บทที่ 7
ชยินเหลือบมองปลายนิ้วเรียวยาวออกอาการสั่นน้อยๆ แล้วไล่สายตาอันละเมียดละไมไปตามผิวกายเนียนละเอียด และหยุดอยู่ที่เสี้ยวหน้างดงามกำลังจดจ่อกับการทำหน้าที่ของเธอ ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ ขณะจ้องผู้หญิงที่กำหัวใจของเขาไว้หลายปี ด้วยประกายตาที่หากวริสาเห็นเธอคงได้อ่อยระทวยไปกับความรู้สึกที่ถ่ายทอดความรักออกมาอย่างลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความหมายซึ่งไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
ชายหนุ่มจ้องผู้หญิงที่มีความหมายต่อหัวใจมาหลายปี แล้วนึกต่อว่าตัวเองที่ปล่อยเวลาให้ทอดยาวไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาควรออกไล่ล่าทวงคืนหัวใจ แล้วใช้ความจริงใจวางลงตรงแทบเท้าของเธอ เพื่อให้มันเติบโตไปพร้อมๆ กับการปลูกต้นรักซึ่งเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องใช้เวลาแค่ไหน กว่าความรู้สึกของเขาจะแทรกเข้าไปหล่อเลี้ยงความรู้สึกของเธอให้ผลิบานจนกลายเป็นความรักอันหวานซึ้ง และหลอมรวมหัวใจของเขาและเธอให้เป็นหนึ่งเดียว
ดวงตาทอประกายอ่อนโยนมองต้นรักของเขาที่เติบโตและบานสะพรั่งอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยความหวั่นเกรงว่าหากไม่ได้รับความรักจากเธอมาหล่อเลี้ยง มันอาจจะเฉาตายลงไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงความบังเอิญที่ได้รับอย่างคาดไม่ถึง ความหวาดหวั่นที่เกาะอยู่ในความรู้สึกก็ถูกความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้ากะเทาะออกทีละนิดๆ จนหมดไปในที่สุด
เมื่อความรักที่เขามองว่ามันเป็นเหมือนเส้นทางคู่ขนานไม่อาจจะบรรจบกันได้ ถูกเชื่อมด้วยสะพานมหัศจรรย์ที่เรียกว่าพรหมลิขิต ซึ่งสามารถขีดเขียนและทำให้ทุกอย่างเป็นไปได้ เขาเชื่อว่าความบังเอิญในวันนี้ก็เกิดจากสะพานมหัศจรรย์ที่ทอดลงมาให้เขาข้ามผ่านไปไขว่คว้า แล้วทำให้ความรักที่ล่องลอยอยู่ในความฝันเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้ในความเป็นจริงและหวังไว้อย่างเต็มเปี่ยมว่า เมื่อเดินหน้าเขาจะสามารถก่อร่างสร้างความรักให้เกิดในหัวใจของเธอ
ชยินไล่สายตาไปตามแก้มนวลเนียนแล้วหยุดอยู่ตรงริมฝีปากชุ่มชื่น เปล่งประกายระเรื่ออย่างเป็นธรรมชาติ แล้วบอกตัวเองว่าการรอคอยของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว และวันนี้เขาก็พร้อมที่จะใช้ความรักทั้งหมดที่มีพันธนาการเธอให้อยู่กับเขาไปตลอดกาล
“ได้ยินเสียงหัวใจของผมไหมหมอ” ชายหนุ่มถามเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ในขณะถือวิสาสะกุมมือของเธอแนบไปกับหน้าอกด้านซ้ายซึ่งบัดนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรง เพราะความรักความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ภายในใกล้ระเบิดออกมาเต็มที
หญิงสาวถึงกับสะดุ้งโหยงกับการจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ความไม่พอใจทำให้เธอเงยหน้าขึ้น ขยับปากจะต่อว่าแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสีของเขาอีกฝ่ายเรียบเฉยและจริงจัง วริสานิ่วหน้าอย่างไม่แน่ใจว่าเสียงอ่อนหวานเต็มไปด้วยความละมุนละไมนั้นเป็นเสียงของชยินหรือเธอหูแว่วกันแน่ แต่เสียงหัวใจของเขาที่กระหน่ำเต้นราวกับเสียงปืนกลที่ดังชัดอยู่ในหูก็ทำให้เธอเผลอจ้องหน้าเขาเขม็ง
วริสาบอกไม่ถูกว่าทำไมเธอถึงไม่รู้สึกโกรธ กับกระทำอันจาบจ้วงนั้น หญิงสาวมองริมฝีปากสีเข้มที่คลี่ยิ้มออกมาได้อย่างน่ามอง แล้วนับจังหวะการเต้นของหัวใจเขาด้วยความเผลอไผล
“ว่าไงหมอได้ยินไหม” เขาถามย้ำในขณะรอยยิ้มฉีกกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นสองแก้มนวลเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ
“หัวใจของคุณเต้นแรงและเร็วมากเลยค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นกระหน่ำไม่ต่างจากอีกฝ่ายนัก
“ใช่...ความแรงของมันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจใกล้จะระเบิดเต็มที” วริสามองสายตาที่จ้องเธออย่างเว้าวอนด้วยหัวใจไหววาบอย่างประหลาด
“ในฐานะหมอฉันมองว่าจังหวะการเต้นแบบนี้ อาจทำให้หัวใจของคุณวายได้นะคะ” แม้จะระทวยไปกับสายตาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แต่หญิงสาวก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ
“คุณเป็นอย่างไรบ้างหมอ ตลอดหลายปีมานี้เคยคิดถึงผมบ้างไหม” คำถามอย่างตรงไปตรงมานั้นทำให้คนตอบปรับสีหน้าแทบไม่ถูก ก่อนจะเบนหน้าหลบสายตาคาดคั้นไปอีกทาง หากปลายมืออุ่นๆ ที่แตะปลายคางและเชยขึ้นด้วยกิริยานุ่มนวลนั้นก็ทำให้เธอไม่อาจหลบสายตาของเขาได้อีก
“อะไรทำให้คิดว่าฉันจะคิดถึงคุณคะ” ถามกลับขณะปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก
“ไม่รู้สิ...ผมคิดว่าในบางเวลาคุณอาจจะนึกถึงผมบ้าง เหมือนอย่างที่ผมคิดถึงคุณ” น้ำเสียงอ่อนหวานผสมกับสีหน้าอ่อนลงจนแทบไม่หลงเหลือเค้าของผู้กองหน้าดุ ทำให้วริสามองลักษณะท่าทางที่เปลี่ยนไปชนิดคนละคนด้วยความฉงนใจ
“คุณ...คิดถึงฉันด้วยเหรอคะ” น้ำเสียงกึ่งตกใจกึ่งตัดพ้อนั้นทำให้ชยินจ้องปฏิกิริยาของเธออย่างไม่แน่ใจนัก
“ถ้าบอกว่าใช่...คุณจะเชื่อไหม” ชายหนุ่มมองสีหน้าราวกับคำพูดของเขาไร้ความน่าเชื่อถืออย่างจริงจัง
“คุณปล่อยมือฉันก่อนได้ไหมคะ” หญิงสาวเปลี่ยนจากตอบคำถามเป็นขอร้องพร้อมกับพยายามดึงมือให้เป็นอิสระ
“หมอ...” วริสารู้สึกหัวใจอ่อนระทวยทุกครั้งที่ได้ยินเขาเรียกเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน
“คุณต้องการอะไรจากฉันหรือคะผู้กอง” แม้หัวใจจะไหวหวั่นไปกับท่าทางละมุนละไมของอีกฝ่าย แต่เธอก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าได้เผลอไผลไปกับคำหวานๆ ที่ไม่น่าเชื่อถือนั้นอย่างเด็ดขาด
“เวลานี้ผมไม่ได้มียศหรือตำแหน่งอะไร นอกจากเป็นคนไร้แผ่นดิน” เขาเอ่ยขณะหลุบเปลือกตาลงนิ่งฟังปฏิกิริยาของเธอ วริสามองเสี้ยวหน้าคมคายที่ก้มลงอย่างคนสิ้นหวัง และความเป็นจริงนั้นก็ทำให้เธอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงหายไปหลายปี เมื่ออีกฝ่ายมีเหตุผลมากพอ หญิงสาวจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงและไม่คิดถือสาหรือนึกน้อยใจอีก
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณจะมีชีวิตลำบากขนาดนี้” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คนฟังรับรู้ถึงความเห็นใจ
“หมอ...คุณมีคนรักหรือยัง” ถามทั้งรู้คำตอบเป็นอย่างดี
“ทำไมหรือคะ” วริสาเอียงหน้าเพราะงุนงงกับคำถามที่โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น
“ผมแค่อยากรู้” เขารอคำตอบนั้นด้วยความหวัง
“มันสำคัญด้วยเหรอคะ”
“สำคัญสิ” เขาจ้องหน้าเธอด้วยประกายตาจริงจัง
“ถ้าฉันบอกว่ามีละคะ...”
“ผมคิดว่าคุณน่าจะโกหก” ชยินยิ้มพลางเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวจ้องหน้าเขาแล้วค้อนขวับ ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจจนเธอนึกหมั่นไส้ “ผมคิดถูกใช่ไหม”
“การที่มีคนรักหรือไม่มีแล้วคุณมายุ่งอะไรกับฉันคะ ปล่อยมือฉันได้แล้ว” วริสาต่อว่าเสียงขุ่น
“ก็ที่ถามเพราะผมอยากจะยุ่งกับคุณไง” คำตอบที่โพล่งออกมานั้นทำให้คนที่พยายามดึงมือออกชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความตื่นตะลึง
“อะไรนะคะ!”
“ตลอดหลายปีมานี้ผมเฝ้าแต่คิดถึงคุณ และภาวนาขอให้มีโอกาสเจอกับคุณอีก แต่สถานะของผมในเวลานี้มันแทบไม่มีความเป็นไปได้” ชยินเริ่มบทรันทด และมันได้ผลเพราะคนที่นึกน้อยใจกับข่าวคราวที่เลือนหายไปนานหลายปี กำลังมองเขาด้วยประกายตาเข้าใจและเห็นใจ
“ตั้งแต่ถูกส่งตัวกลับฉันก็ไม่เคยได้ข่าวเกี่ยวกับคุณ และไม่เคยรู้ว่าคุณจะพบกับความลำบากถึงขนาดนี้”
“ชีวิตของผมลำบากจนชินแล้วหมอ”
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณไม่ได้หวาดหวั่นกับความลำบากใดๆ แต่ก็อดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ แล้วคนอื่นๆ ละคะพวกเขาไปอยู่เสียที่ไหน ทำไมถึงมีแค่คุณกับซาเยร์เท่านั้น” คำถามของหญิงสาวทำเอาคนที่ไม่ได้คิดคำตอบไว้ล่วงหน้าถึงกับไปไม่เป็น
“เอ่อ...พวกเราแยกกันไป”
“อ้อ อย่างนั้นหรือคะ” วริสาพยักหน้ารับรู้ขณะมองบาดแผลบนร่างกายของเขาแล้วถาม “เมื่อวานฉันได้ยินเสียงปืนเท่าที่ฟังจากระยะทางน่าจะอยู่ห่างจากค่ายพอสมควร ในเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นห่างไปขนาดนั้นทำไมคุณถึงถูกยิงได้ละคะ” คำถามของหญิงสาวทำให้คนที่กำลังจัดฉากเพื่อลองใจ ขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะไม่คิดว่าเธอจะถามถึงเรื่องนี้ จนนึกหวั่นว่าแผนของเขาอาจจะแตกเอาง่ายๆ เพราะความเฉลียวฉลาดของเธอ
“ผมออกไปทำธุระข้างนอกระหว่างเดินทางกลับ ผมเห็นเจ้าหน้าที่กำลังต่อสู้กับคนกลุ่มหนึ่ง ด้วยความที่เคยเป็นทหารเลือดนักรบมันเลยเดือดพล่านจึงลงไปร่วมสนุกกับพวกเขา แต่โชคร้ายไปนิดเลยถูกยิง” ชายหนุ่มนึกขบขันตัวเองไม่น้อยที่กำลังหาทางออกให้กับตัวเอง ด้วยการปั้นน้ำให้เป็นตัว
“ถูกยิงถึงสองนัดเขาไม่เรียกว่านิดแล้วค่ะ ว่าแต่คุณไม่รู้สึกเจ็บแผลบ้างเลยเหรอคะ” คำถามนั้นทำให้คนที่กำลังลอยละล่องอยู่ในห้วงรักจนลืมเจ็บ อมยิ้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง
“เจ็บสิครับแต่ผมทนได้”
“คุณกินอะไรหรือยังคะ ฉันตั้งใจจะเอาซุปไก่มาให้คุณเร็วกว่านี้ แต่พอมาถึงเห็นมีคนไข้รออยู่ฉันจึงต้องตรวจดูอาการของพวกเขาก่อน” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องเพราะใกล้จะละลายไปกับสายตาหวานฉ่ำของเขาเต็มที
“ผมกินขนมปังกับนมสดไปแก้วใหญ่แล้ว”
“คุณหิวไหมคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยนั้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นใจไม่น้อย
“ก็นิดหน่อย” เขาคลายมือออกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวต้องการความสะดวกในการหยิบจับสิ่งของซึ่งมีค่อนข้างจำกัด
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเตรียมซุปให้ รอเดี๋ยวนะ” หญิงสาวลุกไปหยิบถ้วยซึ่งวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในตะกร้า แล้วเทซุปไก่ลงไป ไม่ถึงอึดใจก็เดินกลับมาก่อนจะยื่นสิ่งของในมือให้เขา
“ผมรู้สึกปวดแผลจังเลยหมอ ถ้าคุณจะกรุณาช่วยป้อนซุปผมหน่อยได้ไหมครับ” วริสาลังเลเล็กน้อย แต่พอเห็นเขามองมาอย่างเว้าวอน เธอจึงขยับเข้าไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะตักซุปแล้วยื่นให้อย่างไม่อิดออดกับความต้องการของเขา ชยินอ้าปากรับซุปรสชาติกลมกล่อมด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต ชายหนุ่มมองมือเรียวที่ยื่นซุปให้เขาด้วยท่าทางผ่อนคลายจากอาการเกร็งข้อมือแล้วยิ้มในสีหน้า
มีหมอดูแลใกล้ชิดแบบนี้ต่อให้ได้ลูกปืนมาประดับบนร่างอีกสักสิบลูกเขาก็ยอมละวะ ชายหนุ่มบอกตัวเองแล้วผุดรอยยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจ ขณะดื่มด่ำกับความสุขที่ไม่คาดคิดมาก่อน อยู่ๆ บรรยากาศอันแสนหวานนั้นก็ถูกรบกวนด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ชยินหันไปที่โทรศัพท์เครื่องเล็กกำลังแผดเสียงอย่างน่ารำคาญด้วยสายตาคาดโทษ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแล้วกรอกเสียงทักทายเป็นภาษาฝรั่งเศสที่รัวเร็วจนแทบจับใจความไม่ได้ ชายหนุ่มเหลือบมองคนตรงหน้า พอเห็นเธอไม่ได้มีท่าทีสนใจกับบทสนทนาจึงลอบผ่อนลมหายใจ โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าภายใต้ท่าทางเฉยเมยนั้น หญิงสาวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
วริสาชำเลืองมองเครื่องมือสื่อสารรูปแบบทันสมัย และรู้ได้ไม่ยากถึงมูลค่าอันสูงลิบลิ่วของมันแล้วนิ่วหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เธอนึกแปลกใจกับข้าวของเครื่องใช้ที่ดูเหมือนเป็นของใหม่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเต้นท์ แม้จะมีข้อสงสัยมากมาย แต่เมื่อนึกถึงสถานะของเขาเธอก็อดยอมรับไม่ได้ว่า บางทีการที่ชยินได้รับสิทธิพิเศษอาจเพราะเขาคือลูกชายของนายพลอาเชผู้นำรัฐอิสระก็เป็นได้
ชยินใช้เวลาไม่นานนักในการสั่งงานทางโทรศัพท์ เมื่อปลายสายเอ่ยขอตัวชายหนุ่มจึงกดวาง และปิดเครื่องทันที หลังจากคิดว่าปัญหาได้รับการแก้ไขเขาจึงยิ้มให้กับคุณหมอที่เปลี่ยนหน้าที่เป็นพยาบาลพิเศษ ก่อนจะพยักหน้าไปที่ถ้วยซุป แล้วอ้าปากรับเมื่อเธอยื่นสิ่งที่ต้องการให้
“วันนี้ผมรู้สึกเจริญอาหารจนไม่อยากอิ่มเลย”
“ฉันควรดีใจใช่ไหมคะ” หญิงสาวยิ้มกริ่มอย่างพึงพอใจกับท่าทางของเขา
“ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยกินซุปไก่ที่อร่อยอย่างนี้มาก่อน น่าเสียดายนะครับที่ผมจะไม่มีโอกาสได้กินอีก” พูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ถ้าคุณอยากกินพรุ่งนี้ฉันจะทำมาให้อีกก็ได้นะคะ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นผู้กองหน้าดุทำท่าตื่นเต้นยินดีจนโอเวอร์
“เป็นความกรุณามากเลยครับหมอ” เขาบอกอย่างกระตือรือร้น “พรุ่งนี้ผมจะให้ซาเยร์ไปรับนะครับ”
“พรุ่งนี้ไม่รู้จะมีคนไข้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรจะฝากซุปมากับซาเยร์ก็แล้วกันค่ะ คุณอิ่มหรือยังคะ” ถามขณะก้มมองซุปที่เหลือติดก้นถ้วยเพียงเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะเล็กๆ อย่างเบามือ
“ถ้ามันสามารถทำให้คุณอยู่ต่อได้ ผมก็ไม่อยากอิ่มเลยหมอ” คำพูดเต็มไปด้วยความหมายลึกล้ำ ทำให้สายตาสองคู่ที่จ้องประสานกันกำลังถ่ายทอดความรู้สึกในเบื้องลึกออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก่อนวริสาจะถอนสายตาแล้วเบนไปทางอื่น
“หมอ...” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นแล้วรอว่าชายหนุ่มจะพูดอะไรต่อ “คุณจะรังเกียจไหมถ้าผมจะคิดอะไรกับหมอจนเลยเถิดเกินฐานะ” คำถามอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวของเขาทำให้เธอนิ่งไปชั่วครู่ และท่าทางนั้นก็ทำให้คนที่รอคำตอบอย่างลุ้นระทึกรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย
“ฉันว่าคุณดื่มน้ำก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวฉันจะล้างแผลให้” พอเจอคำถามชนิดตรงประเด็นหญิงสาวจึงเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากยอมรับง่ายๆ ว่าเธอรู้สึกเช่นไรกับเขา
“ผมขอโทษ...ถ้าคำถามของผมทำให้หมอลำบากใจ”
“ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากใจหรอกนะคะ แต่ที่ยังไม่ตอบก็เพราะคำถามบางหัวข้อ ก่อนที่จะตอบมันต้องผ่านการตรึกตรองมาแล้วอย่างรอบคอบ หวังว่าผู้กองจะเข้าใจ”
“ผมเข้าใจครับ”
“ฉันจะช่วยล้างแผลให้คุณ เสร็จแล้วคงขอตัวเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับหยิบอุปกรณ์สำหรับล้างแผลออกมา ชยินทอดกายลงนอนอย่างว่าง่าย เขาปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลในขณะคุณหมอคนสวยกำลังล้างแผลให้เขาด้วยความใส่ใจ
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากปล่อยให้ความรู้สึกโลดแล่นอยู่กับความลึกล้ำ ของความรักที่ก่อเกิดอยู่กลางใจ และดื่มด่ำกับมโนภาพอันแสนหวานอย่างไม่รู้ว่าความฝันนั้นจะเป็นจริงได้แค่ไหน
พอล้างแผลเสร็จวริสาให้คำแนะนำเรื่องการดูแลและรักษาบาดแผลก่อนจะเอ่ยขอตัว ชยินมองตามร่างอรชรที่กำลังเดินจากไปอย่างอาวรณ์ แม้ความรู้สึกในเบื้องลึกจะตะโกนบอกให้เขาทำทุกอย่างเพื่อเหนี่ยวรั้งให้เธออยู่ แต่ด้วยสถานะอันต่ำต้อยจึงทำให้เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะกระทำได้...
********
ความคิดเห็น |
---|