5

บทที่ 5


บทที่ 5

ณ ค่ายผู้ลี้ภัย เมื่อกลุ่มแพทย์อาสาโดยความร่วมมือจากรัฐบาลและสถานกงสุลซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชีย อันได้แก่ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น และประเทศไทยกำลังทยอยขนของเข้าไปในเต้นท์ซึ่งเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ พอจัดของเข้าที่เข้าทางกลุ่มอาสามัครก็เริ่มทำงานในทันที

วริสาเข้านั่งประจำที่และเริ่มตรวจอาการของผู้ลี้ภัยซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนชาวฟิลิปปินส์ ขณะกำลังนิ่งฟังจังหวะการเต้นของหัวใจ มือเรียวที่จับหูฟังแนบกับร่างกายของคนตรงหน้าก็ต้องชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังอาสาสมัครคนอื่นๆ แล้วเลยไปยังทิศที่มีเสียงปืนกำลังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“พี่ลีใช่เสียงปืนไหมคะ” นักศึกษาแพทย์ร่างเล็กที่อาสาเข้าร่วมโครงการเพราะต้องการมาหาประสบการณ์ขยับเข้าไปถามน้ำเสียงหวั่นวิตก

“น่าจะใช่ แต่เสียงมันดังอยู่นอกค่าย และอยู่ห่างพอสมควร” หญิงสาวสันนิษฐานก่อนจะเลิกสนใจกับเสียงที่ได้ยิน แล้วหันไปตรวจคนไข้ต่อ

“น่ากลัวจังเลยนะคะ” คนที่ในชีวิตไม่เคยออกห่างจากตำราและห้องเรียนพูดขณะมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

“น้องเอมไม่ต้องกังวลนะ ที่ค่ายมีทหารดูแลอยู่ ตั้งใจทำหน้าที่ของเราไปเถอะ ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากหน้าที่เจ้าหน้าที่เขาคงจะจัดการกันเอง” ด้วยเดินทางไปกับหน่วยแพทย์อาสาตามชายแดนบ่อยครั้ง จึงทำให้แพทย์หญิงวริสาไม่ได้หวั่นวิตกกับเสียงปืนที่ได้ยิน นอกจากรู้สึกกังวลเกรงว่าท่ามกลางความขัดแย้งอันดุเดือดอาจมีใครได้รับบาดเจ็บ

“พี่ลีไม่กลัวเสียงปืนเหรอคะ” คนที่เกิดมาเพิ่งเคยได้ยินเสียงปืนชัดๆ เป็นครั้งแรกถามด้วยสีหน้าเผือดซีดด้วยความกลัว

“กลัวสิคะ แต่เมื่อยังอยู่ในหน้าที่ เราก็ต้องเก็บความกลัวเอาไว้แล้วทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ที่สุด น้องเอมไม่ต้องกลัวนะ อยู่ในที่ของเราอย่างไรก็ปลอดภัยจ๊ะ” หญิงสาวปลอบอีกฝ่ายด้วยคำพูดเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

“เอมรู้ค่ะว่าเราจะปลอดภัย แต่มันก็อดตกใจไม่ได้จริงๆ” หญิงสาวเอ่ยขณะหยิบอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกจากกล่องวางลงบนถาดแสตนเลส

วริสาไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบๆ จนกระทั่งนาทีที่ยี่สิบมีรถยนต์ขับมาด้วยความเร็ว ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าเต้นท์หลังแรก ซึ่งหญิงสาวกับผู้ช่วยกำลังจดจ่ออยู่กับการตรวจอาการของผู้ลี้ภัย ภาพทหารนายหนึ่งกำลังกระโดดลงจากรถตรงดิ่งเข้าอย่างเร่งรีบ ในขณะล่ามวิ่งออกไปสอบถาม ทำให้เธอละมือจากการตรวจคนไข้แล้วขยับลุกขึ้น

“มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวถามเมื่อล่ามชาวฝรั่งเศสเดินตรงดิ่งเข้ามา

“มีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บค่ะหมอ” ล่ามตอบพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ “เราจำเป็นต้องช่วยผ่าเอากระสุนออกหมอมีเครื่องมือพร้อมไหมคะ”

“มีค่ะ เดี๋ยวฉันขอเคลียร์โต๊ะก่อนอีกสักครู่ค่อยให้เขาพาคนเจ็บเข้ามา” หญิงสาวตอบพร้อมกับออกคำสั่งให้คนจัดสถานที่เพื่อรองรับการผ่าตัด ด้วยประสบการณ์และความชำนาญรวมถึงความพร้อมด้านเครื่องมือ จึงทำให้การเนรมิตห้องผ่าตัดแบบเร่งด่วนเป็นไปอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากทำงานแข่งกับเวลาอยู่เป็นประจำ จึงทำให้ไม่ถึงอึดใจแพทย์หญิงวริสาก็ปรากฏตัวอยู่ในชุดพร้อมให้การรักษาคนเจ็บ หญิงสาวเดินเข้าไปยังโต๊ะที่ถูกเปลี่ยนเป็นเตียงผ่าตัดชั่วคราว ขณะหันไปตรวจเครื่องมือทหารก็หามคนเจ็บขึ้นไปนอนบนนั้นแล้วกลับออกไปเมื่อหมดหน้าที่ ระหว่างนั้นเธอก็เริ่มออกคำสั่งผู้ช่วยด้วยภาษาไทย

...เธอเป็นคนไทยหรอกหรือ...คนที่กำลังนอนกัดฟันข่มความเจ็บปวดนิ่งฟังการสื่อสาร ของคนที่กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยชีวิตของเขาอย่างสนใจ...

“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างคะ หญิงสาวถามล่ามขณะสวมถุงมือแล้วหมุนตัวกลับมา

ชยิน...ถึงกับเบิกตาโพลงจนลืมความเจ็บปวด เมื่อเห็นใบหน้าของหมอที่กำลังจ้องเขาด้วยความตื่นตะลึง คุณพระช่วย! นี่อย่าบอกนะว่าอาการของเขาถึงขึ้นโคม่า จนสายตาพล่าเลือนขนาดเห็นหน้าใครก็เป็นหมอวริสาไปหมด ชายหนุ่มมองความบังเอิญชนิดคาดไม่ถึงอย่างไม่คิดเชื่อ

“ผมถูกยิง” ชยินตอบคำถามแทนล่าม ขณะสายตายังจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าของผู้หญิงที่เขาวิ่งไล่ล่าจนเป็นบ้าเป็นหลังมาหลายอาทิตย์

วริสายืนตัวแข็งทื่อราวกับคนถูกสาป ในขณะมองผู้ชายที่วิ่งวนอยู่ในมโนสำนึกทั้งยามหลับและยามตื่นตรงหน้าด้วยหัวใจไหวระรัว หญิงสาวพยายามบอกตัวเองให้มีสมาธิ ทว่าความตื้นตันยินดีอย่างไม่อาจระงับไว้ได้ก็ทำให้สมาธิของเธอถูกรบกวนอย่างหนัก แต่กระนั้นร่างอรชรก็ก้าวเข้าไปหาคนที่นอนรอรับการรักษา ด้วยท่วงท่าที่พยายามปรับให้ดูมั่นคงมากที่สุด

แม้เวลานี้หัวใจกำลังเต้นแรงและประหม่ากับสายตาที่จ้องมองอย่างไม่เกรงใจ แต่วริสาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อหยิบหน้ากากอนามัยขึ้นสวม ทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเธอถูกปกปิดไว้ ดวงตาคู่สวยมองเสี้ยวหน้าคมคายแล้วไล่ไปตามร่างกายซึ่งมีเลือดสีแดงฉานไหลซึมออกมาจนเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม มือเรียวหยิบกรรไกรตัดเสื้อออกอย่างเบามือ ขณะสำรวจบาดแผลและประเมินอาการบาดเจ็บของคนตรงหน้า

คนที่หัวใจกำลังอ่อนระทวยไปกับดวงตาคมกริบที่จ้องมองมาราวกับจะหลอมละลายร่างกายของเธอ พยายามสลัดความฟุ้งซ่านออกไป แล้วเริ่มลงมือรักษาคนที่นอนลืมเจ็บหลังเรียกสมาธิที่กระจัดกระจายกลับมาได้สำเร็จ

เมื่ออยู่ในหน้าที่วริสาไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรอีก นอกจากมุ่งมั่นกับการรักษาอาการบาดเจ็บของคนที่นอนจ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตายชนิดแทบไม่กะพริบตา ด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ครบครันรวมถึงอาสาสมัครมีความคล่องตัวสูง จึงทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น

หลังผ่าตัดนำกระสุนซึ่งฝังในอยู่สองนัดออกจากร่างแกร่งกำยำ ระหว่างทำแผลเธอลอบมองใบหน้าเผือดซีดของชายหนุ่มอยู่บ่อยครั้ง ด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยที่พยายามปกปิดไว้ให้มิดชิด...

ชยินมองเสี้ยวหน้างดงามอย่างสับสน ด้วยมองไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ชายหนุ่มจึงคิดว่าสิ่งที่กำลังเผชิญ แท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความฝันหรืออาจเกิดจากมโนภาพที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมา แต่อาการเจ็บหนึบจากบาดแผลก็ช่วยรับรองได้ว่าทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่มันคือความจริงหาใช่ความฝัน

“หมอ...” ชายหนุ่มเรียกเธอเสียงแผ่ว

“มีอะไรหรือคะ” หญิงสาวถามแล้วมองหน้าเขาอย่างจดจ่อกับคำตอบ

“ช่วยบอกได้ไหมว่าเวลานี้ผมกำลังฝันไปหรือเปล่า” หลังผู้ช่วยของเธอเดินออกไปจากห้องซึ่งถูกกั้นไว้ชั่วคราว จนเหลือเพียงเขาและเธอ ชยินจึงเอ่ยคำถามคาใจออกไป

“แล้วคุณคิดว่ามันเป็นความฝันหรือความจริงละคะ”

“ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่จริงๆ...แต่ก็กลัวว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน” กระแสเสียงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนั้นทำให้หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ

“ฉันอยู่ที่นี่จริงๆ ค่ะ คุณไม่ได้ฝัน” น้ำเสียงอ่อนโยนของคนตอบทำให้ คนจดจ่อรอฟังรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากอนามัยนั้น

“คุณมานี่ได้ยังไง...รู้ไหมว่าผม...” ชยินหยุดพูดแล้วชั่งใจว่าควรเล่าให้เธอฟังไหมว่าเขาไปหาเธอที่เมืองไทย และแอฟริกา

“ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณอยู่ที่นี่” เมื่ออีกฝ่ายหยุดเล่าไปดื้อๆ หญิงสาวจึงปลดหน้ากากอนามัยออกช่วยพูดต่อหากเป็นความเข้าใจคนละเรื่อง ก่อนจะเล่าถึงที่มาที่ไป “คุณแม่ของหมอณภัสจัดทำโครงการแพทย์อาสาช่วยเหลือกลุ่มผู้ลี้ภัยนี้ขึ้นมา ฉันก็เลยอาสามาช่วยท่าน ว่าแต่คุณพักอยู่ที่ค่ายนี้เหรอคะ” คำถามของหญิงสาวทำให้ชยินผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา

“เอ่อ...ครับ” เพราะต้องการรู้ว่าหากเขาอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัย เธอจะรู้สึกอย่างไรชายหนุ่มจึงตอบรับขณะมองปฏิกิริยาของหญิงสาวว่าเปลี่ยนไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน

“ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณถูกส่งมาที่นี่” น้ำเสียงและสีหน้าของวริสาที่มองเขาอย่างไม่นึกรังเกียจกับสถานะอันต่ำต้อยนั้น ทำให้คนอยากลองใจรู้สึกพอใจอยู่ลึกๆ

แม้ไม่รู้ว่าความอารีย์ในสายตาของหญิงสาวแท้จริงแล้วเกิดจากอุปนิสัยของเธอ หรือเป็นเพราะเธอให้ความพิเศษต่อเขา แต่มันก็ให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจได้อย่างน่าอัศจรรย์

“คุณสบายดีใช่ไหมหมอ...” ชยินเฝ้ารอคำตอบทั้งๆ รู้ดีว่าคนตรงหน้ามีความเป็นอยู่เช่นไร

“ฉันสบายดี ส่วนคุณคงไม่ต้องถามนะคะ” ดวงตาคมกริบมองรอยยิ้มที่คลี่ออกจากริมฝีปากสีหวานด้วยความลุ่มหลง

“เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาผมรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย แต่น่าแปลกนะครับที่เวลานี้ผมรู้สึกสบายดี”

“อยู่ที่นี่คุณคงลำบากมาก ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยไม่ต้องเกรงใจนะคะ” ชยินมองแววตาอ่อนโยนของเธอด้วยความรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แม้พอรู้ว่าโดยวิสัยของหมอวริสาเธอเป็นคนเห็นอกเห็นใจคนอื่น แต่เขาก็รับรู้ถึงประกายบางอย่างในยามที่เธอมองมาอย่างลึกซึ้งนั้นได้

“หมอ...รู้ไหมว่าผม...” ขณะกำลังจะสารภาพว่าเขารักเธอ และได้ออกติดตามเธอไปไกลถึงแอฟริกา อยู่ๆ ซาเยร์ก็โผล่พรวดเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ผู้กอง! เป็นยังไงบ้าง” คนที่เพิ่งโผล่เข้ามาทำลายบรรยากาศอย่างไม่ตั้งใจถามพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาผู้เป็นนายทันที

“แล้วแกเห็นฉันเป็นยังไงล่ะ” ชยินตอบกลับเสียงขุ่น

“อ้าว...ผู้กองไม่ดีใจเหรอครับที่เจอผม” สีหน้าของคนพูดเปล่งประกายผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าสายตามองมา แทนที่จะเป็นความยินดีกลับกลายเป็นคาดโทษเสียอย่างนั้น

“ฉันจะดีใจมากถ้าแกจะโผล่เข้ามาหลังจากนี้สักสองนาที”

“อาการของคุณปลอดภัยแล้ว  เดี๋ยวฉันจัดยาเสร็จจะให้คนเอามาให้ รวมถึงให้คำแนะนำว่าคุณต้องทำอย่างไรระหว่างพักฟื้น  และช่วงนี้คงต้องมาล้างแผลที่นี่ทุกวัน   ฉันขอตัวก่อนนะคะ”  พอเห็นว่าหมดหน้าที่  และเธอควรกลับไปทำงานต่อหญิงสาวจึงเอ่ยขอตัว 

พอได้ยินบทสนทนาด้วยภาษาไทย ซาเยร์ที่ไม่ได้สนใจใคร นอกจากเจ้านายของเขาจึงหันขวับไปทางต้นเสียง ก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วร้อง เฮ้ย! เสียงดังลั่น...

“ผู้กอง...ผู้กอง...ผู้กอง!” ด้วยความตกตะลึงกับภาพตรงหน้าซาเยร์จึงตะโกนเรียกเจ้านาย ขณะยังจ้องเรือนร่างอรชรที่เดินพ้นจากฉากกั้นไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนกราวกับคนเพิ่งถูกผีหลอกตอนกลางวัน

“อะไร!” ชยินตะคอกด้วยระดับเสียงที่ดังพอกันอย่างรำคาญ

“มะ...มะ...หมอ...หมอ...ครับผู้กอง” ด้วยความตื่นเต้นซาเยร์ถึงกับพูดติดอ่าง

“ฉันเห็นแล้ว”

“ใช่หมอจริงๆ ใช่ไหมครับผู้กอง” ถามพลางชี้มือไปยังทิศทางที่หญิงสาวเพิ่งเดินลับตาไป

“ใช่...เป็นเธอ” ชยินตอบคำถามนั้น แล้วยิ้มอย่างสุขใจให้กับความบังเอิญ ที่เขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ดวงตาที่เปล่งประกายเรืองรองด้วยความหวังมองผ่านฉากกั้นไปยังใครคนหนึ่งซึ่งเขาเห็นอยู่เลือนราง...แล้วเบนกลับมาจ้องหน้าคนสนิท

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าในขณะที่พวกเราตามหาเธออย่างเป็นบ้าเป็นหลัง เธอกลับหนีห่างจนแทบจะพลิกแผ่นดินตามหา แต่สุดท้ายเธอกลับอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก” ซาเยร์เอ่ยขึ้นเบาๆ

“บางทีมันอาจจะถึงเวลาของฉันแล้วก็ได้ ซาเยร์มานี่สิ” ชยินมองความบังเอิญที่เขาเพิ่งได้รับว่าเป็นพรหมลิขิต ก่อนจะขยับลุกนั่ง โดยมีคนสนิทช่วยประคอง

“ผู้กองมีอะไรหรือครับ”

“ฉันอยากให้แกหาที่พักในค่ายให้สักหน่อย” ชายหนุ่มออกคำสั่งขณะผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“อะไรนะครับ” ถามย้ำอย่างไม่แน่ใจกับคำสั่ง

“ฉันต้องการที่พักในค่ายนี้”

“แต่ผู้กองกำลังได้รับบาดเจ็บนะครับ”

“อาการบาดเจ็บของฉัน มันไม่ใช่ปัญหาของแก”

“ใครว่าไม่ใช่...อาการบาดเจ็บของผู้กองมันเกี่ยวข้องกับผมเต็มๆ เลย”

“เอาเถอะน่า ฉันรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แกมีหน้าที่แค่ทำตามความต้องการก็รีบไปจัดการซะ” ตัดบทพร้อมกับออกคำสั่งเสียงเข้ม

“แต่มันเสี่ยงนะครับผู้กอง”

“จะเสี่ยงยังไงในเมื่อฉันมีหมออยู่ใกล้ๆ ” คำตอบนั้นทำให้คนที่กังวลกับอาการบาดเจ็บของผู้เป็นนาย พยักหน้าแล้วร้องอ้อ...เหมือนเพิ่งนึกได้

“ผมเข้าใจแล้วครับ” แม้จะเป็นห่วงแต่เมื่อเห็นว่าภายในค่ายมีหมออย่างที่อีกฝ่ายอ้าง คนที่ไม่อยากขัดใจเจ้านายจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“เออ...ซาเยร์ได้ตัวไอ้ลูกหมาพวกนั้นไหม”

“ได้แต่ศพครับผู้กอง” ตอบขณะจ้องผ้าพันแผลบนร่างกายแกร่งกำยำตรงหน้าอย่างสำนึกผิดแล้วพูดต่อ “ผู้กองไม่น่าเอาชีวิตที่มีค่ามากมายมาแลกกับกระสุนพวกนั้นแทนคนที่ไม่มีค่าอย่างผมเลย”

“ใครว่าแกไม่มีค่า คนเราทุกคนต่างก็มีคุณค่าในตัวเองกันทั้งนั้น เราสองคนร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมานับครั้งไม่ถ้วน กับเรื่องแค่นี้สำหรับฉันมันไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด” ชยินวางมือลงบนหัวไหล่ที่ลู่ลงแล้วตบเบาๆ

“แต่ผมก็รู้สึกผิดอยู่ดีที่ไม่สามารถทำหน้าที่ปกป้องผู้กองให้สมกับความไว้วางใจที่ได้รับ”

“แกทำดีที่สุดแล้ว และฉันเชื่อว่าหากแกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แกก็คงไม่ลังเลที่จะแลกชีวิตเช่นกัน” ชายหนุ่มปลอบใจคนสนิทด้วยคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

“แต่...”

“เลิกคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองได้แล้ว เพราะอย่างน้อยการที่ฉันบาดเจ็บมันก็ทำให้ฉันได้พบหมอ จะว่าไปก็ต้องขอบใจคนของไอ้ลอซู ที่เปลี่ยนจากมัจุราชมาเป็นกามเทพ ถ้าไอ้พวกสารเลวนั่นไม่ตายฉันคิดว่าน่าจะมอบรางวัลให้พวกมันสักหน่อย”

“นับว่าโชคยังอยู่ข้างเราที่วันนี้มีหน่วยแพทย์อาสามาพอดี”

“แต่ฉันคิดว่าตัวเองโชคดีมากกว่านั้น และจะดีมากถ้าแกจะช่วยไปจัดการเรื่องที่พักให้ฉัน” พูดพร้อมกับยิ้มกริ่มอย่างเป็นสุข

“ผมประสานกับเจ้าหน้าที่เรื่องไอ้ห้าคนนั่น จากการตรวจสอบพบว่ามันแทรกซึมอยู่ในค่ายนี่มาประมาณสามเดือน และดูเหมือนจะยังมีคนของพวกมันแฝงอยู่ในนี้อีกจำนวนหนึ่ง ผมว่าผู้กองอย่าเสี่ยงเลย” ซาเยร์แนะนำอย่างรอบคอบ

“ฉันตั้งใจแล้วอย่างไรก็คงไม่เปลี่ยนใจ” ชายหนุ่มยังคงยืนกราน

“ผู้กองจะอยากอยู่ในที่แออัดหาความสะดวกสบายไม่ได้แบบนี้ไปทำไม” คนที่มองไม่ออกถึงจุดประสงค์อันแท้จริงอดแย้งขึ้นไม่ได้

“ฉันต้องการรู้ว่าถ้าหมอลีเห็นสภาพของฉันซึ่งไร้บ้านไร้แผ่นดิน เธอจะยังรักฉันไหม” ชยินมองไปรอบๆ แล้วบอกเสียงกระซิบ

“อ้าว...ผู้กองต้องการลองใจเธอหรอกเหรอครับ”

“ใช่...”

“ผู้กองบ้าหรือเปล่า...” ซาเยร์มองหน้าผู้เป็นนายอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น

“อะไรทำให้แกคิดแบบนั้น”

“มันไร้สาระมากเลยนะครับกับความคิดนี้”

“มันไร้สาระตรงไหน” คนที่มองเห็นแต่ความต้องการของตัวเองเพียงด้านเดียวถามเสียงห้วน

“ผมขอเตือนนะผู้กองว่าการลองใจแม้จะทำให้รับรู้ถึงความจริงใจของเธอ แต่ในทางกลับกันผมมองว่ามันไม่คุ้มเลยสักนิดกับผลกระทบที่จะตามมาหลังจากนั้น” แนะนำด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผลกระทบอะไร” ถามขณะจ้องหน้าคนตอบเขม็ง

“ผลกระทบจากการหลอกลวงอย่างไรละครับ ผู้กองประมาทความรู้สึกของผู้หญิงเกินไป”

“แกคิดมากไปหรือเปล่าซาเยร์ จริงอยู่ที่ฉันอาจจะกำลังหลอกลวงเธอ แต่มันก็เป็นการดีไม่ใช่เหรอหากสิ่งที่ฉันต้องการพิสูจน์มันคือความจริงใจ” ชายหนุ่มยังคงคิดเข้าข้างตัวเอง

“ผมเตือนผู้กองแล้วนะ”

“เอาน่า...ถ้าเกิดมันเป็นอย่างที่แกกังวลฉันก็มีวิธีแก้ไข เชื่อใจกันบ้างสิ”

“โธ่...ผู้กองจะให้ผมเชื่อใจคนที่ในชีวิตไม่เคยพิชิตใจหญิงเนี่ยนะ บอกตามตรงมันอดห่วงไม่ได้จริงๆ” คนที่คร่ำหวอดกับความรักมามากกว่าบอกออกไปตรงๆ

“เอาน่าฉันสั่งอะไรก็ไปทำ” ชยินตัดบทอย่างรำคาญ

“แต่ยังไงผมก็ยังยืนยันอยากให้ผู้กองเปลี่ยนความคิด แล้วทำอะไรให้มันสร้างสรรค์กว่านี้อยู่ดี” แม้จะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อชยินยืนยันตามความคิดเดิมเขาจึงพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น

เมื่อห้ามแล้วอีกฝ่ายไม่ฟังซาเยร์จึงได้แต่ส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้นนั้น ก่อนจะเดินออกจากเต้นท์ไปทำตามความประสงค์ของผู้เป็นนายอย่างไม่เต็มใจ ในขณะนึกถึงความซวยที่จะต้องมาเยือนหากคุณหมอคนสวยรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้วิธีปัญญาอ่อนลองใจเธอ...

เฮ้อ...หวังว่าความตั้งอกตั้งใจรวมถึงความรักอย่างแรงกล้าของผู้กองชยิน จะทำให้แพทย์หญิงวริสาไม่นึกถือสากับ การกระทำอันโง่เขลานั้น...ชายหนุ่มภาวนา

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น