บทที่ 3
อดีตผู้กองหน้าดุเล่าเหตุการณ์ที่เคยผ่านมา รวมถึงความรักที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งพูดคนฟังก็ยิ่งรู้สึกอบอุ่นหัวใจ และสายตาสองคู่ที่มองเขาอย่างไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในคราแรกก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อแน่ใจว่าชยินมีความรักที่มั่นคงต่อ วริสา นภัสชลหันไปมองทางภูริชคล้ายกับต้องการแนวร่วม พออีกฝ่ายพยักหน้าเธอจึงถอนใจแล้วพูดว่า
“ถึงแม้ฉันจะเป็นเพื่อนสนิทของหมอลี และต่อให้ฉันสนับสนุนความรักของคุณ แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจก็คือหมอลี”
“ข้อนั้นผมทราบดี วันนี้ผมจึงตั้งใจเดินหน้ามาทวงถามความรักและหวังไว้อย่างเต็มเปี่ยมว่า ความรักของผมจะได้รับโอกาสจากเธอ”
“ผมขอเอาใจช่วยนะผู้กอง ขอให้คุณประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ” ภูริชอวยพร
“ขอบคุณที่เข้าใจผม” ชยินยิ้มให้ทั้งคู่อย่างเป็นมิตร และรอยยิ้มของชยินก็ทำให้สองสามีภรรยาหันมองหน้ากัน แล้วเบนกลับไปจ้องใบหน้าดุดันเปลี่ยนที่เป็นอ่อนโยนอย่างน่าอัศจรรย์นั้นด้วยความทึ่ง
“คุณยิ้มเป็นด้วยเหรอคะ” เพราะไม่เคยเห็นชยินในมุมละมุนละไมมาก่อน จึงทำให้นภัสชลเผลอหลุดคำถามออกไปอย่างยั้งไว้ไม่อยู่ และคำพูดนั้นก็ทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มขยายกว้างกว่าเดิม
“อะไรทำให้หมอคิดว่าผมยิ้มไม่เป็นครับ...” ชยินถามน้ำเสียงกึ่งขบขัน
“ก็ฉันไม่เคยเห็นคุณยิ้มมาก่อน ตอนอยู่ที่หมู่บ้านสีหน้าของคุณเรียบเฉย จริงจัง และดุดันจนอดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าคุณยิ้มเป็นไหม”
“เวลานั้นผมคงจริงจังกับภาระหน้าที่มากไปหน่อย อีกอย่างสถานะของผมในเวลานั้นรอยยิ้มมันไม่มีความจำเป็นเท่ากับความเฉียบขาด” คำพูดของนภัสชลทำให้ชยินอดนึกถึงคำแนะนำของของซาเยร์ไม่ได้...ตกลงรอยยิ้มมันมีความสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ...
“แล้วตอนนี้ละคะคุณคิดว่าอะไรมันมีความจำเป็นมากกว่ากันระหว่างรอยยิ้มกับความเฉียบขาด”
“เท่าที่เห็นจากสีหน้าของพวกคุณทั้งสองผมคิดว่า มันคงมีความจำเป็นมากเชียวล่ะ นอกจากนั้นก่อนจะมานี่ซาเยร์ก็บอกให้ผมหัดยิ้มเหมือนกัน”
“ซาเยร์ก็มาด้วยเหรอคะ”
“ครับ แต่ผมไม่ให้มาวุ่นวายกลัวจะเสียเรื่อง ตั้งแต่ออกจากป่าไอ้ลิงนั่นมันป่วนเก่งขึ้นทุกวัน” คำบอกเล่านั้นทำให้คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเพราะนึกไม่ออกว่า นายทหารคนสนิทของผู้กองหน้าดุที่มีบุคลิกเหมือนผู้เป็นนายราวกับโคลนนิ่งกันมา จะป่วนคนตรงหน้าด้วยอารมณ์แบบไหน
“เวลาทำให้พวกคุณดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะคะ” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า
“ใช่ครับเวลาทำให้อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไป แต่น่าแปลกนะครับที่ความรู้สึกบางอย่างมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย โดยเฉพาะความรู้สึกมั่นคงที่เรามีให้ใครสักคน” นภัสชนรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาดกับคำพูดจริงจังเต็มไปด้วยการรอคอยนั้น
“ฉันเชื่อแล้วค่ะว่าคุณมีความมั่นคงต่อหมอลี และเท่าที่สังเกตฉันคิดว่าความรู้สึกรอคอยนั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่คุณ แต่...วันนี้โชคยังไม่ได้อยู่ข้างคุณหรอกนะคะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับถอนใจเบาๆ ให้กับเส้นทางความรักของทั้งสองที่ยังคงเป็นเหมือนดั่งเส้นขนาน
“หมายความว่ายังไงครับ” ชยินถามขณะจ้องสีหน้าหม่นลงของคนตรงหน้าอย่างไม่สบายใจ
“เวลานี้หมอลีไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”
“อะไรนะครับ! เธอไม่อยู่”
“ใช่ค่ะ...”
“เธอไปไหนเหรอครับ” ถามอย่างกระตือรือร้น
“หมอลีเดินทางไปทำหน้าที่แพทย์อาสาในแอฟริกา กว่าจะกลับมาก็อาจจะหนึ่งอาทิตย์หรือมากกว่านั้น”
“อะไรนะ! เธอไปทำหน้าที่แพทย์อาสาในแอฟริกา ให้ตายเถอะในประเทศไทยไม่มีคนไข้ให้รักษาแล้วหรือไง ผมละเชื่อเลยจริงๆ” คราแรกเขาคิดว่าเธออาจจะออกไปทำหน้าที่แพทย์อาสาอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าเธอจะอาสาไปไกลถึงขั้นข้ามทวีปไปอีกซีกโลกหนึ่ง
“คนไข้มีอยู่ทุกที่นั่นแหละค่ะ แต่บางพื้นที่ก็มีข้อจำกัดทำให้มีผู้คนมากมายรอคอยโอกาส พวกเขาต้องการหมอและมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา ผู้กองก็เคยเผชิญหน้ากับความจำเป็นนั้นมาแล้วน่าจะเข้าใจดีนะคะว่า ความหวังของคนที่ยืนอยู่บนความสิ้นหวังนั้นมันน่าเศร้าขนาดไหน” นภัสชลตอบคำถามนั้นด้วยหัวใจของคนเป็นหมอที่มีอุดมการณ์ฝังอยู่ในทุกขณะจิต
“ถ้าหมอทุกคนคิดได้แบบคุณคงดี” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างนับถือกับความดีงามในหัวใจของเธอ
“หมอทุกคนก็คิดเหมือนกับดิฉันนี่แหละค่ะ เพราะต่างก็ต้องการเห็นคนคนไข้หายจากอาการเจ็บป่วย ส่วนหมอบางคนที่ไม่ได้ออกหน่วยแพทย์อาสาใช่ว่าพวกเขาจะรักสบายและไม่เสียสละ แต่ความพร้อมของคนเรานั้นแตกต่างกัน ทุกคนย่อมมีเหตุผลและหน้าที่ของตน” หญิงสาวพูดในฐานะของคนที่เป็นหมอ
“ได้ยินแบบนี้แล้วผมรู้สึกนับถือในความเสียสละของหมอลี และแน่นอนว่าผมจะสนับสนุนให้เธอได้ทำงานที่เธอรักอย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกอย่างโดยเฉพาะด้านการเงิน”
“ถ้าคุณรักหมอลี คุณก็คิดถูกแล้วที่พร้อมสนับสนุนและเดินอยู่บนถนนสายเดียวกันกับเธอ” ภูริชเอ่ยอย่างผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน
“แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปคะ” นภัสชลถามอย่างเห็นใจกับความรักของชายหนุ่มที่เพิ่งจะเริ่มต้นก็มีระยะทางเป็นอุปสรรคเสียแล้ว
“ผมจะตามเธอไปครับ” คำตอบเต็มไปด้วยความมุ่งนั่นนั้นทำให้คนฟังถามย้ำอย่างคาดไม่ถึง
“อะไรนะคะ!”
“ผมจะไปแอฟริกา หมอพอทราบไหมครับว่าเธอไปที่ไหน” ชยินตอบออกไปโดยไม่ได้ใช้เวลาในการตัดสินใจเลยแม้แต่น้อย
“คุณแน่ใจเหรอคะว่าต้องการตามหมอลีไปจริงๆ”
“แน่ใจสิครับ ผมปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมามากพอแล้ว เวลานี้ผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อแสดงถึงความตั้งใจจริง วันนี้ผมเดินทางไกลเพื่อมาหาเธอ และก็พร้อมเดินทางไปในทุกๆ ที่ ต่อให้ไกลจนสุดขอบฟ้าผมก็จะไปตามหาเธอ” คำพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ นั้นทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาซึมด้วยความปลื้มเปรมใจ
“ฉันอยากให้ลีมาได้ยินในสิ่งที่คุณพูดในวันนี้ เอาละถ้าคุณแน่ใจฉันก็ยินดีที่จะให้ข้อมูล คุณชยินฉันหวังว่าการไปของคุณจะช่วยทำให้หมอลีพบกับความสมหวัง ตลอดหลายปีมานี้ฉันรู้ค่ะว่า เธอคิดถึงและเฝ้ารอใครคนหนึ่งอยู่” นภัสชลพูดไปตามสิ่งที่เธอพอรับรู้ได้จากการแสดงออกในยามที่วริสาเผลอไผลในบางเวลา
“หากเป็นอย่างที่คุณพูดหวังว่าใครคนหนึ่งนั่นจะเป็นผมนะครับ” ชายหนุ่มเพิ่มความหวังให้กับตัวเอง
“ฉันก็ภาวนาขอให้เป็นคุณ นี่ค่ะสิ่งที่คุณต้องการ” นภัสชลยื่นกระดาษโน้ตที่เธอจดข้อมูลให้กับชยิน
“ขอบคุณมากครับหมอ คุณด้วยผู้พัน ขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มขอบคุณพร้อมกับเอ่ยลา
“ขอให้โชดดีนะคะ”
“โชคดีนะผู้กอง ขอให้หมอลียอมรับความรู้สึกของตัวเอง ผมขอเอาใจช่วยและรอแสดงความยินดีอยู่ทางนี้นะครับ” ภูริชยื่นมือออกไป พอชยินยื่นมือออกมากระชับ สายใยแห่งมิตรภาพอันบริสุทธิ์ก็ไหลผ่านเข้าสู่ความรู้สึกของทั้งคู่
เมื่ออดีตนักรบผู้ฝังจิตวิญญาณให้กับการพลิกผืนแผ่นดินเพื่อการปกครองอันชอบธรรมก้าวพ้นจากประตู นภัสชนจึงเดินเข้าไปหาอ้อมกอดอบอุ่นคุ้นเคยที่อ้ารออยู่ หญิงสาวซบใบหน้าลงบนอกแกร่งกำยำขณะหลุบเปลือกตาลงซึบซับกับความรักที่โอบล้อมอยู่รอบกาย และยิ้มอย่างเป็นสุขให้กับความรักของเพื่อนที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น...
********
การเดินทางไปแอฟริกาเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพราะไม่ต้องใช้วีซ่า และด้วยอำนาจเงินรวมถึงสถานะของชยินจึงทำให้หลังจากนั้นอีกสองวันเขากับซาเยร์ก็ปรากฎตัวอยู่ที่โยฮันเนสเบิร์ก ชายหนุ่มได้คนนำทางเป็นคนท้องถิ่นจากความช่วยเหลือของผู้ประสานงานโครงการ
เมื่อออกจากสนามบินการเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่น กว่าจะถึงหน่วยแพทย์อาสาก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง เพราะอาสาสมัครแพทย์ต้องการให้ความสะดวกในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ ไปยังกลุ่มคนด้อยโอกาสซึ่งอยู่ห่างไกลให้มากที่สุด
ตลอดเส้นทางแม้ประเทศแอฟริกาจะมีทิวทัศน์สวยงามแปลกตา และมีความเจริญด้านวัตถุรวมถึงความมั่งคั่งจากทรัพยากรอันล้ำค่า แต่ปัญหาด้านอาชญากรรมก็ทำให้ชยินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ด้วยความที่เป็นห่วงเธอเขาจึงเร่งรีบเดินทางมาให้เร็วที่สุด
เมื่อไปถึงหน่วยแพทย์อาสา ชยินเห็นผู้คนจำนวนมากมายยืนรอรับการรักษาอยู่เต็มทุกเต้นท์ คนนำทางพาชายหนุ่มเดินไปยังเต้นท์หลังหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าเต้นท์อื่นๆ เมื่อไปถึงเขาพบเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและอาสาสมัครแพทย์ที่เป็นคนไทย ซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้าทีมกำลังคุยอยู่กับทีมงานคนหนึ่ง
หลังจากแนะนำตัวรวมถึงแจ้งการมาของเขา อาสาสมัครแพทย์คนนั้นซึ่งเขาทราบภายหลังว่าเธอเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอายุรกรรม ได้พาเขาและซาเยร์ไปยังเต้นท์อีกหลังซึ่งมีคนรอรับการรักษาอยู่แน่นขนัด และภาพที่เห็นก็ทำให้เขารู้สึกนับถือในความมุ่งมั่นของกลุ่มแพทย์และอาสาสมัครที่กำลังทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหล่านั้น
“ฉันว่าคนไข้ที่อยู่ห่างไกลตามชายแดนมีความยากลำบากแล้ว แต่พอมาเห็นผู้คนที่นี่ฉันคิดว่าพวกเขายังดูโชคดีกว่าเยอะเลยว่าไหม” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น และคำพูดนั้นก็ทำให้ซาเยร์พยักหน้าเห็นด้วย
“ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีขึ้นอีกเป็นร้อยเท่าเลยล่ะผู้กอง”
“เวลานี้ฉันรู้สึกรักหมอขึ้นอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่าเลยทีเดียว” ชยินพูดขณะมองกลุ่มอาสาสมัครแพทย์ที่กำลังทำงานอย่างหนักด้วยความชื่นชม
“เห็นผู้คนที่ไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างที่ควรเป็นแล้วรู้สึกหดหู่อย่างไรก็ไม่รู้นะครับ” ซาเยร์มองประกายตาที่มีความหวังเรืองรองฉายชัด ออกมาจากคนที่เคยชินกับการปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปตามชะตากรรมอย่างเห็นใจ
“เมื่อไรที่ผู้มีอำนาจอยู่ในมือรู้จักแบ่งปันความเท่าเทียมไปยังคนใต้การปกครอง เมื่อนั้นความเจริญและความยากลำบากก็จะไม่กระจุกอยู่แค่ที่ใดที่หนึ่ง แต่น่าเสียดายเมื่ออยู่ในอำนาจพวกเขาก็จะมองเห็นแต่ความสุขของตัวเองเท่านั้น และอำนาจมักจะอยู่กับคนที่ไม่รู้ว่าควรใช้มันอย่างไรนอกจากสนองความต้องการของตัวเองและพวกพ้อง” คนที่ต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำมานานวันมองความแตกต่างอย่างไม่เป็นธรรมด้วยความเศร้าใจ...
ความคิดเห็น |
---|