0

บทนำ


บทนำ

 

ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลรัฐย่านดอนเมืองยังคงวุ่นวายเหมือนทุกวัน เจ้าหน้าที่ทุกคนวิ่งวุ่น เมื่อคนไข้ยังคงทยอยกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย อีกทั้งวันนี้มีอุบัติเหตุรถนักเรียนชนเสาไฟฟ้า แม้จะไม่มีใครเสียชีวิต แต่ก็มีคนบาดเจ็บทั้งหมดเกือบยี่สิบราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก เมื่อรวมความห่วงใยของผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่เข้าไปด้วย ความวุ่นวายจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า

“คุณพยาบาลคะ น้องบอกว่าปวดแผลมากค่ะ” เสียงจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างรถเข็นของเด็กผู้หญิงตะโกนขึ้น พร้อมกับกวักมือเรียกพยาบาลคนที่อยู่ใกล้ที่สุดให้ไปดูแลลูกสาวของตน

แม้มีภาระที่จะต้องเข็นรถฉีดยาเข้าไปเก็บหลังจากใช้งานเรียบร้อยแล้ว แต่หญิงสาวชุดขาวยังแวะไปที่รถเข็นคันนั้นก่อน เมื่อกวาดตามองก็พบว่าคนไข้เป็นหนึ่งในเด็กผู้ประสบอุบัติเหตุ แผลภายนอกเพียงแค่ถลอก จึงเปิดชาร์ตดูถึงประวัติการรักษาผ่านมา แล้วพยาบาลสาวก็พบว่าเด็กคนนี้เพิ่งกินยาแก้ปวดไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว และตอนนี้กำลังรอเอกซเรย์อยู่

“น้องได้รับยาแก้ปวดไปแล้วนะคะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มปลอบประโลมที่ยากจะเกิดกับคนอื่น หากต้องมาเจอสถานการณ์เช่นนี้

“แต่ยังปวดอยู่นี่ เห็นไหม!” 

เสียงของแม่เด็กเข้มขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์เยือกเย็นของ ธารธารา วงศ์เกิด พยาบาลสาวยศเรืออากาศเอกของโรงพยาบาลแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด นิสัยเธอก็เหมือนชื่อนั่นละ ดั่งน้ำใสไหลเย็น จึงเงยหน้าบอกมารดาของเด็กด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม

“ทราบค่ะ แต่ยาแก้ปวดก็ต้องมีขนาดและปริมาณในการให้ และต้องรอให้ยาออกฤทธิ์เสียก่อน ทนอีกนิดนะลูกนะ อีกแค่ห้านาที แต่ถ้าหนูทนไม่ไหว พี่จะขอฉีดยาที่แขน แต่มีคนบอกมาว่าเจ็บน่าดูเลย”

ประโยคหลังพยาบาลสาวหันไปพูดกับหนูน้อยที่นั่งหน้านิ่วอยู่บนรถเข็น จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา และจากการประเมินร่างกายในเบื้องต้น เธอพบว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก ดังนั้นยาแก้ปวดชนิดฉีดจึงไม่จำเป็น แต่หากพูดกับแม่เด็กน่าจะพูดยาก จึงหันไป ‘พูด’ กับคนไข้โดยตรงเลยดีกว่า

แน่นอนว่าเด็กหญิงนั้นพยักหน้า ส่วนเธอก็ยิ้มให้มารดาของเด็กที่ยังหน้ามุ่ยอยู่ แล้วเข็นรถกลับมา

เรื่องแบบนี้มีให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งเธอก็ชินเสียแล้ว อาชีพเธอเหมือนหนังหน้าไฟ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าไฟมันร้อน ก็ควรดับแล้วค่อยถอยห่างออกมา

ธารธาราเข็นรถเข้าไปเก็บ จึงสวนกับพยาบาลรุ่นพี่ที่ถืออุปกรณ์สำหรับเพาะเชื้อเพื่อไปเก็บน้ำจากถุงน้ำยาล้างไตของคนไข้ที่มาด้วยอาการปวดท้อง ซึ่งแพทย์ให้การวินิจฉัยในขณะนั้นว่าน่าจะมีการติดเชื้อในช่องท้องจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาล้างไตแล้วมีการปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป เพราะคนไข้และคนดูแลรักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ

“นี่มันวันนรกแตกอะไรกัน!” เสียงที่บ่นออกมานั้นค่อนข้างหงุดหงิด ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องปกติของคนที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สี่โมงเย็นยันสองทุ่มโดยที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง และก้นยังไม่สัมผัสสิ่งที่เรียกว่าเก้าอี้เพราะต้องทั้งเดินทั้งวิ่งให้ทันกับชีวิตคน

“สงสัยเป็นการอำลายายน้ำ ที่จะไปอยู่โรงพยาบาลกองบิน ต่อไปคงไม่ต้องเจออะไรวุ่นวายแบบนี้อีกแล้ว อิจฉาจัง” รุ่นพี่อีกคนที่เดินเข้ามาเตรียมยาตอบ สายตามองมาด้วยความอิจฉาอย่างที่พูดจริงๆ แต่ไม่ได้ริษยาเพราะมีภูมิลำเนาเป็นคนกรุงเทพฯ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดจะโยกย้ายไปไหน

ธารธาราได้แต่ยิ้มบางๆ ตอบกลับไป ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้ทำงานที่นี่ เพราะเธอเพิ่งได้รับคำสั่งให้ย้ายกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หลังจากที่เพียรขอมาเป็นเวลาหลายปี และสำเร็จลงในรอบการย้ายครั้งนี้

พยาบาลสาวเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดเพื่อเตรียมตัวกินอาหารเย็น แต่ยังไม่ทันที่จะออกจากห้อง เธอก็พบผู้ช่วยสาวร่างท้วม ที่มักจะอารมณ์ดีอยู่เป็นนิตย์ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“อ้าว ยายแอ๋ว ทำไมทำหน้าอย่างนั้น” เป็นหน้าที่ที่เธอต้องถาม เพราะการทำงานในห้องฉุกเฉินต้องทำกันเป็นทีม

“ก็คนเจ็บเตียงโน้นน่ะสิคะ หัวแตกมา แต่ไม่ยอมให้โกนหัว หมอเมย์ก็จะมาแล้วด้วย” ผู้ช่วยสาวฟ้องทันที พร้อมกับชี้ไปยังเตียงต้นเหตุ

“เป็นอะไรมาล่ะ ทำไมถึงหัวแตก”

“เห็นว่าเล่นบอลมาค่ะ แล้วหัวโหม่งเสาโกล แผลยาวเท่านี้” แอ๋วยกนิ้วชี้ขึ้นมาเพื่อให้ดูขนาด ซึ่งหากแผลยาวขนาดนั้นจริง ก็น่าจะเย็บสี่ถึงห้าเข็ม และจำเป็นต้องโกนผมรอบๆ ออก เพื่อรักษาความสะอาด ไม่ให้แผลติดเชื้อ

เมื่อผู้ช่วยพยาบาลจัดการไม่ได้ ก็คงต้องเป็นเธอ ธารธาราจึงยกเลิกการไปกินข้าวเย็น และกลับมาปฏิบัติหน้าที่แทน

“โอเค เดี๋ยวพี่จัดการเอง แอ๋วไปกินข้าวก่อนเถอะ แล้วค่อยมาเปลี่ยนกัน”

“ขอบคุณค่ะพี่น้ำ”

ธารธาราพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปยังเตียงคนเจ็บเจ้าปัญหา ซึ่งเมื่อไปถึง เธอก็พบคนเจ็บนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงสำหรับย้ายผู้ป่วย ขาของเขาเลยปลายเตียงไปเกือบหนึ่งไม้บรรทัด นั่นจึงทำให้เธอรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายสูงมากคนหนึ่งเลยทีเดียว

“ขอโทษค่ะ คนไข้ชื่ออะไรคะ”

“ปราณนต์ อิสรบดินทร์”

น้ำเสียงที่ตอบกลับมาค่อนข้างห้วน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ธารธาราหวั่นไหวแต่อย่างใด สำหรับเธอชินเสียแล้ว เพราะห้องฉุกเฉินปกติไม่ค่อยมีคนอารมณ์ดีเดินเข้ามาหรอก

พยาบาลสาวเดินไปหยิบชาร์ตที่หัวเตียงแล้วเช็กชื่อคนเจ็บว่าตรงกับที่บอกหรือไม่ ซึ่งเธอก็พบว่าชื่อและนามสกุลตรง และอดคิดไม่ได้ว่ารู้สึกคุ้นกับชื่อและนามสกุลนี้อย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่แปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายมียศเรืออากาศเอกนำหน้า บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่เธอเคยติดต่องานด้วยก็เป็นได้

“ผมไม่อยากโกนหัว เย็บแบบไม่โกนไม่ได้เหรอ”

คนเจ็บบอกก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร

“ทำไมคะ” เธอถามหาเหตุผล

“ถ้าโกน ผมมันก็แหว่งน่ะสิ แล้วผมจะมีหน้าไปพบประชาชีได้ยังไงกัน”

น้ำเสียงเขามีอาการหงุดหงิดอย่างไม่ปกปิด และนั่นทำให้ธารธาราต้องเหลือบไปมองเขา จึงได้เห็นหน้าชัดๆ แวบแรกที่เห็นต้องบอกเลยว่าเขาหน้าตาดี จึงสรุปในใจทันทีว่า ที่แท้ก็ห่วงหล่อ ซึ่งมันไม่เหมาะกับการเป็นทหารเอาเสียเลย

แต่จากที่ทำงานมาหลายปี เธอก็มักประเมินผู้ป่วยแบบองค์รวม ทั้งกายทั้งใจล้วนเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กัน ดังนั้นเธอจึงควรประเมินให้ครบ “ขอฉันดูหน่อย”

เธอสวมถุงมือ จากนั้นก็สำรวจบาดแผล ซึ่งเธอก็พบว่าหัวเขาแตกเป็นแผลยาวราวหกถึงเจ็ดเซนติเมตร ซึ่งถือว่าค่อนข้างยาว อีกทั้งเส้นผมด้านหลังยังเปื้อนดิน และมีโคลนติดผมเป็นหย่อมๆ สิ่งที่เขาขอจึงเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อเขานั้นเสี่ยงติดเชื้อมากมายขนาดนี้

“ฉันคงต้องบอกว่าเสียใจ เพราะถ้าไม่โกน มันจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ” เธอบอกเหตุผลพร้อมกับหยิบมีดโกนขึ้นมา

“ไม่โกนไม่ได้เหรอ ผมมีงานบางอย่างที่ต้องทำ ผมไม่อยากถูกหัวเราะเยาะ”

ธารธารามองหน้าเขาอีกครั้ง เหตุผลของเขาช่างฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเป็นทหาร และเท่าที่เธอรู้ งานของทหารไม่จำเป็นต้องใช้หน้าตาในการจัดการ และเพื่อความปลอดภัยของเขา เธอควรจะดึงสติให้เขารักษาสุขภาพ ก่อนที่จะห่วงเรื่องหน้าตา เพราะผมที่โกนออกไปนั้น ใช่ว่ามันจะไม่ขึ้นมาอีกเสียเมื่อไร

“ฟังนะคะ ถ้ามันมีวิธีที่ดีกว่านี้ ฉันคงไม่ทำ แต่ตอนนี้มันไม่มี เพราะหากแผลติดเชื้อ มันอาจจะทำให้คุณถึงตายได้ แต่ถ้าคุณไม่ยอมจริงๆ ฉันก็คงต้องขอให้คุณช่วยเซ็นเอกสารไม่ยินยอมรับการรักษา”

เมื่อถูกยื่นคำขาดเช่นนั้น คนเจ็บก็สิ้นฤทธิ์ ก่อนที่จะตอบออกมาเบาๆ หลังจากตัดสินใจแล้ว “โอเค อยากจะทำอะไรก็ทำ”

แม้จะรู้ว่าคนไข้ไม่พอใจในการกระทำของเธอ แต่ธารธาราคิดว่าตัวเองทำหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว หลังจากเขาตกลง เธอก็ไม่พูดอะไรอีก ลงมือโกนผมรอบๆ แผลของเขา จากนั้นก็ใช้น้ำเกลือล้างทำความสะอาดแผล เตรียมพร้อมให้แพทย์มาทำการรักษาต่อ และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เธอจึงบอกกับเขา

“เสร็จแล้ว เดี๋ยวรอคุณหมอมาเย็บแผลก็แล้วกันค่ะ”

เธอเก็บอุปกรณ์และเตรียมจะขอตัวไป แต่ยังไม่ทันได้จากไป เสียงดุห้าวก็ดังขึ้นเสียก่อน

“เดี๋ยว” เขาไม่เรียกเปล่า กลับคว้ามือเธอเอาไว้ด้วย ก่อนที่จะจ้องหน้าอกเธออย่างจริงจัง

“ธารธารา วงศ์เกิด โอเค ผมจะจำชื่อคุณเอาไว้”

แม้เหตุการณ์จะผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้ว แต่ธารธาราก็ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเธอกลับยังไม่เต้นตรงจังหวะเสียที สายตาของชายหนุ่มคนนั้นทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เหมือนเขากำลังข่มขู่ว่า หากเจอกันครั้งหน้า เขาอาจจะเอาคืน

เมื่อเธอมานึกย้อนตามหลัง มันก็จริงอย่างที่เธอรู้สึกในตอนแรกนั่นละว่า ตอนที่อ่านนามสกุลเขา รู้คุ้นเคยแปลกๆ สาเหตุก็เกิดจากที่เธอเห็นนามสกุลนี้อยู่ทุกวันนั่นเอง

หญิงสาวมองไปยังรูปของเหล่าผู้บังคับบัญชาที่ติดอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในหน่วย แถวบนสุดคือผู้บัญชาการทหารอากาศ ส่วนถัดลงมาก็จะเป็นรองผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศคนที่หนึ่ง และคนที่สอง สุดท้ายตามมาด้วยเสนาธิการทหารอากาศ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่าห้าเสือ ซึ่งคนที่มีนามสกุลเดียวกับคนไข้คนนั้นก็คือ รองผู้บัญชาการทหารอากาศนั่นเอง

เธอภาวนาให้เขามีนามสกุลพ้องกับผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนั้นเฉยๆ โดยที่ไม่มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่เหมือนวันนี้จะไม่ใช่วันของเธอ เพราะเพิ่งมีคนมาสะกิดเธอว่า เขาเป็นลูกชายคนเดียวของท่าน

ดูเหมือนเธอจะเหยียบตอเข้าให้แล้ว!

พอความจริงข้อนี้กระจ่าง เธอก็นึกได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เจอเขา เรืออากาศเอก ปราณนต์ อิสรบดินทร์ แต่การเจอกันทุกครั้งไม่ใช่การพบเจอด้วยเรื่องส่วนตัว ส่วนใหญ่จะแค่เดินโฉบไปโฉบมา เนื่องจากเขาเป็นคนที่พอปพิวลาร์ และมีความสามารถมาก ไม่ว่าจะทางด้านการเรียน กีฬาหรือว่าเป็นในทางดนตรี จึงถูกเลือกให้เป็นตัวแทนร่วมทำกิจกรรมกับทางวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่บ่อยๆ แต่เป็นเพราะว่าเวลามันผ่านไปนานหลายปีแล้ว อีกทั้งเธอมีคนไข้ร้อยแปดพันเก้า จึงจำเขาไม่ได้

ธารธาราจำได้ว่า มีเพื่อนคนหนึ่งคลั่งไคล้เขานัก เคยแอบส่งขนมนมเนยไปให้ แต่สุดท้าย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลงแค่คำว่าเพื่อน เพราะเขาไปควงดาราสาวดาววิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากสถานศึกษา ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนหล่อเลือกได้

คำพูดของเขาก่อนหน้ายังสะท้อนก้องไปก้องมา เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย แต่ก็พยายามปลอบตัวเองว่า คงไม่มีอะไร ในเมื่อวันนี้เธอทำงานที่นี่เป็นวันสุดท้าย อีกครึ่งเดือน เธอก็จะโบยบินกลับไปทำงานที่บ้านเกิด แล้วเขาจะเอาเรื่องเธอได้อย่างไรกัน

พอรู้สึกสบายใจขึ้น ธารธาราก็ลุกขึ้นไปทำงานต่อ และมันคงเป็นคืนอำลาของเธอจริงๆ เมื่อมีคนเจ็บจากอุบัติเหตุหมู่เข้ามาอีกระลอก ซึ่งก็ทำให้เธอลืมเรื่องนี้ไปอย่างสนิทใจ



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น