ้ง

วิหคเทพสีชาดแค่นเสียง “เจ็บหรือไร ก็หมายความว่าสมองของเจ้ายังทำงานได้! ช่างเถิดๆ เจ้าอายุน้อยนัก ฝ่ามาถึงด่านนี้ได้ก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ถือเสียว่าเรามีวาสนาต่อกัน ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์แล้วถ่ายทอดเคล็ดลับการปรุงโอสถอันเหนือชั้นให้เจ้าเอง!”

“จริงหรือ” ซูลั่วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย โลกนี้มีเรื่องง่ายดายถึงเพียงนี้หรือไร จู่ๆ โชคดีก็หล่นใส่แบบนี้? ซูลั่วไม่อยากจะเชื่อนัก

“เจ้ากล้าคลางแคลงใจในวาจาของข้าอย่างนั้นหรือ!” วิหคเทพสีชาดแค่นเสียงเยือก “ถ้าเช่นนั้นก็จงตายเสียเถิด!”

ซูลั่วพูดไม่ออก “ไฉนเจ้าถึงเป็นคนแบบนี้ ไม่เรียนวิชากับเจ้าก็ไล่ให้ไปตายเสียอย่างนั้น ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องเลือกเรียนวิชากับเจ้าอยู่แล้วสิ”

“แบบนี้ถึงเข้าทีหน่อย” วิหคเทพสีชาดแค่นหัวเราะ “เอาละ หลับตา ไม่ต้องคิดอะไรอีก! หลังจากข้าเข้าไปในภวังค์ความคิดของเจ้าแล้ว ถึงจะถ่ายทอดความรู้ในการปรุงโอสถให้แก่เจ้าได้”

“อ้อ” ซูลั่วทำตามคำสั่งอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย นางทรุดตัวนั่งขัดสมาธิ หลับตาลง และปล่อยความคิดให้ว่างเปล่า

จังหวะนี้เองนัยน์ตาของวิหคเทพสีชาดก็สาดประกายประหลาดออกมา ก่อนที่ร่างนั้นจะหายวับไป และเหลือเพียงกลุ่มควันสีเขียวพุ่งตรงเข้าสู่ภวังค์ของซูลั่วทันที เวลาเดียวกันนี้เองซูลั่วก็พบว่าหลังจากที่ดวงจิตของนางเข้าสู่ภวังค์แล้ว มันก็ถูกกักอยู่ในนั้นราวกับอยู่ในพื้นที่ปิดตาย และไม่อาจกลับออกมาได้อีก

พอเห็นสีหน้าฉงนกับท่าทางว้าวุ่นของซูลั่ว วิหคเทพสีชาดก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“นังหนูสุดเขลา ฮ่าๆๆ เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าข้าเข้ามาในภวังค์ของเจ้าก็เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้? ฮ่าๆๆ”

ซูลั่วแสร้งทำเป็นมองวิหคเทพสีชาดที่กำลังหัวเราะด้วยความบ้าคลั่งอย่างงุนงง ใบหน้างดงามของวิหคเทพสีชาดเผยแววลำพองออกมา “หายากเหลือเกิน รอคอยมานานปี ในที่สุดข้าก็ได้พบกายหยาบที่สมบูรณ์แบบเสียที ตอนนี้ข้าได้เกิดใหม่อีกครั้งในร่างนี้ ยอดเยี่ยมเหลือเกิน”

ยามนี้สองฝ่ายสื่อสารกันผ่านดวงจิตในภวังค์ของซูลั่ว อันที่จริงซูลั่วตระหนักดีว่าการทดสอบในด่านผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ที่นางก้าวย่างเข้ามาในเขตแดนนี้แล้ว และเจ้าสมุนไพรวิหคเทพสีชาดก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทดสอบในด่านนี้นั่นเอง

ซูลั่วยังรู้อีกว่าการปล่อยวิหคเทพสีชาดเข้าสู่ภวังค์ของนางเป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น นางก็ไม่อาจเข้ารับการทดสอบในด่านนี้ได้ มีเพียงวิธีการนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางเอาชนะอีกฝ่ายได้ แท้จริงแล้วก็เป็นเพราะว่าซูลั่วเชื่อมั่นในพลังจิตของตนเป็นอย่างยิ่ง นางซึ่งครอบครองมิติติดตามกายมีพลังจิตแข็งกล้าอย่างที่วิหคเทพสีชาดจินตนาการไม่ถึงเลยทีเดียว

ทันใดนั้นวิหคเทพสีชาดดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งด้านพลังจิตของซูลั่ว คิ้วของนางขมวดเข้าหากันนิดๆ ดวงตาเรียวดุจตาหงส์คู่นั้นหรี่ลง “นังหนู พลังจิตของเจ้าไม่ธรรมดาเลย”

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว “เช่นกันๆ”

“เจ้าภูมิใจอะไรกัน ต่อให้พลังจิตจะแข็งแกร่งเพียงใด ยามอยู่เบื้องหน้าข้าก็มีแต่ต้องยอมคุกเข่าสวามิภักดิ์ ฮึ! ตอนนี้เจ้าจงยอมยกอำนาจในการควบคุมกายหยาบให้ข้าเสียแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นหากข้าบดขยี้เมื่อใด เจ้าก็ต้องมอดม้วยเมื่อนั้น”

วิหคเทพสีชาดพูดแล้วลงมือทันที จังหวะที่ซูลั่วยังไม่ทันตั้งตัว ฝ่ามือของวิหคเทพสีชาดก็บีบเข้าที่ลำคอเรียวของซูลั่ว ทว่าสีหน้าของหญิงสาวกลับสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นางมองอีกฝ่ายนิ่งด้วยแววตาราบเรียบไร้ความรู้สึก

วิหคเทพสีชาดหมดสนุกลงทันที นางคลายมือออกด้วยความขุ่นขึ้ง “ไฉนเจ้าถึงได้สงบนิ่งถึงเพียงนี้ ข้าชิงกายหยาบของเจ้ามานะ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากถูกชิงกายหยาบเมื่อใด เจ้าก็จะเป็นของข้า!” วิหคเทพสีชาดมีชีวิตมายาวนานจนถึงบัดนี้ ทว่ากลับไม่เคยเห็นสตรีผู้ใดที่สงบนิ่งได้ถึงขั้นนี้มาก่อน

ซูลั่วเพียงแต่ยิ้มเอื่อยเช่นเดิม ดวงตาวับวาวปานสายน้ำกลางฤดูใบไม้ร่วงจับนิ่งที่อีกฝ่าย “เจ้าชิงไปไม่ได้อยู่แล้ว”

“นังหนู เจ้ารู้หรือไม่ ความเชื่อมั่นในตนเองอย่างตาบอดหูหนวกคือความโง่เขลา” วิหคเทพสีชาดแค่นหัวเราะ “เมื่อเผชิญหน้ากับวิหคเทพสีชาด การจะสังหารเจ้าก็ง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ”

“แต่เจ้าไม่สังหารข้าแน่” ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่วอีกครั้ง

“อะไรทำให้เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้” วิหคเทพสีชาดไม่เชื่อ

“เพราะยามนี้เราสองฝ่ายอยู่ในสภาวะจิต ท่านวิหคเทพสีชาดคงไม่ได้อยู่ในร่างจำแลงนานเกินไปจนลืมไปแล้วว่า จิตคือความว่างเปล่า?” ซูลั่วยิ้มกริ่มยามมองอีกฝ่าย “เวลานี้พวกเราต่างสังหารกันและกันไม่ได้”

วิหคเทพสีชาดมองซูลั่วอย่างคาดไม่ถึง “เพราะเหตุนี้เจ้าถึงได้รู้อยู่แล้วว่าวิธีการเดียวที่ข้าจะชิงร่างกายเจ้าได้ก็คือผ่านการปรุงโอสถ?”

ซูลั่วพยักหน้ารับ

“สมกับเป็นผู้เข้ารับการทดสอบด่านผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่นานปีจะล่วงล้ำเข้ามาสักคน สมองทำงานใช้ได้ทีเดียว” วิหคเทพสีชาดจำต้องประเมินซูลั่วใหม่อีกครั้ง และเลิกดูแคลนอีกฝ่ายเหมือนในตอนต้น “แต่ยามอยู่เบื้องหน้ายอดฝีมือที่แท้จริง ความปราดเปรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไร้ประโยชน์”

“ยอดฝีมือที่แท้จริง? วิหคเทพสีชาดหมายถึงด้านการปรุงโอสถหรือ” มุมปากซูลั่วยกขึ้นนิดๆ

“ดูทีว่าเจ้าจะมั่นใจในความสามารถด้านการปรุงโอสถของตัวเองมากกระมัง” วิหคเทพสีชาดเผยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มยามมองซูลั่ว

“เมื่อเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง แล้วไฉนถึงต้องไม่มั่นใจด้วยเล่า” ซูลั่วสบสายตากับอีกฝ่ายอย่างไม่ขลาดกลัว อากัปกิริยาของนางต่างไปจากท่าทางทึ่มทื่อไร้เดียงสาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

จนกระทั่งตอนนี้วิหคเทพสีชาดถึงเพิ่งได้สติ นางชี้หน้าซูลั่ว “เจ้าจงใจล่อให้ข้าเข้ามาในภวังค์ของเจ้า คิดไม่ถึงจริงๆ…” เมื่อครู่ท่านวิหคเทพสีชาดผู้ยิ่งใหญ่ยังลิงโลดลำพองใจกับความเฉียบแหลมของตนอยู่แท้ๆ!

ซูลั่วได้แต่ส่ายหน้า หากวิหคเทพสีชาดสติปัญญาอ่อนด้อยกว่านี้สักนิดก็คงดี ทว่าเรื่องจริงพิสูจน์แล้วว่าผู้ที่ได้รับสมญานามว่า ‘วิหคเทพสีชาด’ หาใช่คนที่จะถูกใครปั่นหัวได้ง่ายๆ ไม่

“ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้า” วิหคเทพสีชาดชี้มือไปรอบๆ ภวังค์อันว่างเปล่า ปากก็พูดกับซูลั่ว “สิ่งที่เราต้องทำต่อไปก็คือแย่งอำนาจในการครอบครองร่างนี้ เจ้าต้านรับ ข้าโจมตี หากข้าแพ้ก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย แต่ถ้าเจ้าพ่าย กายหยาบอันงดงามนี้ต้องเป็นของข้า”

ซูลั่วมีสีหน้าเฉยเมย ดวงตาราบเรียบดุจผืนน้ำคู่นั้นแฝงรอยยิ้มบางยามมองวิหคเทพสีชาด “ข้ารู้”

ตอนที่วิหคเทพสีชาดเอ่ยว่าจะชิงร่างของนาง ซูลั่วก็พอจะเดาเงื่อนไขนี้ได้แล้ว แม้จะเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายยิ่ง แต่ก็จำต้องตอบตกลงอย่างไร้ทางเลือก

หลังจากที่รู้ว่ามีการทดสอบวิธีพิเศษ ซูลั่วก็ตั้งปณิธานว่านางจะต้องเข้าร่วมการทดสอบจากหุบเจ้าสมุนไพรแห่งนี้ นางไม่เข้ารับการทดสอบปกติเหมือนผู้ปรุงโอสถคนอื่นๆ ก็เพราะนางเป็นศิษย์ปรมาจารย์หรงอวิ๋น เพราะเหตุนี้จึงเข้มงวดกับตนเองมากกว่าใคร

วิหคเทพสีชาดขึงตาดุใส่ซูลั่ว “วิธีการต่อสู้ก็คือปรุงโอสถ เจ้าปรุงโอสถพิษหนึ่งขนาน ข้าเป็นคนดื่ม จากนั้นก็ถอนพิษด้วยตนเอง ต่อมาข้าเป็นคนปรุง เจ้าเป็นคนดื่ม แล้วถอนพิษเอง สลับสับเปลี่ยนจนกระทั่งอีกฝ่ายจะมอดม้วยอาสัญ”

“ข้ารู้” สีหน้าของซูลั่วยังสงบนิ่งดังเดิม

“เนื่องจากอยู่ในภวังค์ ทุกอย่างจึงเป็นเพียงภาพลวง ฉะนั้นสมุนไพรทั้งหมดสามารถเลือกสรรได้ตามปรารถนา” วิหคเทพสีชาดเอ่ยเสียงขุ่น

“ข้ารู้” ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว

“เจ้ารู้ เจ้ารู้ เจ้ารู้ไปหมดทุกสิ่ง ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มได้เลย! เจ้าเป็นเด็ก เจ้าปรุงโอสถพิษก่อน ไม่เช่นนั้นหากข้าชิงลงมือ เจ้าก็อาจจะไม่มีแม้แต่โอกาสปรุงโอสถด้วยซ้ำ” วิหคเทพสีชาดแค่นเสียง

ซูลั่วอดปรายตามองวิหคเทพสีชาดไม่ได้ นี่คือตัวตนที่แท้จริงของวิหคเทพสีชาดหรือ ไฉนถึงดูไม่ร้ายกาจลึกล้ำอย่างที่คาด…

แม้จะคลางแคลงใจ ทว่ายามนี้ซูลั่วไม่มีเวลาคิดอะไรอีกแล้ว สถานการณ์คับขัน ทั้งสองฝ่ายมีเวลาปรุงโอสถมากที่สุดเพียงสิบนาทีเท่านั้น ซูลั่วกำหนดความคิด จากนั้นสมุนไพรมากมายมหาศาลก็ก่อตัวขึ้นรอบกายนางเป็นชั้นๆ รวมทั้งสิ้นห้าสิบเจ็ดชั้น ซูลั่วปัดสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ไม่คงที่ออกไปด้วยท่าทางคล่องแคล่วชำนาญ จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนการปรุงโอสถอย่างไม่เร่งรีบ ไม่นานโอสถพิษลวงวิญญาณก็ปรากฏอยู่ในมือของนาง

ซูลั่วส่งโอสถวิหคเทพสีชาด “เชิญ”

“โอสถพิษลวงวิญญาณชั้นจักรพรรดิ? น่าสนใจ” วิหคเทพสีชาดแค่นหัวเราะ จากนั้นก็โยนโอสถพิษลวงวิญญาณเม็ดนั้นเข้าปากโดยไม่รีรอ ก่อนจะเคี้ยวมันราวกับเป็นลูกกวาดรสชาติอร่อยอย่างไรอย่างนั้น นางเคี้ยวไปพลางมือก็คว้านั่นหยิบนี่ไปพลาง จากนั้นกระถางปรุงโอสถจำแลงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ด้านล่างกระถางปรุงโอสถคือเปลวเพลิงร้อนแรงที่ลุกโชน เวลานี้วิหคเทพสีชาดกำลังใส่สมุนไพรลงไปในกระถางทีละต้นๆ นิ้วมือขาวเรียวของนางประหนึ่งกำลังเริงระบำ

ซูลั่วมองโอสถที่อีกฝ่ายปรุงออกมาแล้วลอบถอนหายใจแผ่ว สมกับเป็นวิหคเทพสีชาด โอสถบัวมังกรเสี้ยวจันทราที่นางปรุงออกมาเป็นโอสถถอนพิษสำหรับโอสถพิษลวงวิญญาณจริงๆ นอกจากนี้วิหคเทพสีชาดไม่เพียงแต่ปรุงมันออกมาเท่านั้น นางยังปรับและแก้ไขสูตรของโอสถบัวมังกรเสี้ยวจันทราให้ดีกว่าเดิมอีกด้วย

จากนั้นวิหคเทพสีชาดก็นำโอสถบัวมังกรเสี้ยวจันทราที่ปรุงออกมาอีกเม็ด โยนกลับลงไปในกระถางปรุงโอสถ ก่อนจะเพิ่มสมุนไพรบางชนิดลงไป

ซูลั่วเห็นแบบนั้นก็หนาวยะเยือกขึ้นในใจ นี่มัน…

ไม่นานวิหคเทพสีชาดก็ปรุงโอสถบัวมังกรเสี้ยวจันทราที่มีฤทธิ์รุนแรงสำเร็จ ซูลั่วนิ่วหน้านิดๆ

“โอสถบัวมังกรเสี้ยวจันทราที่ออกฤทธิ์แรงขึ้น เพิ่มเกล็ดกิเลนมังกรฟ้าและหญ้าลี้ลับลงไปจนกลายเป็นพิษประหลาด”

“มีความรู้อยู่บ้างนี่ กินเสีย” วิหคเทพสีชาดส่งโอสถสีน้ำหมึกให้แก่ซูลั่ว

ซูลั่วกลืนโอสถบัวมังกรเสี้ยวจันทราลงคอโดยไม่เอ่ยวาจาใด จากนั้นก็เริ่มปรุงโอสถถอนพิษให้ตนเอง

สองคนต่อสู้กันในภวังค์ความคิดของซูลั่วเพื่อแย่งสิทธิ์ในการครอบครองร่างนี้ เจ้าปรุงโอสถพิษ ข้าปรุงโอสถถอนพิษ สลับกันไปมา

สองคนผลัดกันวางพิษอีกฝ่ายและถอนพิษให้ตนเองรอบแล้วรอบเล่า ตอนต้นวิหคเทพสีชาดยังรู้สึกดูแคลนซูลั่วอยู่บ้าง ทว่าพอผ่านไปนานขึ้น ทั้งคู่ผลัดกันปรุงโอสถมากกว่าร้อยชนิด วิหคเทพสีชาดลงมือรวดเร็ว ขณะที่ซูลั่วก็ไม่ย่อหย่อนไปกว่ากัน

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอายุยังน้อย แต่กลับเป็นผู้ปรุงโอสถมากพรสวรรค์ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว” วิหคเทพสีชาดตัดสินใจแล้วว่าจะปรุงโอสถขนานหนึ่งซึ่งเป็นไม้ตายของนาง

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว ไม่ตอบคำใด วิหคเทพสีชาดหัวเราะเสียงเยือก

“หากพิษชนิดนี้ออกไปสู่โลกภายนอก ไม่มีใครถอนพิษได้อย่างแน่นอน เจ้าเตรียมตัวตายได้!” ที่นี่คือภวังค์ของซูลั่ว หากภวังค์ของนางแปดเปื้อนโอสถพิษแล้วไซร้ ดวงจิตของนางก็จะพังภินท์ตามไปด้วย ทำให้กลายเป็นคนเสียสติในที่สุด

โอสถพิษมารจักรพรรดิต้องใช้สมุนไพรหลักเก้าชนิด สมุนไพรเสริมอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชนิด หญิงสาวตั้งใจคัดสรรสมุนไพรจำนวนหนึ่งพันแปดชนิดออกมา จากนั้นก็ลงมือปรุงโอสถ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง โอสถก็ปรุงสำเร็จ วิหคเทพสีชาดเงยหน้ายิ้มกริ่มยามมองซูลั่ว “นี่คือโอสถพิษมารจักรพรรดิ ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดถอนพิษได้ นังหนู รีบหาวิธีเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นหากพิษนี้ละลายเมื่อใด เจ้าก็เหลือเพียงหนทางตายอย่างเดียว”

รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของซูลั่ว นางเผยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ก่อนจะย้อนถามด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “ไฟของเจ้าเล่า”

วิหคเทพสีชาดฉงน นางก้มหน้ามองกระถางปรุงโอสถของตน ฉับพลันนั้น... สีหน้าของวิหคเทพสีชาดก็แข็งค้าง!

เนื่องจากเมื่อครู่มัวแต่ทุ่มความสนใจกับการปรุงสมุนไพรจนละเลยไฟที่อยู่ใต้กระถางปรุงโอสถไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าไฟด้านล่างดับไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ยามนี้เปลวไฟใต้กระถางปรุงโอสถมิใช่ไฟที่นางเป็นคนจุด แต่กลายเป็นเพลิงพิสดารที่นางไม่เคยพบมาก่อน!

ขณะที่ซูลั่วคุ้นเคยกับเปลวเพลิงนี้ที่สุด เพราะมันคือบัวสีชาดของนางนั่นเอง ซูลั่วสงบเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะนางมีไม้ตายเช่นนี้นี่เอง ก่อนหน้านี้บัวสีชาดเสพผลึกวิญญาณอัคคีปริมาณมหาศาลเข้าไป ทำให้มันจมอยู่ในภวังค์หลับใหล ทว่ายามนี้หลังจากที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง อานุภาพของมันก็แข็งแกร่งขึ้นมาก จนแม้แต่ซูลั่วก็ยังแทบไม่เชื่อ ด้วยเหตุนี้ตอนที่วิหคเทพสีชาดกำลังลำพองใจ เพราะมั่นใจในผลการทดสอบด่านนี้อยู่นั้น ซูลั่วจึงเอ่ยเตือนเรื่องเปลวไฟของอีกฝ่ายด้วยความหวังดี

ระหว่างที่วิหคเทพสีชาดตะลึงงันอยู่นั้น ซูลั่วก็ใช้วิชา เคลื่อนไหวไร้เงา หลบฉากไปอย่างรวดเร็ว วิหคเทพสีชาดตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะมาเยือน ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว…

ครืนๆๆ

กระถางปรุงโอสถระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พริบตานั้นกลุ่มควันก็คลุ้งไปทั่ว อณูอากาศสะท้านสะเทือน วิหคเทพสีชาดผู้น่าเวทนาเดิมทีก็เป็นเพียงดวงจิต ซ้ำบัดนี้ดวงจิตยังอยู่ใกล้กระถางปรุงโอสถที่สุด เรียกว่าเป็นศูนย์กลางของชนวนระเบิดก็ว่าได้ เพราะเหตุนี้จึงปะทะแรงระเบิดหนักหน่วงที่สุดไปด้วย

ก่อนที่ดวงจิตวิหคเทพสีชาดจะสลายไป นางทิ้งวาจาหนึ่งไว้

“วันใดที่เจ้าบรรลุระดับเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นเทวะ พวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง ถึงตอนนั้นผู้ที่เจ้าต้องเผชิญหน้าด้วยก็คือนายท่านของข้า” พูดจบวิหคเทพสีชาดก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียว ทิ้งไว้เพียงเสื้อคลุมสีแดงเพลิงตรงตำแหน่งที่นางเคยอยู่

ซูลั่วมองเสื้อคลุมสีแดงเพลิง หัวใจเต้นระส่ำอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่อาจสงบลงได้ เพราะนางเพิ่งตระหนักในเวลานี้เองว่า เมื่อครู่ผู้ที่นางประลองการปรุงโอสถด้วยหาใช่วิหคเทพสีชาดตัวจริงไม่ แต่เป็นเพียงดวงจิตที่ก่อตัวขึ้นจากเสื้อคลุมสีเพลิงตัวหนึ่งเท่านั้น แค่เสื้อคลุมก็ยังมีพลังยุทธ์แกร่งกล้าถึงขั้นนี้ แล้วเจ้าสมุนไพรวิหคเทพสีชาดตัวจริงจะร้ายกาจถึงเพียงไหน

ยามนี้ซูลั่วรู้สึกว่าเลือดลมในกายปั่นป่วน

“อึก” หลังจากดวงจิตหลุดออกจากภวังค์ ซูลั่วก็เกิดอาการขมเฝื่อนในลำคอ จากนั้นเลือดสดๆ ก็ไหลรินลงมาตามมุมปาก นางระเบิดเพลิงพิสดารจากบัวสีชาดในภวังค์ของตนเอง ซูลั่วเข้าใจความรู้สึกของอวิ๋นอวิ้นในยามนั้นก็ตอนนี้เอง

ครานั้นอวิ๋นอวิ้นบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้แม้ซูลั่วจะเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน ทว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดวิหคเทพสีชาด เพราะหากอีกฝ่ายปรุงโอสถพิษมารจักรพรรดิสำเร็จจริงๆ แล้วละก็ ซูลั่วคงจนปัญญาจะพลิกสถานการณ์ได้

หญิงสาวเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก ก่อนจะเดินหน้าขาวซีดออกมาจากความมืดมิดด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

ณ ทางเข้าหุบเจ้าสมุนไพร ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่พากันว้าวุ่นร้อนใจจนแทบคลุ้มคลั่ง พวกเขาเจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัส พากันโอดครวญและตำหนิตนเองว่าไม่ควรปล่อยให้ซูลั่วเข้ารับการทดสอบในด่านสุดท้ายนี้ หากผู้ปรุงโอสถผู้เปี่ยมพรสวรรค์เช่นนางต้องดับดิ้นไป เรื่องนี้นับว่าเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของวงการผู้ปรุงโอสถ!

ซูลั่วเข้าไปนานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีวี่แวว แบบนี้ยังจะเรียกว่าเป็นข่าวดีได้อีกหรือ นางคงไม่ได้… ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่แทบไม่กล้าจินตนาการต่อ

ตอนนี้เองซูลั่วก็ผลักประตูทางเข้าหุบเจ้าสมุนไพร ก่อนก้าวย่างออกมาจากความมืด

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่พุ่งตัวเข้าไปหานางทันที ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ซูลั่วก็โบกตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิสีแดงเพลิงในมือให้คนเหล่านั้น

ตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ! ตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิของจริง! หมายความว่าซูลั่วผ่านด่านนี้แล้ว?!

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ตะลึงงันอยู่กับที่ พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ เพราะเรื่องนี้ชวนให้รู้สึกตระหนกยิ่งนัก เมื่อครู่พวกเขายังแย่งกันรับซูลั่วเป็นศิษย์อยู่เลย ปรากฏว่าเป็นอย่างไรเล่า ซูลั่วกลับผ่านด่านทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจากหุบเจ้าสมุนไพร แบบนี้ก็เท่ากับว่าความสามารถในการปรุงโอสถของนังหนูผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา?

“เจ้า…” ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่มีคำพูดที่อยากถามมากมาย ทว่าก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี เพราะจนถึงบัดนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้สติ

ซูลั่วมองผู้อาวุโสทั้งสี่ ทว่านางรู้จักเพียงผู้ปรุงโอสถกงซุนคนเดียวเท่านั้น หญิงสาวพยักหน้าให้อีกฝ่าย จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วผละไปอีกทาง ผู้ปรุงโอสถกงซุนหรือจะยอมปล่อยให้นางจากไปเช่นนี้ นางคือผู้ที่ผ่านการทดสอบด่านผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจากหุบเจ้าสมุนไพรเชียวนะ

“ช้าก่อน! เจ้ายังไปไม่ได้!” ผู้ปรุงโอสถกงซุนเข้ามาขวางหน้าซูลั่วทันที “พวกเรามีเรื่องมากมายจะถามเจ้า!”

ทว่าซูลั่วกลับส่ายหน้าน้อยๆ อย่างจนใจ “วันนี้ข้ายังมีธุระอื่น รอไว้จัดการธุระเรียบร้อยเมื่อใดจะกลับมาที่สมาคมผู้ปรุงโอสถ” พูดจบนางก็โบกมือแล้วจากไปอย่างสง่า

จนกระทั่งซูลั่วลับตาไปแล้ว ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามถึงได้ตื่นขึ้นจากภวังค์

“นาง... นางผ่านด่านแล้วจริงๆ หรือ”

“ตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิยังจะเป็นเท็จได้หรือ”

“แต่นางอายุยังน้อยก็…”

“ดูจากลักษณะของนังหนูผู้นี้แล้ว นางน่าจะยังปรุงโอสถมาไม่ถึงพันปีกระมัง?”

“นางทำลายสถิติระดับนี้ ไฉนถึงไม่ได้ยินเสียงสวรรค์ประทานพรเลยเล่า”

ทันใดนั้นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อไปโดยพลัน! ไม่ถูกต้อง! เสียงสวรรค์ประทานพรดังขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนจะเกิดเสียงสวรรค์ประทานพรที่ดังสะท้านไปทั่วทั้งจักรวรรดิกลาง หากคะเนไม่ผิดละก็ ผู้ที่สร้างปรากฏการณ์ในครั้งนั้นต้องเป็นซูลั่วอย่างแน่นอน!

สงเทียนผิงเอ่ยขึ้นแม้จะจนคำพูด “ก็เท่ากับว่านางเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว เวลานี้ก็แค่มาเข้ารับการทดสอบเท่านั้น?”

ผู้ปรุงโอสถกงซุนตบเข่าฉาด “มิน่าเล่า! มิน่านังหนูถึงได้ประกาศก้องว่านางจะคว้าตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิให้ได้ ครานั้นข้าคิดว่านางเอ่ยวาจาอวดอ้างเกินจริง ใครจะคิดเล่าว่านางเอ่ยความจริงออกมา”

ผู้ปรุงโอสถกงซุนและคุณชายฉู่นึกถึงสีหน้าจริงจังกับวาจาที่เอ่ยออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจของซูลั่วก่อนหน้านี้ รอยยิ้มเฝื่อนก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่

นัยน์ตาของหมี่ฟู่กุ้ยสาดประกายวาบ “ซูลั่วเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หมื่นปีจะพบได้สักครา ทว่าด้วยพลังยุทธ์ของนางในเวลานี้มิอาจปกป้องตัวเองได้แน่ เพราะฉะนั้น...”

“ตำหนักผู้ปรุงโอสถจะมาชิงตัวนาง?!” สงเทียนผิงคาดเดาได้ในทันที

ในอดีตกาล ณ อาณาจักรแห่งนี้ยังไม่มีทั้งสมาคมผู้ปรุงโอสถและตำหนักผู้ปรุงโอสถ มีเพียงเจ้าสมุนไพรวิหคเทพสีชาดแห่งหุบเจ้าสมุนไพรผู้เลื่องชื่อระบือนามผู้เดียวเท่านั้น นางรับศิษย์ไว้สองคน ศิษย์ทั้งสองเป็นปฏิปักษ์ต่อกันหลังจากที่นางดับสูญ

ศิษย์พี่ก่อตั้งสมาคมผู้ปรุงโอสถ ศิษย์น้องก่อตั้งตำหนักผู้ปรุงโอสถ อยู่คนละฝ่าย ไม่ต่างอันใดกับน้ำและไฟ หากเรื่องของซูลั่วถูกคนของตำหนักผู้ปรุงโอสถสืบทราบเข้าแล้วละก็ นางต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน เพราะตำหนักผู้ปรุงโอสถต้องมาชิงตัวนางไป หากชิงไปไม่ได้ พวกเขาย่อมเลือกวิธีการทำลายให้สิ้นซาก!

พอคิดถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่จึงตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าใครก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด อ๊ะ! หลังจากผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ทำพันธสัญญากัน พวกเขาก็พบว่ามีบุคคลที่ห้าเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์นี้ด้วย

สายตาเย็นยะเยือกที่ปรายมองมาทำให้คุณชายฉู่ต้องยกสองมือขึ้นยอมจำนนทันที “ข้าไม่ได้ยินอะไร ไม่รับรู้เรื่องใด ข้าสาบานขอรับ!”

หากผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสี่ร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาก็ทรงอิทธิพลมากพอจะทำให้แผ่นดินจักรวรรดิกลางต้องสะท้านสะเทือนได้ หากทั้งหมดคิดจะสังหารเขาปิดปากแล้วละก็ ต่อให้ท่านปู่ออกหน้า ก็เกรงว่าจะยับยั้งภัยพิบัตินี้ไม่ได้

กงซุนจื้อหรูเอ่ย “ข้ารับรองให้ซานเอ้อร์เอง”

ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งสามแค่นเสียง “ฮึ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด! เรื่องนี้จะหลุดไปถึงหูคนตำหนักผู้ปรุงโอสถไม่ได้ ไม่ได้ๆ เท่านี้ไม่พอ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกเราต้องส่งยอดฝีมือไปลอบพิทักษ์ซูลั่วอย่างลับๆ จะให้นังหนูเปี่ยมพรสวรรค์ผู้นี้ตกอยู่ในอันตรายไม่ได้!”

สถานะของผู้ปรุงโอสถเรียกว่าสูงส่งกว่าคนสามัญอยู่แล้ว สถานะของสมาคมผู้ปรุงโอสถก็ยิ่งเหนือกว่า ผู้มียุทธ์ที่สวามิภักดิ์แก่พวกเขามีนับไม่ถ้วน ผู้มียุทธ์ที่ติดหนี้บุญคุณพวกเขาก็มีมากมายมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ไม่นานผู้มียุทธ์สองรายจึงคอยติดตามพิทักษ์ซูลั่วตลอดทั้งวันทั้งคืน แน่นอนว่าซูลั่วไม่รับรู้เรื่องนี้ด้วย ยามนี้นางกำลังหอบตราประทับผู้ปรุงโอสถกองใหญ่ขึ้นขี่หลังอสูรเมฆาเพลิงพันลี้ แล้วมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลถัง

เวลาภายในหุบเจ้าสมุนไพรต่างจากเวลาของโลกภายนอก ซูลั่วอยู่ในหุบเจ้าสมุนไพรสามวัน แต่กับโลกภายนอกแล้วเพิ่งจะผ่านไปสามชั่วยามเท่านั้น ซูลั่วมาถึงสมาคมผู้ปรุงโอสถในช่วงเช้า ตอนที่นางกลับไปถึงจวนสกุลถังก็เป็นเวลาที่ตะวันตรงศีรษะพอดี

 

จวนสกุลถัง

หลังจากที่ซูลั่วทิ้งวาจาสั่งความเอาไว้ ถังมู่เย่าก็เฝ้าอยู่ข้างกายท่านผู้เฒ่าถังไม่ห่าง พอซูลั่วเดินทางมาถึงสกุลถัง องครักษ์ในจวนก็เปิดทางให้นางเข้าไปทันที

ตอนที่ถังอวิ๋นเฟยเห็นซูลั่วก็เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ดวงตาเผยแววหยันออกมา “โอ๊ะ ดูซิว่าใครมา ผู้ปรุงโอสถผู้เก่งกาจไร้เทียมทานในตำนานมิใช่หรือ เป็นอย่างไรบ้างเล่า ออกไปเตร็ดเตร่มาพักใหญ่ จากนั้นค่อยกลับมาตบตาว่าไปสมาคมผู้ปรุงโอสถมาแล้ว?”

ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว “ถูกต้อง ข้าไปสมาคมผู้ปรุงโอสถมาแล้ว”

“หึๆ” ถังอวิ๋นเฟยไม่เชื่อ “อย่างเจ้าน่ะหรือจะมีสถานะเป็นผู้ปรุงโอสถ? อย่าว่าแต่ผู้ปรุงโอสถชั้นสูงเลย ผู้ปรุงโอสถชั้นกลางหรือผู้ปรุงโอสถชั้นต้นก็ยังไม่ใช่ด้วยซ้ำ”

เพราะซูลั่วเพิ่งจะผละไปได้ไม่นานเท่าไร แม้แต่การทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นต้นก็ไม่มีทางใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งวันอย่างแน่นอน ถังอวิ๋นเฟยเคยเข้ารับการทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นต้น เพราะเหตุนี้เขาจึงทราบเรื่องนี้ดี

ซูลั่วได้ยินวาจาอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ถูกต้อง ข้าไม่ผ่านการทดสอบผู้ปรุงโอสถชั้นต้น กลาง และสูง”

ซูลั่วไม่ผ่านการทดสอบก็เพราะนางไม่ได้เข้าทดสอบในด่านเหล่านั้น ทว่าถังอวิ๋นเฟยฟังวาจานี้แล้วคิดว่าเป็นเพราะนางสอบไม่ผ่าน ตอนที่เขากำลังจะหัวเราะลั่นออกมาด้วยความดูแคลน ซูลั่วก็หยิบตราประทับสีแดงเพลิงออกมาแล้วเคาะกับโต๊ะ

ปึกๆ

หญิงสาวแค่นเสียงใส่ทันที “แต่เก็บสิ่งนี้มาได้”

ถังอวิ๋นเฟยชะงัก รู้สึกสะท้านในใจ ไม่ใช่แค่การทดสอบผู้ปรุงโอสถสามัญ แต่เป็นตราประทับสีเพลิงที่ไว้สำหรับผู้ที่ผ่านการทดสอบจากหุบเจ้าสมุนไพร ดีมาก! นังหนูผู้นี้แอบซ่อนไม้ตายเอาไว้ ทว่าแกล้งแต่งหมูหลอกเสือยามอยู่ต่อหน้าเขา!

หลังจากหายตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว ถังอวิ๋นเฟยก็สงบจิตใจลงอย่างรวดเร็ว ทว่ารอยยิ้มของเขากลับดูฝืดเฝื่อนเล็กน้อย “ผู้ปรุงโอสถชั้นสูงพิเศษแล้วอย่างไร แม้แต่ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิก็ยังรักษาท่านพ่อของข้าไม่ได้ เจ้าก็เป็นแค่ผู้ปรุงโอสถชั้นสูงพิเศษเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์ด้วยซ้ำ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาโอ้อวดตนต่อหน้าข้า”

“ผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์?” ซูลั่วหัวเราะเสียงแผ่ว จากนั้นก็วางตราประทับสีแดงเพลิงอีกแผ่นลงบนโต๊ะเสียงดัง

โครม!

“เบิกตาสุนัขของเจ้าดูให้ดี นี่คือสิ่งใด!”

ตรา... ตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์? ซ้ำยังเป็นตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นอาจารย์จากหุบเจ้าสมุนไพร จู่ๆ ถังอวิ๋นเฟยก็รู้สึกหน้ามืด หรือว่านังตัวดีผู้นี้จะหาตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์มาได้อย่างที่เขาประกาศไว้?

ซูลั่วมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม จากนั้นก็หยิบตราประทับแผ่นใหม่ออกมาขว้างใส่แผงอกถังอวิ๋นเฟย “ดูซะ!”

ถังอวิ๋นเฟยรีบรับตราประทับแผ่นนั้นไว้ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ให้ตายเถิด! มันคือตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นปรมาจารย์จากหุบเจ้าสมุนไพรจริงๆ ด้วย!

“เจ้า เจ้า เจ้า!” ถังอวิ๋นเฟยชี้หน้าซูลั่ว มุมปากกระตุกไม่หยุดเพราะความตระหนก “หากเก่งจริงก็เอาตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิมาให้ได้สิ ขอเพียงได้ตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจากหุบเจ้าสมุนไพร ข้าก็จะยอมให้เจ้ารักษา!”

ถังอวิ๋นเฟยรู้ดีว่าตนยื่นข้อเสนอที่บีบคั้นอีกฝ่ายเพียงใด เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้คือภารกิจที่ไม่มีวันสำเร็จได้ ตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจากหุบเจ้าสมุนไพรหมายถึงสิ่งใด ก็หมายถึงสถานะสูงส่งไร้ผู้ใดเทียบเทียมและความช่ำชองด้านการรักษาระดับหมอเทวดาอย่างไรเล่า!

นังหนูที่อยู่ตรงหน้าเขาผู้นี้เป็นแค่สหายร่วมสำนักวิชาของถังมู่เย่าไม่ใช่หรือ ‘นังตัวดีที่มีพลังยุทธ์อ่อนด้อยจะเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิได้หรือ ฮ่าๆๆ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!’

ทว่าซูลั่วกลับล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ จากนั้นก็หยิบตราประทับสีแดงเพลิงอีกแผ่นออกมา ก่อนจะโยนมันให้ถังอวิ๋นเฟย “ชาตินี้คงไม่เคยเห็นมาก่อนกระมัง? รับไป พินิจดูให้ดีๆ”

ตอนที่ถังอวิ๋นเฟยเห็นตราประทับสีแดงเพลิงแผ่นนี้ เขาก็แทบเสียสติไปทันที ร่างกายสั่นเทาอย่างหนัก เจ้าตัวประคองตราประทับแผ่นนั้นด้วยอาการกระสับกระส่ายลุกลี้ลุกลน เพราะเกรงว่าหากไม่ทันระวังจะทำให้ตราประทับอันล้ำค่านี้ร่วงลงกับพื้น

“ผู้...ผู้...ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ…” ถังอวิ๋นเฟยแทบจะร่ำไห้ออกมา! นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน! สมาคมผู้ปรุงโอสถมีผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิทั้งหมดแค่สี่คน ทว่าทั้งสี่ก็มิใช่ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่ผ่านการทดสอบจากด่านหุบเจ้าสมุนไพร

“คงไม่ใช่ของปลอมกระมัง?” ถังอวิ๋นเฟยพึมพำ เงยหน้าก่อนจะเห็นแววเยาะหยันที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของซูลั่ว พริบตานั้นใบหน้าเขาก็แดงก่ำแทบจะในทันที ตราประทับจากสมาคมผู้ปรุงโอสถถูกผนึกเอาไว้ด้วยพลังวิเศษ ไม่มีทางที่จะปลอมแปลงได้ การที่เขาเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ก็อธิบายได้เพียงว่าตัวเขานี่เองที่มีปัญหา

หลังจากฉวยตราประทับคืนมาจากมือถังอวิ๋นเฟยแล้ว ซูลั่วก็ผลักประตูเข้าไปในห้องท่านผู้เฒ่าถัง

ถังอวิ๋นเฟยอยากจะห้าม ทว่าก็ไม่กล้าพอที่จะทำ ทำอย่างไรดี… พิษนั้นจะถูกจับได้หรือไม่ ถังอวิ๋นเฟยกำหมัดแน่น แววอำมหิตสาดมาจากนัยน์ตา คิดจะสังหารซูลั่วในเวลานี้ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ ซ้ำยังเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่ผ่านด่านการทดสอบหุบเจ้าสมุนไพร ทำเช่นนี้อาจได้ไม่คุ้มเสีย

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ ถังอวิ๋นเฟยก็รีบเรียกตัวลูกน้องผู้หนึ่งเข้ามาแล้วกระซิบสั่งความบางอย่าง ก่อนที่คนผู้นั้นจะผละไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

ยามนี้ซูลั่วมาหยุดอยู่เบื้องหน้าท่านผู้เฒ่าถัง ถังมู่เย่าเฝ้าท่านปู่อย่างใกล้ชิดมาตลอด ปกป้องดูแลท่านปู่ของตนโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา เมื่อครู่เขาไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงกระจ่างใสที่ดังขึ้นด้านนอกทำให้ถังมู่เย่ารู้ว่าบัดนี้ซูลั่วเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิแล้ว ซ้ำยังเป็นผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิที่ผ่านด่านหุบเจ้าสมุนไพรด้วย

ถังมู่เย่าลุกขึ้นทันทีที่เห็นซูลั่ว ท่าทางเคารพนอบน้อมราวกับเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสที่ตนให้ความเคารพสูงสุด

ซูลั่วพยักหน้าให้ชายหนุ่ม ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยคำใด นางตรงเข้าไปรักษาท่านผู้เฒ่าถังในทันที พิษในกายท่านผู้เฒ่าถังถูกกระตุ้นขึ้นอีกครั้ง อันตรายบังเกิดได้ทุกเมื่อ หากไม่รีบรักษา เกรงว่าต่อให้ปรมาจารย์หรงอวิ๋น... ท่านอาจารย์ของนางมาเองก็คงจะช่วยเหลือไม่ได้เช่นกัน

ถังมู่เย่ามองฝ่ามือเกลี้ยงเกลาปานหยกของซูลั่วที่เคลื่อนไหวเป็นพัลวันไปมาแล้วก็ตะลึงงันอยู่กับที่ โลกนี้ผันเปลี่ยนเร็วเกินไปแล้ว ถึงตอนนี้เขาก็ยังตะลึงงันกับความจริงที่ได้ยินเมื่อครู่ ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ… ผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจากหุบเจ้าสมุนไพร…

ถังมู่เย่าคิดถึงครั้งแรกที่เขาพบหน้าซูลั่ว เวลานั้นห่างจากตอนนี้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ครานั้นซูลั่วเพิ่งจะเข้าเรียนในชั้นหัวกะทิ ในสายตาของเขา นอกจากหน้าตางดงามแล้ว หญิงผู้นี้ก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก ถังมู่เย่าถึงขั้นรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสนทนากับเขาด้วยซ้ำ ทว่านี่เพิ่งจะผ่านมาเท่าไรกัน ไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ นางกลับ…

หากสถานะผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิของซูลั่วแพร่สะพัดออกไป ถังมู่เย่าเชื่อว่าทั่วทั้งเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกลางจะต้องสั่นสะเทือน และเกิดคลื่นพายุปั่นป่วนปรวนแปรอย่างแน่นอน! ถังมู่เย่ามองซูลั่วด้วยอาการใจลอยเนิ่นนาน

“แบ่งพลังวิเศษออกเป็นสองสายแล้วถ่ายทอดเข้าไปยังจุดหย่งเฉวียน[1] ของท่านปู่เจ้า” ซูลั่วรีบถอนพิษให้ท่านผู้เฒ่าถัง ปากก็สั่งความถังมู่เย่าไปพร้อมกัน

ร่างกายของท่านผู้เฒ่าถังในเวลานี้ไม่ใช่แค่ต้องพิษ นอกจากพิษในกายแล้ว สังขารของเขาก็เริ่มเสื่อมและโรยราลงราวกับโคมไฟสิ้นน้ำมัน เพราะเหตุนี้ซูลั่วแรงเดียวจึงอาจรักษาไม่ทันกาล นางจำต้องออกปากให้ถังมู่เย่าช่วย

“ถังมู่เย่า!” ซูลั่วเห็นถังมู่เย่าไม่ตอบรับก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความฉงน

“อ๊ะ! อะไรหรือ” ถังมู่เย่าตื่นจากภวังค์ทันที เขาตกใจจนกายสะท้าน จากนั้นก็นึกขุ่นขึ้งตัวเองในใจ เขาอยู่ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ยังเอาแต่มองซูลั่วจนใจลอย ช่างเป็นหลานอกตัญญูเสียจริงๆ!

ซูลั่วมองค้อนอีกฝ่าย “แบ่งพลังวิเศษออกเป็นสองสาย แล้วถ่ายทอดเข้าไปยังจุดหย่งเฉวียนของท่านปู่เจ้า ข้าจะถอนพิษให้ท่านปู่ของเจ้าก่อน แต่เจ้ากลับมัวถ่วงเวลาท่านปู่ของเจ้า”

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ถังมู่เย่าก้าวเข้ามาทันที

เวลานี้ถังอวิ๋นเฟยตามเข้ามาในห้องด้วยเช่นกัน พอถังมู่เย่าเห็นอีกฝ่าย สีหน้าก็เคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความระแวดระวัง

ทว่าซูลั่วกลับดูเหมือนไม่เห็นฝ่ายนั้น หรือจะพูดว่านางมองเขาไม่ต่างกับอากาศธาตุก็ว่าได้ เวลานี้เป็นช่วงสำคัญที่สุดในการรักษาอาการของท่านผู้เฒ่าถัง นางจะพลั้งเผลอไม่ได้เด็ดขาด

เข็มทองสิบสองเล่มในมือซูลั่วปักเข้าไปยังจุดเลือดลมสิบสองตำแหน่งบนร่างท่านผู้เฒ่าถัง ก่อนหญิงสาวจะปราดปลายนิ้วผ่านเข็มทองทั้งสิบสองเล่มด้วยท่าทางประหนึ่งดีดพิณ พริบตานั้นเองปลายเข็มทองก็สั่นไม่หยุดราวกับปะทะคลื่นสายฟ้า จากนั้นมันก็เคลื่อนตัวเข้าแทรกในผิวกายของท่านผู้เฒ่าถังลึกลงไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นใบหน้าของท่านผู้เฒ่าถังที่เดิมขาวซีดไร้สีเลือด บัดนี้เส้นเอ็นสีเขียวคล้ำก็ปูดบวมขึ้นเป็นทางราวกับจะระเบิด!

ท่านผู้เฒ่าถังลุกพรวดขึ้นนั่งแล้วกระอักเลือดสดออกมา

“อึก อึก อึก”

ซูลั่วตาไวมือไว นางคว้ากระโถนใบหนึ่งเข้ามารองเลือดท่านผู้เฒ่าถังที่กระอักออกมาไว้ได้ทัน เข็มทองสิบสองเล่มยังสั่นพลิ้วไม่หยุด ขณะที่ท่านผู้เฒ่าถังก็กระอักเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูน่าตระหนกเป็นอย่างมาก!

“ท่านปู่!” ถังมู่เย่าจ้องท่านผู้เฒ่าถังด้วยสายตาตระหนก กระอักเลือดมากถึงเพียงนี้… ร่างกายของท่านปู่เสียหายถึงขั้นไหนกัน ขอบตาถังมู่เย่าแดงก่ำด้วยความปวดใจ

“ซูลั่ว เจ้ารีบหาวิธีเร็วเข้า หากเป็นเช่นนี้ท่านปู่ต้องกระอักเลือดออกมาจนหมดแน่!” เสียงถังมู่เย่าเจือสะอื้น

แววตาเคียดแค้นของอวิ๋นหลงจ้องมองซูลั่ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ซูลั่ว เจ้ามาช่วยคนหรือว่าสังหารคนกันแน่!”

ซูลั่วไม่มีเวลาสนใจอีกฝ่าย ทว่าถังอวิ๋นเฟยซึ่งรอโอกาสนี้มาตลอด มีหรือที่จะปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ

“อันที่จริงเจ้าไม่ใช่ผู้ปรุงโอสถกระมัง ตราประทับจากหุบเจ้าสมุนไพรพวกนี้เจ้าขโมยมาจากผู้อื่นใช่หรือไม่!” ถังอวิ๋นเฟยแค่นเสียงเยือก

ซูลั่วมองค้อนอีกฝ่าย “เจ้าช่วยหาข้ออ้างที่เข้าท่ากว่านี้ที”

ถังอวิ๋นเฟยหัวเราะเสียงเยือก “หากท่านพ่อของข้ามอดม้วย เจ้าก็คือฆาตกร! สกุลถังไม่ปล่อยเจ้าแน่!”

ถังมู่เย่าถลึงตาใส่ถังอวิ๋นเฟย “ผู้สืบทอดสกุลถังคนต่อไปก็คือข้า ไม่ใช่ท่านอา เพราะฉะนั้นท่านหุบปากเสียเถิด!”

“ถังมู่เย่า! เจ้ามันช่าง...” ถังอวิ๋นเฟยขบกรามแน่นอย่างขัดเคืองใจ “ถูกสตรีล่อลวงจนมัวเมา แม้แต่ชีวิตของปู่เจ้าก็ไม่แยแสแล้วใช่หรือไม่ คนเยี่ยงเจ้ามีสิทธิ์อะไรเป็นผู้สืบทอดสกุลถัง เจ้ามันไม่คู่ควร!”

ป้ายสีเขาด้วยความผิดเช่นนี้เพราะหวังว่าจะกำจัดเขาออกจากสกุลถัง และหมายจะชิงตำแหน่งผู้สืบทอดสกุลถังใช่หรือไม่ ถังมู่เย่าโกรธจนร่างสั่นเทิ้ม ความคิดสับสนอลหม่านยุ่งเหยิง 

ซูลั่วปรายสายตาขุ่นมองถังมู่เย่า “หากเจ้ายังจิตใจว้าวุ่นเช่นนี้อีกละก็ ท่านปู่ของเจ้ามีหวังได้ตายเพราะเจ้าจริงๆ แน่”

วาจานี้ของซูลั่วเหมือนกับน้ำเย็นที่รดลงบนศีรษะของถังมู่เย่า ช่วยให้จิตใจของเขาสงบได้ ถูกต้อง สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือชีวิตของท่านปู่ สำหรับซูลั่ว... ในเมื่อนางได้รับตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิมาจากหุบเจ้าสมุนไพร ถังมู่เย่าจึงเชื่อมั่นในตัวนางอย่างไร้ข้อกังขา

อาการกระอักเลือดของท่านผู้เฒ่าถังทุเลาลง เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง พลางหอบหายใจอย่างหนัก พอเวลาผ่านไปสีหน้าของเขาก็กลับมามีสีเลือดขึ้นทีละนิด ยิ่งพอเห็นหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงก็รู้ว่าสัญญาณชีพของชายชราฟื้นกลับมาอีกครั้งแล้ว

นัยน์ตาของถังอวิ๋นเฟยสาดประกายวาบ! เขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของท่านผู้เฒ่าถัง แต่เป็นเด็กกำพร้าที่อีกฝ่ายช่วยเหลือมาจากภัยสงคราม หากท่านผู้เฒ่าถังรู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ต้องไม่ละเว้นเขาอย่างแน่นอน ผู้ปรุงโอสถกงซุนรักษาอาการของอีกฝ่ายไม่หาย แต่ว่าซูลั่วผู้นี้ไม่แน่ว่าอาจจะ…

ถังอวิ๋นเฟยรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรถึงจะยับยั้งได้

ซูลั่วปรายตามองถังมู่เย่า “เจ้าดูสิ อาการดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ พิษในกายท่านปู่ของเจ้ายับยั้งได้แล้ว อาการป่วยก็ทุเลาลง”

“อือ!” ถังมู่เย่าพยักหน้าแรงๆ เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของซูลั่วอย่างถึงที่สุด หากไม่ได้ซูลั่ว เขาก็คงสูญเสียคนใกล้ชิดที่สุดไป และต้องกลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรอีกครั้ง

สายตาของถังอวิ๋นเฟยจับนิ่งที่ท่านผู้เฒ่าถัง แววตาหลุกหลิกและสีหน้าก็มีเลศนัย เขาเห็นกับตาตนเองว่าสีหน้าของท่านพ่อเริ่มแดงขึ้นมา ลมหายใจก็ค่อยๆ สงบ ซ้ำขนตายังสั่นเบาๆ ราวกับกำลังจะฟื้นขึ้นมา

ถังอวิ๋นเฟยสะท้านเยือก! ท่านพ่อต้องสงสัยในตัวเขาอย่างแน่นอน หากได้สติเมื่อใดก็ต้องชี้ตัวว่าเขาเป็นผู้วางยาพิษ!

ถังอวิ๋นเฟยทนไม่ไหวอีกต่อไป ตอนที่ซูลั่วกำลังจะรักษาด้วยโอสถขนานสุดท้าย เขาก็ทำเป็นขาพลิก กายเซวูบไปทางซูลั่วทันที

ซูลั่วไม่ทันระวัง โอสถในมือของนางจึงร่วงลงสู่พื้น จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงแตก

เพล้ง!

เมื่อขวดโอสถแตก ของเหลวใสก็กระเซ็นไปทั่ว

ซูลั่วเงยหน้าแล้วมองถังอวิ๋นเฟยด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ แววเดือดดาลที่ยากจะข่มได้เผยออกมาทางสีหน้า “เจ้าทำอะไร!”

ถังมู่เย่ามองขวดที่แตกละเอียดและโอสถที่กระเซ็นอยู่บนพื้น หัวใจก็พลันปวดปลาบขึ้นมา เขาก้าวพรวดเข้ามากระชากตัวถังอวิ๋นเฟยด้วยความเร็วปานลูกธนู “ท่านทำอะไร! ท่านอยากให้ท่านปู่ตายถึงเพียงนี้เลยหรือ! หากท่านปู่ตายไปแล้วท่านได้ประโยชน์อันใดกัน!”

ถังอวิ๋นเฟยเองก็ดูเหมือนจะตะลึงงันกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน เขาขยับริมฝีปาก ทว่าก็ไม่เอ่ยคำใดออกมา นันย์ตาฉายแววหดหู่และสำนึกผิด ก่อนสุดท้ายจะเผยสีหน้าร่ำไห้แล้วเอ่ย “เสี่ยวเย่า อาไม่ดีเอง อาทรงตัวไม่อยู่… ท่านพ่อ ลูกอกตัญญูแล้ว!”

ซูลั่วมองถังอวิ๋นเฟยแสดงละครด้วยแววตาเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าโอสถขนานนี้ปรุงยากมากเพียงใด! ข้าต้องใช้เวลาถึงสิบวันกว่าจะปรุงมันได้ ตอนนี้เจ้าทำขวดแตกเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าร้ายแรงเพียงใด!”

ปรุงยากมากหรือ ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าท่านพ่อต้องมอดม้วยอย่างแน่นอน ดีเหลือเกิน! ดวงตาที่หลุบลงของถังอวิ๋นเฟยสาดประกายลำพอง ทว่าตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งกลับแทนที่ด้วยร่องรอยแห่งความละอายใจ น้ำเสียงของเขาสะอึกสะอื้นยามเอ่ย “คราวนี้ทำอย่างไรดีเล่า ข้าหาได้ตั้งใจไม่… ถ้าอย่างไรเจ้าก็ปรุงใหม่อีกสักครั้ง หากต้องการสมุนไพรใด สกุลถังของเราจะจัดหาให้ในทันที!”

ซูลั่วมองค้อนอีกฝ่าย “ปรุงใหม่ตอนนี้จะไปทันอะไรกัน ต้องใช้เวลาถึงสิบวัน!”

“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า…” ฝ่ามือข้างลำตัวถังอวิ๋นเฟยกำแน่น สุขสมจนแทบจะหมดสติทีเดียว

ทว่าจังหวะนี้เอง ซูลั่วก็หยิบโอสถอีกขวดหนึ่งออกมาจากหีบโอสถ พลางถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ยังดีที่ข้าเตรียมมาอีกขนาน ไม่เช่นนั้นละก็... ท่านปู่ของเจ้าเป็นได้ดับดิ้นจริงๆ แน่!”

ถังอวิ๋นเฟยเงยหน้าพรวด ก่อนจะเห็นโอสถเหลวใสในขวดที่ซูลั่วถือ หัวใจของเขาเกือบจะเต้นระรัวด้วยความตระหนก ‘ทำอย่างไรดี! หากท่านพ่อดื่มโอสถขวดนี้เข้าไป จะต้องฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น...’

ถังอวิ๋นเฟยไม่ใคร่ครวญอะไรอีกแล้ว ตอนที่ซูลั่วกำลังจะจ่อขวดโอสถเข้าที่ปากท่านผู้เฒ่าถัง เขาก็พุ่งตัวเข้าไปอย่างแรง! ความเร็วของถังอวิ๋นเฟยว่องไวและปราดเปรียวยิ่งนัก ซ้ำพลังยุทธ์ของเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าซูลั่วมาก ทันทีที่เขาสะบัดมือออกมา ก็ทำให้ขวดโอสถนั้นกระเด็นลอยไปกระแทกกับผนังทันที โอสถเหลวใสด้านในหกกระเซ็นออกมา

ถังอวิ๋นเฟยเตรียมหัวเราะลั่น เขาทำสำเร็จแล้ว ทำลายโอสถขวดนั้นลงได้! เขาขัดขวางโอกาสฟื้นคืนของตาเฒ่าได้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมา จู่ๆ เขาก็พบว่าร่างกายของตนเองถูกพลังหมัดหนักหน่วงปะทะอย่างเต็มกำลัง

ไฉนถึงได้… ถังอวิ๋นเฟยที่ร่างลอยละลิ่วออกไปตกตะลึงพรึงเพริด ขณะเดียวกันก็ถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรง ความรู้สึกปวดปลาบพุ่งปราดไปที่สมอง ดูเหมือนจะได้สติคืนมาหลายส่วนจากความเจ็บปวดรวดร้าวในครานี้

เกิดอะไรขึ้น ถังอวิ๋นเฟยมองไปทางเตียงนอน จากนั้นม่านตาก็หดวูบทันที คนที่ปล่อยกำปั้นใส่เขาหาใช่ซูลั่วไม่ แต่เป็นท่านผู้เฒ่าถัง!

ท่านผู้เฒ่าถังหยัดกายลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ ร่างอันทรงอำนาจนั้นประหนึ่งอสูรจากนรกภูมิ กลิ่นอายอำมหิตแผ่ซ่านออกมา คุกรุ่นไปด้วยพลังอันน่ากริ่งเกรง แววตาอันเฉียบแหลมที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนของท่านผู้เฒ่าถัง บัดนี้คมกริบปานกระบี่น้ำแข็งยามจับจ้องอีกฝ่าย เลือดสดไหลรินออกจากมุมปากถังอวิ๋นเฟย หัวใจของเขาคล้ายเป็นก้อนน้ำแข็ง

ท่านผู้เฒ่าถังในเวลานี้ไม่ได้กระเสาะกระแสะคล้ายคนเจ็บป่วย ที่พร้อมจะขาดใจตายลงทุกเมื่อเหมือนก่อนหน้านี้ ตรงกันข้าม เขาดูคล้ายเทพเจ้าแห่งสงครามที่ระเบิดรังสีสังหารออกมามากกว่า

ท่านผู้เฒ่าถังเดินเนิบนาบก่อนจะหยุดเบื้องหน้าถังอวิ๋นเฟย จากนั้นก็ย่อตัวลง

ถังอวิ๋นเฟยขดกายแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตากับอีกฝ่าย ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยกำลังของท่านผู้เฒ่าถังบีบลำคอของถังอวิ๋นเฟยแล้วรั้งตัวเขาขึ้นมา

“ท่านพ่อ…” ขณะนั้นถังอวิ๋นเฟยรู้สึกว่าสมองลั่นกริ่ง เขารู้เพียงว่าการโขกศีรษะขอชีวิตเท่านั้นที่พอจะเป็นทางรอดเดียวในเวลานี้

ท่านผู้เฒ่าถังแค่นหัวเราะ “ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยบอกข้าว่าเจ้าเป็นคนวางยาพิษข้า ครั้งนั้นข้าไม่เชื่อ โชคดีที่ข้าฟังวาจาของนาง แสร้งทำเป็นหลับไม่ฟื้น ข้าถึงได้เห็นละครสนุกๆ ฉากนี้!”

ถังอวิ๋นเฟยเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วทุกอย่าง! สลบไสลไม่ได้สติอะไรกัน โอสถปรุงยากอะไรกัน ทั้งหมดก็เป็นแค่แผนการที่วางไว้เท่านั้นเอง เป้าหมายก็เพื่อล่อให้เขาลงมือ ทั้งหมดเป็นแผนการของนังตัวดีซูลั่วผู้นี้ ถังอวิ๋นเฟยอยากจะสะบัดฝ่ามือใส่ตัวเองให้ตายไปเสียเดียวนี้

ท่านผู้เฒ่าถังบีบลำคอถังอวิ๋นเฟยด้วยแววตาเย็นยะเยือก “ตอบข้า ทำไมถึงทำเช่นนี้”

ถังอวิ๋นเฟยที่ถูกสายตาของท่านผู้เฒ่าถังจับจ้องเผยแววตาอำมหิตออกมา “ท่านสังหารข้าเถิด! ข้าไม่มีวันพูด!”

“เจ้าคิดว่าไม่พูดก็จะไม่มีใครรู้หรือ” ท่านผู้เฒ่าถังแค่นหัวเราะอีกครั้ง “ข้าเก็บเจ้ามาจากสนามรบ เลี้ยงเจ้าตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ดูแลเจ้าไม่ต่างจากบิดาของเสี่ยวเย่า เพราะอะไรเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้!”

“ดูแลไม่ต่างกัน ฮ่าๆๆ!” ถังอวิ๋นเฟยระเบิดเสียงหัวเราะ “หากดูแลไม่ต่างกัน ไฉนถังไห่เฟิงตายไปแล้ว ท่านถึงยังยกตำแหน่งผู้สืบทอดสกุลให้ถังมู่เย่า แต่ไม่ให้ข้าเล่า!”

“นี่เป็นสาเหตุที่เจ้าทรยศสกุลถังอย่างนั้นหรือ” ท่านผู้เฒ่าถังถึงกับหายใจติดขัด

ที่แท้เขาก็เลี้ยงจิ้งจอกไว้ข้างกายมาตลอดหลายปี!

“ถูกต้อง! ข้าไม่พอใจ! เพราะอะไรถังไห่เฟิงมอดม้วยไปแล้ว ท่านถึงไม่มอบสกุลถังให้ข้า แต่กลับมอบให้เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! ข้าต่างหากที่เป็นคนนำพาสกุลถังไปสู่ความยิ่งใหญ่เกรียงไกร!” ถังอวิ๋นเฟยเอ่ยอย่างไม่ยอมจำนน

ประกายเดือดดาลปรากฏขึ้นในดวงตาท่านผู้เฒ่าถัง มือของเขากำแน่นขึ้น “การตายของไห่เฟิง เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้อง?”

หัวใจของถังมู่เย่าบีบรัดแน่น การตายของบิดามารดาเป็นอุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดทั้งสิ้น คงไม่ใช่ฝีมือของท่านอา เป็นไปไม่ได้…

ทว่าถังอวิ๋นเฟยรู้แล้วว่าตนคงไม่รอดเป็นแน่ เพราะเหตุนี้เขาจึงยิ่งคิดจะยั่วยุให้ท่านผู้เฒ่าถังโกรธแค้นและดับดิ้นไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงเผยความจริงทั้งหมดออกมา “ข้าวางแผนด้วยความยากลำบาก ในที่สุดก็ทำให้ถังไห่เฟิงตายด้วยอุบัติเหตุได้ แต่ตาเฒ่าไม่ยอมลงโลงเยี่ยงเจ้ากลับมอบสกุลถังให้ถังมู่เย่า ทำให้ข้าเสียแรงเปล่าโดยแท้”

ถังมู่เย่าโมโหจนสั่นไปทั้งร่าง เช่นนี้ก็หมายความว่าถังอวิ๋นเฟยมีเจตนาร้ายตั้งแต่แรก ปองร้ายบิดามารดาของตนจนตาย ทำให้เขาเกือบจะตายตามไปด้วยอีกคน ซ้ำยังลอบวางยาพิษท่านปู่มานาน…

“ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า! ฆ่าเจ้าให้ตาย!” ถังมู่เย่าขาดสติทันที เขาพุ่งตัวเข้าใส่ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขัง จากนั้นก็ประเคนหมัดใส่ถังอวิ๋นเฟยหมัดแล้วหมัดเล่าประหนึ่งสัตว์ป่าดุร้ายที่หลุดจากพันธนาการ

ถังอวิ๋นเฟยมีพลังยุทธ์เหนือกว่าถังมู่เย่า แต่เพราะเขาถูกท่านผู้เฒ่าถังบีบคอไว้ เหตุนี้จึงต้องทนรับความเจ็บปวดรวดร้าวจากกำปั้นของถังมู่เย่า โดยที่ไม่อาจขยับไปทางใดได้

ไม่รู้ว่าถังมู่เย่าออกแรงนานเท่าไร ไม่รู้ว่าถังอวิ๋นเฟยต้องรับหมัดไปมากน้อยเพียงใด จนกระทั่งถังมู่เย่าหยุดมือ ลมหายใจของถังอวิ๋นเฟยก็อ่อนระรวยแล้ว

“ใครอยู่เบื้องหลังเจ้า” แววตาลึกล้ำของท่านผู้เฒ่าถังจ้องมองถังอวิ๋นเฟยนิ่ง

“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ พวกเจ้าไม่มีวันรู้…” พูดจบถังอวิ๋นเฟยก็ทำท่าจะกัดลิ้นตาย ทว่าซูลั่วจับสังเกตอีกฝ่ายอยู่ตลอด ดังนั้นก่อนที่เขาจะได้กัดลิ้นตัวเอง เข็มทองเล่มหนึ่งก็ปักเข้าที่เส้นลมปราณข้างแก้ม

ริมฝีปากของถังอวิ๋นเฟยชาวาบในทันที เขาถลึงตาใส่ซูลั่วอย่างโกรธแค้น ซูลั่วกลับหัวเราะแล้วผายมือ สุดท้ายท่านผู้เฒ่าถังก็เป็นคนลงมือด้วยตนเอง ในที่สุดก็เค้นความออกมาได้ว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังถังอวิ๋นเฟยก็คือสกุลมู่หรง

“มู่หรงชิงเจ๋อ เจ้าคนชั่ว!” ท่านผู้เฒ่าถังระเบิดความเดือดดาลออกมา เส้นเอ็นที่หลังมือของเขาปูดโปน จากนั้นก็บีบคอถังอวิ๋นเฟยจนสิ้นลม!

“ท่านปู่!” ถังมู่เย่ามองท่านปู่บีบคอถังอวิ๋นเฟยจนตาย ก่อนที่ร่างของอีกฝ่ายจะล้มพับไปเช่นกัน…

ท่านผู้เฒ่าถังเจ็บป่วยสาหัส แม้ซูลั่วจะรักษาอาการเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่หายขาดรวดเร็วดังใจคิด ท่านผู้เฒ่าถังสำแดงพลังยุทธ์ออกมาได้ถึงระดับนี้ ก็เพราะอาศัยพลังทั้งหมดที่มีในกาย ยามนี้พละกำลังทั้งหมดสูญสิ้นแล้ว เขาจึงยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป

ท่านผู้เฒ่าถังหมดสติ ถังมู่เย่ามองซูลั่วด้วยแววตาวิงวอน ซูลั่วพยักหน้า จากนั้นเข็มทองแปดเล่มก็ลอยไปปักยังตำแหน่งต่างๆ บนร่างของท่านผู้เฒ่าถัง

หลังจากนั้นหนึ่งนาที ซูลั่วก็ถอนเข็มทองออกมาพลางพยักหน้าให้ถังมู่เย่า “รักษาชีวิตของท่านผู้เฒ่าถังเอาไว้ได้ แต่ช่วงนี้อย่าทำให้เขาโมโหอีกเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นผลย่อมไม่อาจคาดคิดแน่”

“ข้าจะจำไว้” ถังมู่เย่ามองซูลั่วด้วยแววตาจริงจัง “ขอบใจเจ้ามาก!”

บุญคุณหนึ่งหยดน้ำต้องทดแทนด้วยสายน้ำตก บุญคุณที่ซูลั่วมีต่อเขาหาใช่เพียงหยดน้ำเดียวไม่ ถังมู่เย่าสาบานว่าหลังจากนี้ขอเพียงซูลั่วต้องการความช่วยเหลือจากเขา ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ เขาก็จะไม่ปฏิเสธสักคำ

ชายหนุ่มที่ไม่ถนัดเรื่องการเจรจาปราศรัยไม่ได้เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา ทว่าสายตาของเขาก็บ่งบอกความตั้งใจของตนได้อย่างชัดแจ้ง

ซูลั่วพยักหน้าให้อีกฝ่าย “ดูแลท่านผู้เฒ่าถังให้ดี”

แม้ถังอวิ๋นเฟยถูกลงโทษจนตายไปแล้ว แต่เขาก็อาศัยอยู่ในสกุลถังมานานปี มีพรรคพวกไม่น้อย การจัดการกับคนเหล่านั้นให้สิ้นซากนับว่าเป็นงานหนักหนาสำหรับถังมู่เย่า แต่นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ในฐานะผู้สืบทอดสกุลถัง หากเรื่องนี้ยังไร้กำลังจัดการได้ เช่นนั้นอนาคตจะเป็นเช่นไร

 

หลังออกมาจากสกุลถัง ซูลั่วก็ปล่อยอสูรเมฆาเพลิงพันลี้ออกมาจากมิติ จากนั้นก็ตรงไปที่สำนักตงหัวทันที ทว่าออกเดินทางมาได้ไม่นาน จู่ๆ นางก็สัมผัสได้ถึง... ความผิดปกติ!

ประสาทสัมผัสที่หกของซูลั่วแม่นยำยิ่งนัก นางตระหนักถึงรังสีสังหารซึ่งพุ่งเป้ามาที่ตัวนาง แม้กลิ่นอายอันตรายระลอกนั้นจะยังทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่ง ทว่ามันก็กำลังเข้าประชิดมาอย่างรวดเร็ว ซูลั่วไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งใดอีก นางเร่งเจ้าอสูรเมฆาเพลิงพันลี้ให้ออกทะยานด้วยความเร็วสูงสุด

อสูรเมฆาเพลิงพันลี้มีพลังยุทธ์ชั้นเทพฤทธิ์เก้าดาว ตอนที่มันเร่งความเร็วพุ่งไปข้างหน้าก็ชวนให้ตกตะลึงพรึงเพริดยิ่งนัก

ทว่าสีหน้าของซูลั่วกลับทะมึนลงทุกที รังสีต่อสู้ประหัตประหารคุกรุ่นแผ่ออกมาจากร่างนาง เพราะบัดนี้อันตรายกำลังตามติดนางเข้ามาทุกฝีก้าวแล้ว

ทำอย่างไรดี! ซูลั่วรู้สึกเข้าตาจนเป็นครั้งแรก ยังไม่ทันได้คิดหาวิธีตอบโต้ อันตรายก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างที่คะเนเอาไว้

ผู้มาเยือนสองรายสวมชุดดำและใช้ผ้าคลุมสีดำปิดบังใบหน้า เผยให้เห็นเพียงแววตาเย็นชาคู่หนึ่ง ทั้งคู่มองซูลั่วด้วยสายตาราบเรียบราวกับมองซากศพ

คนชุดดำสองรายนี้เข้าขวางด้านหน้าและด้านหลังซูลั่ว ทางสายนี้คับแคบ เมื่อถูกบีบทั้งหน้าและหลังเช่นนี้ อสูรเมฆาเพลิงพันลี้ก็จำต้องหยุดฝีเท้า

ซูลั่วปรายสายตาเย็นชามองอีกฝ่าย “พวกเจ้าเป็นใคร”

“คนที่จะสังหารเจ้า” หนึ่งในคนชุดดำตอบ น้ำเสียงของเขาทะมึนเยือกประหนึ่งความตายมาเยือน จากนั้นก็พุ่งเข้าโจมตีซูลั่วโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก

กระบี่ในมือคนชุดดำหมายเลขหนึ่งดุจคลื่นน้ำที่โถมทะลักเข้าใส่ซูลั่วด้วยประกายสังหารคุกรุ่น

กระบี่ในมือคนชุดดำหมายเลขสองประหนึ่งเปลวไฟพวยพุ่ง ทั้งยังกรุ่นด้วยไออำมหิต

เมื่อต้องรับมือกับการโจมตีจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซูลั่วก็ได้แต่หลบเลี่ยงจนเกือบเอาตัวไม่รอด ใบหน้าของนางถมึงทึง เพราะหญิงสาวตระหนักได้ว่าพลังยุทธ์ของคนชุดดำคู่นี้แข็งแกร่งกว่านางมาก ต่อให้นางสำแดงไม้ตายที่มีอยู่ทั้งหมดก็ยังห่างชั้นกับพวกเขาอยู่ดี

ทำอย่างไรดี! ซูลั่วครุ่นคิดอย่างสิ้นหวัง หรือว่าวันนี้จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสียแล้ว?

ตอนที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย ซูลั่วก็ส่งข้อความผ่านหยกสื่อสารไปหาคนคู่หนึ่ง คนแรกคือเสี่ยวเค่อ ซึ่งเวลานี้กำลังมุ่งมาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุด อีกคนก็คือหนานกงหลิวอวิ๋น แต่เนื่องจากหนานกงหลิวอวิ๋นอยู่ระหว่างเก็บตัวฝึกฝนพลังยุทธ์ เขาจึงปิดหยกสื่อสารเอาไว้

หากเสี่ยวเค่อเดินทางด้วยความเร็วเต็มกำลัง เขาจะมาถึงภายในหนึ่งเค่อ แต่ดูจากพลังการโจมตีของชายชุดดำคู่นี้แล้ว ซูลั่วไม่มีทางต้านทานได้ถึงหนึ่งเค่ออย่างแน่นอน

หญิงสาวหวังจะเจรจาเพื่อถ่วงเวลา ทว่า... ไม่มีประโยชน์ คนชุดดำปฏิเสธที่จะสื่อสารกับนางอย่างสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวไม่หยุดในเวลานี้ก็คือกระบี่ที่อยู่ในมือพวกเขา

ฉัวะ!

ซูลั่วหลบได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าแขนข้างหนึ่งของนางถูกคมกระบี่กรีดเป็นทาง เลือดสดไหลรินออกมา ความเจ็บปวดแผ่ลามไปทั่วร่าง แต่นางก็ยังกัดฟันอดทนเอาไว้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเพลงกระบี่ที่โรมรันเข้ามาปานสายฝนของยอดฝีมือทั้งสองรายนี้ หากนางผ่อนกำลังลงเพียงนิดก็อาจพลั้งพลาดจนดับดิ้น

ฉัวะ!

ขาซ้ายของซูลั่วต้องคมกระบี่

ไม่ได้การ! หากสู้ต่อไปคงมีเพียงหนทางตายเท่านั้น ต้องรีบคิดหาวิธีการ!

“ตายเสียเถิด!” แววอำมหิตเหี้ยมเกรียมสะท้อนออกมาจากดวงตาของคนชุดดำทั้งสอง พวกเขารู้ว่ากองหนุนของซูลั่วกำลังมุ่งหน้ามา เพราะฉะนั้นจะต้องจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เสี้ยวพริบตาถัดมาคนชุดดำก็สำแดงพลังยุทธ์ทั้งหมดที่มี

ขั้นบรรลุสามดาว! ทั้งสองคนมีพลังยุทธ์ขั้นบรรลุสามดาว แววตระหนกผุดวาบขึ้นในดวงตาซูลั่ว นางตระหนักพร้อมกับรู้สึกหดหู่ ด้วยการโจมตีระดับนี้ตนมิอาจต้านทานไหวอย่างแน่นอน

ทว่าในตอนนี้เอง... อสูรเมฆาเพลิงพันลี้ก็ควบตะบึงเข้ามา มันใช้อุ้งเท้าตวัดร่างซูลั่วมาหลบอยู่ใต้ท้องของมัน ด้วยหวังว่าจะใช้ร่างกายอันแข็งแกร่งใหญ่โตรับการปะทะจากอีกฝ่ายเอาไว้แทน

“ตาย!” ทันใดนั้นประกายแสงจากกระบี่เล่มหนึ่งก็สาดสะท้อนขึ้นกลางวงต่อสู้อย่างกะทันหัน คมกระบี่วับวาว รังสีสังหารคุกรุ่น

คนชุดดำสองรายที่เดิมสำแดงฤทธิ์เดชด้วยความลำพองใจต่อหน้าซูลั่ว ถูกผู้มียุทธ์รายนี้ไล่ต้อนจนต้องถอยกรูดไปด้านหลังไม่หยุด ทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วออกวิ่งทันที

ซูลั่วที่นอนพังพาบอยู่กับพื้นเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เห็นว่าชายหนุ่มคุ้นหน้าคนหนึ่งกำลังยื่นมือมาให้นางด้วยท่าทีอย่างสุภาพบุรุษ

คุณชายฉู่?

“ไฉนถึงเป็นเจ้าได้” ซูลั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย นางไม่ได้จับมืออีกฝ่าย แต่ตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้นด้วยตนเอง

ซูลั่วรีบเก็บอสูรเมฆาเพลิงพันลี้เข้าไปในมิติทันที เนื่องจากมันเป็นสัตว์พาหนะที่หนานกงหลิวอวิ๋นมอบให้นาง นางจะไม่ยอมให้มันบาดเจ็บแม้เพียงนิดเดียว

คุณชายฉู่มองเห็นแววคลางแคลงใจในสายตาของซูลั่วก็เคาะศีรษะนางอย่างขัดใจ “เจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้าจงใจส่งคนชุดดำสองรายนี้มาเพื่อสังหารเจ้า จากนั้นก็แสร้งปรากฏตัวขึ้นให้ทันเวลาเพื่อแสดงละคร ‘วีรบุรุษช่วยหญิงงามหรอกกระมัง’ หากเจ้ากล้าคิดเช่นนี้ละก็!”

ซูลั่วกุมศีรษะที่ถูกเคาะจนเจ็บเอาไว้แล้วแลบลิ้นออกมา “ใครให้เหตุการณ์บังเอิญถึงเพียงนี้เล่า ข้าหาได้ตั้งใจไม่”

“ยังจะกล้าคิดเช่นนั้นอีกหรือไม่” คุณชายฉู่ปั้นหน้าตึงพลางขึงตาดุใส่ซูลั่ว

“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ เหตุใดต้องดุด้วยเล่า” ซูลั่วเอ่ยเสียงขุ่น “อีกอย่าง... เจ้าก็ดูเถิด พลังยุทธ์ของเจ้าจับตัวพวกเขาได้ง่ายปานพลิกฝ่ามือ แต่เจ้ากลับจงใจปล่อยให้พวกเขาหนีไป แบบนี้จะไม่สงสัยได้หรือไรกัน”

คุณชายฉู่ค้อนควักใส่ซูลั่ว “เจ้าช่างกล้านัก ตั้งแต่เล็กจนโตยังไม่เคยมีใครสงสัยคลางแคลงใจในตัวคุณชายฉู่ผู้นี้มาก่อน!”

แปะๆๆ!

คุณชายฉู่ปรบมือ องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็หิ้วตัวคนชุดดำสองรายเข้ามาทันที เวลานี้คนชุดดำถูกมัดด้วยเชือกแน่นจนกลายเป็นบ๊ะจ่าง ปากถูกอุดเอาไว้ด้วยผ้ากระสอบ ทั้งคู่ได้แต่ร้องอือๆๆ

ซูลั่วมองคนชุดดำ พอรู้ตัวว่านางเข้าใจคุณชายฉู่ผิดไป เจ้าตัวก็แลบลิ้นออกมา “เอาละๆ ข้าผิดเองที่ตำหนิเจ้า แต่เจ้าไม่อธิบายให้ชัดแจ้ง จะโทษข้าคนเดียวก็ไม่ได้”

คุณชายฉู่ขึงตาใส่ซูลั่ว ยังดีที่เป็นหญิงผู้นี้ หากเป็นคนอื่นละก็ เขาคงสะบัดฝ่ามือใส่จนนางปลิวไปแล้ว

คุณชายฉู่เชิดหน้าพลางโบกพัดด้วยท่าทางยโส “เจ้าสองคนนี้มีคุณสมบัติใดให้คุณชายฉู่อย่างข้าต้องลงมือด้วยตนเองกัน หากไม่ใช่เพราะยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนของข้า มีหรือที่ข้าจะลงมือ”

“คุณชายฉู่ ข้ามิใช่คนของเจ้า” ซูลั่วแก้คำพูด ก่อนจะเบนความสนใจจากคุณชายฉู่ไปที่คนชุดดำทั้งสองแทน

ตอนแรกคนชุดดำทั้งสองไม่ยอมปริปากพูด ทว่าหลังจากถูกซูลั่วรีดข้อมูล พวกเขาก็ยอมคายความจริงออกมา

สกุลมู่หรง! ตัวการที่ส่งนักฆ่ามาสังหารซูลั่วก็คือสกุลมู่หรง

คุณชายฉู่คิดไม่ถึงว่าคนชุดดำทั้งสองจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเช่นนี้ ชายหนุ่มชะงักไปในทันที หากบอกว่าสกุลฉู่คือสกุลอันดับหนึ่งแห่งแปดสกุลดัง ณ จักรวรรดิกลาง ถ้าเช่นนั้นเกรงว่าอันดับสองก็คงไม่พ้นสกุลมู่หรง เนื่องจากรู้ว่าสกุลของตนมีอำนาจและแข็งแกร่งเพียงใด เพราะเหตุนี้ตอนที่คุณชายฉู่รู้ว่าซูลั่วล่วงเกินสกุลมู่หรงเข้า เขาจึงอดปาดเหงื่อแทนนางไม่ได้

ทว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะไกล่เกลี่ยไม่ได้เสียทีเดียว ขอเพียงซูลั่วแสดงตราประทับผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิจากหุบเจ้าสมุนไพรออกมา สกุลมู่หรงต้องไม่กล้าแตะต้องนางอย่างแน่นอน แต่ไม่กล้าแตะต้องในที่สว่าง แล้วลับหลังเล่า? เรื่องนี้ใครจะรู้ได้...

“ใช้ผู้มียุทธ์ขั้นบรรลุสามดาวสองคนไล่ล่าสังหารเจ้า ช่างฟุ่มเฟือยดีแท้ แม่นาง เจ้าไปล่วงเกินอะไรสกุลมู่หรงเข้าเล่า” คุณชายฉู่ถามอย่างสนอกสนใจ

ล่วงเกินอะไรสกุลมู่หรง? เรื่องนี้ถ้าจะให้เล่าคงกินเวลานานเป็นแน่

“เล่นงานมู่หรงโม่จนเกือบเสียสติ ชิงกระบี่มู่อวิ๋นของนางมา ทำลายหอสุราเมฆาของสกุลมู่หรง ซ้ำเมื่อครู่ยังก็ยังทำลายแผนการที่สกุลมู่หรงตระเตรียมไว้หลายปีจนพังลง เพราะเหตุนี้…” ซูลั่วผายมืออย่างจนใจ

กระบี่มู่อวิ๋น… คุณชายฉู่รู้ว่าเหตุที่ซูลั่วล่วงเกินสกุลมู่หรงจนถึงกับถูกลอบสังหารเช่นนี้ก็เพราะกระบี่มู่อวิ๋นนั่นเอง

“หากเจ้าคืนกระบี่มู่อวิ๋น…” คุณชายฉู่แนะนำด้วยความหวังดี

“ไม่มีทาง” วาจานี้ของซูลั่วตัดช่องไกล่เกลี่ยประนีประนอมลงทันที คนอื่นคิดเพียงว่ากระบี่มู่อวิ๋นเป็นกระบี่ล้ำค่า มีแต่ซูลั่วเท่านั้นที่รู้ว่ามันคือหนึ่งในอาวุธเทวะสิบสองนักรบ เป็นกุญแจสำคัญที่นางใช้สำหรับตามหาบิดามารดา แล้วนางจะคืนมันให้สกุลมู่หรงได้อย่างไรกัน

คุณชายฉู่จนปัญญา เรื่องนี้ดูทีว่าคงจัดการไม่ง่ายนัก

“เอาละ ข้าส่งเจ้ากลับไปเอง” ชายหนุ่มเช็ดคราบเลือดที่แขนเสื้อและกระโปรงของซูลั่ว นัยน์ตาฉายแววอาทรออกมา

ทว่าในตอนนี้เองซูลั่วก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกในอากาศ นางเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นว่าผู้มาเยือนคือเสี่ยวเค่อ หญิงสาวส่ายหน้าเป็นความหมายให้คุณชายฉู่ “ไม่เป็นไร เสี่ยวเค่อของข้ามาแล้ว”

ซูลั่วจูงมือเสี่ยวเค่อผละไปในทันที ทว่าคุณชายฉู่กลับหัวเราะเยือกด้วยท่าทีผยอง “เจ้าทำเช่นนี้กับผู้มีพระคุณหรือ”

ซูลั่วชะงักฝีเท้า จากนั้นก็หันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่น “แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร”

“เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า” คุณชายฉู่เห็นซูลั่วหยุดเดินก็คลี่ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้ม

ซูลั่วใคร่ครวญอยู่ครู่ ก็จริง หากไม่ใช่เพราะคุณชายฉู่ปรากฏตัวทันท่วงที นางก็คงไม่รอดมาจนกระทั่งได้เจอหน้าเสี่ยวเค่อ และป่านนี้เสี่ยวเค่อก็คงพบเพียงศพเย็นเฉียบเท่านั้น เพราะเหตุนี้ซูลั่วจึงสบตากับอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าเนิบนาบ “ได้ ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า”

คุณชายฉู่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ข้าให้เจ้าชดใช้เมื่อใด เจ้าก็ต้องชดใช้ หากเจ้ารู้สึกว่าชีวิตของเจ้าไม่มีค่าพอถึงขั้นนั้น เจ้าจะปฏิเสธก็ได้”

คุณชายฉู่ผู้นี้เจรจาต่อรองเป็นหรือไม่

ซูลั่วมองค้อนชายหนุ่ม “ตกลง” ก่อนจะรีบดึงเสี่ยวเค่อจากไปทันที

“ช้าก่อน!” คุณชายฉู่เห็นซูลั่วรีบร้อนจากไปแบบนั้น น้ำเสียงของเขาก็เริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

“ยังมีอะไรอีกเล่า” ซูลั่วรู้สึกจนปัญญากับผู้มีพระคุณของนางเสียเหลือเกิน หญิงสาวหันกลับมาแล้วมองเขาด้วยท่าทางรำคาญใจเล็กน้อย

“เจ้าไม่แม้แต่จะถามชื่อแซ่ของข้า…” คุณชายฉู่มีท่าทางหดหู่ ราวกับคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรอย่างนั้น

“…” ซูลั่วเอ่ยไม่ออก ที่คุณชายฉู่เอ่ยมาก็ถูก จนกระทั่งถึงบัดนี้นางรู้เพียงว่าเขามีแซ่ฉู่ เป็นคุณชายลำดับที่สามของสกุลเท่านั้น แต่นอกจากนี้แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาอีก

ดวงตากลมโตกระจ่างใสของคุณชายฉู่เอาแต่จ้องมองซูลั่วเขม็งอยู่เช่นนั้น

หญิงสาวที่ไร้ทางเลือกเอ่ยขึ้น “เจ้าชื่ออะไร”

“ฉู่หรงจิ่น ชื่อของข้าคือฉู่หรงจิ่น!” ฉู่หรงจิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับประกาศวาจาประกาศิต มีท่าทางมุ่งมั่นตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าจำได้แล้ว ฉู่หรงจิ่น” ซูลั่วพยักหน้ารับ จากนั้นก็หมุนตัวกลับ

ฉู่หรงจิ่นมองแผ่นหลังที่ผละไปแล้วของซูลั่ว ก่อนยิ้มกว้างออกมาอย่างเบิกบาน

‘ซูลั่ว เจ้าต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าพวกเราจะได้พบกันอีกในเร็ววันนี้ ฮ่าๆๆ!’

ซูลั่วคิดว่าฉู่หรงจิ่นจะใคร่ครวญแผนการทวงหนี้บุญคุณให้รอบด้านมากกว่านี้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะทวงบุญคุณคืนอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

 

ซูลั่วกลับมาถึงสำนักตงหัวอย่างปลอดภัยด้วยการอารักขาของเสี่ยวเค่อ บาดแผลตามร่างกายนางไม่สาหัสนัก เพราะเหตุนี้ไม่ถึงสองวันนางก็หายดีและไปเข้าเรียนตามปกติ

วันนี้เป็นวันบรรยายรวมของสำนักตงหัว ศิษย์ชั้นสามัญและชั้นหัวกะทิจะเข้าเรียนพร้อมกัน พอถึงเวลาเลิก...

ทันใดนั้นใครบางคนก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับทำลายความเงียบสงบในชั้น เขาคือศิษย์ชั้นปีสอง มีพลังยุทธ์ในลำดับสูงกว่าห้าสิบ ในมือของชายหนุ่มคือดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวช่อใหญ่ เขาเดินประคองมันเข้ามาหยุดตรงหน้าซูลั่วท่ามกลางสายตาของศิษย์ทั้งสำนัก

พอบรรดาศิษย์ที่กำลังจะผละไปเห็นเหตุการณ์นี้ ก็พากันรุมล้อมเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ศิษย์พี่ชวีข่ายเอินจากชั้นปีสองประคองช่อดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวด้วยสองมือ พลางยิ้มกริ่มขณะมองซูลั่ว “ศิษย์น้องซู ดอกไม้ช่อนี้มอบให้เจ้า”

“อา! หวานซึ้งเหลือเกิน!” ทันใดนั้นเสียงปรบมือก้องด้วยความยินดีก็ดังขึ้นท่ามกลางศิษย์ในสำนัก

“ศิษย์พี่ชวีข่ายเอินช่างใจใหญ่นัก ดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวนี้นอกจากจะงดงามแล้ว มันยังมีสรรพคุณช่วยให้จิตใจสงบ มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนพลังยุทธ์ยิ่งนัก!”

“ดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวดอกเดียวมีมูลค่าเท่ากับผลึกสีม่วงหนึ่งร้อยก้อน แต่ที่อยู่ในมือศิษย์พี่ชวีข่ายเอินเวลานี้มีถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก!”

“ก็เท่ากับว่าดอกไม้ช่อนี้มีมูลค่าเท่ากับผลึกสีม่วงหนึ่งแสนก้อน! ช่างมั่งคั่งโดยแท้!”

“แม้ศิษย์พี่ชวีข่ายเอินจะไม่คู่ควรกับลูกพี่ของเรา แต่เรื่องฐานะก็พอจะชดเชยแทนได้ แบบนี้น่าพิจารณาอยู่”

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงขรม แต่ละคนเผยสายตาอยากรู้อยากเห็น

ซูลั่วนิ่วหน้า แววตาเย็นชาปรายมองอีกฝ่าย “ใครสั่งให้เจ้านำมา” แค่ปรายตามองเสื้อผ้าอาภรณ์ของชวีข่ายเอิน ซูลั่วก็รู้ถึงสถานะอีกฝ่ายอย่างแจ่มแจ้ง ศิษย์พี่ชวีข่ายเอินผู้นี้ไม่มีทางมีเงินถุงเงินถังแน่

ชวีข่ายเอินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาทันที “ศิษย์น้องซูเฉียบแหลมนัก ข้ายังไม่ทันเอ่ย เจ้าก็คะเนได้แล้ว ถูกต้อง ข้ารับไหว้วานมาจากคนผู้หนึ่ง ดอกไม้ช่อนี้เป็นของคนผู้นั้น ศิษย์น้องซูรับไว้เถิด”

“หากข้าไม่รับเล่า” ซูลั่วมองชายหนุ่มด้วยแววตาราบเรียบประหนึ่งผิวน้ำ สีหน้าของนางคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

ชวีข่ายเอินหัวเราะ “คนผู้นั้นบอกว่าหากศิษย์น้องซูไม่รับ หนี้บุญคุณก็จะยืดเยื้อไปอีก”

ชวีข่ายเอินไม่รู้เรื่องหนี้บุญคุณ เขาเพียงแต่มีหน้าที่ถ่ายทอดความเท่านั้น แต่ซูลั่วกลับเดาได้ในทันที ฉู่หรงจิ่น ต้องเป็นเขาแน่ เพิ่งจะผ่านมาสองวันเท่านั้น เขาก็รีบร้อนทวงบุญคุณคืนเสียแล้ว แต่ก็ดีเหมือนกัน หนี้บุญคุณต้องทดแทน ชดใช้เร็วก็เลิกแล้วต่อกันเร็วขึ้น

ซูลั่วพยักหน้า นางรับดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวช่อใหญ่มา จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วโยนมาให้เฟ่ยจวินผิง “นำไปแจกจ่าย”

ศิษย์คนอื่นๆ พูดไม่ออก ‘ลูกพี่! นี่มันดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวเชียวนะ’

ดอกไม้ล้ำค่าที่แต่ละดอกราคาเท่ากับผลึกสีม่วงหนึ่งร้อยก้อน ซูลั่วกลับสั่งให้นำไปแจกจ่าย แบบนี้ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไปหรือ!

ในความคิดของศิษย์เหล่านี้ ผลึกสีม่วงหนึ่งร้อยก้อนนับว่าเป็นมูลค่ามหาศาล ครั้งหนึ่งซูลั่วก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าในสายตาของผู้ปรุงโอสถชั้นจักรพรรดิ ผลึกสีม่วงก็เป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น สิ่งที่หญิงสาวมีไม่ขาดมือในเวลานี้ก็คือผลึกสีม่วง เพราะขอเพียงท่านผู้เฒ่าถังมีชีวิตรอดหนึ่งวัน นางก็จะได้ผลึกสีม่วงเพิ่มหนึ่งหมื่นก้อน

ในสภาวะทรัพย์สินไหลมาเทมาเช่นนี้ ซูลั่วจึงไม่ได้กระหายผลึกสีม่วงเหมือนเมื่อก่อนอีก ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกสักสามสี่ปี คลังสมบัติส่วนตัวของฉู่หรงจิ่นอาจจะเทียบนางไม่ได้ด้วยซ้ำ

บรรดาศิษย์ในสำนักกรูกันเข้ามาแย่งชิงดอกไม้ช่อใหญ่ไปจนหมดเกลี้ยง ต่างก็ครอบครองดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวคนละดอกสองดอกกลับไปเรือนพักของตนอย่างลิงโลด ขณะที่ซูลั่วเดินตรงไปยังประตูสำนัก เพราะเมื่อครู่นางเพิ่งได้รับข้อความที่ส่งมาจากฉู่หรงจิ่น

ด้านนอกประตูสำนักวิชายุทธ์ ซูลั่วก็เห็นอาชาหิมะสายฟ้ายืนอยู่ไกลออกไป ด้านหลังอาชาหิมะสายฟ้าผูกกับเกี้ยววิจิตรหลังหนึ่ง

สายตาของซูลั่วเฉียบคม แค่ปรายมองนางก็รู้ว่าอาชาหิมะสายฟ้าตัวนี้มิใช่สัตว์วิเศษธรรมดา พลังยุทธ์ของมันเหนือกว่าอสูรเมฆาเพลิงพันลี้ของนาง นั่นก็เท่ากับว่าอาชาหิมะสายฟ้ามีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นบรรลุ แต่ว่าจะเป็นขั้นบรรลุกี่ดาว หญิงสาวก็มิอาจรู้ได้เช่นกัน

ฉู่หรงจิ่นเลิกม่านวิจิตรออก ก่อนจะคลี่ยิ้มเจิดจ้าให้ซูลั่ว “รีบขึ้นมาเร็ว”

ชายหญิงร่วมเกี้ยวหลังเดียวกันหรือ ซูลั่วไม่อยากถูกนินทาครหา นางจึงนิ่วหน้านิดๆ “หากข้าไม่ไปเล่า”

“ถ้าเช่นนั้นหนี้บุญคุณก็จะยืดเยื้อไปอีก” เวลานี้เรื่องเดียวที่ฉู่หรงจิ่นนำมาใช้เป็นข้อต่อรองกับซูลั่วได้ก็คือหนี้บุญคุณนั่นเอง

ซูลั่วมองค้อนอีกฝ่าย

เรื่องดอกเกล็ดหิมะปลิดปลิวเป็นที่รู้กันไปทั่วสำนักตงหัว ซูลั่วยอมขาดทุนแบบนั้น นางย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปอยู่แล้ว หญิงสาวกระโจนขึ้นเกี้ยว พอก้าวเข้าไปด้านใน เจ้าตัวก็มองฉู่หรงจิ่นด้วยสายตาขุ่นเคือง “ได้ ข้าจะไป ว่ามา... จะให้ชดใช้หนี้บุญคุณอย่างไร”

ฉู่หรงจิ่นมองซูลั่วพร้อมรอยยิ้มกริ่ม เผยให้เห็นลักยิ้มที่มุมปาก “วันนี้เจ้าเดินทางเป็นเพื่อนข้า ข้าไปไหน เจ้าก็ไปที่นั่น หลังจากวันนี้ก็ถือว่าเราไม่ติดค้างบุญคุณกันอีก”

ซูลั่วขมวดคิ้ว “หากเจ้าพาข้าไปร่วมสังหารคนวางเพลิงเล่า?”

“ก็แค่สังหารคนวางเพลิง เรื่องแบบนี้ใช่ว่าคุณชายฉู่ของเจ้าไม่เคยทำมาก่อน” ฉู่หรงจิ่นเอ่ยออกมาด้วยท่าทางอันธพาล

สมกับเป็นลูกหลานของสกุลใหญ่โต เอ่ยเรื่องสังหารคนวางเพลิงออกมาง่ายๆ ด้วยท่าทางลิงโลดลำพองใจ ทว่าซูลั่วก็ยังแก้คำพูดอีกฝ่ายด้วยสีหน้าขรึม “เจ้าไม่ใช่คุณชายฉู่ของข้า”

ฉู่หรงจิ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาหัวเราะพลางตบไหล่ซูลั่ว “เอาละๆ วางใจเถิด ข้าจะพาเจ้าไปทำอะไรสนุกๆ ใครจะมีเวลามาสังหารคนวางเพลิงกัน ว่าอย่างไร จะไปหรือไม่”

ฉู่หรงจิ่นเอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว ซูลั่วยังจะทำอะไรได้อีกเล่า

“ไปที่ใด” ซูลั่วถามเสียงขุ่น

ฉู่หรงจิ่นทำท่าเป็นต่อ “ไปแล้วเดี๋ยวก็รู้”

ซูลั่วผายมือพลางตกปากรับคำ “ก็ได้ แล้วแต่เจ้า”

เรื่องที่ซูลั่วไม่รู้เลยก็คือ อันที่จริงซูลั่วไม่จำเป็นต้องติดหนี้บุญคุณเขาด้วยซ้ำ เพราะในเวลานั้นทั้งคนสกุลถังและคนของสมาคมผู้ปรุงโอสถต่างก็มาถึงพร้อมกันพอดี ทว่ารอยยิ้มกว้างของฉู่หรงจิ่นเป็นสิ่งที่ยับยั้งคนอื่นๆ เอาไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็ทะยานเข้าไปสร้างสถานการณ์ ‘วีรบุรุษช่วยหญิงงาม’ ด้วยตนเอง จนกระทั่งนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภายหลังนั่นเอง

ตอนนี้เองหยกสื่อสารของซูลั่วก็สว่างวาบขึ้น หญิงสาวเหลือบมอง ก่อนพบว่าผู้ที่ติดต่อมาคือหนานกงหลิวอวิ๋น

เขาเป็นอิสระแล้วหรือ

ซูลั่วรีบกดตอบรับทันที


[1] ตำแหน่งตรงจุดที่บุ๋มที่สุดซึ่งอยู่กลางฝ่าเท้าเวลาจิกเท้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น