ตอนที่ 10

ตอนที่ 10 เงาบนผืนผ้าใบ

 

ค่ำคืนอันเงียบสงัดกลับมาอีกครา ท่ามกลางเสียงซ่าที่ยังคงดังให้ได้ยินจนเริ่มคุ้นชินกับมันเสียแล้ว กองไฟหน้ากระโจมใหญ่ยังคงสว่างโร่ สาดแสงสีส้มสลัวเข้ามาภายในกระโจม ทว่าวันนี้แปลกออกไป เพราะตรงทางเข้ากระโจมใหญ่ผูกม่านมุ้งปิดไว้สนิท มิหนำซ้ำยังขึงผืนผ้าใบป้องทางเข้าเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ด้วยกลุ่มของวินทเวเลือกที่จะเฮละโลกันออกมานั่งเฝ้ายามอยู่รอบกองไฟหลัก ส่วนไอ้เงี้ยวที่หายตัวไปทั้งวัน ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา

เสียงพูดคุยดังอยู่เป็นพักๆ ก่อนจะเงียบหายไปเมื่อดึกสงัด ผู้คนในค่ายพักแรมดูจะเข้านอนกันไปหมดแล้ว เหลือแต่พวกเวรยาม และกลุ่มของวินทเวที่กุมความลับบางอย่างเอาไว้ พวกเขาพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบแผ่ว แผ่วจนดูผิดสังเกต เหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่างทำให้ว้าวุ่นใจ ไม่มีใครนอนอยู่ในกระโจมของตัวเอง ยกเว้นเสียแต่พวกผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เหล่าเวรยามและลูกห้ามต่างกระชับบริเวณเฝ้ายามเข้ามาใกล้กองไฟหลักมากขึ้น เงาของพวกเขาที่นั่งล้อมอยู่รอบกองไฟทอดลงกับผืนผ้าใบสีขาวของกระโจมเธอ มิเมและสุ่นคำหลับไปแล้ว เหลือก็แต่เพียงแม่หญิงเกี้ยวจันทร์เท่านั้นที่ยังกระสับกระส่าย นอนพลิกคว่ำพลิกหงายด้วยมีเรื่องบางอย่างกวนใจอยู่ ลมหายใจอุ่นๆ พ่นออกมาจากปลายจมูก รู้สึกขุ่นเคืองใจที่อยู่ๆ ไอ้เงี้ยวก็หายไปโดยไม่บอกกล่าว ทั้งๆ ที่ตลอดมาไม่เคยสนใจมันเลยแท้ๆ

“ไอ้คนผีบ้า” เกี้ยวจันทร์บ่นอีกครา เธอพยายามสลัดความคิดไร้สาระนี้ออกไปจากหัว ไม่มาก็ไม่ต้องมา ใช่ว่าจะทำให้นอนหลับฝันดีจริงๆ เสียเมื่อไร เธอคิด ก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังให้มิเมที่ส่งเสียงกรนเบาๆ อย่างกำลังหลับสบาย

มือเรียวใต้ผ้าห่มผืนหนาของเธอกุมเจ้ากระต่าย ลูบปลอบมันเบาๆ กระทั่งมันนิ่งและหลับไปในที่สุด ทิ้งเธอไว้ให้อยู่กับเสียงกระซิบพูดคุยกันของคนด้านนอก ทว่าตอนนั้นเองที่คำบางคำทำให้เธอยิ่งนอนไม่หลับเข้าไปใหญ่

“มันว่าแท้กา? เรื่องเสือลำบาก” เสียงหนึ่งถามขึ้นในวงสนทนาของกลุ่มวินทเว ทำเอาหลายคนส่งเสียงจุปากใส่ ด้วยกลางป่ากลางไพร ใครเขาให้เอ่ยเรื่องเสือเรื่องสิงห์กัน

“โอย! จะกลัวอะหยัง มึงอยู่กับกู มึงบ่ต้องกลัว กูมีไรเฟิลชาร์ปของพ่อกู ให้เสือมันมากูจะเป่าให้ดิ้น!” เสียงวินทเวทำเอาหัวใจดวงเล็กๆ ของเกี้ยวจันทร์สั่นอย่างบอกไม่ถูก เหตุใดกันจึงกล้าเอาเรื่องเช่นนี้มาล้อเล่น ไม่มีใครสั่งใครสอนหรือว่าเข้าป่าเขาไม่ให้พูดจาถึงเสือ เกี้ยวจันทร์ก่อนด่ามันในใจ เธอยังคงเงี่ยหูฟังเสียงพวกมันพูดคุยต่อไป

“นายน้อย เพิ่นว่าบ่ดีฟู่จ๋า (พูดจา) เช่นนั้น” ตอนนั้นเองที่ลูกหาบคนหนึ่งเอ่ยแย้ง เพราะแม้จะเกรงกลัวอิทธิพลของนายน้อยผู้นี้ แต่ก็กลัวเรื่องความเชื่อเสียมากกว่า

“มึงเป็นไผ กล้ามาสอนกู ไอ้ขี้ข้า!” วินทเวตวาด เขาขุ่นเคืองเรื่องพ่อที่ไม่ยอมให้ไปขึ้นห้างส่องสัตว์ด้วยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอลูกหาบพูดขัดคอเขา ยิ่งขัดเคืองใจมากขึ้นไปอีก ปืนผาหน้าไม้ในมือยกขึ้นเล็งไปยังลูกหาบผู้นั้น เสียงชายผู้ต่ำต้อยกว่าถึงกับร้องขอชีวิต วินทเวจึงหัวเราะร่าอย่างสะใจ สุดท้ายมันก็แสดงแสนยานุภาพใส่ทุกคนสมใจ

“แต่สูเขาน่าจะส่งคนไปบอกนายห้าง ตั้งแต่เมื่อยามแลง (เมื่อตอนเย็น) ว่าไอ้กะเหรี่ยงที่ปางมันเข้ามาบอกเรื่องเสือ” สหายผู้หนึ่งของวินทเวเตือนสติด้วยเสียงสั่น อาจเพราะมันรักตัวกลัวตายมากกว่าเด็กหนุ่มที่ฮึกเหิมเพราะมีปืนเพียงกระบอก

มันเป็นความจริงอย่างที่ชายหนุ่มผู้นี้ว่า เหตุเพราะในช่วงเย็นมีพรานชาวขมุเข้าไปร้องยังที่ทำการปางไม้ของนายห้างตันฉเว แจ้งกับคนในปางว่ามันผู้นี้แลที่ยิงเสือได้ตัวหนึ่ง เพียงแต่เสือตัวนั้นกลับหลุดรอดไปได้ จึงกลายเป็นเสือลำบาก เป็นที่รู้กันดีในหมู่พรานไพร ว่าหากยิงเสือต้องยิงให้ตาย มิเช่นนั้นเสือที่บาดเจ็บจะกลายเป็น ‘เสือลำบาก’ หาใช่คำเรียกเพื่อแสดงความเมตตาต่อเสือไม่ แต่หมายถึงเสือที่ไม่สามารถล่าเหยื่อปกติได้ จึงจ้องจะล่าเพียงสัตว์ที่ช้ากว่าตัวมัน และจะมีอะไรเชื่องช้าและคุ้มค่ากับการล่าไปกว่า ‘มนุษย์’

พรานป่าชาวกะเหรี่ยงสองคนจึงเร่งออกมาตามนายหาห้างยังค่ายพักแรม เพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับเสือที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ ปางไม้ จะขอร้องให้นายห้างเร่งกลับไปช่วยกันคุ้มกันปาง เหตุเพราะมีเพียงนายห้างตันฉเวกับครอบครัวเท่านั้นที่มีปืนฝรั่งอานุภาพสูงมากพอจะล้มเสือ ทว่าตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว นายห้างตันฉเวเข้าป่ามุ่งหน้าไปยังห้างใหม่ของแกแล้ว ทุกคนจึงจำต้องรอเพื่อแจ้งข่าวในวันรุ่งขึ้น

เหล่าชายฉกรรจ์จึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากพวกหญิง ด้วยเกรงว่าพวกหล่อนจะตื่นกลัว เกี้ยวจันทร์ มิเม และสุ่นคำ รวมไปถึงชู้รักของพ่อเธอจึงไม่มีใครทราบเลย ว่าบัดนี้มีเสือลำบากเพ่นพ่านอยู่ในป่า

“ไผจะไป มึงกา?” ชายอีกคนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน ดูๆ แล้วเขาเหล่านั้นก็คงเป็นเพียงกลุ่มเด็กปอดแหกที่รักตัวกลัวตายกันทั้งสิ้น

“ไผก็ได้ แต่บ่ใช่กู” พูดจายียวนไปมา ทำอย่างกับว่าเรื่องเสือลำบากเป็นเรื่องเล่นๆ

ตอนนั้นเองที่อยู่ๆ เจ้ากระต่ายน้อยในอ้อมแขนของเธอกลับสะดุ้งเฮือก ความเย็นยะเยือกอยู่ๆ ก็พลันแผ่เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณค่ายพักแรมแห่งนี้ กลุ่มชายฉกรรจ์เงียบกริบลง อย่างกับว่าเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่าง เป็นเสียงฝีเท้าใหญ่โตของบางสิ่งที่ลากผ่านใบสักใบใหญ่ที่แห้งกรอบเกลื่อนพื้น เจ้ากระต่ายตื่นยืดตัว ยกหูตั้ง เกี้ยวจันทร์ถึงกับรีบกระชับมันเข้ากอดในทันที เธอถอยเข้าไปยังกลางกระโจมใหญ่ และเงี่ยหูฟังเสียงต่อไปอย่างหวาดหวั่น

หัวใจของเธอเต้นเร่าๆ ไม่ต่างอะไรกับเจ้ากระต่ายตัวนี้ สองขาหลังของมันพยายามกระโดดเหยง หรือบางทีมันอาจพยายามกระทืบขาหลังเพื่อส่งสัญญาณบอกถึงอะไรบางอย่าง กลิ่นสาบเสือโชยเข้ามาภายในโพรงจมูกของเหล่าเวรยามด้านนอก เงาที่ทอดสูงขึ้นเหนือกระโจมของเธอทำให้รับรู้ได้ในทันทีว่า กลุ่มชายที่กองไฟกองใหญ่กำลังค่อยๆ หยัดกายขึ้นยืน เกี้ยวจันทร์พลิกตัวนอนหงายราบลงกับพื้น แผ่นหลังบางของเธอเปียกชุ่มไปหมดแล้ว

“อะไรวะ!” วินทเวร้องทัก ทำให้ลูกหาบลูกไพรหลายคนแสดงอาการไม่พอใจ เรื่องเช่นนี้ใครเขาร้องทักกัน วินาทีนั้นเองที่เสียงบางอย่างลอยมาตามสายลม อาจเพราะเสียงลมทำให้รู้สึกฟุ้งซ่านไป วินทเวที่หวาดกลัว แต่ไม่กล้ายอมรับจำต้องประทับปืนกับบ่า เล็งไปเบื้องหน้าอย่างกำลังส่องหาอะไรอยู่

พวกลูกหาบที่ยืนอยู่ในทางปืนต่างเร่งหลบกันจ้าละหวั่น ด้วยปืนของวินทเวนั้นบรรจุกระสุนปืน ใส่แก๊ป และลดนกชิดโครงปืนรออยู่แล้ว เพียงง้างนกสับก็เหนี่ยวไกยิงได้ทันที ทว่าปลายกระบอกปืนบัดนี้หันตามหาเสียงมั่วซั่วไปหมด อาศัยเล็งไปส่งเดช เผื่อว่าจะเจอเป้าเสืออยู่กลางศูนย์เล็งพอดิบพอดี ส่วนเวรยามคนอื่นๆ นั้นจำต้องทรุดตัวลงกับพื้น บ้าจี้ยกปืนผาหน้าไม้ง้างรอไปตามๆ กัน กระทั่งเสียงคำรามในลำคอหนาดังขึ้น บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันคือ ‘เสือ’ จริงๆ

เปรี้ยง!!!

สิ้นเสียงคำรามขู่ ไอ้วินทเวผู้ปอดแหกก็พลันง้างนกสับและเหนี่ยวไกปืนในทันทีที่มันคิดว่าเห็น ‘เสือ’ ไม่รู้ว่าเพราะโชคช่วย หรือมีสิ่งใดเกื้อหนุนวินทเวอยู่กันแน่ ทำให้ปืนของมันเล็งไปยังพุ่มไม้ที่เสือใหญ่หลบเร้นอำพรางกายอยู่พอดิบพอดี เสียงปืนดังลั่นตูมจนป่าแตก ก้องกังวานเสียจนทำเอาหญิงสาวในกระโจมตกใจตื่น เสือใหญ่กระโจนเผ่นหนี สี่อุ้งตีนหนาดิ้นพราดเหนือพื้น เล็บคมกริบตะกุยดินร่วน ย่ำไปบนหญ้าแห้งกรอบแกรบ โจนทะยานพุ่งหลบลี้หนีหายไปในความมืดมิดของป่า เสียงสะดุ้งโฮกของเสือใหญ่แผดขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้หญิง

เกี้ยวจันทร์กระชับกอดไอ้หมีไว้แนบอก มันสั่นผับอยู่ในอ้อมอกของเธอ ในขณะที่มิเมและสุ่นคำกรีดร้องอย่างตกใจ ดีดตัวขึ้นจากพื้นที่นอนและโผเข้ากอดแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ มิเมหยิบมีดประจำตัวหล่อน ชักออกจากฝักเพื่อป้องกันแม่หญิง ส่วนสุ่นคำนั้นรีบคว้ามีดเหน็บของพ่อยกชูขึ้นกันกาย วินาทีนั้นทุกอย่างเงียบกริบลงอีกครา เหมือนหลังจากช่วงเวลาป่าแตกใหม่ๆ ที่ทุกอย่างมักเงียบกริบ

“ต๋าย!” เสียงร้องเฮของวินทเวดังขึ้นในทันที เด็กหนุ่มผู้มั่นใจเสียเหลือเกินว่ามันยิ่งเข้าเป้าเสือใหญ่เต็มๆ สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือการตามรอย เก็บซากหลังจากมันตาย หรือไม่ก็ยิงมันให้ตายอีกครา

พวกลูกหาบหันมองหน้ากันอย่างเหลอหลา ในขณะที่วินทเวร้องสั่ง

“รออะหยัง! โตยมันไปแล! (ตามมันไปสิ) ซ้ำ!” เมื่อนายน้อยร้องสั่ง ใครเล่าจะกล้าขัดใจ เหล่าลูกหาบและเวรยามทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ต่างคว้าฟืนไฟออกค่ายตามกันไปเสียยกใหญ่ บ้างคว้าไต้ บ้างคว้าท่อนฟืนในกองไฟ หยิบคว้าปืนผาหน้าไม้และมุ่งออกไปตามล่ามัน บัดนี้เหล่าพวกผู้ชายจึงพากันออกตามเสือ ทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่า ไอ้เด็กหนุ่มปากกล้าผู้นี้จะยิงโดน

ทว่าหลังพุ่มไม้นั้นปรากฏรอยเลือดกองใหญ่ นี่อาจทำให้ทุกคนแน่ใจว่าวินทเวยิงถูกตัวเสือเข้าจริงๆ โดยไม่ทันได้คิดว่าเสือลำบากตัวนั้นถูกยิงเจ็บมาจากที่อื่นอยู่แล้ว

“มันเป็นผีบ้าอะหยังเจ้า!” มิเมถึงกับแผดเสียงก่อนด่า คนบ้าอะไรมายิงปืนดึกๆ ดื่นๆ พวกหล่อนได้ยินเสียงปืน เพียงแต่ไม่ได้ยินเสียงเสือ ครั้นสุ่นคำจะออกไปดู เกี้ยวจันทร์ก็กลับห้ามปรามไว้

“จะไปไป! (อย่าไป!)” เกี้ยวจันทร์แผดเสียงร้องสั่ง เธอกลัวและกลัวมากกว่าหากคนของเธอจะออกไปยังสถานที่อันตรายเช่นนั้น สองมือเธอเย็นเฉียบและสั่นสะท้านไปหมดแล้ว แสงไฟจากกองไฟด้านนอกสลัวลงยิ่งกว่าเก่า เธอรับรู้ได้ว่าหนึ่งในพวกเธอไม่ควรย่างกรายออกไป

“มันยิงไปแล้ว มันบอกมันยิงโดน” เกี้ยวจันทร์ตะกุกตะกัก หัวใจดวงเล็กๆ ของเธอยังคงเต้นเร่าๆ ทำเอาเธอแทบเป็นลม

มิเมเร่งบีบนวดเนื้อตัวแม่หญิงของเธอและคว้าตลับยาหอมออกมาให้ดม ส่วนสุ่นคำเงี่ยฟังเสียงต่อ ตอนนั้นเองที่เสียงเฮร้องดังอย่างดีอกดีใจ ไม่รู้พวกมันดีใจอะไรกันนักหนา หากไม่ติดที่ว่าเสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงของวินทเว สุ่นคำคงตะโกนด่าออกไปแล้ว แต่อย่างไรเสีย เสียงนั้นก็ทำให้มิเมและสุ่นคำใจชื้นขึ้นบ้าง เพราะอย่างน้อยที่สุดก็พอคาดเดาได้ว่า พวกมันคงยิ่งสัตว์ป่าที่ผ่านมาในละแวก และคงยิงโดนมันไปแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าบัดนี้เกี้ยวจันทร์รู้สึกเช่นไร ทั้งมิเมและสุ่นคำไม่มีใครรับรู้ว่าแท้จริงแล้ว พวกมันยิงตัวอะไรกันแน่ แน่นอนว่าเธอเลือกที่จะเงียบ และเก็บทุกอย่างไว้ใต้ลิ้นตัว ภาวนาขอให้มันจากไปแล้วจริงๆ

“นอนเทอะ…” เกี้ยวจันทร์ว่า ริมฝีปากอิ่มของเธอยังคงสั่นระริกอย่างหวาดกลัว แต่พยักหน้าให้มิเม ยืนยันว่าเธอไม่เป็นไร แม้เจ้ากระต่ายน้อยในมือยังคงมีอาการตื่นกลัว ทำให้เธอรู้ได้ในทันทีว่าเสือลำบากตัวนั้นยังไม่ไปไหน มันยังคงไม่ตาย

ทันทีที่ร่างบางเอนกายนอนลงที่เดิม ความหวาดหวั่นก็เข้ากัดกินหัวใจของเธออีกครา เกี้ยวจันทร์นอนกอดเจ้าก้อนขนพลางร่ำไห้ กกกอดเจ้าขนฟูที่พยายามซุกเข้ามาใต้ผ้าอยู่ตลอด มันเลือกหาที่หลบซ่อนเร้นในที่ที่ปลอดภัย และสำหรับมัน ไม่มีที่ใดปลอดภัยเท่าอ้อมกอดเธอ ไอ้หมีไม่ยอมห่างจากกายเธอเลยแม้สักเพียงวินาทีเดียว เสียงสะอื้นของเกี้ยวจันทร์ทำเอามิเมไม่สบายใจเอาเสียเลย หล่อนจำต้องขยับไปนอนยังอีกฟาก เพื่อกันให้เกี้ยวจันทร์นอนอยู่กลางกระโจม ใช้ผ้าห่มผ้าตุ๊มของหล่อนปูรองให้แม่หญิงเกี้ยวจันทร์ได้นอนอุ่นสบาย

“หลับเสียคนดีของมิเม จะบ่มีอะหยังทำร้ายดวงใจของมิเมได้” พี่เลี้ยงสาวร้องปลอบ กระชับผ้าห่มขึ้นห่มคลุมกายแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ และตบปลอบลงกับสะโพกอิ่มของเธอ ส่งเสียงอือๆ ร้องกล่อมให้แม่หญิงคนดีนอนหลับ เสียงสะอื้นของเกี้ยวจันทร์ค่อยๆ เบาลง มิเมใจชื้นขึ้น และหวังเพียงว่าแม่หญิงจะแค่ตกใจเสียงปืนเท่านั้น

พี่เลี้ยงสาวชาวมอญเอนกายลงนอนหนุนแขนตัว จ้องมองดูใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของแม่หญิงคนดี มือเล็กๆ ปาดเช็ดคราบน้ำตานั้นออกจากแก้มอิ่มของเธอ ดวงตาเล็กนั้นจ้องมองใบหน้าของแม่หญิงที่หล่อนรักที่สุด เธอคนนี้งดงามไม่แพ้แม่เสี้ยวเลย หวนให้คิดถึงคำพูดสุดท้ายของแม่เสี้ยว ก่อนแกจะนั่งเกวียนออกไปค้าขายกับอุ๊ยจั๋นในวันนั้น มันเป็นดั่งคำสัญญาบอกให้มิเมปกป้องดูแลเกี้ยวจันทร์ให้ดีที่สุด แม่เสี้ยวสัญญากับเกี้ยวจันทร์และมิเมว่า จะกลับมาภายในหนึ่งเดือนพร้อมกับของฝาก ทว่าสิ่งเดียวที่กลับมาพร้อมกับเกวียนใหญ่กลับเป็นร่างอันไร้วิญญาณของแม่เสี้ยวและแม่จั๋น

“หลับเสียคนดี…” มิเมนอนเฝ้าแม่หญิงกระทั่งทุกอย่างเงียบกริบลง ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเสียงซ่าจากธารน้ำตกใหญ่ ก่อนหน้านี้เคยเคล้าคลอไปด้วยเสียงระงมของเหล่าแมลงและสัตว์ที่ออกหากินในยามกลางคืน เพียงแต่หลังจากป่าแตกก็ไม่ได้ยินเสียงใดอีกเลย

มิเมม่อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า เพราะตลอดทั้งวันที่ผ่านมาหล่อนทำทุกอย่างให้แม่หญิงของตัว คอยดูแลเสียจนแทบไม่ได้พักกาย เปลือกตาจึงหนักอึ้งเสียจนไม่อาจถ่างตาไหวอีกแล้ว ใบหน้ากลมที่พลอยแต่จะสัปหงกจึงหนุนนอนลงไปกับผ้าตุ๊มที่พับรองไว้เป็นหมอน ปล่อยตัวเองให้หลุดลอยไปกับความฝัน

สายลมภายนอกนั้นยังคงโบกพัดแผ่วเบา ยอดใบใหญ่น้อยใหญ่ยังคงขยับไหวระริก ทุกอย่างภายในค่ายพักแรมแห่งนี้เงียบกริบ และแสงไฟยังกองไฟหลักกำลังจะมอดดับลง แสงสว่างเพียงแสงเดียวยังกลางลานที่เหลืออยู่ค่อยๆ ไหววูบดั่งเปลวเทียน จะลุกโหมขึ้นมาได้อีกคราก็เพียงเฉพาะตอนที่สายลมโชยผ่านเท่านั้น แสงสว่างที่พาดมายังกระโจมจึงสลัวลงทุกขณะจิต กระทั่งกลิ่นสาบของอะไรบางอย่างกลับโชยเข้ามาอีกคราหนึ่ง

วินาทีนั้นเองร่างงามสะดุ้งเฮือก ลมหายใจเย็นเยียบที่ถูกสูดเข้าภายในปอดทำเอาแผ่นอกอิ่มของเธอปวดร้าวไปหมด ลมหายใจแรงระรัวพ่นผ่านริมฝีปากอันแห้งผาก รู้สึกได้ถึงความสากในลำคอระหง ดวงตางามเบิกขึ้นท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัว เธอเหลือบมองไปรายรอบตัว ก่อนจะพบว่าแสงไฟด้านนอกนั้นริบหรี่ลงมากแล้ว หัวใจดวงเล็กๆ ใต้แผ่นอกอิ่มเต้นเร่า เจ้ากระต่ายในมือเธอยังคงซุกกายสั่น สองขาของมันพยายามถีบโถมลงกับเรียวแขนขาว ปลุกสาวเจ้าให้ตื่นขึ้นจากฝัน

“ไอ้เงี้ยวกา…?” เธอเอ่ยเสียงแหบพร่าเรียกอีกฝ่ายผ่านริมฝีปากแห้งๆ ลอบกลืนน้ำลายเหนียวอย่างฝืดเคือง แต่เสียงที่ได้ยินอยู่เนืองๆ กลับเป็นเสียงลมหายใจของมัน

ด้วยความที่พวกผู้ชายและเหล่าลูกหาบออกไปตามล่าเสือลำบากตามคำสั่งของวินทเว จึงไม่มีใครเหลืออยู่ด้านนอกค่ายเลยสักคน ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันต่างหยิบคว้าเอาไต้เอาไฟออกจากกองไฟใหญ่ไปจนเกือบหมด หลงเหลือเพียงแต่กองไฟกองเดิมที่เล็กลงกว่าเดิม ในเมื่อไม่มีคนรุนไฟ จึงไม่มีเชื้อไฟพอให้เผาไหม้อีกแล้ว มีเพียงแต่แสงริบหรี่ที่พร้อมจะดับมอดลงได้ทุกเมื่อ และนี่เป็นเหตุผลที่กองไฟหลักนั้นสำคัญ เพราะเมื่อขาดมันไป สิ่งน่ากลัวก็พลันเข้ามา

เงาดำหนึ่งทอดขึ้นเหนือกระโจม เป็นเงาของร่างมหึมาที่พ่นลมหายใจผ่านเขี้ยวแหลมคม ฝีเท้าที่เคยเงียบกริบบัดนี้ลงน้ำหนักอย่างเหนื่อยล้าเต็มทน ทั้งหิว ทั้งกระหาย อาการบาดเจ็บลำบากกายทำให้ไม่สามารถล่าได้แม้กระทั่งวัวควายอีกต่อไป มันจึงก้าวเข้าใกล้กระโจมของเธอ เมื่อเงาดำนั้นขยายใหญ่ขึ้นทุกที เกี้ยวจันทร์ก็ป้องปิดริมฝีปากตัวเองไว้แน่นสนิท กระชับกอดผ้าห่มผืนหนา ขยับกายาขาวให้ถอยจากปากกระโจม เนื้อตัวสั่นเทาไม่ต่างกับเจ้ากระต่ายเลยสักเพียงนิด ทุกอย่างรายรอบกายเธอเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงสะอื้นที่ดังผ่านออกมาจากปลายจมูก

“แม่จ๋า…ยาย…”

สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาภายในหัว ณ ตอนนี้มีเพียงชื่อและนามของแม่เสี้ยวและอุ๊ยจั๋น ซึ่งในความเป็นจริงพวกแกไม่อาจช่วยอะไรเธอได้อีกแล้ว ฟันซี่เล็กขบลงกับริมฝีปากของตัวเองแน่นกึก มันเป็นความหวาดกลัวที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เงาสีดำพาดขึ้นสูงยังกลางกระโจมใหญ่ ทอทาบเทียบให้รับรู้ได้ถึงขนาดอันมหึมาของมัน เพียงแต่วินาทีนั้นเองอยู่ๆ บางอย่างก็พลันพุ่งเข้าโฉบร่างมันไปต่อหน้าต่อตาเธอ บางสิ่งที่มีร่างกายใหญ่โตกว่า บางสิ่งที่มีเศียรมากกว่า บางสิ่งที่มีลำตัวยาวกว่า เจ้าของเสียงขู่แหบพร่าที่พ่นออกมาจากลำคอใหญ่ ก่อนเสียงสอบแสบของหญ้าแห้งกลางป่าดงพงไพรจะยังคงดังติดต่อกันยืดยาว มันดูเหมือนสองร่างกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ยังฝั่งขวาของกระโจม เพียงแต่ในบริเวณนั้นมืดเกินกว่าที่เกี้ยวจันทร์จะรับรู้ได้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

แต่ถึงอย่างนั้นเงาดำกลับไม่เลือนหายไปจากบนผ้าใบผืนนี้เสียที ลำตัวยืดยาวลากกินพื้นที่เงาไปกว่า 1 ใน 3 ของผืนผ้าใบทีเดียว เสียงหน้าท้องราบครูดไปกับพื้นดินยังคงดังให้ได้ยินต่อเนื่อง เกี้ยวจันทร์ที่เห็นทำได้เพียงปิดปาก กรีดร้องอยู่ใต้ผ้าห่ม สะอึกสะอื้นส่ายหน้าอย่างหวาดผวา ร้องห่มร้องไห้เสียจนมิเมสะดุ้งตื่น หล่อนลุกขึ้นมากอดปลอบโยนแม่หญิงอีกครา น่าแปลกที่ครั้นเมื่อมิเมลุกขึ้นมา เงาที่พาดผ่านกระโจมก็พลันเคลื่อนพ้นกระโจมไป

“แม่หญิงเจ้า! แม่หญิง ชู่…” มิเมรีบโอบกอดแม่หญิงไว้ กระชับร่างบางให้ซุกอกอิ่มของตัว ลูบมือเล็กลงกับแผ่นหลังเธออย่างปลอบโยน กดจูบลงกับขม่อมน้อยๆ และเสกเป่าคาถานะโมตาบอดเป่าลงกับขม่อม ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลอันใดหรือไม่ เพียงแต่พวกผู้ใหญ่ทำเช่นนี้กับพวกเด็กๆ มาหลายชั่วอายุคนแล้ว

“ตั๋นติตั๋นโต๋ นโมตั๋นติ ติตั๋นติโต๋ นโมตั๋นตั๋น”

“บ่มีอะหยังแล้วเจ้า บ่มีอะหยังแล้ว…” พี่เลี้ยงสาวและสุ่นคำจำต้องนอนปลอบแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ไปอีกกว่าค่อนคืน กว่าเธอจะยอมหยุดสะอื้นและนอนนิ่งๆ แต่โดยดี

ทว่าแม่หญิงเกี้ยวจันทร์กลับทำได้เพียงนอนหลับตาลง สติของเธอยังคงตื่น เพียงแต่ร่างกายเธอนอนนิ่ง ฟังเสียงหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นถี่รัวอย่างกระวนกระวาย หญิงสาวกระชับกอดเจ้ากระต่ายน้อยที่หลับปุ๋ยไปแล้ว ทุกอย่างคงผ่านพ้นไปแล้ว…แต่ไอ้เงี้ยวยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่หน้ามา หรือมันอาจถูกเสือลำบากฆ่าไปแล้ว

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม กลุ่มลูกหาบและพรานกระจอกอย่างวินทเวและสหายจึงค่อยๆ ทยอยกันย้อนกลับมา กองไฟหลักจึงสุมขึ้นอีกคราหนึ่ง แสงสว่างโร่ทอทาบทั่วทั้งกระโจมใหญ่ เสียงพูดคุยติดตลกของพวกมันทำให้มิเมและสุ่นคำได้ยินว่า พวกมันทิ้งค่ายไปกลางคัน หากนายห้างตันฉเวรู้ พวกมันคงถูกไล่กลับปางเป็นแน่แท้เชียว

“บ่น่าตามมันไปเลย เสือกาก็บ่รู้ ล่น (วิ่ง) ไปตามหาเป็นหืดเป็นหอบ บ่าฮ่าปัก (ไอ้ห่าราก)” เสียงกระซิบของเหล่าเวรยามและลูกหาบมาก่อนตัว พวกมันพูดคุยกันอยู่ไกลจากกระโจมใหญ่ ด้วยความเชื่อแต่โบราณและเรื่องเล่าที่มีให้เล่าขานกันมากมายเกี่ยวกับเสือในป่า หากเป็นเสือจริงๆ ยิงต้องกายมัน มันก็เพียงหนี ไม่ก็ตาย แต่หากเป็นผีเสือหรือเสือสมิง มิวายคงถูกหลอกไปฆ่ากินกลางไพร บทเรียนอันยิ่งใหญ่ของเหล่าลูกหาบและเวรยามในค่ำคืนนี้ อาจเป็นบทเรียนใหม่ที่ว่าบางคราลูกไม้ก็หล่นไกลต้น

ไม่นานวินทเวก็มาถึงค่ายพร้อมสหาย มันแบกปืนพาดกายกลับมาด้วยเนื้อตัวที่ชุ่มด้วยเหงื่อ วินาทีนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะเข้าเวรเข้ายามอีกแล้ว จึงแยกตัวออกไปล้างเนื้อล้างตัวยังลำธารและกลับเข้านอนในกระโจม กำชับกับเหล่าเวรยามคนอื่นๆ ว่าหากใกล้รุ่งแล้วให้รีบปลุก หากใครไม่ยอมปลุกมันแลสหาย มันผู้นั้นจะถูกยิงตายปืนชาร์ปกระบอกนี้ คำขู่นี้ทำเอาลูกหาบหลายคนหวาดหวั่น จำต้องก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปี

 

ครั้นเวลาย่ำรุ่ง แสงจางๆ จากฟากฟ้ายังไม่โผล่พ้นขึ้นมาจากเหลี่ยมทิวเขา เสียงนกน้อยผู้ตื่นเช้าส่งเสียงร้องจากรังนอนเหนือสุมทุมพุ่มไม้ ในขณะที่แสงไฟจากกองกลางยังคงสว่างโร่ อาจเพราะเวรยามบางคนแวะมารุนไฟอยู่เป็นระยะๆ ส่วนมิตรสหายของวินทเวแยกย้ายกันหลบเข้าไปนอนในกระโจมเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเฝ้ายามเท่าไรนัก อาจเพียงคิดเห็นว่า การเฝ้ายามเป็นเรื่องแสนน่าเบื่อ ไม่มีใครอยากถ่างตานั่งอยู่เฉยๆ ไปตลอดทั้งคืนหรอก หารู้ไม่ว่าสำหรับเหล่าเวรยามแล้ว นี่หาใช่เพียงความอยากไม่ มันคือ ‘หน้าที่’

เมื่อเวรยามกระจัดกระจายกันออกไปประจำที่ของตัว ลานว่างหน้ากระโจมจึงมีเพียงกองไฟกองเดียว ตอนนั้นเองที่กายาใหญ่ผู้หนึ่งก้าวกลับขึ้นมาจากทางเปลี่ยวของดงดึกดงดาล ลากเอาซากเสือตัวมหึมาขึ้นมาตามทางเนิน กระชับสองขาหน้าของมันพาดขึ้นกับบ่าแกร่ง ส่วนหัวเสือคอตกต่องแต่งอยู่อย่างนั้น ฝ่าตีนหนาที่เปลือยเปล่าของเขาก้าวขึ้นยังลาน มุ่งหน้าไปยังกองไฟใหญ่ เมื่อก้าวมาถึง ก็พลันทิ้งร่างเสือโคร่งเจ้าแห่งพงไพรลงกับพื้นดิน ไม่ได้สนใจไยดีมันเลยสักเพียงนิด

“!!!”

เสียงซากเสือหล่นตุบลงกับพื้นทำเอาเกี้ยวจันทร์ที่นอนไม่หลับเป็นทุนเดิมอยู่แล้วสะดุ้งโหยง เพียงแต่เมื่อเหลือบมองไปยังปลายกระโจม เงาที่ทอดมากลับเป็นเงาของคน กายาอันใหญ่โตของเจ้าของเงาพอทำให้สาวเจ้ารู้ได้ว่า ชายผู้นี้คงเป็นไอ้เงี้ยวอย่างแน่นอน หญิงสาวลุกจากที่นอนเธอ และเก็บเจ้ากระต่ายให้กลับไปนอนอยู่ในกรง คลานเข่ามาแอบมองอยู่ตรงปากกระโจมใหญ่ มือเรียวแหวกผืนผ้าใบก่อนจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันผู้นั้นคือใคร

ครั้นเมื่อแน่ใจแล้วว่า เจ้าของเงาคือ ‘ไอ้เงี้ยว’ สองขาเรียวจึงเร่งก้าวออกไปหาในทันที เผลอผงะกับซากเสือใหญ่ที่นอนตายอยู่ยังข้างกองไฟครู่หนึ่ง ก่อนมือเรียวทั้งสองข้างที่กำหมัดแน่นรออยู่แล้ว จะพลันทุบแผ่นอกหนาของอีกฝ่ายในทันที ตบตีอย่างลงแรงให้สาสมแก่ใจตัว คิ้วเรียวของเธอขมวดแน่นอย่างคนที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ ตีอกชกตัวอีกฝ่ายไปกว่าหลายสิบครา

“ไอ้เงี้ยวผีบ้า! ไอ้! ไอ้ผีบ้า! ไอ้ผีบ้า!” เสียงหวานของเธอสะอื้นอยู่น้อยๆ ดวงตากลมแสนเศร้าสร้อยชุ่มฉ่ำด้วยน้ำตา ทั้งโกรธ ทั้งขุ่นเคือง ทั้งเป็นห่วงเป็นใย ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะคิดเห็นเฉกเช่นเดียวกันกับเธอหรือเปล่า

ชายเจ้าของดวงตาสุกใสดั่งน้ำค้างยังคงยืนอยู่แน่นิ่ง เขาปล่อยให้แม่หญิงระบายอารมณ์ขุ่นเคืองทั้งหมดใส่เขา ให้เธอทุบมือขาวลงกับแผ่นอกหนาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ส่วนเขากระทำเพียงอย่างเดียวคือจ้องใบหน้างามของเธอที่บัดนี้ยับยู่อย่างไม่พอใจ ฟันซี่เล็กๆ ขบลงกับริมฝีปากตัวแน่นสนิท เธอยังคงขบมันอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป

กระทั่งฝ่ามือหนาเชยคางมนของหญิงสาวขึ้นน้อยๆ และปาดนิ้วโป้งลงกับริมฝีปากอิ่มที่แดงแจ๋ เกี้ยวจันทร์จึงยอมผ่อนแรง ดวงตากลมของหญิงสาวกะพริบปริบ เธอมองตอบเขาด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างตัดพ้อต่อว่าที่อีกฝ่ายหายหน้าหายตาไปตลอดทั้งวัน

“สูไปไหนมา บ่รู้กา ว่า…” เสียงเล็กๆ ที่สั่นของเกี้ยวจันทร์ยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยจนจบประโยค กายาใหญ่ก็พลันแทรกขึ้นถามในทันที

“เป็นห่วงกา” ชายเจ้าของนัยน์ตาสุกใสถามด้วยเสียงกระซิบแผ่ว พลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาชุ่มฉ่ำ เขารอฟังคำตอบจากเจ้าของใบหน้างามที่ร้อนผ่าวขึ้นทันตา

“บ่ได้เป็นห่วง! บ่ได้เป็นห่วงสักน้อย!” เกี้ยวจันทร์รีบปฏิเสธ เธอรีบชักมือกลับมากุมอกอิ่ม ราวจะปกปิดหัวใจที่เต้นแรงด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเข้า และทึกทักเอาเองว่าสาวเจ้ามีใจให้

“สักน้อยก่อบ่ห่วงกา?” เจ้าของใบหน้าคมเข้มขยับยิ้มกริ่ม ในขณะที่เกี้ยวจันทร์ยังคงใจเต้นถี่ เธอกลับมายืนขบริมฝีปากตัวเองอีกแล้ว หัวใจดวงเล็กนี้แทบระเบิดคาอก หากมันแหวกอกเธอออกมาได้ ป่านนี้มันคงกลิ้งกระดอนออกไปเต้นตึ้กตั้กอยู่กับพื้นดินแล้ว

วินาทีนั้นเองที่ชายหนุ่มหลุบตา ละสายตาจากเธอในที่สุด เมื่อไม่มีคำใดตอบกลับมาจากเธอ ก็คงป่วยการที่จะรอฟังมัน

“สักน้อยก็ได้! แต่น้อยเดียว!” เกี้ยวจันทร์รีบยอมรับ นี่แลคือนิสัยของแม่หญิงเกี้ยวจันทร์ เธอรักของเธอ เธอห่วงของเธอ แต่เธอไม่ยักแสดงออกมา หลายคราจึงทำให้หลายคนรู้สึกว่าเธอนั้นเป็นผู้หญิงเย็นชา ปากคอเราะราย แต่หากไม่เป็นห่วงเป็นใย เธอก็คงไม่โยเยใส่ถึงเพียงนี้

คำตอบของหญิงสาวทำให้กายาใหญ่ยิ้มหวาน นัยน์ตาสีแปลกจ้องมองใบหน้างามของเธออีกคราแล้ว ความปรารถนาเดียวที่ก่อเกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาตอนนี้มีเพียงการได้โอบกอดสาวเจ้าตรงหน้าเพียงเท่านั้น แต่สาวใดเลยจะอยากกอดชายผู้ที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ประเดี๋ยวกลิ่นคาวเลือดสาบสัตว์จะติดเสื้อติดผ้าเธอเสียเปล่าๆ

“ละ…แล้ว!...แล้วสูเล่า” ริมฝีปากอิ่มสั่นเทา ไม่กล้าถามอีกฝ่ายตามตรง พลอยหลุบตากลมด้วย

“ห่วงขนาด” กายาใหญ่เลือกที่จะตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาแก้มอิ่มของเกี้ยวจันทร์แดงแจ๋ในทันที

“ขี้จุ๊ (โกหก)! บ่เชื่อหรอก! ปากบอกห่วงขนาด แต่หายไปวันค่ำ (ทั้งวัน)” เพียงแต่ยังไม่ทันที่ไอ้เงี้ยวผู้นี้จะได้ตั้งตัว มือเล็กของเธอก็พลันทุบฝ่ามือหนาของเขาเสียแล้ว เสียงเผียะดังไปทั่วทั้งบริเวณ ลงแรงอย่างกำลังเอาแต่ใจ และไม่เชื่อในคำของอีกฝ่ายเลยสักเพียงน้อย

“กึ๊ดเติงหา (คิดถึง) กา?” เจ้าของเรือนกายขาวผู้นี้ยังคงหยอกเย้าสาวนัยน์ตาหวาน

“บ่ได้กึ๊ด (คิด)!” แต่สาวนัยน์ตาหวานตวาดกลับมาเสียจนสะดุ้ง

“สักน้อยเลยกา?” ไอ้เงี้ยวผู้ไม่เข็ดไม่หลาบยังคงไม่ยอมหยุด

“สักน้อยก็บ่กึ๊ด! บ่กึ๊ดเลยสักน้อย!” เกี้ยวจันทร์ยืนยันแน่นหนัก แม้จะขัดกับหัวใจตัวเองที่เป็นอยู่ เธอตีฝ่ามือหนาก่อนไอ้เงี้ยวจะคว้ามือเรียวของเธอมากุม

“แต่เรากึ๊ด” คำพูดเพียงสั้นๆ ทำเอาหัวใจดวงเล็กสั่นไหววูบวาบ ครั้นกายาใหญ่ประคองมือนุ่มของเกี้ยวจันทร์ขึ้นจดกับปลายจมูกเขาและก้มลงหอมกับหลังมือขาวอย่างแผ่วเบาที่สุด 

แม่หญิงชาวเวียงถึงกับยืนนิ่งงัน ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาพ่นลงกับหลังมือขาว ก่อนริมฝีปากเข้มจะกดจูบลงกับนิ้วมือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดเสือ

“พอแล้ว! ไปหาน้ำมาล้างมือเลย!” เกี้ยวจันทร์รีบชักมือกลับ เธอแผดเสียงใส่ ย่ำเท้าลงพื้นอย่างโยเย รีบเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น ด้วยเขินอายเสียจนใบหน้างามร้อนฉ่าไปหมด พลันยื่นสองมือเรียวให้อีกฝ่ายมองดู ว่านิ้วมือของเธอมันเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดเสือจริงๆ


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น